16 ตุลาคม 2556 เวลา 18:37 น. |

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาที่มี ดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้คลอดรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับตำแหน่งออกมาแล้วจำนวน 3 คน ตามรัฐธรรมนูญ
ประกอบด้วย 1.สมชัย ศรีสุทธิยากร รองอธิการบดี ฝ่ายวางแผนพัฒนาและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2.บุญส่ง น้อยโสภณ ผู้พิพากษาอาวุโส ในศาลอุทธรณ์ ภาค 7 และ 3.ประวิช รัตนเพียร อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน
เหลือเพียงอีก 2 คนที่ต้องผ่านกระบวนการการสรรหาของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเท่านั้น ก็จะได้ 5 ว่าที่ กกต.อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นชอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนของที่ประชุมศาลฎีกาในเวลานี้ ต้องถือว่ามีความดุเดือดพอสมควร เนื่องจากเพิ่งคัดเลือก กกต.ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น คือ ศุภชัย สมเจริญ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา ทำให้ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าใครจะได้เก้าอี้ กกต.ตัวสุดท้าย
ทั้งนี้ การคัดเลือก กกต.ในส่วนของคณะกรรมการสรรหาเมื่อวานนี้นั้น นับว่ามีความเข้มข้นเมื่อกรรมการสรรหาทั้ง 6 คน ได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้าน ตัวแทนจากศาลฎีกา และตัวแทนจากศาลปกครองสูงสุด ต้องลงมติกันอยู่หลายรอบถึงจะสามารถมีมติเสียงข้างมาก 4 เสียง เพื่อเคาะรายชื่อ “สมชัย-บุญส่ง-ประวิช” ออกมาได้
โดยเฉพาะ “ประวิช” ที่กว่าจะเข้าวินมาได้ คณะกรรมการสรรหาต้องออกแรงลงคะแนนถึง 12 รอบ
ขณะที่ตัวเต็งก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ปลัดกระทรวงคมนาคม “คมสัน โพธิ์คง” อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และ “วัยวุฒิ หล่อตระกูล” ต่างคอตกเป็นแถว เพราะได้เสียงสนับสนุนไม่ถึง 3
จริงๆ แล้ว คมสัน เกือบจะเบียดชนะ ประวิช ไปได้ เพราะการลงคะแนนในรอบที่ 7 ทั้งสองคนมีคะแนนเท่ากันที่ 3 เสียง เป็นผลให้ประธานศาลฎีกาต้องสั่งที่ประชุมลงคะแนนอีกหลายรอบ ซึ่งแต่ละรอบปรากฏว่ากรรมการสรรหาแต่ละคนยังคงไม่เปลี่ยนคะแนน
จนกระทั่งในรอบที่ 12 ที่ประชุมได้มีมติ 4 ต่อ 2 เสียงให้ “ประวิช” ได้เก้าอี้ กกต.ไปอย่างหืดขึ้นคอ ซึ่งคนที่เทคะแนนที่ 4 มาให้ประวิช คือ “อัครวิทย์ สุมาวงศ์” ตัวแทนจากศาลปกครองสูงสุด
สำหรับที่มาของว่าที่ กกต.ทั้ง 4 คนนั้นมีความน่าสนใจอยู่สมควร เริ่มที่ “สมชัย” ในอดีตเคยเป็นเลขาธิการมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) โดยมีบทบาททางการเมืองอย่างชัดเจนในปี 2549 เพราะได้เสนอตัวเองเข้ามาเป็นคนกลางในการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เจรจาหาทางออกทางการเมือง
“บุญส่ง” เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่เติบโตในอาชีพราชการตุลาการ ผ่านเก้าอี้สำคัญในชั้นศาลหลายตำแหน่ง เช่น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 และประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยปัจจุบันนั่งตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ภาค 7
เช่นเดียวกับ “ศุภชัย” ที่เติบโตในสายศาล เป็นทั้งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาธนบุรี ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์
ด้าน “ประวิช” ถือว่าเป็นบุคคลที่ผ่านสนามการเมืองมาอย่างโชกโชนมากที่สุดถ้าเทียบกับว่าที่ กกต.คนอื่นๆ เนื่องจากเป็นมาแล้วทั้ง สส. ไปจนถึงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยหลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่าประวิชนั้นเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี 2548 ในตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกรัฐประหาร ประวิชได้หันหลังให้กับการเมืองเพื่อไปสร้างอาณาจักร “มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต” ต่อมาในปี 2553 ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท การบินไทย ให้เป็นประธานกรรมการบริษัท และในปี 2554 ได้ตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน
ชีวิตการเป็นผู้ตรวจการนี่เองที่เป็นช่วงที่เผชิญกับความกดดันสูง เนื่องจากต้องเจอกับเกมการเมืองล้วงลูกภายในสำนักงานผู้ตรวจฯ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จนไม่สามารถทนต่อไปได้และต้องลาออกมาสมัคร กกต. ทั้งในสายของคณะกรรมการสรรหาและที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
ทว่าผลงานในฐานะผู้ตรวจการก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ อย่าง ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า มาร่วมเป็นคณะทำงานศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
เห็นว่าที่ กกต.อย่างนี้แล้ว บรรดานักเลือกตั้งคงหนาวๆ ร้อนๆ ถ้าคิดจะทุจริตเลือกตั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น