PR
วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556
โปรดเกล้า ครม.ยิ่งลักษณ์5
ขุมข่ายทรัพย์สิน เยาวเรศ ชินวัตร
เจาะละเอียดยิบขุมข่ายธุรกิจ เลิกๆร้างๆ 100 ล้าน “เยาวเรศ ชินวัตร” เหยื่อ!อักษรย่อปมแฉ“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์”โยงสัมพันธ์เจ้าของบ่อนซอยกิ่งเพชร?เทียบความมั่งคั่ง“ทักษิณ เจ๊แดง-เยาวภา”
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเครือญาติของคนในตระกูลชินวัตรถูกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย พยายามโยงว่าอาจเกี่ยวพันกับเจ้าของบ่อนการพนันในซอยกิ่งเพชร กรุงเทพฯ โดยเล่นเกมอักษรย่อ “ย” สระ “เอา”
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาปฏิเสธแทนว่าคนในตระกูลชินวัตรไม่ว่าจะเป็นนางเยาวเรศ ชินวัตร หรือ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มีใครทำเรื่องต่ำๆอย่างนั้น
ทั้งนี้ ครอบครัวชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีพี่น้อง 7 คน นางเยาวลักษณ์ คล่องคำนวณการ เป็นคนโต นางเยาวเรศ ชินวัตร เป็นคนที่ 3 รองจาก พ.ต.ท.ทักษิณและเป็นพี่สาวนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ
โฟกัสที่นางเยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ (2546-2549)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ พบว่า เป็นกรรมทั้งสิ้น 12 บริษัท รวมทุนจดทะเบียนประมาณ 100 ล้านบาท ได้แก่
1.บริษัท ชินวัตร (เชียงใหม่)จำกัด จดทะเบียนวันที่ 6 ก.ย.2532 ทุน 50 ล้านบาท
2.บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต)จำกัด จดทะเบียนวันที่ 28 มี.ค.2531 ทุน 12 ล้านบาท
3.บริษัท ชินวัตร เฮลท์โปร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 ก.พ.2543 ทุน 1 ล้านบาท
4.บริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 มิ.ย.2537 ทุน 5,400,000 บาท
5.บริษัท ชินวัตร โฮลดิ้ง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 2 ก.ย.2534 ทุน 3 ล้านบาท
6.บริษัท วายชินวัตรา จำกัด จดทะเบียนวันที่ 18 ธ.ค.2524 ทุน 1 ล้านบาท
7.หจก. ชานเมรีเอลเดอร์ จดทะเบียนวันที่ 12 ต.ค.2524 ทุน 200,000 บาท
8.หจก. สยามแซนด์ 1980 จดทะเบียนวันที่ 16 มิ.ย.2523 ทุน 200,000 บาท
9.บริษัท ชินวัตร เทคโนโลยี แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชิ เทคโนโลยี่ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) จดทะเบียนวันที่ 16 พ.ย.2544 ทุน 5 ล้านบาท
10.บริษัท ชิเซน อินเตอร์เนชันแนล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 6 ม.ค.2542 ทุน 20,500,000 บาท
11.บริษัท ชินวัตร (พัทยา) จำกัด จดทะเบียนวันที่17 พ.ค.2543 ทุน 5 ล้านบาท
และ 12.บริษัท ไลฟ์เวลล์เนส คอร์ป จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 มี.ค. 2550 ทุน 1 ล้านบาท
ในจำนวนนี้มีบริษัทที่นางเยาวเรศเป็นกรรมการร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ พี่ชาย 1 แห่งคือ บริษัท วายชินวัตร ตรา จำกัด ขณะนั้นพ.ต.ท.ทักษิณมียศร้อยตำรวจเอกทักษิณและมีนายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์ อดีตสามีนางเยาวเรศร่วมเป็นกรรมการด้วย ประกอบธุรกิจขายเครื่องแต่งกายและเสื้อผ้า ที่ตั้งเลขที่ 339 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพฯ
มีบริษัทที่นายสุรพันธ์ ชินวัตร ร่วมเป็นกรรมการด้วย 1 แห่งคือ บริษัท ชินวัตร โฮลดิ้ง จำกัด ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งเลขที่ 161/11 ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ
มีธุรกิจที่นางเยาวเรศเป็นกรรมการร่วมกับนายปลิว มังกรกนก 1 แห่งคือ หจก. สยามแซนด์ 1980 ที่ตั้งเลขที่เดียวกัน มีน.ส.โญชิโกะ ฮีดะ ร่วมเป็นกรรมการด้วย
และมีบริษัทที่เป็นกรรมการร่วมกับนายประดิษฐ์ จุฬาราช นักธุรกิจหนองคาย อย่างน้อย 4 แห่งคือ บริษัท ชินวัตร เทคโนโลยี แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัท ชินวัตร เฮลท์โปร จำกัด บริษัท ชิเซน อินเตอร์เนชันแนล จำกัด และบริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด บางแห่งมี นายวีระชัย วงศ์นภาจันทร์ ร่วมเป็นกรรมการด้วย
ขณะเดียวกันมีธุรกิจที่เพิ่งเปิดกิจการล่าสุดคือ บริษัท ไลฟ์เวลล์เนส คอร์ป จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 มีนาคม 2550 ทุน 1 ล้านบาท ทำธุรกิจ Licenses Fee (ลิขสิทธิ์) เสื้อผ้ากีฬา,สินค้า Premium ที่ตั้งเลขที่ 159/19 ชั้น 8 ถนนราชดำริห์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นางเยาวเรศ และบุตร ได้แก่ น.ส.ชนิกา วงศ์นภาจันทร์ นายรัตนะ วงศ์นภาจันทร์ นาย ธนวัต วงศ์นภาจันทร์ ร่วมกันถือหุ้น ต่อมาได้เลิกกิจการวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554
จากการตรวจสอบพบว่าจากขุมธุรกิจทั้งหมด 12 บริษัท 10 บริษัทเลิกกิจการและบางแห่งเป็นกิจการร้าง มีเพียง 2 แห่งที่ยังเปิดดำเนินการ คือ บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด และ บริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด
บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด ผลประกอบการระหว่างปี 2549-2553 มีรายได้ปีละ 360,000 บาท ปี 2553 ขาดทุนสุทธิ 657,699.97 บาท ปี 2552 ขาดทุนสุทธิ 841,878.31 บาท ปี 2551 ขาดทุนสุทธิ 911,814.31 บาท ปี5250 ขาดทุนสุทธิ 921,658.54 บาท ปี 2549 ขาดทุนสุทธิ 528,434.05 บาท
บริษัท ชินวัตร โฮม มาร์ท จำกัด วันที่ 21 กันยายน 2549 ได้เพิ่มทุน 80 ล้านบาทเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท พาร์ค วิลล์ ภูเก็ต จำกัด ที่ตั้งเดิม เลขที่ 136 ซอยสุขุมวิท 23 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ นายธนกฤต สมประสงค์ ถือหุ้น 480,000 หุ้น หรือ 60% นายทวีทรัพย์ จิตต์โสภณ 160,000 หุ้น หรือ 20% นางสาวพิมพ์พิชา จินตานนท์ 160,000 หุ้น หรือ 20% นายทวีทรัพย์ จิตต์โสภณ นายธนกฤต สมประสงค์ เป็นกรรมการ ปี 2551 รายได้ 48,021,558 บาท ขาดทุนสุทธิ 4,540,288.25 บาท ปี 2552 รายได้ 28,414,698 บาท กำไรสุทธิ 6,028,539.90 บาท ปี 2553 รายได้ 8,489,044.49 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,401,317 บาท
เท่ากับมีธุรกิจที่เป็นของนางเยาวเรศและเปิดดำเนินการเพียง 1 แห่ง คือ บริษัท ชินวัตร (ภูเก็ต) จำกัด น่าสังเกตว่าขาดทุนต่อเนื่องทุกปี
อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาเฉพาะผลประกอบการ สถานะ “เลิกๆ ร้างๆ” เมื่อเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณเจ้าของชินคอร์ปและเอสซีแอสเสท และนางเยาวภาเจ้าของเอ็งลิงค์ ความสำเร็จทางธุรกิจของนางเยาวเรศ อาจไม่ทัดเทียม 2 พี่น้องร่วมสายโลหิต?
บริษัทที่ เยาวเรศ ชินวัตร เป็นกรรมการ
ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม
วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ปิดเอกสารชี้แจงของบริษัท K-Water ต่อข้อกล่าวหาของ NGO เกาหลีใต้ รวม 7 ประเด็น พร้อมชาร์ตแจงสถานะการเงินบริษัท
เปิดเอกสารชี้แจงของบริษัท K-Water ต่อข้อกล่าวหาของ NGO เกาหลีใต้ รวม 7 ประเด็น พร้อมชาร์ตแจงสถานะการเงินบริษัท
ข่าว "เค-วอเตอร์" หนี้ท่วม
ข่าว "เค-วอเตอร์" หนี้ท่วม - ที่แท้สื่อไทยอ่านงบผิด
นิตยสาร-น.ส.พ.แห่ปรับตัว ขายคอนเทนต์ออนไลน์เพิ่มรายได้
จาก ผลสำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 11,000 รายใน 9 ประเทศ พบว่าช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคยอมที่จะจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตกัน มากขึ้น
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในสหราชอาณาจักร อเมริกา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส และเยอรมนี พบว่าผู้บริโภค 11% ยินยอมที่จะจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าวออนไลน์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 1 ใน 3 จากปีก่อนหน้านี้
ในปีนี้ ทางมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดยังได้ขยายการสำรวจไปยังประเทศสเปน อิตาลี ญี่ปุ่น และบราซิลเป็นครั้งแรก ซึ่งพบว่าสัดส่วนของผู้ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงข่าวออนไลน์นั้นใกล้เคียง กับกลุ่มประเทศที่เอ่ยขึ้นมาข้างบนอยู่ที่ 20% โดยตัวเลขดังกล่าวรวมตั้งแต่การสมัครสมาชิกแบบรายปี จนถึงค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเลือกอ่านเพียงบางหัวข้อ
ผลลัพธ์ดังกล่าวสร้างความ หวังที่ริบหรี่ให้กับบรรดาหนังสือพิมพ์และแมกาซีนเป็นอย่างมาก เพราะแม้ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ โดยสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านี้ต่างได้ประสบปัญหาอย่างหนักจากการลดลงอย่างต่อ เนื่องของรายได้ที่มาจากธุรกิจดั้งเดิม คือ "สิ่งพิมพ์"
ที่ผ่านมา ผู้ให้บริการ "ข่าว" จำนวนมากต่างหันมาให้น้ำหนักในการลงทุนด้านสื่อดิจิทัล แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องพบกับอุปสรรค เพราะลำพังกับค่าโฆษณาที่เรียกเก็บจากสปอนเซอร์บนหน้าเว็บข่าวออนไลน์ก็อาจ ไม่เพียงพอ ด้วยอัตราค่าโฆษณาที่ไม่สูงมากนักทำให้หลายค่ายตัดสินใจที่จะเรียกเก็บค่า บริการจากกลุ่มผู้อ่านในการเข้าดูคอนเทนต์ข่าว คอลัมน์ และรายงาน
ต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ แทนที่จะให้ดูแบบไม่เสียเงินอีกต่อไป
หาก ดูจากความเคลื่อนไหวของหนังสือพิมพ์ "เดอะซัน" ของเจ้าพ่อวงการสื่อ "รูเพิร์ต เมอร์ด็อก" แห่งบริษัท นิวส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ก็เริ่มที่จะเรียกเก็บค่าบริการ 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ จากการใช้งานเว็บไซต์ของตนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เช่นเดียวกับ "เดอะ เทเลกราฟ" และ "นิวยอร์ก ไทมส์" เองก็ได้เรียกเก็บค่าบริการดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยรู้จักกันในชื่อของ "เพย์วอลล์ส" (Paywalls)
รายงานดังกล่าวยัง พบอีกว่า บรรดาผู้ที่ยังไม่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าวออนไลน์ที่มีสัดส่วน 14% ให้เหตุผลว่า พวกเขาอาจจะยอมจ่ายค่าบริการดังกล่าวในอนาคตก็เป็นได้ หากในที่สุดแล้วไม่สามารถเข้าไปอ่านข่าวเดิม ๆ แบบ "ไม่เสียเงิน" ได้อีกต่อไป
"โรเบิร์ต พิคาร์ด" หัวหน้าวิจัยที่สถาบันรอยเตอร์ส ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ออกมาเตือนว่า แม้ข้อมูลดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่าโอกาสของการจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ ข่าวในรูปแบบดิจิทัลจะพัฒนาขึ้น แต่ผู้ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้ต้องไม่ลืมที่จะเรียกเก็บแบบ "มีเหตุผล" ด้วยเช่นกัน
"การจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าวออนไลน์ ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ออกมาตอบโจทย์บุคคลเฉพาะกลุ่มมากกว่าที่จะเป็นสิ่ง ที่ผู้บริโภคใช้กันอย่างแพร่หลาย"
จากรายงานการสำรวจดังกล่าวยังพบ อีกว่า แม้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ปัจจัยหลักที่ทุกค่ายเผชิญเหมือนกัน คือ การที่หนังสือพิมพ์ในรูปแบบดั้งเดิมถูกท้าทายจากคู่แข่งที่ผลิตสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและอเมริกา ผู้ที่สามารถครองใจผู้บริโภคได้มากกว่าคือบรรดาสำนักข่าวที่ผลิตแต่ "คอนเทนต์ออนไลน์" โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม บางประเทศอย่างในสหราชอาณาจักรและเดนมาร์ก สื่อดั้งเดิมยังคงเป็นเจ้าตลาดในพื้นที่ของข่าวออนไลน์อยู่ ด้วยสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% เหตุผลหลักเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรยัง "เชื่อมั่น" ในข่าวที่มาจากสื่อดั้งเดิมมากกว่าข่าวที่มาจากบล็อกหรือโซเชียลมีเดีย จากข้อมูลพบว่า 79% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อมั่นในเว็บไซต์อย่าง "บีบีซี" และ "สกาย"
อายุก็เป็นส่วนสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงดัง กล่าว โดยพบว่ากลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี เป็นกลุ่มที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงข่าวออนไลน์มากที่สุด สอดคล้องไปกับความชำนาญในเทคโนโลยี และ
1 ใน 4 ของกลุ่มนี้ยังมีรายได้อยู่ที่ 25,000-50,000 ปอนด์ และแม้ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรยังค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่กลับพบว่าหากเป็นคนที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีนั้น มีผู้บริโภคถึง 30% ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการค้นหาข่าวใหม่ ๆ
นายกฯให้กำลังใจน้องไปป์ รับรางวัล Maths Prize Winner
ยามาดะ (Yamada).. ซามูไรอโยธยา
นครศรีธรรมราชเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคใต้และถือเป็นหัวเมืองเอกที่มีความสำคัญมาแต่สมัยโบราณ เจ้าเมืองมียศเป็นถึงเจ้าพระยา แต่ทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง นครศรีธรรมราชเคยมีเจ้านครเป็นนักรบซามูไรจากญี่ปุ่น ซึ่งนามของซามูไร ผู้ที่โชคชะตาดลบันดาลให้เขาได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินอโยธยา ก็คือ ยามาดะ นากามาสะ
ชาวญี่ปุ่นได้เดินทางเข้ามาค้าขายกับอยุธยาเป็นเวลานานแล้ว และตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๐๘๓ ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย โดยมีชุมชนชาวญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธยาที่บริเวณหมู่บ้านญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ของเกาะเมือง ส่วนนักรบซามูไรได้เข้ามาเป็นทหารรับจ้างในกองทัพอยุธยาตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระนเรศวร
ดังมีบันทึกในคราวสงครามยุทธหัตถีในปีพุทธศักราช ๒๑๓๓ ว่า พระเสนาภิมุขขี่ช้างพลายเฟื่องภพไตร ถือพลอาสาญี่ปุ่น ๕๐๐ ซึ่งต่อมาในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีการจัดตั้งขึ้นเป็นกรมอาสาญี่ปุ่น เจ้ากรมมีตำแหน่งเป็นออกพระเสนาภิมุขถือศักดินา ๑,๐๐๐ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นว่ามีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่เข้ามาแสวงโชคยังอยุธยา โดย ยามาดะ นากามาสะ เองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย
"ยามาดะ นากามาสะ" เกิดที่เมืองโอวาริ ซึ่งปัจจุบันอยู๋ใกล้ ๆ กับนาโงย่า เป็นกำพร้าบิดาแต่เล็กและอาศัยอยู๋กับมารดาและบิดาเลี้ยง เมื่อโตขึ้นได้เป็นซามูไรระดับล่างทำหน้าที่หามแคร่ของจิอุเอมอน โอคุบุ ไดเมียว (เจ้าเมือง) แห่งแคว้นซุนชู ในเวลาต่อมา ยามาดะได้หนีออกจากบ้านและติดตามเรือสินค้าของพ่อค้าจากแคว้นซูรุกะที่เดินทางไปค้าขายยังไต้หวัน
หลังเสร็จสิ้นการค้าแล้ว ยามาดะได้ติดตามเรือสินค้าลำดังกล่าวเดินทางมาเมืองไทย ซึ่งขณะอาศัยอยู่ในเมืองไทยยามาดะได้ประกอบอาชีพค้าขายจนร่ำรวย และต่อมาได้สมัครเข้าเป็นทหารอาสาญี่ปุ่น หลังจากนั้นได้เลือนตำแหน่งจนเป็นถึงออกญาเสนาภิมุขเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น
ในระหว่างดำรงตำแหน่งนั้น ยามาดะยังทำหน้าที่เป็นคนกลางในการติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับญี่ปุ่นด้วย จนมาถึงปลายรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์ประชวรหนักใกล้สวรรคตและได้มอบราชสมบัติให้กับพระเชษฐาธิราช ผู้เป็นราชโอรสแทนที่จะมอบให้พระศรีศิลปผู้เป็นพระอนุชาซึ่งเป็นพระมหาอุปราชตามธรรมเนียม
ซึ่งในการนี้พระเจ้าทรงธรรมได้ทรงปรึกษากับออกญาศรีวรวงศ์อดีต จมื่นศรีสรรักษ์ ข้าหลวงเดิมและขุนนางคนสนิท เนื่องจากเวลานั้น เหล่าขุนนางได้แบ่งเป็นสองฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งหนุนหลังพระมหาอุปราชอยู่ ออกญาศรีวรวงศ์จึงได้เกลี้ยกล่อมออกญาเสนาภิมุขหรือ ยามาดะ ให้ช่วยเหลือพระเชษฐาธิราชในการขึ้นครองราชย์ ออกญาเสนาภิมุขตกลงและได้นำกองอาสาญี่ปุ่นเข้าตรึงกำลังในพระราชวังหลวง
วันที่ ๒๒ เดือนอ้าย ปีมะโรง (พ.ศ. ๒๑๗๑) พระเจ้าทรงธรรมสวรรคต สมเด็จพระเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อ จากนั้นออกญาศรีวรวงศ์ก็ได้กำจัดขุนนางฝ่ายตรงข้ามจนหมด จากการนี้ทำให้ออกญาศรีวรวงศ์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ โดยเจ้าพระยากลาโหมยังคงวางแผนถอนรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามให้หมดสิ้น แต่เนื่องจาก ในยามนั้น พระศรีศิลป์ องค์อุปราชยังทรงผนวชอยู่ ออกญากลาโหมจึงขอร้องให้ยามาดะจัดการ โดยให้นำตัวพระศรีศิลป์กลับมาในสภาพของฆราวาสให้ได้
ยามาดะได้ลวงพระศรีศิลป์ว่าจะช่วยให้ครองราชย์และได้ขอให้เสด็จกลับไปในฐานะมหาอุปราช พระศรีศิลป์หลงเชื่อและยอมลาสิกขาออกมา จึงถูกกุมตัวไปขังไว้ที่เพชรบุรี ทว่าขุนนางคนสำคัญของพระศรีศิลป์คือ หลวงมงคล ได้ลอบเข้าไปช่วยพระองค์ออกมาได้ จากนั้นหลวงมงคลได้รวบรวมรี้พลได้สองหมื่นและประกาศให้พระศรีศิลป์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เพชรบุรีนั่นเอง
หลังจากทราบข่าว ทางกรุงศรีอยุธยาได้แต่งตั้งออกญารามคำแหงเป็นแม่ทัพถือพลสองหมื่น พร้อมออกญาเสนาภิมุขคุมนักรบซามูไร ๘๐๐ นาย เข้าปราบกบฏครั้งนี้
และในการนี้เอง ที่ยามาดะได้ลวงหลวงมงคลว่าจะแปรพักต์และนำทหารญี่ปุ่นมาเข้าด้วย ทำให้หลวงมงคลเกิดความชะล่าใจ ครั้นถึงเวลาออกรบจึงสั่งให้ไพร่พลมุ่งโจมตีแต่กองทัพกรุงอย่างเดียว โดยมิต้องสนใจทหารญี่ปุ่น แต่ยามาดะกลับสั่งให้ทหารของตนเข้าตีทัพกบฏอย่างดุเดือด ผลก็คือ กองทัพกบฏแตกพ่ายและพระศรีศิลป์ถูกจับตัวได้อีกครั้ง ก่อนจะนำมาสำเร็จโทษที่กรุงศรีอยุธยา
ต่อมาสมเด็จพระเชษฐาธิราชเกิดระแวงเจ้าพระยากลาโหมและวางแผนกำจัด แต่เจ้าพระยากลาโหมรู้ตัวจึงชิงลงมือก่อนโดยนำกำลังยึดพระราชวังและจับพระเชษฐาธิราชสำเร็จโทษ ครั้นเมื่อแผ่นดินว่างกษัตริย์ เจ้าพระยากลาโหมได้ปรึกษากับเหล่าขุนนางว่าจะยกผู้ใดเป็นกษัตริย์เหล่าขุนนางซึ่งเกรงกลัวเจ้าพระยากลาโหมได้พากันเสนอให้เจ้าพระยากลาโหมขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
แต่ออกญาเสนาภิมุขซึ่งขณะนั้นมีอำนาจมากได้คัดค้านและเห็นว่าควรให้เชื้อสายพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์ เจ้าพระยากลาโหมจึงได้ยกเอาสมเด็จพระอาทิตยวงศ์พระอนุชาของพระเชษฐาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เนื่องจากทรงมีพระชนม์เพียงสิบชันษา เจ้าพระยากลาโหมจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
หลังจากนั้นเจ้าพระยากลาโหมได้กำจัดออกญารามคำแหงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง โดยเพ็ดทูลว่าออกญารามคำแหงคิดการเป็นกบฎ พระเจ้าอยู่หัวจึงสั่งประหารเสีย ทำให้ออกญาเสนาภิมุขโกรธแค้นเจ้าพระยากลาโหมเป็นอันมาก เนื่องจากออกญารามคำแหงนั้นเป็นสหายสนิทของตน
เจ้าพระยากลาโหมจึงเริ่มไม่ไว้วางใจออกญาเสนาภิมุขและคิดหาวิธีกำจัดให้พ้นทาง ต่อมาเมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฎ จึงให้ออกญาเสนาภิมุขไปปราบ เมื่อออกญาเสนาภิมุขปราบกบฎสำเร็จ เจ้าพระยากลาโหมได้ขอให้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ออกญาเสนาภิมุขเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งการแต่งตั้งครั้งนี้ ทำให้ เจ้าพระยากลาโหมสามารถขจัดออกญาเสนาภิมุขไปจากเมืองหลวงได้สำเร็จ
เมื่อขจัดเสี้ยนหนามได้แล้ว เจ้าพระยากลาโหมซึ่งมีอำนาจสูงสุดในขณะนั้น ได้กล่าวโทษ สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ว่า ไม่สนใจราชกิจเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ และให้ปลดออกจากราชสมบัติเสีย จากนั้นจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครั้นเมื่อออกญาเสนาภิมุขทราบเรื่องทั้งหมดก็ไม่พอใจมาก เนื่องจากตนเองยังมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าทรงธรรมอยู่และเห็นว่าถ้าพระอาทิตยวงศ์ยังครองราชย์อยู่ ออกญาเสนาภิมุขซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์เนื่องจากเป็นครูสอนดาบซามูไรให้ ก็ยังมีโอกาสจะกลับมาเป็นใหญ่ในกรุงอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เจ้าพระยากลาโหมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์นี้ ก็อาจทำให้ออกญาเสนาภิมุขถูกกำจัดได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ออกญาเสนาภิมุขก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด เนื่องจากได้เกิดการแข็งเมืองของนครรัฐปัตตานี ซึ่งไม่พอใจพวกญี่ปุ่นที่มีอำนาจในนครศรีธรรมราช โดยนครปัตตานีได้สมคบกับบรรดาหัวเมืองมลายูและพวกโจรสลัดรวมกำลังกันยกทัพมาตีนครศรีธรรมราช ออกญาเสนาภิมุขได้ยกทัพเมืองนครและพลอาสาญี่ปุ่นไปทำศึกครั้งนี้ แม้ว่าจะเอาชนะกองทัพปัตตานีได้ แต่เขาก็ต้องอาวุธจนบาดเจ็บสาหัส
พระเจ้าปราสาททองทรงทราบเรื่องทั้งหมด ด้วยความพอพระทัยและได้มีคำสั่งลับให้ออกพระมะริดน้องชายเจ้านครเก่า วางยาพิษสังหารเจ้านครชาวญี่ปุ่นผู้นี้เสีย ในที่สุดยามาดะหรือออกญาเสนาภิมุขก็เสียชีวิตลงด้วยยาพิษ จากนั้นออกพระมะริดจึงนำกำลังเข้ายึดเมืองนคร ทว่า ออกขุนเสนาภิมุข (โออิน) บุตรชายของยามาดะกลับสังหารออกพระมะริดและนำนักรบซามูไรเข้ายึดเมืองนครไว้
จากนั้นได้วางแผนยกทัพไปตีกรุงศรีอยุธยา ทางฝ่ายพระเจ้าปราสาททอง เมื่อทรงทราบเรื่องจึงให้กวาดล้างชาวญี่ปุ่นในกรุง ทำให้พวกทหารญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธญารวมกำลังกันตีฝ่าวงล้อมและไปสมทบกับ โออินที่นครศรีธรรมราช
ทางฝ่ายโออิน ได้ปกครองเมืองนครอย่างกดขี่ ปล้นชิงผู้คนตามใจชอบ ทำให้ชาวเมืองก่อจลาจล นอกจากนี้ยังเกิดการขัดแย้งกันเองในหมู่ชาวญี่ปุ่น ทำให้ต้องเลิกล้มแผนตีกรุงศรีอยุธยา และในที่สุด เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในเมืองนคร เริ่มเป็นอันตรายต่อพวกตน โออินจึงตัดสินใจนำชาวญี่ปุ่นฝ่ายเดียวกับตน หลบหนีไปยังกัมพูชา โดยได้อาสาเป็นแม่ทัพให้กับกษัตริย์กัมพูชา และได้เสียชีวิตในการรบกับกองทัพล้านช้างในเวลาต่อมา
- ที่มา : www.komkid.com
ย้อนรอยตำนาน "ผ้าเหลือง" ฉาว!! วิกฤตศรัทธา "พระสงฆ์ไทย" ที่ยากจะลืมเลือน?
"...ยิ่งความเจริญทางโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวคราวในทางไม่สู้ดีเกี่ยวกับ พระสงฆ์ หรือ บรรพชิต ผู้ครองอาภรณ์แห่งธรรม ก็ยิ่งปรากฎตามหน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเล็กข่าวใหญ่ แต่ทุกครั้งย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนทั่วไป.."
แต่นอกเหนือจากการอบรมสั่งสอนวิปัสสนากรรมมัฏฐานแล้ว พระภาวนาพุทโธ ยังได้รับอุปการะเด็กชาวเขาจากจ.แม่ฮ่องสอน และจากจ.เชียงใหม่ ให้ได้รับการศึกษาเลี้ยงดู โดยนำมาพักอาศัยภายในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นเด็กผู้หญิง ก็ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแม่ชีภายในวัด
ข้อพิเคราะห์ของศาลฎีกาตามพยานหลักฐาน ได้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของจำเลยและพวกเป็นเช่นใด นอกเหนือจากพฤติกรรมที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระแล้ว จำเลยยังสู้อุตส่าห์ป้องกัน ด้วยการให้กินยาคุมกำเนิด ส่วนรายไหนไม่ยินยอม กลับลงโทษให้ไปเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม ซึ่งพฤติกรรมการลงโทษเหยื่อที่ไม่ยินยอมด้วยการนำการเดินจงกรม อันเป็นหนึ่งในวิธีปฏิบัติของวิปัสสนามาเพื่อสนองตัณหาของตนเอง
แต่ที่โด่งดังกลับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก กับภาพถ่ายในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ชูสองนิ้วในศูนย์การค้า โดยภายในคลิปเป็นภาพคณะสงฆ์จำนวน 3 รูปนั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว (ว่ากันว่า ลูกศิษย์ถวายให้ใช้เดินทางไกล หรือกรณีเร่งด่วน) หูเสียบหูฟังไอโฟน สวมแว่นตาดำและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง โดยเครื่องบินเครื่องดังกล่าวบินลงจอดที่สนามบินอุบลราชธานี ซึ่งทราบข้อมูลเบื้องต้นว่าพระบนเครื่องบิน มีชื่อว่า หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ผู้เขียนหนังสือ ชาติหน้าไม่ขอเกิด และนิพพานมีจริง ซึ่งล่าสุดคลิปดังกล่าวได้ถูกลบออกจากยูทิวบ์ไปแล้ว เหลือก็แต่ภาพที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตอนนี้เป็นภาพหน้าคล้ายที่นอนกับสีกา
ภาพเหล่านี้ ทำให้พุทธศาสนิกชนหลาย ๆ คนเคลือบแคลงใจ และตั้งคำถามว่า นี่หรือคือพระสงฆ์ที่อ้างตนว่ามีสมาธิจิตสูงถึงระดับฌาน 8 เนื่องจากพฤติกรรมที่แสดงออกมาค่อนข้างขัดแย้ง โดยเฉพาะการยึดติดในตัววัตถุ สิ่งของ ทั้ง ๆ ที่ตามหลักความเป็นจริงในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ควรมุ่งสู่ความหลุดพ้น และปล่อยวางไม่ใช่หรือ
แม้บางคลิปถูกลบออกไปแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่หลายคนตั้งคำถามก็คือ หลักการตลาดเพื่อโปรโมตตัวเอง โดยตั้งชื่อให้ดูขลัง แสร้งทำตัวให้น่าเลื่อมใส อวดอ้าง อิทธิฤทธิ์ อภินิหารหรือไม่?