PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"บิ๊กป้อม" ประธานโอลิมปิคฯ ชี้ ล้มบอล ผิดกฎหมาย ต้องดำเนินการ

"บิ๊กป้อม" ประธานโอลิมปิคฯ ชี้ ล้มบอล ผิดกฎหมาย ต้องดำเนินการ และดูแล เรื่องนี้ ให้มากขึ้น
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคประเทศไทย กล่าวถึงการจับขบวนการล้มบอลไทย ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ว่า ตอนนี้นายกสมาคมฯ กำลังตรวจสอบอยู่ มีการแถลงข่าว
เมื่อถามว่าต้องมีการกำชับเรื่องจริยธรรมสมาคมกีฬา หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทางสมาคมฟุตบอลฯเขาก็จัดการ ขบวนการผิดกฎหมาย มีการออกหมายจับ ส่วนเราก็ต้องดูแล เรื่องนี้ให้มากขึ้นในทุกกระทรวง ทบวง กรม

เบี้ยล่าง โดย นฤตย์ เสกธีระ

เบี้ยล่าง โดย นฤตย์ เสกธีระ



แฟ้มภาพ
จะเป็นเวรกรรมที่เคยก่อ หรือเป็นเพราะสาเหตุใดก็ไม่อาจทราบ

นักการเมืองในขณะนี้เหมือนเป็น “เบี้ยล่าง”

เป็นเบี้ยล่างของผู้มีอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้

อำนาจดังกล่าว หนึ่งคืออำนาจที่ควบคุมโดย คสช. อีกอำนาจหนึ่งคืออำนาจจากองค์กรอิสระ

ปรากฏการณ์ล่าสุด คือ เป็นเบี้ยล่าง กกต. และ คสช.

เป็นเบี้ยล่างในกรณีการปฏิบัติตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่มีบทบัญญัติให้ต้องปรับปรุงพรรค

การปรับปรุงพรรคนั้นมีระยะเวลากำหนดไว้ให้แล้วเสร็จหลังจากกฎหมายประกาศใช้

1.ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกให้นายทะเบียนทราบภายใน 90 วัน
2.พรรคการเมืองที่ยังมีสมาชิกไม่ถึง 500 คน ต้องดำเนินการให้มีสมาชิกให้ครบ 500 คนภายใน 180 วัน
3.จัดให้มีทุนประเดิมจำนวน 1 ล้านบาท และแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 180 วัน
4.จัดให้สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 500 คน ชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง ภายในเวลา 180 วัน
และให้พรรคการเมืองแจ้งให้คณะกรรมการทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันพ้นระยะเวลาชำระค่าบำรุงพรรค
5.จัดให้สมาชิกชำระเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า 5000 คน ภายใน 1 ปี
และให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ภายใน 4 ปี
6.จัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับและจัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามกฎหมาย
และเลือกหัวหน้าพรรคการเมือง เลขาธิการพรรคการเมือง เหรัญญิกพรรคการเมือง นายทะเบียนสมาชิก และกรรมการบริหารอื่นของพรรคภายใน 180 วัน
7.จัดตั้งสาขาพรรคการเมือง และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดให้ครบถ้วน พร้อมทั้งแจ้งรายการภายใน 180 วัน

การดำเนินการดังกล่าว หากเป็นสภาวะปกติคงไม่มีปัญหา

เพราะเมื่อกฎหมายประกาศใช้ พรรคการเมืองย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด

แต่เนื่องจากขณะนี้เป็นภาวการณ์ไม่ปกติ คสช.มีคำสั่ง “แช่แข็ง” พรรคการเมือง

ขยับหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ได้

ขณะที่ คสช. มีข้อสรุปแล้วว่า ไม่ปลดล็อกกฎแช่แข็ง

แต่กาลเวลาตามกฎหมายเคลื่อนไปไม่หยุด

ขณะที่ กรธ. และ คสช.ออกมาชี้ว่า ระยะเวลาตามกฎหมายที่กำหนดนั้น กกต.ขยายให้ได้

แต่ กกต.ผู้ที่มีหน้าที่ขยายระยะเวลากลับบอกว่า ทำไม่ได้ เกรงว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ กรธ. และ คสช.รวมถึงรัฐบาลบอกว่า พรรคการเมืองสามารถดำเนินการเรื่องสมาชิกพรรคไปพลางก่อนได้

แต่ กกต.บอกว่าอย่าเพิ่ง มันอาจจะผิดกฎหมาย

อ้าว แล้วยังงี้จะเอายังไง

คนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเลยไม่กล้าขยับ เพราะความถูกผิดคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง

ซีกหนึ่งบอกว่าทำได้ แต่อีกซีกหนึ่งขู่ว่าผิดกฎหมาย

พรรคการเมืองได้แต่ตั้งคำถาม แล้วจะให้ปฏิบัติเช่นไร

นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของผู้มีอำนาจ

ก่อนหน้านี้มักได้ยินว่า ประชาชนตกเป็นเบี้ยล่างฝ่ายราชการ

คราวนี้เพิ่งได้ยินเสียงร้องจากพรรคการเมืองที่ตกเป็นเบี้ยล่าง

เบี้ยล่างของอำนาจ

อำนาจ คสช.และอำนาจ กกต.

……………….
นฤตย์ เสกธีระ maxlui2810@gmail.com

09.00 INDEX กลยุทธ์ ตี ประวิตร วงษ์สุวรรณ แยกจาก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

09.00 INDEX กลยุทธ์ ตี ประวิตร วงษ์สุวรรณ แยกจาก ประยุทธ์ จันทร์โอชา


ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันตรงกันที่วิทยาลัยเทคนิคพัทยา

ความสัมพันธ์ยาวนาน 40 กว่าปี

“ตั้งแต่ผมจบมาท่านสอนให้ผมเป็นคนดีจนถึงทุกวันนี้ ถ้าท่านไม่ดีผมเลิกคบไปนานแล้ว”

เด่นชัดยิ่งว่า “ไผ เป็น ไผ”

“ลือกันไปเรื่อย เลอะเทอะ คอลัมนิสต์ที่อยู่ข้างในชอบเขียน ให้เป็นประเด็นว่าเรามีความขัดแย้งกันระหว่างพี่น้อง ไม่เป็นความจริงเลย เราไม่มีความขัดแย้งระหว่างกันและกันเลย อยู่กับเรามาตั้ง 40 ปี”
นี่จึงมิได้เป็นเรื่องขัดแย้งจาก”ภายใน” หากแต่มาจาก”ภายนอก” เพียงแต่เป็นภายนอกใน”วงใน”

หากศึกษาแต่ละถ้อยคำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็พอจะมองออก

เด่นชัดยิ่งว่าเป็นเรื่องของ “สื่อ”

เด่นชัดมากยิ่งกว่านั้นว่าเป็นเรื่องของสื่อประเภท”คอลัมนิสต์” มิใช่ “นักข่าว” ในภาคสนาม

สะท้อนว่า “การข่าว” แยกจำแนก แจ่มชัด

เพราะ”กระแส”ที่พุ่งเข้าหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั้นมิได้มีจุดเริ่มต้นมาจาก “นักการเมือง”

หากแต่มาจาก “กลุ่มการเมือง”

เด่นชัดยิ่งว่าเป็น “กลุ่มการเมือง”ที่เคยร่วมกับ”รัฐประหาร” มาตั้งแต่ปี 2549 กระทั่งปี 2557 บรรดา”คอลัมนิสต์”ที่สะท้อนกระแสนี้ก็ล้วนแต่แนบแน่นกับ”กลุ่มการเมือง”

ทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกปปส.

ฐานที่มาแห่งข่าวลือ ข่าวมโนเพื่อ”แซะ”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณจึงแทบมิได้เป็น “ความลับ”

ไม่ว่าจะผ่าน”สื่อกระดาษ” ไม่ว่าจะผ่าน”สื่อกระจก”

ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ล้วนรู้แจ้งแทงตลอด

มิใช่ “เพิ่งรู้” หากรู้มา”นานแล้ว”

กระบวนการแซะจะเริ่มจาก 1 ผบ.ตร. แล้วโยงไปยัง 1 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่ไม่ตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ต้องการทำลาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ปม ปรับ “ครม.” ปัจจัย ภายใน “นอก” กับ แรงสะเทือน

ปม ปรับ “ครม.” ปัจจัย ภายใน “นอก” กับ แรงสะเทือน



แม้ คสช.และรัฐบาลพยายามจะ “ปราม” และ “ห้าม” ความโลดโผน โจนทะยานของกระแสข่าวการปรับ ครม.อย่างเข้มงวด จริงจัง สักเพียงใด

แต่ก็ “ยาก” และถึงระดับ “ยากส์”

มิใช่เพราะว่า “ผู้คน” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สื่อ” ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่และยรรยงของ คสช.และรัฐบาล

หากแต่ “สื่อ” ก็เหมือนกับ “คนนอก”

ปัญหาอันเกี่ยวและสืบเนื่องจากการปรับ ครม.มิได้เป็นเรื่องของ “คนนอก” หากแต่เป็นเรื่องของ “คนใน” เป็นเรื่องภายใน คสช.และภายในรัฐบาลเอง

ที่ปรากฏผ่าน “สื่อ” ก็เท่ากับเป็น “เงาสะท้อน”

อย่าลืมบทสรุปจากโคลงโลกนิติอันเป็นของโบราณที่ว่า “ห้ามเพลิงไว้อย่าให้มีควัน ห้ามสุริยะแสงจันทร์ ส่องหล้า” เป็นอันขาด

ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจ

ถามว่าการปรับ ครม.มีสาเหตุมาจากอะไร คำตอบก็ย่อมเป็นที่รู้กันตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนมาแล้ว ว่า คือ การยื่นใบลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

นี่เป็น “ปม” ภายในของ “ครม.”

หากถามต่อไปว่าสาเหตุอันใดทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานทนอยู่ไม่ได้ จำเป็นต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง

คำตอบจากรัฐบาลระบุเป็น “เรื่องส่วนตัว”

แต่ความเป็นจริงที่รับรู้กันในและนอกกระทรวงแรงงานก็คือ การที่หัวหน้า คสช.ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ย้ายอธิบดีกรมการจัดหางาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงรับมาตรการนี้ไม่ได้

หากสำรวจ ตรวจสอบ รากฐานที่มาและวิถีดำเนินไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา ก็จะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า กองไฟอันก่อให้เกิดควันเกี่ยวกับการปรับ ครม.มาจากไหน

มาจาก 1 คสช. มาจาก 1 รัฐบาล

ขณะเดียวกัน เมื่อรัฐบาลตัดสินใจปรับ ครม.แน่ๆ และยืดเยื้อจากวันที่ 1 กระทั่งมาถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน เป็นเวลามากกว่า 3 สัปดาห์

ก็ยิ่งเห็นชัดว่า “ปัญหา” มาจากที่ใด

คำตอบของคำถามนี้มิได้สัมผัสได้เพียงจากคำพูดของ “ฤาษีเกวาลัน” อันเป็นหน่วยปฏิบัติการด้านการข่าวของ คสช.และของรัฐบาลที่ยืนยันจากเชียงใหม่ว่า

“จะมีการปรับมากกว่า 10”

หากมาจากความยาวนานในการพิจารณาทำให้ลงความเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า น่าจะเป็นการปรับใหญ่ มิได้เป็นการปรับเล็กเฉพาะกระทรวงแรงงาน

แล้วหวยก็ชี้ไป 2 แนวทาง

1 แนวทางปรับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจ และ 1 ปรับเพื่อลดสัดส่วนของทหารลง เอานักบริหารมืออาชีพเข้าไปเสริม

ตรงนี้แหละที่ทำให้สีสันเริ่มบรรเจิด เพริศแพร้ว

แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็บรรเจิด เพริศแพร้ว มาจากปัจจัย “ภายใน” ของ คสช.ประสานเข้ากับ “ภายใน” ของรัฐบาลเป็นสำคัญ

ไม่ว่าเกจิของรัฐบาลอันมาจาก “การเลือกตั้ง” ไม่ว่าเกจิของรัฐบาลอันมาจาก “การรัฐประหาร” ล้วนมีบทสรุปร่วมตรงกัน นั่นก็คือ ไม่อยากปรับ ครม.

เพราะรู้อยู่ว่ายากยิ่งที่จะไม่เกิดปัญหา

ไม่ว่าคนถูกปรับออกจากตำแหน่ง ไม่ว่าคนที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายในวงจรแห่งแรงเสียดทานทั้งสิ้น

โดย “ภายนอก” เป็นเพียงส่วนเสริม แต่ที่ชี้ขาดคือ “ภายใน”

ลุ้นปลดล็อก

ลุ้นปลดล็อก


ถึงแม้เป็นช่วงชุลมุนฝุ่นตลบ สถานการณ์ปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5” ยังอยู่ในบรรยากาศอึมครึมไม่แจ่มใสนัก
แต่วันวาน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ควงคู่โชว์ตัวออกงานใหญ่

ร่วมลงเรือหลวง “ถลาง” เป็นประธานพิธีสวนสนามทางเรือนานาชาติ มหกรรมทางเรือนานาชาติ ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งอาเซียน กลางอ่าวพัทยา จ.ชลบุรี

ยิ่งใหญ่อลังการ มีเรือรบจำนวน 40 ลำ จาก 18 ประเทศ ร่วมพาเหรด แสดงแสนยานุภาพกระหึ่มท้องทะเล!!!

เห็นภาพ “นายกฯลุงตู่” และ “พี่ใหญ่บิ๊กป้อม” ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ลงเรือลำเดียวกัน ในพิธีตรวจพลสวนสนามทางเรือครั้งนี้แล้ว

ทำให้ “พ่อลูกอิน” มโนภาพย้อนกลับมาที่สถานการณ์ปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5” คล้ายเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า

“สองพี่น้องบูรพาพยัคฆ์” พร้อมร่วม “เรือแป๊ะ” ฟันฝ่าเผชิญคลื่นลมไปด้วยกัน แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ถ้าเจอมรสุมหนัก คลื่นยักษ์ถล่มใส่ ก็พร้อมกอดคอเมาคลื่นไปด้วยกัน!!!

เหมือนในห้วงนี้ที่รัฐบาล คสช. กำลังเผชิญมรสุมคลื่นลมการเมืองปะทะเข้ามาพร้อมกันหลายด้าน

ไล่ตั้งแต่สถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อการปรับ ครม.ยกเครื่องรัฐมนตรี เพื่อขับเคลื่อนผลงานในช่วงท้ายโรดแม็ปของรัฐบาล ก่อนเปิดให้มีการเลือกตั้ง

แม้ “นายกฯลุงตู่” พยายามออกมาปรามสื่อ ไม่อยากให้วิจารณ์ คาดเดาโผปรับ ครม.กันไปต่างๆนานา เพราะจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจการทำงาน และกระทบต่อตัวรัฐมนตรีและภาพลักษณ์รัฐบาล

แต่เมื่อการปรับ ครม.ยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังไม่เห็นโฉมหน้า ครม.ชุดใหม่ ก็คงห้ามกันยาก เพราะสื่อมีหน้าที่ต้องคุ้ยแคะเบาะแสมานำเสนอต่อประชาชน

ส่วนที่หนักกว่า คือการที่นักการเมืองฉวยจังหวะนี้ ผสมโรงโจมตีการทำงานของรัฐมนตรีเป็นรายกระทรวง โดยเฉพาะที่บริหารแก้ปัญหาล้มเหลว แถมตอกย้ำแผลเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน

ตั้งใจดิสเครดิตรัฐบาลเต็มๆ เพราะอ่านทางออกว่า คสช.มีแผนจะกลับมากุมอำนาจหลังการเลือกตั้ง

จึงต้องสกัด เตะตัดขาไว้ก่อน ตามกระบวนยุทธ์การเมือง!!!

แถมล่าสุดองคาพยพเครือข่าย คสช. ดันขบเกลียวกันเอง จากปมนักการเมืองเรียกร้องให้ปลดล็อกการเมือง เพื่อให้พรรคดำเนินการแจ้งรายชื่อและจำนวนสมาชิก ได้ทันภายใน 90 วัน ตาม
พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่

งานนี้ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มือกฎหมายรัฐบาล ชี้ว่า นายกฯลุงตู่ มีวิธีการแก้ปัญหา เพื่อให้พรรค การเมืองดำเนินการแจ้งจำนวน รายชื่อสมาชิก และส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้ทันกาลอยู่แล้ว

แต่ สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.เจ้าเก่า กลับตอกย้ำ กกต.ต้องยึดตามกฎหมาย เมื่อครบ 90 วัน พรรคใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกหรือขอขยายเวลา กกต.ต้องเสนอศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้พรรคนั้นสิ้นสภาพ

พร้อมโยนให้ กรธ.ของ ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นผู้เสนอรัฐบาลแก้ พ.ร.บ.พรรคการเมือง เพื่อคลี่คลายเรื่องนี้

ขณะที่ ซือแป๋มีชัย โต้กลับ เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะเสนอขยายเวลาหรือเสนอแก้กฎหมาย ไม่ใช่หน้าที่ กรธ.

เมื่อสิ่งเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน ก็ยิ่งเป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองดาหน้ารุมถล่มรัฐบาลหนักเข้าไปอีก

สุดท้าย คสช.จะแก้ปัญหายังไง จะใช้วิธีปลดล็อกเร็วขึ้น–ขยายเวลา–แก้กฎหมาย

หรือจัดหนัก ถึงขั้นเซ็ตซีโร่ ยุบพรรคการเมืองกันเลย ต้องรอลุ้น!!!

“พ่อลูกอิน”

ตำบลต่อไป ‘สมคิด’ !!!

ตำบลต่อไป ‘สมคิด’ !!!


“เท้งเต้ง” ลุ้นกันยาวๆไป กับสัญญาณจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่ออกมายืนยันแค่ว่า การปรับ ครม.จะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้แน่

และมันก็ยากที่ “บิ๊กตู่” จะบอกให้สื่อเลิกคาดเดาโผ ครม.

ในเมื่อสถานการณ์ “กำกวม” โผ ครม. ครม.มั่วก็ยังจะปลิวว่อนอยู่บนหน้ากระดานสื่อกระแสหลัก นักข่าวก็คงจะล้วงควัก ข่าวกรองบ้างไม่กรองบ้างเอามาแข่งกันบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน

ตามธรรมชาติของปมที่สังคมสนใจ ข่าวปรับ ครม.เรตติ้งกระฉูด

อย่างไรก็ตามถึงจุดนี้ หลายคำถามก็มีคำตอบออกมาแล้ว แกะรอยจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้แพลมๆแบบตัดความรำคาญเลยว่า “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กับ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังนิ่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี

ไม่มีการขยับตามแรงเขย่าจากทุกทิศทุกทาง

นั่นก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ “บิ๊กตู่” ได้ตอบโจทย์ยากสุดในการตัดสินใจปรับ ครม.รอบนี้แล้ว เมื่อเทียบแรงกดดันอย่างหนักจากกระแสสังคม ผสมกับสัญญาณคลื่นความถี่สูงที่แทรกเข้ามาเป็นระยะ ล็อกเป้าไปที่ “พี่ใหญ่–พี่รอง” ตามท้องเรื่องร้อนๆฉาวๆที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

แต่เมื่อบวกลบคูณหาร ชั่งน้ำหนักระหว่าง “ความเป็นทีม” ที่พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่ต้น กับการโชว์เดี่ยวโดยต้นทุนของ “นายกฯลุงตู่” ที่ไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้า

พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจเลือกเอาของชัวร์ไว้ก่อนดีกว่า กับการยื้อให้ “พี่ใหญ่” ผู้มากบารมีทุกวงการ ทั้งในกองทัพและขุมข่ายการเมือง ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงเรื่องของเนื้องานที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า งานในข่ายที่ พล.อ.ประวิตรรับผิดชอบ มีการขับเคลื่อนมากในลำดับต้นๆของรัฐบาล

ยังไง “บิ๊กตู่” ก็ต้องใช้ “พี่ใหญ่” ช่วยคัดท้ายจนกว่าจะตายกันไปข้าง

เช่นเดียวกับการไว้วางใจ “พี่รอง” คุมขุมข่ายข้าราชการพลเรือนในปีกมหาดไทย เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเลือกตั้งใหญ่ ไม่มีทางไว้ใจใครมากไปกว่าคนที่เสนอชื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ.

“3 พี่น้อง” รวมกันตายหมู่ ดีกว่าแยกกันอยู่เสี่ยงตายเดี่ยว

ขณะเดียวกัน โฟกัสรอบนี้การปรับเปลี่ยนชัดเจนน่าจะมุ่งไปที่รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของกัปตันทีมอย่าง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

ได้ “พื้นที่” ในการบริหารจัดการอำนาจมากกว่าขึ้นตามไฟต์บังคับ

จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเพื่อนรักของ “ลุงตู่” ยังอยู่ใน ครม.แต่ไม่รู้อยู่ตรงไหน

นั่นหมายถึงการตัดสินใจขยับจุดปัญหาเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ จากสถานการณ์ติดล็อกระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงพาณิชย์ ที่ติดๆขัดๆในการประสานงาน ทำให้การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง พืช ผักผลไม้ไม่มีประสิทธิภาพ

เปิดคางให้นักการเมืองกระแทก ยั่วม็อบเขย่ารัฐบาล คสช.

การปลดล็อกกระทรวงเกษตรฯกับกระทรวงพาณิชย์ให้กัปตันทีมอย่าง “สมคิด” ได้ลุยแบบเต็มไม้เต็มมือ ก็ถือเป็นการทิ้งไพ่ใบสุดท้ายในมือของ “นายกฯลุงตู่”

หวังผลถึงการผลิตคะแนนเสียง ข้ามช็อตถึงการเลือกตั้ง

และนั่นก็คือภาระอันหนักอึ้งที่จะตกอยู่กับ “จอมยุทธ์กวง” ต้องถูก “ล็อกเป้า” ถล่มหนักขึ้นไปอีก

แบบที่เจ้าตัวเพิ่งประกาศจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย ก็โดนนักการเมือง ขบวนการหมั่นไส้รัฐบาลเอาไปบลัฟอำในโซเชียลฯว่า “สมคิด” จะทำให้ “คนจนหมดทั้งประเทศไทย”

ไฟต์บังคับนักการเมืองต้องสกัดกัปตันทีมเศรษฐกิจทุกกระบวนท่า ตามสถานการณ์ที่ “สมคิด” กำลังตีธงเพิ่มแรงอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซื้อใจชาวบ้านรากหญ้า และตามจังหวะยังโยงต่อเนื่องกับการปลดล็อกเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้ง อบจ.และ อบต.เพื่อดึงงบประมาณนับแสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ตีกินแต้มให้ “ลุงตู่” หนีไม่พ้นแรงสะเทือนฐานเสียงของนักการเมืองป้อมค่ายเดิม

“สมคิด” โดนดักเจาะยางทุกจังหวะ แต่นั่นก็หักล้างด้วยตัวเลขอย่างเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้

แบบที่ล่าสุดนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2560 เติบโต 4.3 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส โดยมีแรงส่งสำคัญจากการส่งออกที่ขยายตัว 7.4 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดในรอบ 19 ไตรมาส และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว 4.2 เปอร์เซ็นต์ เติบโตสุดในรอบ 18 ไตรมาส ล้อไปกับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่คงขยายตัวดี

ข่าวดีประเทศไทย แต่มันยิ่งเป็นภัยมหันต์กับ “สมคิด”.

ทีมข่าวการเมือง

ครอบครัว “น้องเมย” จี้ ผบ.สูงสุด –ผบ.รร.เตรียมทหาร แจงเหตุนำอวัยวะลูกชายออกจากร่างไม่บอก

ครอบครัว “น้องเมย” จี้ ผบ.สูงสุด –ผบ.รร.เตรียมทหาร แจงเหตุนำอวัยวะลูกชายออกจากร่างไม่บอก
ครอบครัว “น้องเมย” สุดช้ำ หลัง ผบ.สูงสุด แจงผลการเสียชีวิตลูกชายนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เผยไม่เคยได้รับการชี้แจงจาก รร.เตรียมทหาร หรือหน่วยงานเกี่ยวข้องเป็นลายลักษณ์อักษร ซ้ำผลการผ่าชันสูตรรอบ 2 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยังพบเรื่องน่าตกใจ เมื่ออวัยวะสำคัญถูกนำออกจากร่างกายโดยไม่เคยได้รับเอกสารขออนุญาตจากสถาบันที่ผ่าพิสูจน์ในรอบแรก แจงทุกภาคส่วนชี้แจงพร้อมขอคืนอวัยวะเพื่อให้แพทย์ชันสูตรรอบ 2 หลังติดต่อคนคืนไปตั้งแต่ 8 พ.ย.แต่ยังไม่คืบ เผยผลรอบ 2 ออกเช่นไรจะยอมรับผลตามความเป็นจริง

นายพิเชษฐ นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อแม่ และพี่สาวของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้เพียง 1 วัน และทางครอบครัวได้รับเพียงใบมรณบัตรจากโรงเรียนเตรียมทหาร ที่ระบุสาเหตุว่า เกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และทางครอบครัวได้จัดพิธีฌาปนกิจที่วัดวิเวการาม อ.บางพระ จ.ชลบุรี ไปเมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้ออกมาเปิดใจต่อผู้สื่อข่าวอีกครั้ง หลัง พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ น้องเมย ว่า เกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน พร้อมระบุว่า แม้บิดามารดาของ น้องเมย จะไม่สบายใจก็ต้องว่าไปตามกระบวนการนั้น

ทางครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจต่อสิ่งที่ พล.อ.ธารไชย ออกมาเปิดเผย เนื่องจากปัจจุบันครอบครัวไม่เคยได้รับการติดต่อจากโรงเรียนเตรียมทหาร หรือแม้แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิต และสาเหตุที่ทำให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันแต่อย่างใด

“เราต้องบอกว่าไม่เคลียร์กับคำพูดของ ผบ.สูงสุด เพราะครอบครัวยังไม่ได้รับเอกสารชี้แจงเรื่องผลการชันสูตร และเพราะเหตุใด ผบ.สูงสุด จึงรีบออกมาให้ข่าวว่า เป็นเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน ที่สำคัญก่อนหน้านี้ โรงเรียนเตรียมทหารทำให้เราเข้าใจว่าได้ส่งศพ น้องเมย ไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ แต่ข้อเท็จจริงเมื่อ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา เราได้รับแจ้งจาก ผอ.กองการแพทย์ และ ผบ.โรงเรียนเตรียมทหาร คือ ศพน้องเมย ถูกส่งไปยังสถาบันพยาธิวิทยา ที่ขึ้นอยู่กับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข”

ขณะที่ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของน้องเมย บอกว่า เนื่องจากทางครอบครัวต้องการที่จะได้รับผลสนับสนุน และผลการชันสูตรที่แม่นยำ จึงตัดสินใจนำศพ น้องเมย ส่งผ่าพิสูจน์รอบ 2 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยมิได้นำศพเผาจริงในวันฌาปนกิจ เนื่องจากเกรงว่าจะมีบางสิ่งในร่างกายที่สถาบันแรกอาจตรวจไม่พบ ซึ่งผลที่ได้รับถึงกับทำให้ครอบครัวตกใจ เพราะนอกจากจะพบรอยช้ำที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากอะไรแล้ว ยังพบว่า มีการหักของซี่โครงซี่ที่ 4 ด้านขวา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ทำ CPR หัวใจ และยังพบรอยช้ำที่มุมขวาด้านหน้า เช่นเดียวกับบริเวณแผ่นหลัง

นอกจากนั้น ยังพบว่าอวัยวะสำคัญหลายส่วนหายไป ทั้ง สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ โดยที่ไม่เคยได้รับการบอกกล่าวจากผู้อำนวยการกองการแพทย์ โรงเรียนเตรียมทหารตั้งแต่เมื่อครั้ง น้องเมย เสียชีวิต แต่ครอบครัวกลับได้รับแจ่งเพียงว่า ขออนุญาตตัดชิ้นเนื้อบางส่วนเพื่อทำสไลด์หาสาเหตุการเสียชีวิตเท่านั้น

“จากการสอบถามแพทย์ที่ผ่าพิสูจน์รอบ 2 ก็บอกว่า ไม่เคยเจอกรณีที่มีการนำอวัยวะออกไปโดยไม่แจ้งให้ญาติทราบ ซึ่งปกติจะต้องมีการทำเอกสารขออวัยวะ แต่กองการแพทย์ โรงเรียนเตรียมทหาร ไม่เคยทำเอกสารใดๆ แจ้งมาทางครอบครัว และสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้คือ คำพูดของ ผบ.สูงสุด เพราะผลจากการนำไปแยกธาตุรอบ 2 ยังไม่ออกมา เราจึงจะรอผลการชันสูตรของสถาบันที่ 2 ก่อน จากนั้นผลจะออกเป็นเช่นไรเราจะยอมรับ ในวันนี้จึงขอเรียกร้องให้ ผบ.สูงสุด ผอ.กองการแพทย์ โรงพยาบาลเตรียมทหาร และ ผบ.โรงเรียน ออกมาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้น้องหัวใจวายเฉียบพลันว่าเกิดจากอะไร ที่สำคัญขณะนี้สถาบันที่ 2 ที่ทำการผ่าพิสูจน์ศพยังไม่ได้รับอวัยวะที่ถูกนำออกไป ทั้งที่เราได้ทำเรื่องขอจากทาง ผอ.กองการแพทย์ ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งผลการชันสูตรรอบ 2 จะรู้ผลเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกนำออกไปว่าจะได้คืนเมื่อใด” น.ส.สุพิชา กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวเคยได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อครั้งเดินทางมาร่วมพิธีฌาปนกิจเมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ได้สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการสอบสอนสาเหตุการเสียชีวิตของ น้องเมย โดยมีรองผู้บัญชาการโรงเรียนเป็นประธาน ซึ่งผลสรุปออกมาเช่นไรจะรีบแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ พร้อมยืนยันว่า โรงเรียนฯ ไม่มีระบบซ่อม แต่เป็นระบบของการธำรงวินัย เช่นเดียวกับนักเรียนทหารทั่วโลก พร้อมยืนยันว่า สามารถหาสาเหตุการเสียชีวิตได้ในเวลาไม่ถึง 2 เดือนนับตั้งแต่วันที่เสียชีวิต
คลิก >>https://mgronline.com/local/detail/9600000117135
#MGROnline #น้องเมย #นักเรียนเตรียมทหาร #ชั้นปีที่1
///
สรุปจาก ตวงพร

ลำดับกรณี"นตท."1).นตท.ภคพงศ์ ตัญกานต์ เสียชีวิต 17 ต.ค. ใบมรณะบัตรแจ้งว่า ตายเพราะ "หัวใจวายเฉียบพลัน " ผบ.สส.ขอให้ครอบครัวยอมรับผลชันสูตร
2).24 ต.ค.ครอบครัว"ตัญกาญจน์"ตัดสินใจไม่เผาจริง ส่งศพพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รอบ 2 จึงพบว่า มีซี่โครงหัก-พบรอยช้ำหลายแห่ง
3).ผลผ่าชันสูตรรอบ 2 พบ"อวัยวะสำคัญ"หายไป คือ สมอง-หัวใจ-กระเพาะอาหาร-กระเพาะปัสสาวะ โดยการผ่าชันสูตรครั้งแรกไม่แจ้งให้ญาติทราบ
4). 8 พ.ย.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำเรื่องขอ"อวัยวะ" ทั้ง 4 ส่วนของ นตท.ภคพงศ์ จากสถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขที่ผ่าครั้งแรก
5).พ่อของ"นตท.ภคพงศ์" ให้สัมภาษณ์อมรินทร์ทีวี เผยได้"โทรศัพท์"คุยกับลูกชายก่อนเสียชีวิตไม่ถึง 2 ชม. ลูกย้ำว่า"อย่าไว้ใจผู้พัน" ???
Check out Tuangporn Asvavilai (@pui_tuangporn):

Ngoไม่ร่วมสังฆกรรมรัฐ

72 เอ็นจีโอประกาศเลิกสังฆกรรมรัฐบาลทหาร
ไม่ขอรับทุกตำแหน่ง - ซัด 3 ปีคสช.ชาติทุกข์ยาก
----------------------------------------
เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรเอกชน 72 รายชื่อ แถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่ร่วมกลไกกับรัฐบาลทหาร ชี้กับดักสร้างความชอบธรรม-นำพาประเทศสู่ความทุกข์ยาก

เครือข่ายภาคประชาสังคมในนาม เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรเอกชน ออกแถลงการณ์พร้อมแนบรายชื่อจำนวน 72 รายชื่อ ประกาศจุดยืนไม่ขอเข้าร่วมกับกลไกสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2560 โดยประกาศไม่ร่วมกับกลไกใดๆ ของรัฐบาลทหารที่จะนำไปสู่กับดัก และสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการสร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนในอนาคต เว้นเพียงการร่วมมือกันทำงานกับส่วนราชการซึ่งมีมาแต่เดิมแล้ว

เนื้อหาส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่รัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้บริหารราชการแผ่นดินมาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปีแล้วนั้น ผลประจักษ์ในทางนโยบายและกฎหมายจำนวนมากจะชักนำประเทศไปสู่ความทุกข์ยากทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยการนำพาประเทศไปสู่กลไกการบริหารที่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ลดทอนสิทธิชุมชน เพิกเฉยการมีส่วนร่วมและหลักประกันสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน


"การมีสภาปฏิรูปล้วนไม่เกิดผลอันใด การมีสภาขับเคลื่อนประเทศล้วนเป็นกลไกที่กำหนดทิศทางเพียงฝ่ายเดียวของรัฐบาล การบริหารงานที่ก่อความเสื่อมต่อประเทศในทุกด้าน ในขณะที่กลุ่มทุนและทหารเติบโตอย่างมากในรัฐบาลยุคนี้ ล้วนเป็นตัวชี้วัดถึงเจตนารมณ์อันแท้จริงที่กระทำการรัฐประหารเข้ามายึดอำนาจการบริหารประเทศ" ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุ

แถลงการณ์ดังกล่าว ยังระบุด้วยว่า กลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งการควบคุมประเทศให้เดินไปตามทางที่ คสช.ต้องการอย่างยาวนาน ซึ่งการเข้าร่วมอื่นใดกับรัฐบาลทหารของภาคประชาชน เช่น การเข้าร่วมมีตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ คือการยินยอมเข้าร่วมกับกลไกของรัฐบาลทหาร ดังนั้นเพื่อให้ความจริงปรากฏเป็นที่เรียนรู้ของประชาชน ทางเครือข่ายฯ ซึ่งได้ลงชื่อร่วมกันนี้ จึงขอแสดงจุดยืนต่อการไม่ร่วมกับกลไกใดๆ ของรัฐบาลทหาร ด้วยปณิธานในการกำหนดอนาคตตนเองของประชาชน

อนึ่ง เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรเอกชนที่ร่วมลงชื่อ อาทิ นายเอกชัย อิสระทะ, นายสมบูรณ์ คำแหง, นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล, นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์, นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์, นายสุรชัย ตรงงาม, น.ส.สุภาภรณ์ มาลัยลอย, น.ส.ศุภวรรณ ชนะสงคราม, นายชาญวิทย์ อร่ามฤทธิ์, น.ส.บัณฑิตา อย่างดี, น.ส.เสาวคนธ์ รสสุคนธ์, น.ส.แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา, น.ส.ณัฐพร อาจหาญ และนายสมนึก จงมีวศิน
----------------------------------------
https://greennews.agency/?p=15859