PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว14พ.ค.58

Jab14May15

@ตร.แถลงรวบโกชัยค้าโรฮีนจาลุยตรวจ19หลุมศพสงขลายึดทรัพย์แล้ว204ล.ชงฝ่ายมั่นคงเปิดศูนย์พักพิง
@นายกยังไม่เห็นข้อเสนอกมธ.ปมประชามติรอถกครม.-ดูอยู่จุดพักพิง
@มท.1รอถกประชามติไม่ห้ามบิ๊กจิ๋วจัดวันเกิดขอยึดกม.อย่าสร้างกระแส
@คุก2ปี6ด.น้องธาริตอ้างสถาบันซื้อที่-คลังไล่ออกขรก.สรรพากรโกงVat
@กพช.ผ่านPDP2015ตั้งอนุกก.ศึกษาสัมปทานปิโตรเอราวัณ,บงกชสรุปใน1ปี
////////////////
โรฮีนจา

นายกฯ พิจารณาตั้งศูนย์พักพิงชาวโรฮีนจาหน่วยงานที่เกี่ยว 15 ประเทศต้องหารือกัน 29 พ.ค. ยูเอ็นพูดคุยรายละเอียดมติโยกย้ายถิ่นฐาน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีที่ ยูเอ็นเอสซีอาร์ ไม่อยากให้ไทยผลักดันชาวโรฮีนจาออกจากประเทศ รวมถึงพิจารณา

จัดตั้งศูนย์พักพิงชาวโรฮีนจา ว่า กรณีที่ชาวโรฮีนจาผ่านน่านน้ำไปแล้วจึงไม่ใช่เรื่องของไทย แต่ต้องดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกอย่างที่ทำมาโดยตลอด แต่หากผิดกฎหมายและขึ้น

มาฝั่งไทยก็ต้องคิดว่าจะดูแลอย่างไร เพราะการดูแลก็ต้องใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน

ส่วนกรณีศูนย์พักพิงในประเทศไทยนั้น เดิมมีอยู่ 9 แห่ง และมีคนอาศัยอยู่กว่า 4 แสนคน ปัจจุบันเหลือเพียง 1 แสนคน ซึ่งถือว่าขณะนี้ประสบความสำเร็จในการส่งกลับแล้ว แต่จะให้ผลักดันไปสู่

ประเทศที่สาม เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก จึงมีความต้องการที่จะให้ประเทศกลางทางคือประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น องค์กรระหว่างประเทศ และทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ว่าจะ
ดำเนินการอย่างไร

นอกจากนี้ ในมาตรการระยะสั้นนั้นรัฐบาลกำลังหาพื้นที่ควบคุมชาวโรฮีนจาอยู่ ซึ่งหากจะของบประมาณจากองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ก็ขอได้ แต่จะได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดย

จะมีการพูดคุยในรายละเอียดทุกมติ ในการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดียวันที่ 29 พฤษภาคมนี้
-------------
"วินธัย" บอก คสช.ยังไม่คุยใช้ ม.44 แก้ปัญหาโรฮีนจา-ตั้งค่ายผู้อพยพ บอกแต่ละหน่วยงานในพื้นที่ทำงานคืบหน้าดีแล้ว

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยกับสำนักข่าว INN ว่า ในส่วนของการแก้ปัญหาและการให้ความช่วยเหลือชาวโรฮีนจานั้น ขณะนี้แต่

ละหน่วยงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ และมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

โดยในส่วนของ คสช. ยังไม่มีการหารือที่จะใช้กฎหมายพิเศษตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในการเร่งแก้ปัญหาแต่อย่างใด คาดว่าคงต้องรอดูปัญหาและอุปสรรคในการทำงานอีกครั้ง

รวมถึงเรื่องข้อเรียกร้องการจัดตั้งศูนย์อพยพ หรือค่ายผู้ลี้ภัยก็ยังไม่มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
----------------------------
กอ.รมน. เผยผู้ต้องหา 2 คนมอบตัวแล้ว - ทำลายแคมป์ที่พักชั่วผู้ลักลอบผ่านแดน 21 แคมป์ เสริมมาตรการลาดตระเวน

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เผยรายงานขั้นต้นการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในพื้นที่ปัตตานี ผู้ต้องหายินยอมมอบตัว 2 ราย

ต่อมาขณะนำพาเข้าตรวจค้นวัตถุพยานได้ก่อเหตุต่อสู้ ในกรณีดังกล่าว พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ได้ฝากขอบคุณหน่วยและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ยึดปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยเคารพหลักสิทธิ

มนุษยชน และขอให้ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นต่อสาธารณชนในการติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับ

สำหรับความคืบหน้าการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้สั่งการให้ มทภ.4 ผอ.รมน.ภาค 4 ประสานการจัดกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ลาดตระเวนเฝ้าตรวจตาม

แนวชายแดนเพื่อป้องการลักลอบผ่านแดนโดยผิดกฎหมาย ล่าสุดตรวจพบที่พักชั่วคราวของกลุ่มผู้ลักลอบผ่านแดน 21 แคมป์ โดยเช้าวันนี้มีการรื้อถอนแคมป์ท่ามกลางภาคส่วนต่าง ๆ นอกจากนั้น

จะได้ประสานกรมป่าไม้ขอใช้พื้นที่ให้หน่วยทหารทำการฝึก เพื่อเสริมมาตรการลาดตระเวนเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนให้กระชับยิ่งขึ้น
-------------------
มาเลย์-อินโดฯ ไม่พร้อมรับโรฮีนจา จัดอาหารพร้อมเชื้อเพลิงเตรียมส่งกลับ จี้ชาติอาเซียนกดดันเมียนมาแก้ปัญหา

สำนักข่าววอชิงตันโพสต์รายงาน มาเลเซียส่งกลับเรือประมงพร้อมผู้ลี้ภัยมุสลิมโรฮีนจาและบังกลาเทศ กว่า 500 คน หลังมอบเชื้อเพลิงและเสบียงอาหารให้ โดยเรือประมงโรฮีนจาถูกพบที่ชายฝั่งรัฐ

ปีนังเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพียง 1 วันหลังผู้ลี้ภัย กว่า 1,000 คน จอดเรือลงใกล้กับเกาะลังกาวี

นาย วัน ชูนาอิดี รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการจัดการบ้านเมืองมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียไม่สามารถรับผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลมาทางทะเลได้ พร้อมบอกเพิ่มว่า รัฐบาลได้ให้การรักษาผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ

ตามหลักมนุษยธรรม แต่ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่พร้อมจะต้อนรับผู้ลี้ภัยดังกล่าว พร้อมระบุประเทศในอาเซียนต้องกดดันให้เมียนมาแก้ไขปัญหาวิกฤตโรฮีนจาด้วย

ขณะที่ ทางการอินโดนีเซียเตรียมส่งผู้ลี้ภัย กว่า 600 คนกลับไปตั้งแต่เมื่อตันสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถูกคัดค้านจากรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศ ที่ระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการผลักดันให้เรือไป

เจอกับอุบัติเหตุขณะอยู่กลางทะเล ทั้งนี้ จากการสอบถามความต้องการขของผู้ลี้ภัยทั้งหมดต้องการที่จะเดินทางไปยังมาเลเซีย
----------------------------
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผย ผบ.ตร. สั่งทุกหน่วยงานในพื้นที่ภาค 7-9 วางมาตรการสกัดกั้นขนโรฮีนจาผ่านไทย ขณะเตรียมร่วมตำรวจมาเลย์ตั้งทีมแก้ไขปัญหา

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีและการติดตามตัวผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา โดยล่าสุดสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว

26 ราย จากหมายจับทั้งหมด 61 ราย ขณะที่การหารือร่วมกันระหว่างผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของทั้งประเทศไทยและมาเลเซียนั้น เป็นไปอย่างดี โดยทางมาเลเซียก็ประสบปัญหาในเรื่องนี้ค่อน

ข้างมาก เพราะเป็นประเทศปลายทางในการขนแรงงานชาวโรฮีนจา ซึ่งอาจจะมีการจัดตั้งทีมงานร่วมกันในการจัดทำและพิจารณาในส่วนของปัญหานี้ เพราะถือว่าเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน

ขณะที่ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ อาทิ ตำรวจภูธรภาค 7, 8, 9, ตำรวจน้ำ, ตำรวจทางหลวง, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, กองปราบ

ปราม และตำรวจสากล ร่วมกันดูแลวางมาตรการในการสกัดกั้นการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการขนย้ายหรือลักลอบเข้าเมืองของชาวโรฮีนจา

ส่วนกรณีการติดตามตัว นายปัจจุบัน หรือ โกโต้ง อังโชติพันธ์ ผู้ต้องหารายสำคัญที่ยังหลบหนีอยู่ ขณะนี้ยังไม่ยืนยันว่าโกโต้งอยู่ที่ใด แต่อาจจะมีการติดต่อขอเข้ามอบตัวในเร็ว ๆ นี้ โดยยืนยันไม่มี

การต่อรองกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอเข้ามอบตัวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีการโยกย้ายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลในพื้นที่ไปช่วยราชการนั้น หากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีความเกี่ยวข้อง หรือไม่ได้มีเจตนาละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ก็จะ

ต้องคืนความชอบธรรมให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนอย่างแน่นอน
------------------------------
รอง ผบ.ตร. สั่งเข้มลงพื้นที่สกัดปิดปลายทางค้ามนุษย์โรฮีนจา ตามยึดอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้อง ระบุ โกโต้ง ไร้ติดต่อเข้ามอบตัว

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ว่า ขณะนี้ตำรวจสามารถขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีได้แล้ว 61 คน

จับกุมตัวได้ 25 คน และบางส่วนถูกควบคุมตัวฝากขังต่อศาล โดยพนักงานสอบสวนได้ยื่นคัดค้านการประกันตัว ส่วนการตรวจค้นติดตามยึดอายัดทรัพย์สินของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี ทั้งใน จ.สตูล และ

จ.สงขลา นั้น ยังเป็นไปอย่างเข้มข้น

ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.เอก ยังกล่าวอีกว่า เมื่อวานที่ผ่านมาตนได้ร่วมประชุม ที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็พบว่ามีคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ทั้งใน อ.หัวไทร อ.เมือง ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ อ.

ปาดังเบซาร์ เนื่องจากเส้นทางของ จ.นครศรีธรรมราช เป็นเส้นทางกลางที่ใช้ในการพาชาวโรฮีนจาผ่านไปยังพื้นที่ จ.สตูล และ จ.สงขลา ที่เป็นพื้นที่ปลายทาง

ส่วนการติดตามตัว นายปัจจุบัน หรือ โกโต้ง อังโชติพันธุ์ 1 ในผู้ต้องหารายสำคัญนั้น ยังไม่มีการติดต่อเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่และยังไม่ได้รับรายงานว่าหลบหนีไปพักอาศัยอยู่ที่ใด ขณะเดียวกัน

จะมีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ปรากฏ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในพื้นที่ได้จัดทำแผนปิดปลายทาง สั่งเข้มให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปตรวจสอบบนภูเขาว่าพบกลุ่มชาวโรฮีนจา พักอาศัยอยู่หรือไม่ รวมทั้งตั้งด่านตรวจสกัดทางทะเลและเร่งรัดให้

ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกขั้นตอน

//////////////
รธน./ประชามติ

มท.1 ทำข้อสรุปเสนอ "วิษณุ" แล้ว หากทำประชามติจะมีผลต่อ รธน.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงข้อสรุปความเห็นของกระทรวงมหาดไทยต่อร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ได้ทำข้อสรุปเสนอ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่
เรียบร้อยแล้ว

ส่วนกรณีที่ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีข้อเสนอให้มีการทำประชามติ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คิดว่าเมื่อมีผู้เสนอมานั้น ตามขั้นตอนคือคณะรัฐมนตรีจะรับพิจารณาเพื่อจะเสนอต่อคณะรักษความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไป

ทั้งนี้ ในเรื่องดังกล่าว นายวิษณุได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าหากทำประชามติก็จะมีผลกระทบต่อรัฐธรรมนูญ ได้แก่การใช้งบประมาณและการเลื่อนระยะเวลาของโรดแมป คสช.
------------------
วิษณุยัน 19 พ.ค.ชัดประชามติก่อนส่ง สนช.พิจารณา 15 วัน หากทำลงมติ ธ.ค.

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวถึงการประชุมร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ ถึงการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญว่า จะไม่มีการหารือล่วงหน้าของคณะรัฐมนตรี และจะดียิ่งขึ้นหากทางสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. มีข้อเสนอเพิ่มเติมว่าควรจัดทำประชามติหรือไม่

ซึ่งเบื้องต้นหากที่ประชุมมีมติให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คสช. และ ครม. จะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 และส่งเรื่องไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เพื่อพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน โดยในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว จะกำหนดรูปแบบและรายเอียดในการทำประชามติ

ทั้งนี้ ข้อเสนอที่ให้ ครม. และ คสช. เป็นคนคิดรูปแบบการทำประชามติ รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า เรื่องนี้จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียงการทำประชามติ แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการแก้รัฐธรรมนูญนั้นจะส่งผลไปถึงกำหนดวันและเวลาที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดไว้ ดังนั้นการทำประชามติจะต้องเกิดขึ้นหลังวันที่ 4 กันยายน ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำประชามติได้ในเดือนธันวาคม 2558 หรือ มกราคม 2559 โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นหน่วยงานหลักในการทำประชามติ
---------------
นายกฯ ยังไม่เห็นข้อเสนอ กมธ. ปมประชามติ ปัดแสดงความเห็น บอก รอถกใน ครม.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า ยังไม่เห็นข้อเสนอของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยังไม่ขอแสดงความเห็น เนื่องจากจะต้องมีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งว่าจะให้มีการทำประชามติหรือไม่ และหากเห็นชอบจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องดำเนินการก่อนวันที่ 6 สิงหาคมนี้ แต่ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเสนอข้อสังเกตและปรับแก้ไปยังกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อีกทั้งต้องดูว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. หรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากเป็นความต้องการของประชาชนและทุกฝ่ายก็สามารถทำได้ ส่วนรายละเอียดรูปแบบนั้นจะต้องมีการปรึกษากับคณะรัฐมนตรีและ คสช. อีกครั้ง
-------------
มานิจ แจง ม.49 ไม่มีอำนาจรัฐแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อ - ประดิษฐ์ เสนอทำแผนงบประมาณการซื้อสื่อของรัฐ ขอทุกคนกล้าต่อสู้ให้สังคมเห็นว่าสื่อให้ความรู้แก่ประชาชน

นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุเรื่องสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน ว่า ในมาตรา 49 นั้น จะไม่มีอำนาจรัฐเข้ามาครอบงำและแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน พร้อมยืนยันว่า

จะไม่ปล่อยให้มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนตามที่หลายคนกังวล มีแต่เพิ่มสิทธิเสรีภาพมากกว่า ทั้งนี้ นายมานิจ ยังกล่าวว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะเป็นการปฏิรูปตัวเอง อยู่บนพื้นฐานความรับผิด

ชอบ

ด้าน นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงความคืบหน้าของงานปฏิรูปสื่อมวลชนที่หารือกันก่อนเสนอให้ สปช. ว่า ได้เสนอให้มีการทำแผนงบประมาณในการซื้อสื่อ

ของรัฐทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า รวมถึงการตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชน เพื่อให้มีใบรับรองการทำงานไม่ให้เกิดปัญหาที่กระทบต่อการทำงาน ความน่าเชื่อถือ และเป็นเกณฑ์ใน

ความเป็นอิสระของวิชาชีพสื่อทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด

นอกจากนี้ นายประดิษฐ์ ยังกล่าวว่า จะต้องมีองค์กรกำกับจริยธรรมของสื่อมวลชน ที่ให้ความเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาไม่มีการกำกับที่ดี จนเป็นการทำลายจริยธรรม อย่างไรก็ตาม อยากขอให้ทุกคนกล้าที่จะต่อสู้ให้สังคมเห็น ว่าสื่อปกป้อง และความรู้แก่ประชาชน
------------------
บุญเลิศ แจง เสนอรายงานต่อ สปช. 18 พ.ค. ปฏิรูปสื่อ 3 ยุทธศาสตร์

นายบุญเลิศ คชายุทธเดช รองโฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีารสนเทศ กล่าวถึงข้อสรุปการประชุมว่า คณะกรรมาธิการการปฎิรูปสื่อสารมวลชน จะเสนอรายงานต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันจันทร์ที่ 18 พ.ค. นี้ โดยจะออกแบบการขับเคลื่อนการปฏิรูปสื่อใน 3 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน คือ ยุทธศาสตร์สิทธิเสรีภาพบนความรับผิดชอบ ยุทธศาสตร์การป้องกันการแทรกแซงสื่อ และยุทธศาสตร์การกำกับดูแลสื่อที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการที่จะปฏิรูปสื่อไปสู่เป้าหมายได้

ด้าน นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ประธานคณะอนุกรรมาธิการปฎิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า การปฏิรูปสื่อเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเรื่องการกำกับกันเองของสื่อมวลชน แต่ต้องมี
หน่วยงานที่มาทำหน้าที่ช่วยกำกับดูแลด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สื่อมวลชนสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และเป็นที่น่าเชื่อถือ ในส่วนของกฎหมายได้มีแนวทางที่จะเตรียมการไว้หลายประเด็น โดยเฉพาะใน

ส่วนของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่จะมีบทบาทในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของสื่อ รับเรื่องร้องเรียนของสื่อ ดูแลจัดการเรื่องสวัสดิภาพและสวัสดิการของสื่อมวลชน ซึ่งประเด็นทั้งหมดที่กล่าวมานี้ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมาธิการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ
--------------------------
คนแวดวงสื่อ ระดมความเห็นแก้ร่าง รธน. มาตรา 48-50 ขณะ "มานิจ" ยืนยันทำเพื่อให้สื่อมีสิทธิเสรีภาพ 

บรรยากาศที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ล่าสุด ได้จัดงานร่วมกับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดประชุมระดมความคิดเห็นผู้บริหารสื่อและบรรณาธิการ ตลอดจนผู้บริหาร
องค์กรสื่อมวลชน ให้ข้อเสนอแนะความเห็นและรับฟังการชี้แจงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะมาตรา 48 มาตรา 49 และมาตรา 50 ทั้งนี้ นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนัก
ข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต้องมีการปรับแก้ในบางประเด็นที่เกี่ยวข้องสื่อมวลชน ซึ่งเวทีนี้จะเป็นการเปิดโอกาสเพื่อหาทางออกร่วมกัน

ขณะที่ด้าน นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า เรื่องสื่อมวลชนนั้น เป็นหัวข้อที่ได้บรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทางสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไปหาแนวทางการปฏิรูปแต่ละด้าน และที่ผ่านมาได้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพสื่อมาโดยตลอด
///////////////////
นายกฯ

จนท.กองสถานที่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นำต้นมะนาวนายกฯ ปลูก มอบสื่อมวลชน

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่กองสถานที่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ได้นำท่อคอนกรีตพร้อมดินมาปลูกต้นมะนาว 1 ต้น ซึ่งเป็นต้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มอบให้กับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ให้นำมาปลูกไว้ที่สนามหญ้าด้านหน้าห้องทำงานของสื่อมวลชน 2 และ 3

ทั้งนี้ ที่มาของต้นมะนาวดังกล่าวนั้นสืบเนื่องจากเมื่อช่วงเย็นวันพุธที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการเปิดตลาดผักและผลไม้คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล และซื้อต้นพันธุ์มะนาวแป้นบ้านแพ้วจากร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้ มอบให้กับตัวแทนสื่อมวลชน
----------------
นายกฯ หารือเตรียมการจัดสำรวจและจัดหาผลผลิตต้องเป็นไปตามกฎหมายที่แก้ไข

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่า มีการหารือในหลายเรื่อง ทั้งแผนจัดการพลังงาน กฎหมาย การลงทุนพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการวางแผนล่วงหน้า ระบบสายส่ง การวางระบบท่อแก๊สเพื่ออนาคต ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ให้ใคร

สำหรับการเดินหน้าเปิดสัมปทานนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยเพราะต้องเตรียมการเรื่องการจัดสำรวจและการจัดหาผลผลิตที่ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่กำลังแก้ไขอยู่ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงเรื่องการปรับลดปริมาณการสำรองน้ำมันของภาคเอกชน เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บสต๊อกทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป เพราะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บจำนวนมากและวันนี้ราคาน้ำมันก็ราคาถูกลง
--------------------
นายกฯ เตรียมนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หลังมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายปลัดกระทรวงพลังงาน 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาล

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเวลา 09.00 น. นี้

ส่วนความเคลื่อนไหวอื่นที่น่าสนใจที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ในเวลา 15.30 น. หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในนามผู้แทนรัฐบาล จะรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบ

ภัยแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล ที่ ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร
--------------------------
นายกฯ เริ่มประชุมคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติแล้ว คาดเสนอลดการสำรองนำมัน พร้อมจัดทำแผนระยะยาว 20 ปี

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด ในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบาย

พลังงานแห่งชาติ หรือ กพช.แล้ว โดยมีบรรดารัฐมนตรีและฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ สำหรับวาระการประชุมคาดว่าจะมีเรื่องการเสนอลดสำรองน้ำมัน โดยเสนอลดสำรองน้ำมันทางกฎหมายสำหรับน้ำมันสำเร็จรูปลงจาก 6% เหลือ 1% ส่วนการสำรองน้ำมันดิบยังคงเดิมที่ 6%

นอกจากนี้จะมีการเสนอจัดทำแผนพีดีพีระยะยาว 20 ปี รวมถึงแนวทางการพิจารณาเกี่ยวกับสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุในปี2564-2565 ด้วย

-------------------------
"สุรชัย" บอก สนช.มี 15 ประเด็นหลัก 3 ประเด็นย่อยในการอภิปรายเสนอแก้ไขร่าง รธน.พรุ่งนี้ - พร้อมพิจารณณาถอดถอน 250 อดีต ส.ส.

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า วันนี้จะมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ 4 ฉบับ โดยเฉพาะ ร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย ที่

ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จากเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศเป็นอย่างมาก

ส่วนประเด็นการพิจารณาเกี่ยวกับการเสนอความเห็นในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ มีการกำหนดกรอบไว้ 15 ระเด็นหลัก และ 3 ประเด็นย่อย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักการใน

แต่ละเรื่องไม่ได้เจาะจงเป็นรายมาตรา โดยจะให้สมาชิกเสนอแนวคิดของแต่ละคนเพื่อสรุปเป็นรูปเล่มส่งให้กับกรรมาธิการยกร่างต่อไป ส่วนจะมีการถ่ายทอดสดตามปกติหรือไม่นั้น จะมีการพูดคัย

กันอีกครั้ง แต่ส่วนตัวนั้น อยากให้มี เพื่อให้ประชาชน ได้รับทราบ และทำความเข้าใจ ในแต่ละปแระเด็นด้วย

นอกจากนี้ รองประะาน สนช. ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เตรียมส่งสำนวนการถอดถอนอดีต 250 ส.ส. ให้พิจารณาในวันพรุ่งนี้ว่า เป็นไปตามขั้น

ตอนปกติ ไม่ได้มีความวิตกกังวลแต่อย่างใด ยืนยันพร้อมดำเนินตามกรอบตามขั้นตอนเต็มที่
////////////
ปปช.

วิชาคืบหน้าเยียวยาผุ้ชุมนุมมีผุ้ร้องเรียน36ราย มติจ่ายเงินแก่ผุ้ชุมนุม1.9พันล้าน

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ชุมุนมระหว่างปี 2548-2553 ซึ่งมีผู้ร้องเรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ในฐานะนายกรัฐมนตรีและนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับพวก รวม36 ราย

ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ชุมนุม ซึ่งจากการไต่สวนของคณะอนุกรรมการได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ และครม. รวม 34ราย ที่มีมติให้จ่ายเงิน

เยียวยาแก่ผู้ชุมนุมจำนวนกว่า 1.9 พันล้านบาท และมีการวางหลักเกณฑ์และระเบียบขึ้นมาใหม่โดยไม่มีกฎหมายรองรับ อันเป็นการสร้างความเสียหายให้กับงบประมาณกลางของแผ่นดิน ส่วนนาย

ปกร คณะอนุกรรมการเห็นว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามมติของคณะรัฐมนตรีในการจ่ายเงินเยียวยา ซึ่งยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพียงพอ จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป
///////////////////
เคลื่อนไหวการเมือง

มท.1 ไม่ห้าม ชวลิต จัดอวยพรวันเกิด ขอยึดกฎหมาย อย่าสร้างกระแส

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ไม่มีความเห็นในกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี จะเปิดบ้านพัก ซ.ปิ่นประภาคม เพื่อให้อวยพรวันเกิด

พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นไปแล้ว และตนเองก็เห็นด้วย หากเป็นการเปิดบ้านเพื่ออวยพรวันเกิดคงไม่มีใครไปยุ่ง และในส่วนของกฎหมายก็สามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม คิดว่าการดำเนินการสิ่งใดควรให้เป็นไปตามกฎหมาย และสิ่งที่ คสช.ได้มีนโยบายหรือแนวทางไว้ซึ่งการเปิดบ้านเพื่อให้เกิดกระแส ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ก็ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น
-----------------------------
อัยการศาลทหารเลื่อนนัดสั่งฟ้องคดี กลุ่มพลเมืองโต้กลับ กรณีจัดเลือกตั้งที่(รัก)ลัก หน้าหอศิลปฯ ขณะ พ่อน้องเฌอ ชวนประชาชนแจ้งความครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร

กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน, นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือ "พ่อน้องเฌอ" ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553, นายวรรณ

เกียรติ ชูสุวรรณ คนขับแท็กซี่ และ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษากลุ่มสภาหน้าโดม ม.ธรรมศาสตร์ เปิดเผยภายหลังเดินทางมายังศาลทหาร กรมพระธรรมนูญ ถนนหลักเมือง เพื่อฟังคำสั่งอัยการ

ศาลทหารนัดสั่งฟ้องคดี ฐานฝ่าฝืนคำสั่งประกาศ คสช. จากกรณีจัดกิจกรรม "เลือกตั้งที่(รัก)ลัก" หน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่า ศาลเลื่อนนัดฟังคำสั่งไปเป็นวันที่ 4 มิถุนายน

เวลา 10.00 น. โดยให้นำพยาน 4 ปากที่เป็นนักวิชาการตามที่กลุ่มร้องขอมาสอบปากคำ ประกอบด้วย นายนิธิ เอียวศรีวงศ์, นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์, นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล และ นายประภาส

ปิ่นตบแต่ง ไปพบพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม หลังจากก่อนหน้านี้เคยแจ้งพนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการนัดสอบปากคำแต่อย่างใด จึงเห็นว่าให้สอบ

ปากคำนักวิชาการทั้ง 4 ก่อนสั่งฟ้องคดี

ขณะเดียวกัน นายพันธ์ศักดิ์ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มพลเมืองโต้กลับจะจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี การรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ โดยขอให้ประชาชนติดตามคลิปวิดีโอและราย

ละเอียดกิจกรรมได้ในเพจเฟซบุ๊กของกลุ่ม

โดยเบื้องต้นจะให้ประชาชนและกลุ่มนักศึกษาและผู้ได้รับผลกระทบตลอดจนผู้ที่สนใจ ร่วมกันยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่า และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติใน

ขณะนั้น รวมทั้งสิ้น 5 คนในมาตรา 113 ฐานกบฏ ซึ่งทางกลุ่มมองว่าตลอดปีที่ผ่านมาประเทศชาติมีความเสียหายอย่างมาก จึงเตรียมยื่นฟ้องที่ศาลยุติธรรม
///////////////
ธาริต

อดีต ส.ส.ปชป. พบ รมว.ยธ. ยื่นหนังสือรื้อคดี อดีตอธิบดีดีเอสไอ เรื่องสอบวินัยร้ายแรงในการทำงานใหม่ 

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อยื่นหนังสือให้รื้อคดีและตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงตามประมวลจริยธรรมกับ นายธาริต เพ็ง

ดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ โดย นายวัชระ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ไพบูลย์ เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ยินดีรื้อคดีพิเศษทุกคดี เพื่อการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม จึงนำเอกสารมายื่นให้ พล.อ.

ไพบูลย์ พิจารณาดำเนินการรื้อคดี 2 เรื่อง 1.คดีพิเศษที่ 51/2553 นายธาริต ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่ง เลขาฯ ศอฉ. ได้แถลงข่าวว่า พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยคำแก้ว เป็นผู้จ้างวานคดียิงวัดพระแก้ว แต่ภายหลัง

มีพฤติกรรมสั่งไม่ดำเนินคดี พ.ต.ท.ศุภชัย คดีพิเศษที่ 8/2554 กรณี นายธาริต สั่งไม่ฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ข้อหาทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จให้เจ้าพนักงาน กรณีนายจตุพร นำเอกสารลับ

สำนวนสรุปผลชันสูตร 5 ศพ ผู้ชุมนุมที่วัดปทุมวนาราม เป็นฝีมือทหาร มาเผยแพร่คดีพิเศษที่ 242/2553 และ 243/2553 นายธาริต ไม่สั่งฟ้อง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ยุยงคนเสื้อแดง เผากรุงเทพฯ

คดีพิเศษที่ 357/2553 คดีทหารจับกุม จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ถูกทหารจับกุมตรวจค้นรถ พบเสื้อเกราะ และหมวกปราบจราจรอยู่ในรถ แต่ นายธาริต ดองสำนวน ขณะนี้ยังไม่สรุปสำนวน  

เรื่องที่ 2 ให้ตรวจสอบและดำเนินการตรวจสอบรีสอร์ทฟีออเร่ปาร์ค ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของ นายธาริต และ นางวรรษล เพ็งดิษฐ์ ภรรยา ว่า บุกรุกที่ป่าสงวนหรือไม่ โดย นายวัชระ ยัง

กล่าวอีกว่า ในการเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียน พล.อ.ไพบูลย์ ได้เรียก นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ มารวมรับฟังก่อน จากนั้นจึงให้ นางสุวณา รับเอกสารไปดำเนินการต่อไป
-------------------------
ศาลพิพากษาคุก 5 ปี น้องชายอดีตอธิบดีดีเอสไอ อ้างเบื้องสูงซื้อที่ดินโคราช สารภาพลดเหลือ 2 ปี 6 เดือน ส่วนป๋าชื่นปฏิเสธสู้คดี

ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเสฏฐวุฒิ หรือ ติ๊ก เพ็งดิษฐ์ อายุ 52 ปี อาชีพนายหน้าค้าที่ดิน น้องชายนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ นายบุญธรรม หรือ ป๋าชื่น บุญเทพประทาน อายุ 65 ปี นักธุรกิจด้านที่ดิน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

สืบเนื่องจาก ระหว่างปี 2550-2551 นายบุญธรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของ และกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท บ้านชุมทอง จำกัด และบริษัท เขาใหญ่ เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจจัดสรร และค้าขายที่ดิน มีความประสงค์ที่จะนำที่ดินบริเวณดังกล่าวมาขอออกโฉนดที่ดินเพื่อจัดสรรจำหน่ายให้กับผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินไปปลูกบ้านพักตากอากาศในราคาสูง เพื่อทำกำไรได้มาก ๆ โดยจำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือกับ นายเสฏฐวุฒิ จำเลยที่ 1 ให้ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเนื้อที่หลายร้อยไร่ ซึ่งจำเลยที่ 2 พูดกับจำเลยที่ 1 บางตอนว่า จำเลยที่ 2 มีความสนิทสนมกับ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. และ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของอดีตหม่อมศรีรัศมิ์ (ขณะเกิดเหตุ) หากจำเลยที่ 1 มีปัญหา หรืออุปสรรคในขั้นตอนใด ๆ ในการขอออกโฉนดที่ดินให้บอกจำเลยที่ 2 ได้ทันที

ทั้งนี้ ถ้อยคำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นการแอบอ้าง จาบจ้วง ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เพื่อให้ตนเองสมประโยชน์ โดยศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองฟังจนเข้าใจ แล้วสอบถามว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า นายเสฏฐวุฒิ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วน นายบุญธรรม จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี

ศาลจึงพิพากษาเฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 ว่ากระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ 2 ปี 6 เดือน

ส่วนนายบุญธรรม จำเลยที่ 2 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว และให้พนักงานอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องคดี นายบุญธรรม เข้ามาใหม่ภายใน 7 วัน ตามกฎหมาย
///////////////////
ยูฟัน

ตำรวจ ปคบ. บุกค้น ธนาคาร ยูดีบีพี ย่านสุทธิสาร หลังพบหลักฐาน รับฝากเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จากบริษัทยูฟัน สโตร์ จำกัด

พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.อังกูร คล้ายคลึง รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. นำกำลังพร้อมหมายศาลเข้าตรวจค้น บริษัท ยูดีบีพี แมนเนจเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทสัญชาติวานูอาตู ย่านสุทธิสาร หลังตำรวจมีข้อมูลว่า บริษัท ยูฟัน สโตร์ จำกัด ทำคลิปวิดีโอผ่านโซเชียลมีเดีย อ้างว่านำเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาฝากไว้กับบริษัท ยูดีบีพี เพื่อค้ำประกันค่าเงินยูโทเค่นของบริษัทยูฟันฯ จาก
การตรวจสอบตำรวจพบ นายหยาง หยวน จ้าว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูดีบีพี/ พนักงานชาวไทย 1 คน และพนักงานสัญชาติจีน อีกจำนวนหนึ่ง โดย นายหยาง หยวน จ้าว ให้การกับตำรวจอ้างว่า บริษัท ยูดีบีพี เป็นธนาคารที่ประเทศวานูอาตู และมาเปิดศูนย์ฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ด้านการเงินและการลงทุนในประเทศไทย และยอมรับว่า ก่อนหน้านี้เคยลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัทยูฟันฯ แต่บริษัทยูฟัน ไม่นำเงินมาร่วมลงทุนจึงยกเลิก การติดต่อทุกอย่าง และยืนยันบริษัท ยูฟัน ไม่ได้ฝากเงินไว้กับบริษัท ยูดีบีพี ส่วนสมุด
บัญชีธนาคารที่ตำรวจตรวจพบในบริษัทแห่งนี้ เป็นเพียงสมุดบัญชีตัวอย่างที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมเท่านั้น

ด้าน นายเสกสรรค์ บัวทรัพย์ ผู้บริหารส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบ บริษัท ยูดีบีพี ไม่ได้จดทะเบียน
เป็นธนาคารในประเทศไทย ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่า ดำเนินกิจการเป็นธนาคารในประเทศวานูอาตู จริงหรือไม่ ขณะที่ พล.ต.ท.สุวิระ
เปิดเผยว่า บริษัท ยูดีบีพี จดทะเบียนเมื่อปี 2557 และพบหลักฐานนำรูปภาพบุคคลสำคัญ อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ
มาใช้ในปฏิทินของบริษัท ยูดีบีพี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบสมุดบัญชีต่างๆ ว่าเป็น
ของจริงหรือไม่ และสอบปากคำ นายหยาง หยวน จ้าว และพนักงานทั้งหมด หากพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิด ก็จะดำเนิน
คดีตามขั้นตอน ส่วนความคืบหน้า การดำเนินคดีบริษัท ยูฟัน ตำรวจขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 17 คน จับกุมแล้ว 10 คน
และหลบหนีอีก 7 คน
///////////////
สถานการณ์ใต้

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้องสมาชิกกลุ่มมูจาฮีดีนสะสมอาวุธ ก่อเหตุวุ่นวายปี 2545


ศาลอาญารัชดา นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรธ์ กรณีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมาหามะสกรี มาหะมะอูเซ็ง หรือ นายอาหามะ มะอูเซ็ง ชาวจังหวัดยะลา เป็นจำเลยในความผิดฐานสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการหรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจร มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และพกพาไปในที่สาธารณะ

จากกรณีเมื่อเดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม 2545 นายมาหามะสกรี เป็นสมาชิกมูจาฮีดีน อิสลามปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยร่วมกันแสวงหาประโยชน์จากการข่มขู่ กรรโชกทรัพย์ และมีอาวุธปืนและกระสุนปืนจำนวนมาก ติดตัวไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งนายมาหามะสกรีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2555 โดยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และถูกคุมขังโดยไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี และคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานโจทก์ยังมีเหตุสงสัยเป็นคำบอกเล่า ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความ แต่ให้ขังนายมาหามะสกรีไว้ระหว่างอุทธรณ์

และล่าสุด ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ว่าจำเลยกระทำผิดมาเบิกความยืนยันต่อศาล และพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้น้อย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยพิพากษายืนยกฟ้อง

อย่าตกใจ ทบ.แจ้ง พล.ม.2รอ.จะเคลื่อนย้าย รถถัง รถเกราะ ยุทโธปกรณ์14 พ.ค. 58 จาก กทม.ไปฝึกภาคสนามที่ ลพบุรี

ทบ.แจ้ง พล.ม.2รอ.จะเคลื่อนย้าย รถถัง รถเกราะ ยุทโธปกรณ์14 พ.ค. 58 จาก กทม.ไปฝึกภาคสนามที่ ลพบุรี
ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 เวลา 05.00 - 05.30 น. กองพลมหารม้าที่2รักษาพระองค์ จะเคลื่อนย้ายรถสายพานลำเลียงและรถถัง เพื่อทำการฝึกเป็นหน่วยกองพันประจำปี2558 โดยเคลื่อนย้ายจากที่ตั้งหน่วยทหารในพื้นที่เกียกกายและสนามเป้า ไปยังสถานีรถไฟย่านสินค้าพหลโยธิน - ปลายทางพื้นที่ฝึกทางยุทธวิธี บ.ดีรัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และจะเคลื่อนย้ายกลับที่ตั้งหน่วยหลังเสร็จภารกิจการฝึกในวันที่24 พฤษภาคม2558เวลา08.00 - 09.00 น.โดยใช้เส้นทางเดิม จึงขออภัยในความไม่สะดวกในช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายด้วย