PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ถึงตรงนี้จะสกัดอยู่หรือ

ถึงตรงนี้จะสกัดอยู่หรือ


ยังดีที่พลาดพลั้งแล้วยังรู้จักเบรก
ตามปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แสดงการขอโทษต่อกรณีที่พูดจากระโชกโฮกฮากใส่ตัวแทนชาวประมงที่ร้องเรียนระหว่างการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี
ก่อนหน้านี้ก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ออกมาขอโทษในสิ่งที่พูดกระทบจิตใจครอบครัวนักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต
2 ช็อตติดๆที่เห็นถึงอาการ “สะดุ้งกระแส” ของผู้กุมอำนาจสูงสุดใน คสช.
ผลจากการจุดไฟ ก่อหัวเชื้อชนวนต่อต้านรัฐบาลโดยไม่จำเป็น
ที่แน่ๆคำขอโทษ เสียใจ แสดงให้เห็นว่า ผู้นำทหารมี “เกียร์ถอย” ยังไงก็ไม่เสี่ยงเดินหน้าตกเหว
และความ “ยืดหยุ่น” นี่แหละคือคุณสมบัติดีสุดของผู้นำทางการเมือง โดยสถานการณ์ต่อเนื่องกับการที่ “นายกฯลุงตู่” ได้พูดออกตัวกรณีการปรับ ครม. ตั้งนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามาเป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
ไม่เกี่ยวกับ “บิ๊กดีล” ทางการเมือง
ตามท้องเรื่องที่มีการเชื่อมโยงสถานการณ์จากการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีการเปิดให้แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา นำโดย “ลูกท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายของ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ ได้เข้าร่วมต้อนรับคณะผู้นำรัฐบาล คสช.
เป็นช็อตแรกๆของการโอภาปราศรัยระหว่าง “นายกฯลุงตู่” กับนักการเมืองอาชีพ
ภาพมันสอดคล้องเป็นทำนองเดียวกัน กรณีของนายวีระศักดิ์ที่เป็นคนของพรรคการเมืองเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีร่วมวง ครม.อำนาจพิเศษ ยากจะหาเหตุผลอื่นอธิบายให้คนเข้าใจได้
นอกจากออปชั่นที่ตกลงกันในทางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง
เรื่องของเรื่อง มันจะแค่ลีลาตีกรรเชียงของ “นายกฯลุงตู่” หรือเจ้าตัวอาจไม่รู้จริงๆ เพราะมีหน้าที่แค่รับบท “ผู้นำ” ช่วงเปลี่ยนผ่าน ตามหมากเกมอำนาจที่ล็อกโปรแกรมไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนคนที่รับบทในการดีลเบื้องหลัง เป็น “ความลับทางทหาร” ที่รู้กันทั่วทั้งวงการ
ขุนทหารคนดังทั้งบิ๊ก “ด” และบิ๊ก “จ” ที่เริ่มต่อสายเจรจาพาทีกับบิ๊กเนมการเมืองป้อมค่ายต่างๆขอร้องกันแบบเข้มๆเป็นทำนองให้ “เว้นวรรค” สนามแข่งขันทางการเมืองปกติไว้สักสมัย
มาช่วยกันทำให้การเปลี่ยนผ่านประเทศสำเร็จเสร็จสิ้นก่อน
เพราะตอนนี้ยังลูกผีลูกคน ขืนยังเป็นรูปแบบเก่าภายใต้พวกหน้าเดิมๆ ความขัดแย้งยังแฝงอยู่ทุกจุด ปล่อยไฟเขียวเลือกตั้งไปก็เสี่ยงกลับมาวุ่นวายเหมือนเดิม
โอกาส “เสียของ” ทหารอาจต้องปฏิวัติซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทางออกมีแค่ช่องเดียว ต้องแชร์กันระหว่างนักการเมืองกับทหาร ตามฟอร์มหนีไม่พ้นสูตรประชาธิปไตยครึ่งใบ นักเลือกตั้งในสภาช่วยกันเปิดทาง “นายกฯคนนอก”
แบบที่ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยก็อ่านออก มวยเก๋าอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง กับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ถึงได้จุดพลุยุชาวบ้านให้ช่วยกันสกัดเส้นทาง “ลุงตู่” เซ็ตซีโร่ คสช.
แต่นั่นก็แค่การเพ้อฝันในเชิงทฤษฎีที่โคตรยากในเชิงปฏิบัติ
ที่แน่ๆสถานการณ์จริงยามนี้ มีชื่อพรรคชื่อใหม่ๆอย่างพรรครวมพลังชาติไทยที่เคลื่อนไหวเจาะฐานในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง พร้อมๆกับการที่หน่วยความมั่นคงทำโพลสำรวจถี่ยิบ
โดยเฉพาะชื่อที่สะดุดหู พรรค “กิจประชารัฐ”
นั่นก็เพราะเป็นยี่ห้อที่รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” และทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชูธงนโยบายมาตลอด 2 ปี
เป็นยี่ห้อที่ออกมาตีตลาดประชานิยมของระบอบ “ทักษิณ”
ตีกินแต้มมาอย่างต่อเนื่อง กับสารพัดมาตรการที่อัดฉีดน้ำเลี้ยง ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะบัตรประชารัฐสวัสดิการที่เข้ายึดฐานคนจนกว่า 14 ล้านทั่วประเทศ
ยังมีพรรคตัวประกอบที่ประกาศเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ อย่างพรรคประชาชนปฏิรูป ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประกาศชูธงชัดเจนสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ยาวช่วงเปลี่ยนผ่าน
หรือพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย ภายใต้การนำของ “อธิบดีเอี้ยง” นายดำรงค์ พิเดช อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ยังไม่ประกาศหนุนใคร แต่ชัดเจนกับนโยบายตามชื่อพรรค
คึกคัก รองรับสูตรรัฐบาลผสม รวมแต้มหนุน “ลุงตู่”.
ทีมข่าวการเมือง