PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สวนป่าโนนดินแดง: ชะตากรรมของชาวบ้านภายใต้เงื้อมมือทหารหาญ

สวนป่าโนนดินแดง: ชะตากรรมของชาวบ้านภายใต้เงื้อมมือทหารหาญ

ประมาณปี 2515 ชาวบ้านได้เข้าไปบุกเบิกพื้นที่ป่าดงใหญ่บริเวณตำบลลำนางรอง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ทำกินและอยู่อาศัย แต่พอถึงช่วงปี 2518 ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อย่างเข้มข้นขึ้นมากในพื้นที่แถบนั้น

ทาง กอ.รมน.ภาค 2 จึงได้ร่วมกับกรมป่าไม้จัดทำโครงการหมู่บ้านป้องกันตนเองตามแนวชายแดน (ปชด.) มีการสำรวจโดยกรมป่าไม้ และอพยพชาวบ้านโดย กอ.รมน.ภาค 2 ออกมาจัดพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินให้ใหม่ โดยกันพื้นที่ส่วนใหญ่ไว้นับหมื่นไร่ เพื่อให้เอกชนเช่าปลูกป่า นี่คือที่มาของสวนป่าโนนดินแดง ที่กรมป่าไม้อนุญาตให้ใช้พื้นที่เดิมที่ชาวบ้านเคยอยู่อาศัยและทำกิน มาจัดให้เอกชนเช่าปลูกป่าในราคาเพียงไร่ละ 10 บาทต่อปี 

โดยผลของการจัดการแบบนี้ ทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งต้องหนีเข้าป่าไปร่วมกับ พคท. อันทำให้ กอ.รมน. ได้มีพื้นที่ทำงานเพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์มากขึ้นอีก ในปี 2541 มีการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในนาม กลุ่มพันธมิตรประชาชนอีสาน เรียกร้องให้นำที่ดินในสวนป่าโนนดินแดงออกมาจัดสรรให้กับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยครอบครัวละ 15 ไร่ ประกอบกับทางบริษัทได้เข้ายื่นหนังสือกับทาง สภา อบต. ลำนางรอง เพื่อขอให้มีมติเห็นชอบให้ต่อสัญญาเช่าออกไปอีก

 ทำให้ชาวบ้านได้เริ่มทราบข่าวว่า พื้นที่สวนป่านี้หมดสัญญาเช่าแล้ว และได้คัดค้านไม่ให้ต่อสัญญาเช่า รวมทั้งขอให้นำที่ดินดังกล่าวมาจัดสรรให้ชาวบ้าน ซึ่งแม้ว่าชาวบ้านจะมีความเห็นต่างกันหลายกลุ่ม เช่น ขอให้กรมป่าไม้ออกเป็น สทก. บ้าง สปก.4 – 01 บ้าง ขอให้จัดแบบโฉนดชุมชนบ้าง 

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันคือ ไม่ต้องการให้บริษัทเอกชนเช่าพื้นที่ต่อ และให้จัดพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ทำกินให้ชาวบ้านเมื่อกรมป่าไม้ไม่ได้ต่อสัญญาให้บริษัท แต่ก็ไม่ได้จัดสรรเป็นที่ทำกินให้ชาวบ้านเช่นกัน บริษัทก็ยังคงเข้าไปตัดไม้อยู่เป็นระยะ ชาวบ้านจึงตัดสินใจเข้าไปยึดพื้นที่ แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เช่น บ้านเก้าบาตร บ้านสามสลึง บ้านตลาดควาย บ้านเสียงสวรรค์ บ้านโคกเพชร บ้านหนองเสม็ด เป็นต้น 
ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ได้เรียกร้องให้ทางรัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแนวทางของตน

 แต่ในระหว่างที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาอยู่ ทาง กอ.รมน. ภาค 2 ก็เข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง โดยเสนอรัฐบาลให้ตั้งแม่ทัพภาค 2 เป็นประธานในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีการประชุมไปเพียงครั้งเดียว และไม่ได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ยกเว้นบ้านเก้าบาตรที่ชาวบ้านเรียกร้องให้จัดที่ดินให้ในรูปแบบโฉนดชุมชน ซึ่งทางสำนักงานโฉนดชุมชนอยู่ระหว่างดำเนินการอนุญาต แต่ทางทหารได้เข้าไปกดดันจนต้องไม่อนุญาต 

หลังจากนั้นไม่นาน มีกลุ่มชาวบ้านที่ใช้ชื่อว่าเครือข่ายองค์กรประชาชน 4 ภาค ได้ระดมคนประมาณพันคนเศษ เข้าไปในพื้นที่สวนป่าแห่งนี้ และข่มขู่ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ 

ภายหลังจากเหตุการณ์ได้มีคนมาติดต่อให้ชาวบ้านแต่ละกลุ่มเข้าไปเป็นสมาชิกองค์กรดังกล่าว เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาอีก และจะได้รับการจัดสรรที่ให้ โดยทางทหารจะเป็นผู้จัดให้ เพราะผู้นำขององค์กรนี้สนิทสนมกับอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ 

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกจนกระทั่งเมื่อเกิดการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และทาง คสช. ได้มีคำสั่ง ฉบับที่ 64/2557 (เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพย์ยากรป่าไม้) และคำสั่ง ฉบับที่ 66/2557 (เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปรามหยุดยั­้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในส­ภาวการณ์ปัจจุบัน) 

ทำให้ทาง กอ.รมน. ภาค 2 ได้นำกำลังทหารนับพันนายเข้าไปในพื้นที่อีกตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยในครั้งนี้ทางทหารได้เข้าไปกดดันให้ชาวบ้านเก็บผลผลิตและย้ายบ้านออกจากพื้นที่ภายใน 7 วัน 

เมื่อชาวบ้านถามว่าจะให้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ทำตอบที่ได้คือ ไม่รู้ชาวบ้านได้ตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องนี้ว่า ที่ดินเดิมเป็นของชาวบ้าน แต่ทหารเข้ามาอพยพบอกว่าเพื่อความมั่นคง แต่ทำไมเอาไปให้เอกชนเช่าปลูกป่า มันแก้ไขปัญหาความมั่นคงได้อย่างไร ปัจจุบันก็ไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว พื้นที่นี้ก็ไม่ได้ติดชายแดนเหมือนบ้านบาระแนะ บ้านสันรอชะงัน แต่ทำไมทหารยังมาอ้างเรื่องความมั่นคงอีก หรือว่าชีวิตของชาวบ้านต้องอยู่ภายใต้เงื้อมมือของทหารหาญเท่านั้น

ที่มา : เพจสมัชชาคนจน

สถานะของASTVย่ำแย่

ผลจากการที่ ASTV ถูกปิดมาเดือนกว่าแล้ว เดือนที่ผ่านมาพนักงาน ASTV ส่วนใหญ่ ยังได้เงินเดือนไม่ครบ และหลายคนยังไม่ได้รับเงินเดือน
ผมคำนวณดูแล้ว หากเราจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ให้ได้ เราต้องขายน้ำมันมะพร้าว Man Nature แบบสกัดเย็นให้ได้อีกประมาณ 20,000 ขวด และจำหน่ายเครื่องทำน้ำด่างให้ได้อีก 100 เครื่อง และบวกกับกระติกน้ำด่างอีกนิดหน่อย จึงจะจ่ายเงินเดือนได้ครบในเดือนที่แล้วทุกคน
จากเหตุผลดังกล่าว วันเสาร์-อาทิตย์ นี้เราจะเริ่มทำโปรโมชั่นพิเศษเพื่อนำเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานที่เหลือเริ่มต้นจาก ASTV Shop และ Call Center
และสัปดาห์หน้าผมและพนักงานบางส่วนจะนำสินค้าของ ASTV ไปเดินจำหน่ายไปตามถนนสายสำคัญในกรุงเทพฯเพื่อฝ่าวิกฤติ ASTV ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน เพราะวันนี้เป็นยุคทีวีดิจิตอลที่มีความต้องการบุคคลากรด้านนี้อยู่มาก พนักงานที่นี่มีความสามารถพอที่จะไปทำงานที่ไหนก็ได้ แต่การต่อสู้ยืนหยัดครั้งนี้เป็นการรักษาสิทธิการทำอาชีพสื่อมวลชนสุจริตที่จะรักษาอุดมการณ์ขององค์กรที่มีประวัติการทำงานอยู่บนประโยชน์ประเทศชาติมาโดยตลอดเกือบ 10 ปี โดยปราศจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มทุนกลุ่มใด
พวกเราจึงจะไม่ยอมแพ้ตราบใดที่ประชาชนจะร่วมฝ่าฟันวิกฤติไปด้วยกัน
และเนื่องจาก ASTV ถูกปิดช่องทางการสื่อสารเราจึงมีจำกัดและแคบกว่าเดิมมาก ดังนั้นหากท่านเมื่อได้รับข้อความนี้แล้ว ฝากช่วยแชร์กันต่อๆไปทั้งใน Facebook หรือ Line และช่วยบอกต่อไปยังอีกหลายท่านที่ไม่ได้ใช้ Facebook หรือ Line ให้มากที่สุด ด้วยครับ
ขอบพระคุณยิ่งครับ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
3 กรกฎาคม 2557

8 นักเรียน ม.2 โรงเรียนดัง ยกพวกจับสาวร่วมห้องขึงพืดหมายรุมโทรม

8 นักเรียน ม.2 โรงเรียนดัง ยกพวกจับสาวร่วมห้องขึงพืดหมายรุมโทรม
สุดอัปยศคาสถานศึกษา 8 นักเรียนขาสั้นหัวเกรียน ม.2 โรงเรียนชื่อดังในสัตหีบ หื่นกามจับเพื่อนสาวร่วมห้องเหวี่ยงอัดกำแพงขึงพืดกับพื้น หวังรุมโรมขยี้กาม เหยื่อกัดแขนดิ้นหนีขุมนรกรอดอย่างหวุดหวิด เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 3 ก.ค.57 ผู้ปกครองของ ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.เอกชัย มูลลี ร้อยเวรสอบสวน สภ.สัตหีบ ว่า บุตรสาวได้ถูกเพื่อนร่วมห้องกักขังหน่วงเหนี่ยว หมายจะรุมโทรมข่มขืนภายในห้องเรียน สอบถาม ด.ญ.เอ ให้การว่า วันนี้ขณะที่ไปเรียนหนังสือตามปกติ จนถึงเวลา 14.00 น. หลังจากเลิกเรียนสุขศึกษาที่ห้องพยาบาล จึงกลับมาเก็บของที่ห้องเรียน ขณะนั้นอาจารย์ได้สั่งให้นักเรียนทุกคนลงจากห้องเรียนเพื่อไปช่วยกันทำความสะอาดบริเวณโรงเรียน ตนได้ลงไปช้าเพราะมัวเก็บของ ขณะเดียวกันกับที่เพื่อนชายร่วมห้อง 8 คน ยังอยู่ในห้อง จากนั้นได้มีคนเดินไปปิดประตูห้องไม่ยอมให้ตนออกไปไหน 2 คน ยืนคุมเชิงดูเหตุลาดเลา ส่วนอีก 6 คน จำชื่อได้เพียง 5 คน คือ บอม โจ้ หมูอ้วน หมู และต้อย ได้จับตนเหวี่ยงเข้ากับกำแพงห้องจนล้มลงกับพื้น หลังจากนั้น ทั้งหมดได้กรูกันเข้ามารุมจับแขนจับขาขึงพืดกดลงกับพื้น และได้พยายามล่วงละเมิดทางเพศหมายข่มขืน ตนจึงร้องให้คนช่วย แต่ถูกอุดปาก ปิดตา จึงได้ดิ้นหนีสุดชีวิตจนหลุด ก่อนจะกัดเข้าที่แขนของ ด.ช.หมู ทำให้ทุกคนยอมปล่อย เป็นจังหวะเดียวกับที่มีอาจารย์เดินผ่านมาพอดีจึงเข้าช่วยเหลือไว้ได้ทัน และยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา มีเพื่อนในชั้นเรียนโดนลักษณะเช่นนี้มาแล้ว แต่ไม่กล้าบอกครู หรือแจ้งความเนื่องจากกลัวอับอาย ด้านผู้ปกครองเด็กเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้เข้าพบลูกสาว พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาดูแลคดี โดยพร้อมจะเอาเรื่องต่อผู้ปกครองนักเรียนที่ก่อเหตุ และทาง ผอ.โรงเรียน จนถึงที่สุด ฐานปล่อยปละละเลยจนทำให้เด็กไม่เกิดความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ประกอบกับถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ จะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดเรื่องกับบุตรสาวตนเอง และเด็กคนอื่นๆ อีกเป็นอันขาด ส่วนทางโรงเรียนยังไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
‪#‎ข่าวข้นรับอรุณ‬ ‪#‎nationtv‬

สมัชชาคนจนจี้ทหารหยุดรังแกคนจน

สมัชชาคนจนจี้ทหารหยุดรังแกคนจน

1 ก.ค.2557 สมัชชาคนจน ออกแถลงการณ์เรียกร้องคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งกองทัพภาค 2 หยุดการข่มขู่ คุกคามชาวบ้าน และปล่อยตัวแกนนำที่ถูกควบคุมตัวโดยทันที ภายหลังกรณีที่มีทหารในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ประมาณ 50 นาย พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ามาในหมู่บ้านเก้าบาตร อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินในพื้นที่ป่า พร้อมเรียกร้องให้มีกระบวนการแก้ไขปัญหาโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ยึดหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค  และความเป็นธรรม
รายละเอียดแถลงการณ์ ดังนี้

แถลงการณ์สมัชชาคนจน
หยุดพฤติกรรมเผด็จการรังแกคนจนของกองทัพภาคที่ 2
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน นั้น
ต่อมาในวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้มีทหารในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ประมาณ 50 นาย พร้อมอาวุธครบมือ เข้าไปภายในหมู่บ้านเก้าบาตร อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสมาชิกสมัชชาคนจน และเป็นพื้นที่ที่กรณีมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินในพื้นที่ป่าไม้มายาวนาน โดยทหารที่เข้าไปได้แจ้งกับชาวบ้านว่า ทหารจะขอคืนพื้นที่ หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ให้ทุกครอบครัวทำการรื้อบ้านออกไปจากพื้นที่นี้ หากไม่รื้อจะเข้ามาดำเนินการรื้อให้เอง และในวันเดียวกันนี้ทหารของกองทัพภาค 2 ยังได้ควบคุมตัวแกนนำชาวบ้านเสียงสวรรค์ อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กรณีปัญหาพิพาท จำนวน 10 คน ออกจากพื้นที่ไปด้วย
สมัชชาคนจนเห็นว่า การกระทำของทหารในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 ในวันนี้เป็นสิ่งที่สมัชชาคนจนเคยทักทวงไว้ภายหลังการออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 (แถลงการณ์สมัชชาคนจน “หยุดทำร้ายคนจน”) แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 ให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ยึดถือนโยบายการปฏิบัติงาน โดยการดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ ยกเว้นผู้ที่บุกรุกใหม่ จะต้องดำเนินการสอบสวน และพิสูจน์ทราบ เพื่อกำหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป นั้น แต่ทหารในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าคำสั่งดังกล่าวกลายเป็นเพียงแค่เรื่องล่วงโลก เป็นคำสั่งที่หลอกลวงผู้คนสังคม และเป็นเพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่โดยธาตุแท้แล้วคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คือเผด็จการอ้างการปฏิรูป การปรองดอง ยึดอำนาจปกครองประเทศ  และใช้อำนาจนั้น ละเมิดสิทธิ กดขี่ ทำลายคนจน ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน  สมัชชาคนจนขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ศึกษาบทเรียนการดำเนินการโครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.) ซึ่งดำเนินการโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 (กอ.รมน. ภาค 2) เมื่อปี 2533 – 2535 ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนเกือบทุกจังหวัดในภาคอีสาน จึงมีประชาชนนับหมื่นออกมาคัดค้านจนต้องยกเลิกโครงการในที่สุด และเรียกร้องคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการให้กองทัพภาค 2 ยุติการข่มขู่ คุกคาม ใช้อำนาจเผด็จการรังแกคนจน ตลอดจนให้ปล่อยตัวแกนนำชาวบ้านที่ถูกควบคุมตัวโดยทันที  และให้เกิดกระบวนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใต้การมีส่วนร่วม สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค  และความเป็นธรรม

ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน

สมัชชาคนจน
29 มิถุนายน 2557

อนาถ..ชะตากรรม นักแสวงโชคประชาธิปไตยจอมปลอม

วันที่ 2 ก.ค.57 อนาถ..ชะตากรรม นักแสวงโชคประชาธิปไตยจอมปลอม
ภายหลังคนแดนไกล โดนศาลฏีกา แผนกคดีอาญานักการเมือง นักการเมือง พิพากษาให้จำคุกเขา 2 ปี ในกรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ในคดีที่ดินรัชดา ที่ยื่นร้องเขาโดยวีระ สมความคิด
เป็นเวลา 6 ปีแล้ว ที่เขาไม่ได้เหยียบแผ่นดินสุวรรณภูมิอันศักดิ์สิทธิแห่งนี้อีกเลย และระเหเร่ร่อน เป็นสัมพเวสีไร้ศาล ไปตามประเทศต่างๆ อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะกลัวการลอบสังหาร ปองร้าย และรวมถึงเดินทางมาเลาะเล็ม มาบงการสมุนในทางการเมือง
เขาจะต้องหนีคดีต่ออีก 9 ปี จึงจะหมดอายุความในคดีแรก และหากกลับมาไทย เขาต้องถูกนำตัวไปปรากฎกายต่อศาล ในการพิจารณาคดีนัดแรก ที่ยังมีคดีความทุจริตสมัยมีอำนาจ รอพิจารณาอีกกว่า 10 คดี
พอยุุคหล่อใหญ่เป็นนายกฯ คนแดนไกล ก็ยังเป็นเพื่อนรักกับฮุนเซ็น จึงยุยงฮุนเซน ให้ก่อสงครามกับไทย ในแนวชายแดน โดยฮุนเซน ต้องการกระชับอำนาจทางทหารพอดี จึงใช้กองกำลังทหารที่เป็นสายเขมร 3 ฝ่ายเก่า ที่เคยรบกับฮุนเซนมาก่อน และมาสวามิภักดิ์ต่อมา
ทหารสายนั้นไม่ใช่ลูกน้องเก่าสายฮุนเซนมาแต่แรก ฮุนเซนส่งลูกชาย นายพลฮุน มาเน็ต ลงพื้นที่ มาดูลู่ทางก่อนปะทะกับไทย เพื่อประเมินกำลังทหารสายนี้ จากนั้นเขาจึงสั่งยิงกับทหารไทย และสั่งยิงปืนใหญ่มาตกใส่โรงเรียน และบ้านเรือนราษฎรฝั่งไทย
การรบกันหลายละลอกในครั้งนั้น ทำให้ทหารเขมรเสียชีวิตไปจำนวนมาก (แต่เรื่องนี้ไม่ควรพูดถึงต่อให้กระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน) ในครั้งนั้น ฮุน เซน ได้ประโยชน์หลายอย่าง คือ แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำให้กลุ่มคลั่งชาติในเขมรประจักษ์ คะแนนนิยมเขาในประเทศพุ่งขึ้นทันทีเหนือกลุ่ม สม รังสี
ผลได้ต่อมา คือ ยืมมือทหารไทย จัดการ ทหารเขมรที่ไม่ใช่ลูกหม้อฮุน เซน ณ จุดปะทะ เพื่อกดหัว ผบ.หน่วยทหารนี้ไว้ เพราะไม่มีทหารที่ใดอยากปะทะให้เสี่ยงชีวิตตนเอง และลูกน้อง การกระด้างกระเดื่องของทหารชุดนี้ ที่ฮุน เซน ส่งลูกมาสอดแนม จึงต้องหยุดลงไป
ผลได้ถัดมา คือ ซื้อใจเพื่อนซี้คนแดนไกล ว่าเขาช่วยเพื่อนตามคำขอให้ก่อสงครามย่อยกับไทยแล้วนะ ดังนั้นหากล้มหล่อใหญ่ได้ ผลประโยชน์พลังงานในทะเลต้องมาแบ่งกันตามเงื่อนไขเขาต้องได้เปรียบ
พอถึงปี 53 ยุคเผาเมืองรอบ 2 คนแดนไกลไปติดต่อจ้างเจ้ายอดศึก แห่งไทยใหญ่ ให้ส่งกองกำลังมาช่วยก่อสงครามกลางเมือง แต่โดนเจ้ายอดศึกปฏิเสธ เขาบอกว่าให้มาสู้กับทหารไทย เขาไม่เอา เนื่องจากเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมาก
คนแดนไกล จึงเดินทางเข้าเขมรอีกครั้ง เพื่อไปขอความช่วยเหลือ ฮุนเซน ให้ส่งกองกำลังรบติดอาวุธมาช่่วยรบกับทหารไทย ก่อสงครามกลางเมืองในกรุงเทพฯ ให้หน่อย โดยมี เสธ แดง และกลุ่มแกนนำเสื้อแดงเดินทางไปพบที่เขมร เพื่อสุมหัววางแผนกัน
ผสานกับกลุ่มติดอาวุธ ของนายพลมนัส ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของคนแดนไกล จนเป็นที่มาของสงครามกลางเมืองในเดือน เม.ย.-พ.ค.57 โดยกลุ่มติดอาวุธชายชุดดำผสมไทย-เขมร ชุดนี้จึงยิงมั่วใส่คนเสื้อแดง และทหารไทย เพื่อสร้างสถานการณ์ป้ายสีหล่อใหญ่ จนมีคนตายถึง 98 ราย
รวมถึงการเผาอาคาร ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ และศาลากลางหลายจังหวัด จนราบพนาสูญ การใส่ร้ายและกดดันของกลุ่มเผาไทย ร่วมมือกับอเมริกาเป็นผล เมื่อราว 1 ปีถัดมาหล่อใหญ่ ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่
การหลอกลวงประชาชนด้วยนโยบายประชานิยมเผาไทย การทุ่มศื้อเสียงแบบหมดหน้าตัก ส่งผลให้ส่งปูเน่า ขึ้นเป็นนายกฯ ได้ในเวลา 45 วัน แต่ก็ยังทำให้คนแดนไกล กลับมาประเทศแบบเท่ห์ๆ ยังไม่ได้อยู่ดี
จึงเป็นที่มาของการส่งคนไปเจรจายื่นเงื่อนไขต่อรองกับ วีระ สมความคิด ในคุกเขมรถึง 3 ครั้งว่า หากช่วยให้เขมรปล่อยตัวออกจากคุกได้ เขาต้องรับเงื่อนไขในการล้มคดีความที่เขาเป็นผู้ร้อง เกี่ยวกับการทุจริตของคนแดนไกล และเหล่าบรรดาสมุน ที่คดีคาอยู่ที่ในกระบวนการยุติธรรมขั้นตอนต่างๆ และต้องงหยุดขุดคุ้ยต่อตลอดไป
แต่วีระ เป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ เหมือนเรืองไกร ที่ยอมแพ้ต่อผลประโยชน์อันหอมหวล วีระจึงปฏิเสธ เงื่อนไขนั้นทั้ง 3 ครั้ง เพราะเห็นว่าชาติจะเสียประโยชน์ และเขาก็ติดคุกเขมรมาระยะแล้ว จึงขอเสียสละเพื่อชาติยอมติดคุกต่อไป โดยมีภรรยา จากเมืองไทยไปเยี่ยมทุกสัปดาห์
จนบิ๊กสีเขียว คสช.ยึดอำนาจ แล้วเดินกลศึกเงียบๆ แบบเหนือเมฆ เพราะวิเคราะห์ว่าเขมร ใช้การทหารนำการเมือง และอาศัยจังหวะทองเรื่องแรงงานเขมรอพยพกลับบ้าน โดยต่อสายตรงไปทางกองทัพบกเขมร คุยกันแบบทหารคุย ขอกันดื้อๆ ให้ปล่อยตัววีระ
จากนั้นต่อสายไปทางจีน ให้ช่วยเจรจากับฮุนเซน ที่เกรงใจจีนมากในอีกทางขึ้น โดยกลศึกนี้ไม่ผ่านกระทรวงต่างประเทศตามแบบแผนปกติทั่วไปที่กระทำกัน ถือเป็นพิชัยสงครามขั้นเทพมาก และปิดเป็นความลับมาตลอด มีเพียงการส่งผู้ช่วยทูตทหาร ไปบอกวีระ ที่คุกเขมรเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.57 สั้นๆ ว่า "ตอนนี้ คสช.กำลังหาทางช่วยอยู่ "
หลังการเจรจาลับกับฮุนเซน บรรลุผลเรียบร้อย ฮุนเซ็น ก็ออก พรก.อภัยโทษวีระ รอไว้ จากนั้นบิ๊กสีเขียว ก็ส่งคณะปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ไปเขมรทันทีทำให้ดูเนียน เป็นทางการสัักหน่อย
ฉากการเข้าพบฮุนเซน แบบการเยือนระหว่างประเทศเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.57 โดยคณะจากไทยเปิดฉากเจรจาเรื่องแรงงานเขมร ฮุน เซ็น นั่งพงักหน้าหงึกๆ อยู่พัก เห็นว่าฝ่ายไทยไม่เริ่มคุยเรื่องวีระเสียที จึงบอกว่ามาคุยตรงประเด็นเลย มาขอปล่อยตัววีระใช่ไหม?
ฝ่ายไทยจึงเริ่มเปิดประเด็นเรื่องวีระ โดยนำหนังสือขอบคุณชมเชยเขมรในมิตรไมตรีของประเทศเพื่อนบ้าน ที่เข้าใจสถานการณ์การเมืองในไทย ลงนามโดย บิ๊กสีเขียว คสช.มาให้ฮุนเซน ทำให้เขายิ้มแก้มปริ เขิน ที่ได้รับคำชมกันเป็นทางการหนังสือจากไทยเสียขณะนี้
ฮุนเซ็น จึงล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบกระดาษ 1 แผ่นเป็น พรก.อภัยโทษ ให้วีระ แล้วถามปลัดกระทรวงการต่างประเทศไทย ว่าจะรับตัวไปวันนี้ หรือ พรุ่งนี้ ฝ่ายไทยจึงบอกว่า ขอรับตัววันนี้เลย จากนั้นคำสั่งปล่อยตัววีระ ถูกส่งไปคุกเปรซอร์ ของเขมรอย่างรวดเร็ว
ผู้คุมมาเรียกตัววีระ ที่ห้องขังว่าจะปล่่อยตัวตอนนี้เลย สร้างความงุนงงให้วีระ มาก และไม่คิดว่าจะจริิง แต่พอเขาถูกปล่อยตัวออกเดินออกมา เพื่อนนักโทษ ก็ส่งเสียงเชียร์อวยพร เขาให้กลับมามีตำแหน่่งสำคัญในไทย โดยมีคณะทูตไทย และภรรยารอรับตัวเขาสู่อิสระภาพ นำตัวกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้นทันที
เมื่อมาถึงเมืองไทย เขาได้รับการต้อนรับอบอุ่นเยี่ยง "วีระบุรุษ" สมชื่อของเขา แต่ด้วยเขามีคดีปิดสนามบินค้างเก่ามาสมัยพันธมิตร ตม.จึงส่งมอบตัวเขาให้กองปราบปรามตามขั้นตอนกฎหมาย โดยมีทนายนิติธร ยื่นหลักทรัพย์ 1 แสนบาทประกันตัว และตำรวจก็พิจารณาให้ประกันตัวทันที
จากนั้นเขาจึงเดินทางไปสันติอโศก เพื่อกราบไหว้ครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ตามธรรมเนียมไทย และกลับบ้านไปหาแม่ที่จากกันมานาน แล้วพบหน้าครอบครัว อยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข เขามีคิวนัดสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนจำนวนหลายแห่ง และคิวเข้าพบขอบคุณบิ๊กสีเขียว คสช.ด้วยตัวเอง
แต่คุณวีระ เขาเย็นพอที่ช่วงนี้เขาจะไม่เปิดเผยว่าในสมัยปูเน่า ส่งใครไปเจรจาช่วยพี่ชายคนแดนไกลถึง 3 ครั้ง และเงื่อนไขนั้นมีรายละเอียดอย่างไร เพราะเขาอ่านกลศึก ของบิ๊ก คสช.ขาด ว่าการช่วยเขากลับมาครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นพยานให้ ปปช. และศาล ในคดีเก่าๆ ที่เขายื่นร้องค้างไว้ให้เดินหน้าได้นั่นเอง
การเปิดเผยอะไรเสียหมด จะเสียการใหญ่ภายหน้าโดยใช่เหตุ เขาคิดถูกแล้วที่ยังปิดจุดสำคัญนี้ไว้ เพราะมันจะเป็นหลักฐานมัดคนไปเจรจาให้ดิ้นไม่หลุด ตามกลยุทธ์ เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ แต่ทำอย่างมั่นคง ของพยัคฆสีเขียว
นักพิชัยสงครามที่ดี "การรบที่ดีที่สุด คือ การไม่รบ" ดังนั้นกลุ่มคนที่กำลังยุให้คุณวีระ เปิดเผยความลับปริศนาการเจรจาดำมืดกับแก็งค์แบล็คเมล์ในครั้งนั้น คือกำลังยุให้คุณวีระทำเสียของ ซึ่งคิดว่าคุณวีระเขาเย็นพอ และรู้ว่าเวลาข้างหน้าช่วงใด จึงจะเปิดเผยได้
น่าคิดที่คนแดนไกล ถูกศาลไทยพิพากษาจำคุกเพียง 2 ปี แต่เขาหนีไปแล้ว 6 ปี มากกว่าจำคุกเสียอีก และเขา จ้องทำลายชาติตนเองตลอดมา แม้เขายังไม่ติดคุกจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีโอกาสกลับมาเท่ห์ เหยียบแผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้ และสูดอากาศที่บริสุทธิ์อีกจนบัดนี้
แม้ตอนนี้เขาพยายามต่อสายให้เพื่อนที่จีนช่วยพาเขาเข้าพบผู้นำจีน เพื่อล็อบบี้ให้อย่าช่วยเหลือ คสช.โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือถ้าเลือกตั้งในอีกปีกว่า แล้วเผาไทยทุ่มซื้อเสียงจนชนะเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาล เขาจะช่วยให้จีนได้งานทำระบบก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในไทย
เฮ้อ..ช่างไม่ประมาณตัวเสียเลย ผู้นำจีนท่านนี้ เขาตงฉินนักเรื่องทุจริตนี่ เขาถือเป็นนโยบายชาติเขาทีเดียว ขืนทะลึ่งโผล่ไปปักกิ่ง เจอจับตัวส่งกลับมารับโทษในไทยแน่
คนแดนไกลจึงมีแผนจะกลับไปอยู่เกาะมาเฟียมอนเตรเนโกร เพราะไปประเทศอื่น เขากลัวการถูกลอบสังหาร และกลัวประเทศนั้นๆ จะจับเขา ในข้อหาผู้ต้องหาส่งกลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ขนาดนั่งอยู่ตามภาพยังเปิดแผนที่โลก ครุ่นคิดว่าจะไปหลบอยู่ซอกไหนของโลกจะปลอดภัย เพราะแผ่นดินบนโลกนี้ แคบลงทุกวันสำหรับเขา
แถมการข่าวพบว่า เขาติดต่อโดยตรงมายังอดีต รมต.เผาไทย ให้บอก ส.ส.สมุนว่าอย่าปลดเชือกที่ร้อยจมูกไว้ แล้วแหกคอกไปอยู่ที่อื่น โดยเขาหลอกว่าไปดูหมอดูพม่ามาแล้ว ว่า คสช.จะอยู่ได้ 5 เดือน
เฮ้อ..ถ้าส่งตัวกลับมาไทย ลูกน้องที่เป็นอธิบดีกรมคุก ก็เพิ่งถูกเด้งไปเป็นผู้ตรวจฯ กระทรวง คงไม่เหมาะไปอยู่คุก น่าจะถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญามากกว่า เพราะเกินจะเยียวยาจริงๆ
แต่ในทางกลับกันคุณวีระ ที่ เป็นคนจิตใจดี เสียสละเพื่อชาติ แม้ศาลเขมรจะพิพากษาจำคุกเขา 8 ปี แต่เขาติดคุกจริง 3 ปี 6 เดือน 3 วัน เขาก็ได้กลับได้มาเหยียบแผ่นดินเกิด และการมาก็แบบเท่ห์ๆ แบบฮีโร่เสียด้วย ช่างต่างกันฟ้ากับเหวในผลกรรมที่ได้รับ ระหว่างคนทำไม่ดีต่อชาติ กับอีกคนที่ทำดีต่อชาติ
มาดูตัวอย่างอีกคน นายไม่ฉลาด เสื้อแดง ที่อดอาหารประท้วงที่ คสช.มาช่วยวิกฤติชาติ ขจัดนักการเมืองโกงออกไป แล้ว คืนความสุขประชาชน เขาอดข้าวแต่กินน้ำผึ้งทุกวัน จนเบาหวานถามหา ร่างกายอ่อนเพลีย อวัยวะภายในตับ ไต เสื่อมสภาพหมด อาการทรุดหนัก
หมอที่ไปตรวจเขาตอนนี้ คือ หมอเหวง...ป๊าดดิโถ !! เคยแต่ก่อม็อบพูดโกหกตลอดเวลา จนหมดสิ้นจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ไปตั้งนานแล้ว มาตรวจได้หรือเนี่ย ทำท่าเอาหูฟังไปแปะๆ ตามตัวนายไม่ฉลาด เสียงที่ได้ยินคือ ตูมๆๆ เปรี้ยงๆๆ ซะละมั้ง !!
นายไม่ฉลาดนี่ตอนนี้อาการไม่ดีนัก โอกาสเดินทางไปประท้วงยมบาลแบบเท่ห์ๆ มีสูงมาก เพราะร่างกายมนุษย์ไม่ได้ออกแบบมาให้กินของหวานได้นานขนาดนั้น จำเป็นต้องได้อาหารอื่นบ้าง เช่น มาม่า กินตอนตี 2-3 ปลอดคน เหมือนที่นายไม่ฉลาด เคยทำทุกครั้ง
ส่วนอีกคน ก็เป็ดเหลิม ล่าสุดเขาไปงานศพอดีต ส.ส.แดง พีระพันธ์ ที่จู่ๆ ก็หัวใจวายตายฉับพลันเมื่อปูเน่าไปเยี่ยม เป็ดเหลิมก็ดูสภาพไม่สู้ดี ตาเหม่อลอย มองไปบนท้องฟ้าตลอดเวลา ไม่อยากจะพูดจากับใคร ใบหน้าคล้ำหมอง
ไม่ยอมให้สัมภาษณ์นักข่าวเหมือนเคย ว่าวันนี้ M79 จะลงที่ไหน เพราะเขาจะรู้ล่วงหน้าทุกครั้งที่ M79 จะลง และเขาก็ไม่เปิดการแถลงข่าวเหมือนเคยว่าง่ามหนังสติ๊ก อาวุธสงครามวิถีโค้งพิสัยใกล้ ที่เขาเคยจับได้จาก กปปส.จำนวน 10 อัน และตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่ จน ครึกโครมไปทั่วโลก
จนบัดนี้เขาก็ยังไม่ยอมเปิดเผยว่า ง่ามหนังสติ๊กนั้นมันโตขึ้น จนพัฒนากลายเป็นขีปนาวุธสกั๊ด หรือ โทมาฮอร์คที่ร้ายแรงหรือยัง เพื่อที่ไทยจะได้นำไปเป็นต้นแบบผลิตอาวุธสงครามมาสู้กับมหาอำนาจได้
อันจะเป็นการปฏิวัติวงการอาวุธร้ายแรง ที่อเมริกา ต้องวิ่งแจ้นมาขอลิขสิทธิ์จากไทย นำ ไปผลิตอาวุธลับ ให้กลุ่มติดอาวุธไอซิล ใช้โจมตีรัฐบาลอิรัก อยู่ตอนนี้้
ในยุคยึดอำนาจนี้ จะเห็นข้อเปรียบเทียบได้ชัดเจนว่าคนดีจะมีที่ยืนในสังคมอย่างสง่าผ่าเผย และภาคภูมิใจ ส่วนนักแสวงโชคทางการเมืองตัวเอ้ กลับมีชะตากรรมที่แทบไม่มีแม้แต่แผ่นดินจะยืนอยู่บนโลกกว้างใบนี้ !!
@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/topsecretthai

ปริศนาอันดำมืดของโลก ปริศนาที่ ๒ ที่น่าจะเกิดปรากฎการณ์ระดับโลกในเร็วๆนี้

Paisal Puechmongkol
ปริศนาอันดำมืดของโลก ปริศนาที่ ๒ ที่น่าจะเกิดปรากฎการณ์ระดับโลกในเร็วๆนี้
๑ เยอรมันได้ฝากทองคำซึ่งเป็นสำรองของประเทศไว้กับสหรัฐ และสหรัฐแอบเอาไปขายหมดเมื่อ ๒๐๑๑ ตามที่อดีตรัฐมนตรีคลังสมัยรีแกนเพิ่งแฉเมื่อเร็วนี้ ไม่มีปัญญาคืนแก่เยอรมันและเยอรมันกำลังทวงถาม
๒ สหรัฐนำขีปนาวุธที่ทันสมัยและร้ายแรงที่สุดไปติดตั้งในเยอรมันเพื่อจอคอหอยรัสเซีย แต่รัสเซียแก้เกมส์ทันเอาขีปนาวุธที่ีทันสมัยและร้ายแรงที่สุดไปติดตั้งในกลุ่มลาตินอเมริกา จะเจ๊ากันหรือไม่เจ๊า
๓ จะเกิดธุรกรรมบรรลือโลกสามเส้าคือ เยอรมัน จีน อเมริกา แบบอังกฤษ จีน รัสเซีย หรือไม่ และเป็นเรื่องอะไร
๔ ระบบการเงินสหรัฐที่ต้องขึ้นอยู่กับ เอฟอาร์ดี ทั้งที่เป็นของเอกชนคือ รอกกี้เฟลเลอร์ รอดชายด์และยิว จะถูกเปลี่ยนมือหรือไม่และจะเกี่ยวกับแอฟริกาและตะวันออกกลางอย่างไร
ปริศนานี้ก็ใหญ่โตและมืดดํา

เหตุการณ์์การเมืองช่วงร.๗

ความดื้อของรัชกาลที่ 7

สภาวะหวาดระแวงระหว่างรัชกาลที่ 7 กับคณะราษฎรได้ดำรงอยู่ตลอดมา มีการจัดตั้งสมาคมการเมืองของคณะราษฎรโดยเปิดรับสมาชิกและคัดเลือกคนส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองนักสืบคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของคนสำคัญในระบอบเก่า ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกไปเมื่อมีการปรับปรุงกรมตำรวจโดยมีกองสันติบาลทำหน้าที่สืบข่าวการเมืองแทน

ขณะที่ทางด้านรัชกาลที่ 7 ก็ดำเนินการจัดตั้งหน่วยสายลับตามพระราชประสงค์เช่นกัน สายลับส่วนพระองค์คนหนึ่งภายใต้การดูแลของเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ผู้สำเร็จราชการพระราชวัง ในนาม รหัส พ. 27 หรือพโยม โรจนวิภาตเป็นผู้มีความใกล้ชิดกับวงการหนังสือพิมพ์ เห็นว่าผู้ก่อการปฏิวัติ แม้จะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏเนื่องจากทำการสำเร็จ แต่ก็ยังถือว่าเป็นโจรปล้นราชบัลลังก์

พวกเชื้อพระองค์ต่างก็แสดงความไม่พอใจคณะราษฎรว่าช่วงชิงทำการเปลี่ยนแปลงและโจมตีเจ้านายให้เสียหาย ม.จ.นักขัตรมงคลพ่อของมรว.สิริกิติ์ถึงกับพูดว่าวงศ์จักรีจะแก้แค้นคณะก่อการฯตัดหัวเอาเลือดล้างตีนวงศ์จักรี บรรดาเชื้อพระวงศ์และพวกนิยมกษัตริย์ยังได้เข้าไปแทรกซึมและจัดตั้งเครือข่ายนักหนังสือพิมพ์เพื่อใช้เป็นกระบอกเสียงต่อต้านการปฏิวัติ 2475

ตามมาด้วยการดิ้นรนต่อสู้ของพวกต่อต้านการเปลี่ยนแปลง หรือพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ ในปี 2476 จากพระบรมราชวินิจฉัยคัดค้านเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจของนายปรีดีที่ต้องการสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ

จากการที่นายปรีดีผู้เป็นมันสมองของคณะผู้ก่อการปฏิวัติ 2475 ได้ย้ำเสมอว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เพื่อจะทำการปฏิรูปเศรษฐกิจของชาติ นำความสุขสมบูรณ์มาสู่ราษฎรและประเทศ มิใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมอย่างที่เป็นอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

นายปรีดีได้เสนอการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือครองที่ดินและกำหนดให้รัฐเข้าประกอบการทางเศรษฐกิจ โดยประชาชนมีฐานะเป็นข้าราชการและรัฐมีหน้าที่สร้างสวัสดิการให้แก่ประชาชนตามแนวทางสหกรณ์ครบรูปที่ประชุมคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เห็นพ้องและสนับสนุนความคิดของนายปรีดี พระยามโนปกรณ์ประธานคณะกรรมการราษฎรได้มอบหมายให้นายปรีดีเป็นผู้เขียนเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาตินำขึ้นถวายรัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ก็ทรงเห็นชอบด้วย สมาชิกคณะราษฎรส่วนมากก็เห็นชอบด้วย แต่ก็มีผู้คัดค้านรุนแรงคือพระยาทรงสุรเดชและพวกทหารบางส่วน พระยามโนปกรณ์ได้กราบทูลชี้แจงแก่รัชกาลที่ 7 จนพระองค์ทรงลังเล พอมีการพิมพ์เค้าโครงเศรษฐกิจแจกจ่าย พระยามโนปกรณ์ไม่เห็นด้วยโดยอ้างว่าได้ไปเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 7 มาแล้ว พระองค์ก็ไม่เห็นด้วย นายปรีดีได้นำเสนอคำชี้แจงเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 มีนาคม 2476 และชี้แจงต่อกรรมาธิการในวันที่ 12 มีนาคมโดยอธิบายว่าโครงการที่ตนเสนอนั้นไม่ใช่คอมมิวนิสม์ แต่ใช้หลักสังคมนิยมและทุนนิยมผสมผสานกัน

เสียงส่วนใหญ่ก็สนับสนุน แต่พระยามโนปกรณ์และพระยาทรงสุรเดชคัดค้านตลอดการประชุม ต่อมาที่ประชุมผู้ก่อการมีมติสนับสนุน แต่พระยาทรงสุรเดชได้ประชุมนายทหารกล่าวหาว่านายปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ พระยามโนปกรณ์ก็ได้แพร่ข่าวไปในหมู่พ่อค้าและราษฎรว่าเค้าโครงการณ์ฯ ของนายปรีดีเป็นคอมมิวนิสม์ และคณะราษฎรจะนำโครงการคอมมิวนิสม์มาใช้ดำเนินการเศรษฐกิจของประเทศ พระยามโนปกรณ์ได้ส่งพระบรมราชวินิจฉัยให้นายปรีดีอ่านในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม กล่าวหาว่าโครงการณ์เศรษฐกิจของนายปรีดีเหมือนกับโครงการของสตาลินแห่งรัสเซียทุกประการ เป็นแผนเศรษฐกิจของพวกคอมมิวนิสต์ ควรเลิกล้มความคิดเพราะจะนำความเดือดร้อนจนสร้างความหายนะแก่ประเทศชาติ นายปรีดีจึงขอลาออกจากรัฐมนตรีแต่พระยาพหลให้ระงับการลาออกไว้ก่อน โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ลงมติรับเอาแนวทางเศรษฐกิจของพระยามโนปกรณ์เป็นนโยบายของรัฐบาลแทน

แต่ความขัดแย้งทางการเมืองก็รุนแรงขึ้นโดยพระยามโปกรณ์ได้ทำการยึดอำนาจโดยการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ด้วยการประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ในวันที่ 1 เมษายน 2476 และได้รีบออก พรบ. ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ 2476 ในเช้าวันถัดมา พระยามโนปกรณ์ได้เขียนโคลงโจมตีนายปรีดีลงหนังสือพิมพ์ มีการเผยแพร่พระบรมราชวินิจฉัยสู่สาธารณะโดยรัชกาลที่ 7 ทรงออกเงินทุนให้พิมพ์เผยแพร่โหมการโจมตีว่านายปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ ถึง 3000 ฉบับ มีความยาว 50 หน้ากระดาษ แสดงว่ารัชกาลที่ 7 ไม่ได้เขียนเองเพราะพระองค์เขียนบทความภาษาไทยยาวๆไม่ได้ เนื่องจากพระองค์ใช้ชีวิตที่เมืองนอกตั้งแต่เด็กนานเกือบสิบปี จึงทรงเขียนเรื่องขนาดยาวด้วยภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การเผยแพร่คำชี้แจงเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจฯของนายปรีดีออกแจกจ่ายแค่ในหมู่คณะรัฐมนตรี สมาชิกคณะราษฎรและอาจรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น นายปรีดีจึงต้องรีบลี้ภัยออกนอกประเทศ

รัฐบาลพระยามโนปกรณ์ได้สั่งควบคุมการเสนอข่าวและความคิดเห็นเรื่องเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจ โดยห้ามพิมพ์เอกสารซึ่งแสดงไปในทางการเมืองหรือนโยบายรัฐบาลหรือเหลื่อมไปในทางลัทธิคอม มิวนิสม์หากมีข้อสงสัยในเอกสารใดให้นำเสนอต่อทางการพิจารณาก่อน มิฉะนั้นอาจสั่งปิดโรงพิมพ์ทันที
วันรุ่งขึ้นหลังจากนายปรีดีออกนอกประเทศไปแล้ว พระยามโนปกรณ์ได้เรียกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เข้าพบ โดยตำหนิหนังสือพิมพ์บางฉบับว่าพูดจาว่าร้ายตนเอง เสียดสีรัฐบาลและสนับสนุนนายปรีดี พร้อมทั้งประกาศห้ามสนับสนุนโครงการเศรษฐกิจอีก มิฉะนั้นจะจัดการอย่างเด็ดขาด

ต่อมารัฐบาลได้สั่งปิดหนังสือ พิมพ์ หลักเมืองในข้อหาแสดงความ นิยมต่อเค้าโครง เศรษฐกิจ ของนายปรีดีโดยได้ตีพิมพ์บทความว่าเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีไม่ใช่เรื่องที่จะนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ และประชาชนไทยยังคงหวังที่จะได้เห็นเศรษฐกิจและอุตสาหรรมที่นายปรีดีจักได้เลือกเฟ้นเอามาใช้ให้เหมาะกับประเทศชาติต่อไป การตีพิมพ์บทความของหนังสือพิมพ์หลักเมืองดังกล่าวเป็นการขัดหลักการของรัฐบาลและเป็นความผิดตามพรบ.คอมมิวนิสต์

รัชกาลที่ 7 ได้มีหนังสือต่อว่าพระยามโนปกรณ์ที่ไม่จัดการคณะราษฎรให้เด็ดขาด โดยที่พระองค์เคยลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการไว้ล่วงหน้าให้ประหารชีวิตคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน 2476 โทษฐานก่อการกบฏต่อราชวงศ์จักรี โค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จากนั้นให้นำหัวของพวกกบฏเสียบประจานแก่ประชาชน เพื่อมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างที่ท้องสนามหลวง แต่ทว่าแผนการประหารหมู่ตามพระราชประสงค์นั้นต้องประสบความล้มเหลว เนื่องจากพระยาพหลฯได้ทำการยึดอำนาจคืนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476 และได้เรียกตัวนายปรีดีกลับประเทศ สภาผู้แทนได้ดำเนินการไต่สวนและลงความเห็นว่านายปรีดีมิได้เป็นคอมมิวนิสต์ตามที่ถูกกล่าวหา

พระยาพหลฯได้ขอร้องมิให้หนังสือพิมพ์รื้อฟื้นเรื่องความขัดแย้งโดยย้ำว่ารัฐบาลอยากให้ลืมเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจและพระบรมราชวินิจฉัย เพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง บรรยากาศทางการเมืองจึงเริ่มผ่อนคลาย แทบไม่มีการนำความขัดแย้งในประเด็นนี้ขึ้นมาโต้แย้งกันอีกเลย
แต่การเคลื่อนไหวต่อต้านปฏิวัติก็ยังคงดำเนินต่อไปถึงขั้นมีการยกทัพเข้ามาจากเมืองโคราช ราชบุรีและเพชรบุรี ภายใต้การนำของพระองค์เจ้าบวรเดช หมายจะปราบปรามคณะราษฎรในวันที่ 11 ตุลาคมปีเดียวกัน..............