PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

พบอาวุธใกล้ที่ประชุมครม./หรือจะเกี่ยวปืนหายปี53?

พบระเบิดใกล้สวนสนใกล้ที่จัด ครม.สัญจร

หน่วยอีโอดีเข้าเก็บกู้กองวัตถุระเบิด-เครื่องกระสุนจำนวนมาก พบถูกซุกซ่อนในเขตพื้นที่ปลูกป่า ริมถนนเพชรเกษม ห่างสวนสนประดิพัทธ์ จุดครม.สัญจรเพียง 3 กิโลเมตร "เสธ.ไก่อู" ยันไม่ใช่ก่อการร้าย พร้อมประชุมเหมือนเดิม

เดลินิวส์ วันอาทิตย์ 22 มีนาคม 2558 เวลา 21:54 น.

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ศูนย์วิทยุ 191 รับแจ้งจากชายหาปลาแรงงานชาวกัมพูชาว่า พบกองวัตถุระเบิดจำนวน 2 กอง ภายในพื้นที่ปลูกป่าโครงการปลูกต้นไม้รอบบ้านพ่อ ริมถนนเพชรเกษม ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์กับโรงเรียนนายสิบทหารบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ห่างจากสถานพักฟื้นกองทัพบกสวนสนประดิพัทธ์ ประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่จัดประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27-28 มี.ค.นี้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวหิน ได้ประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี.) ค่ายนเรศวร ให้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบวัตถุระเบิดพร้อมเครื่องกระสุนปืนสงครามจำนวนมากบรรจุอยู่ในกระสอบสีขาว และสีเขียว สำหรับทำบังเกอร์ทหารจำนวน 7 ถุง กองอยู่ใกล้ ๆ กัน เจ้าหน้าที่ตำรวจอีโอดีได้ตรวจสอบพบเป็นระเบิดซีโฟร์ ระเบิดทีเอ็นที ฝักแคระเบิด ระเบิดเพลิง ระเบิดแก็สน้ำตา ระเบิดควัน พลุส่องสว่าง ชนวนจุดระเบิดไฟฟ้า ชนวนจุดระเบิดแบบธรรมดา ตัวจุดจุดชนวนแบบ M3 M4 M5 กระสุนปืน M16 และกระสุนปืนอาก้าในกล่องเหล็ก ซึ่งที่กระสอบมีข้อความเขียนไว้ว่า ร้อย 1 พัน 1

จากการสอบสอบ พบว่าระเบิดทั้งหมด อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน แต่ยังไม่ได้มีการต่อวงจร เจ้าหน้าที่จึงได้เคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดทั้งหมดที่พบออกจากป่าขึ้นมาบนถนนภายในโครงการปลูกป่า เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และร่วมกันตรวจสอบพร้อมรายงานข้อมูลให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งจะมีการสืบหาที่มาของวัตถุระเบิดทั้งหมด โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในการประชุม ครม.สัญจร หรือไม่ โดยมีการสันนิฐานเบื้องต้นอาจจะเป็นกลุ่มบุคคลที่กลัวความผิดจากการกดดันระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นได้

ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รายละเอียดต้องสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับขบวนการการก่อการร้ายหรือไม่นั้น ตนคิดว่าเร็วไปที่จะสรุปแบบนั้น แต่ความคิดเห็นส่วนตัวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ไม่หวังดีจะทำการก่อการร้าย เพราะไม่ใช่ระเบิดที่สำเร็จรูป โดยเป็นอุปกรณ์ที่ยังไม่พร้อมใช้งาน และจะต้องทำการประกอบจากวัสดุหลายตัวก่อน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการประชุม ครม.สัญจร ยังคงจัดขึ้นตามกำหนดการเดิมทั้งวัน และสถานที่เดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานกรณีพบระเบิดและอาวุธสงครามจำนานมากถูกนำมาทิ้งไว้บริเวณป่าละเมาะ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใกล้กับสถานที่จัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในปลายเดือนนี้แล้ว สันนิษฐานว่าคนร้ายกลัวมีความผิดที่ครอบครองอาวุธดังกล่าวจึงนำมาทิ้งไว้ เนื่องจากก่อนจะมีการประชุม ครม.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้มีการตั้งด่านตรวจสกัดและระดมกำลังกวาดล้างอาชญากรรม ส่วนกรณีดังกล่าวคนร้ายต้องการนำมาสร้างสถานการณ์ก่อนการประชุม ครม.หรือไม่นั้นยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน อย่างไรก็ตามเบื้องต้นอาวุธปืน และระเบิดดังกล่าวเป็นคนละชนิดกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุระเบิดที่ศาลอาญารัชดา อีกทั้งผู้ต้องหาขบวนการนี้ก็ถูกจับกุมแล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน

อย่างไรก็ตามในส่วนของความชัดเจนต่าง ๆ ต้องรอพนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนตรวจสอบที่มาให้ชัด

ส่วน พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค7 กล่าวว่า พรุ่งนี้เวลา 09.30 น. ได้เรียกประชุมตามปกติ ไม่มีวาระพิเศษ ส่วนระเบิดที่พบเบื้องต้นอยู่ในสภาพพร้อมใช้ แต่จะให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธตำรวจและทหารเข้ามาตรวจสอบอีกที คาดว่าระเบิดที่พบเป็นเพราะตำรวจตั้งด่านอย่างเข้มงวด ระหว่างวันที่ 18-24 มี.ค. รองรับการประชุมของนายกฯ วันที่ 27 มี.ค.นี้ จึงเชื่อว่าคนร้ายอาจจะกลัวเลยเอามาทิ้งไว้.

--------------------
“ปณิธาน” เผย “ประวิตร” สั่งคุมเข้ม-ตรวจสอบ หลังพบอาวุธสงครามเพียบ ที่ประจวบฯ ย้ำบี้กลุ่มเห็นต่างที่ใช้ความรุนแรง

นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุระเบิดที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใกล้กับที่ประชุมคณ ะรัฐมนตรี (ครม.)สัญจรว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดในการดูแลพื้นที่ให้มากขึ้น พร้อมทั้งมีการประเมิน และส่งเจ้าหน้าที่ลงไปในพื้นที่เพื่อติดตามกลุ่มผู้ต้องสงสัย ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ฝ่ายความมั่นคงได้ทำมาโดยตลอดตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ระเบิดที่สยามพารากอนซึ่งที่ผ่านมาเครือข่ายผู้ก่อเหตุมีจำนวนหลายคนทำให้สามารถจับกุมได้และขยายผลเชื่อมโยงได้ง่าย และกรณีล่าสุดจากการตรวจพบระเบิดที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร อย่างไรก็ตาม มาตรการในการบีบให้กลุ่มผู้เห็นต่างจากคสช.ที่ใช้ความรุนแรง รัฐบาลมีความเข้มงวดและมีมาตรการกดดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเปิดพื้นที่ในการมีส่วนร่วมทั้งการปฏิรูปและร่างรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีการคลายกฎอัยการศึกควบคู่กันไป สำหรับมาตรการในการคลายกฎอัยการศึกนั้นพล.อ.ประวิตรได้เสนอนายกฯ ไปตั้งแต่ปลายปี 2557 โดยกำหนด 2 แนวทางคือ 1.กดดันผู้ที่ใช้ความรุนแรงและ 2. เปิดพื้นที่ให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองซึ่งขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์กำลังพิจารณาในมาตรการดังกล่าวอยู่
“ต้องยอมรับในภูมิภาคของเรามีอาวุธสงครามอยู่มาก มีประวัติของมันมาตั้งแต่แรก เมื่อเกิดสงครามอาวุธเหล่านี้จึงเป็นอาวุธเก่า ขณะเดียวกันตอนหลังมีความพยายามขายอาวุธของหลายประเทศ ใน
ภูมิภาคของเราจึงมีขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ซึ่งบังเอิญว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายปีมีเรื่องของกระบวนการเหล่านี้ด้วย คราวนี้เขาก็จะจัดระบบพยายามบีบและตัดตอน เพราะจากการปราบปรามจึงทำให้หลายคนนำอาวุธเหล่านี้ไปฝังหรือไปทิ้งซึ่งที่เป็นข่าวก็มี ไม่เป็นข่าวก็เยอะ แต่อย่างที่พบล่าสุดก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร” นายปณิธาน กล่าว
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/640457#sthash.7t8EJAal.dpuf
---------------------------
จ.ประจวบคีรีขันธ์ เตรียมเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยรอบบริเวณสถานที่จัดประชุม ครม.อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หลังพบระเบิดและกระสุนอาวุธสงครามจำนวนมากใกล้สวนสนประดิพัทธ์
แหล่งที่มา : สวท.ประจวบคีรีขันธ์
วันที่ข่าว : 23 มีนาคม 2558

นายสมมิตร ศิลป์ประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยถึงกรณีพบระเบิดและกระสุนอาวุธสงครามจำนวนมาก ริมถนนเพชรเกษม ใกล้สวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน ว่า ขณะนี้ทางมณฑลทหารบกที่ 15 และตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กำลังทำการสืบสวนสอบสวนถึงที่มาของระเบิดเหล่านี้ว่า มาจากที่ไหนและใครเป็นผู้นำมาทิ้งไว้ เพื่อเป้าประสงค์อะไร ซึ่งทางจังหวัดพร้อมจะให้ความร่วมมือในทุกรูปแบบ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม จากนี้จะต้องเพิ่มความเข้มงวดในด้านการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นไปอีก และเชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว

ด้าน พล.ต.ต.กษณะ แจ่มสว่าง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ระเบิดทั้งหมดอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และขณะนี้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่โรงเรียนนายสิบทหารบก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยจะเข้ามาตรวจสอบที่มาของอาวุธเหล่านี้
----------------------
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ยืนยันว่าการพบระเบิดในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่เกี่ยวกับการประชุม ครม.สัญจร เพราะไม่มีสัญญาณเตือนเรื่องภัยคุกคาม

(23/3/58)พลตำรวจโทวีรพงษ์ ชื่นภักดี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สรุปถึงการดูแลด้านความรักษาความปลอดภัย และการเตีรยมงานในการประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 ที่จะจัดขึ้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 27-28 มีนาคมนี้ มีความพร้อมอย่างมาก เพราะมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง 2,900 นาย เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งด้านการข่าว และการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการจัดการจราจร ที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ด้วย

ส่วนการพบวัตถุระเบิด กระสุนปืนสงคราม ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวานนี้ หน่วยข่าวกรอง ตรวจสอบแล้วไม่พบสัญญาณภัยคุกคาม หรือการก่อเหตุรุนแรง แต่น่าจะเป็นของผู้ชำนาญการเท่านั้น ซึ่งยังไม่ทราบที่มา ต้องรอผลการตรวจสอบจากกรมสรรพาวุธทหารบก และกองสรรพาวุธของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกครั้ง

ด้าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ครั้งแรก ที่จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ว่ายังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิม ส่วนที่มีตรวจพบการอาวุธสงครามในบริเวณใกล้เคียงสถานที่จัดประชุม ครม. นั้น ตรวจสอบพบว่าส่วนใหญ่เป็นของเก่าที่มีคนนำมาทิ้ง และมีจำนวนไม่มาก

ที่มา: www.krobkruakao.com
--------------------
พบระเบิด-กระสุนปืนสงครามอื้อ ซุกป่า ใกล้ที่ประชุมครม.สัญจรหัวหิน
ไทยรัฐ23/3/58

พบระเบิดและกระสุนปืนสงครามจำนวนมากซุกกระสอบ ทิ้งป่าริมถนน ใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใกล้ที่ประชุม ครม.สัญจร วันที่ 27-28 มี.ค.นี้ ห่างเพียง 2 กม. ตร.เร่งสืบหาที่มา พบอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน แค่ยังไม่ได้ต่อวงจร...

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 มี.ค.58 มีรายงานว่า ศูนย์วิทยุ 191 รับแจ้งจากชายหาปลาว่า พบกองวัตถุระเบิดจำนวน 2 กอง ภายในพื้นที่ปลูกป่าโครงการปลูกต้นไม้รอบบ้านพ่อ ริมถนนเพชรเกษม ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กับโรงเรียนนายสิบทหารบก ห่างจากสถานพักฟื้นกองทัพบกสวนสนประดิพัทธ์ ประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่จัดประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27-28 มี.ค.นี้ หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ พร้อม หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี)ค่ายนเรศวร

เจ้าหน้าที่อีโอดี ตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ที่เกิดเหตุ พบวัตถุระเบิด พร้อมเครื่องกระสุนปืนสงครามจำนวนมาก บรรจุอยู่ในกระสอบสีขาว และสีเขียว สำหรับทำบังเกอร์ทหารจำนวน 7 ถุง กองอยู่ใกล้ๆ กัน เจ้าหน้าที่อีโอดี จึงได้ทำการตรวจสอบ พบเป็นระเบิด ระเบิดซีโฟร์ ระเบิดทีเอ็นที ฝักแคระเบิด ระเบิดเพลิง ระเบิดแก๊สน้ำตา ระเบิดควัน พลุส่องสว่าง ชนวนจุดระเบิดไฟฟ้าชนวนจุดระเบิดแบบธรรมดา ตัวจุดจุดชนวนแบบ M3 M4 M5 กระสุนปืน M16 และกระสุนปืนอาก้า ในกล่องเหล็ก ซึ่งที่กระสอบมีข้อความเขียนไว้ว่า ร้อย 1 พัน 1

อีโอดี แยกระบิดชนิดต่างๆมาตรวจสอบ

ทั้งนี้ จากการสอบสอบพบว่าระเบิดทั้งหมดอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน แต่ยังไม่ได้มีการต่อวงจร เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเคลื่อนย้าย วัตถุระเบิดทั้งหมดที่พบออกจากป่าขึ้นมาบนถนนภายในโครงการปลูกป่า เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยจากนี้จะมีการสืบหาที่มาของวัตถุระเบิดทั้งหมด โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในการประชุม ครม.สัญจร หรือไม่

ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นกลุ่มบุคคลที่กลัวความผิดจากการกดดันระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นได้ระเบิดและเครื่องกระสุนจำนวนมากซุกริมถนน

สำหรับ ชนิดระเบิดทั้งหมด ประกอบด้วย ฝักแคระเบิด ความยาวประมาณ 100 เมตร ระเบิด TNT ขนาด 1/4 ปอนด์ จำนวน 41 แท่ง ระเบิด TNT ขนาด 1/2 ปอนด์ จำนวน 7 แท่ง ระเบิด TNT ขนาด 1 ปอนด์ จำนวน 1 แท่ง ระเบิดซีโฟร์ one ขนาด 1/4 ปอนด์ จำนวน 4 แท่ง ระเบิดเพลิง WP M 34 จำนวน 20 ลูก ระเบิดเพลิงสำหรับเผาไหม้ TH3 AN-M14 จำนวน 11 ลูก แก๊สน้ำตา N201 MK3 จำนวน 12 ลูก สโมกควัน M18 จำนวน 2 ลูก ประทัด M80 23 ลูก ตัวจุดระเบิดชนิด M3 จำนวน 62 ชุด เชื้อปะทุไฟฟ้า 15 ชุด ตัวจุดระเบิด ชนิด M6 จำนวน 148 ชุด เชื้อปะทุธรรมดา 944 แท่ง พลุส่องสว่าง  16 ตัว ลวดสะดุด 12 ม้วน กระสุนปืน ปลย.88 12 นัด ปืนกล93 2 นัด M60. 5 นัด M16. 55 นัด กระสุนซ้อม m60. 2 นัด.

/////////////

(ข้อมูล ปี 2554)

อาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมากหายจากศูนย์ทหารราบปราณบุรีกลางดึก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์การทหารราบปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา  3 มีนาคม 2554  ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 ศูนย์การทหารราบ ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.ปราณบุรี ว่า อาวุธปืนกลเล็กยาว หรือ เอ็ม 16  ปืนกล Mimini ปืนพก 86 ขนาด 11 มม. และปืน ค.60 พร้อมกระสุนจำนวนมาก

ทั้งนี้ ได้เกิดการสูญหายไปจากคลังอาวุธของกองพันทหารราบที่ 1 ศูนย์การทหารราบ  ภายหลังจากที่ทำการตรวจคลังอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งรวมแล้วกว่า 100 รายการ ล่าสุดได้รายงานถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก รับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยMthainews
//////////////
ปืนหายปี 53 นำกลับมาสร้างสถานการณ์สงครามกลางเมือง

 BB 12สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - “สำหรับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จากข้อมูลงานด้านการข่าวพบว่า มีหลายกลุ่มด้วยกัน ส่วนใหญ่จะมีส่วนกับการชุมนุมในปี 2553”

ข้อมูลข้างต้นแทรกอยู่ในตอนหนึ่งในถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หลังเหตุรุนแรงต่อ กปปส.ตราด และราชประสงค์ ที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

คล้ายเป็นการส่งสารไปยัง “ชุดดำ” ว่า ทหารรู้หมดว่า ใครเป็นผู้ก่อเหตุ หรือก่อเหตุเพื่อใคร และถ้าขืนยังใช้กำลังกับประชาชนอีก กองทัพจะไม่อยู่เฉยแน่นอน

สอดคล้องกับคำแถลงของ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก ทบ. หลังเหตุปะทะที่แยกหลักสี่ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาวุธสงครามที่นำมาใช้ เป็นชนิดเดียวกับที่มีใช้ในกองทัพ

โดย พ.อ.วินธัย ชี้แจงว่า “มีบางคนวิจารณ์ว่า คนใช้อาวุธมีความชำนาญพิเศษ และอาวุธที่ใช้คล้ายของทางทหาร เหมือนต้องการชี้นำให้สังคมรู้สึกว่า ทหารอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ขอเรียนว่า อาวุธปืนบางชนิด ทั้งปืนพก ปืนคาร์บิน อาวุธสงครามที่เห็นนั้น มีใช้กันอยู่หลายหน่วยทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทหารเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่า ขอให้มั่นใจว่า กองทัพบกมีระบบการเก็บรักษาอาวุธที่เข้มงวดมาก และการปฏิบัติภารกิจในช่วงนี้จะไม่มีการนำอาวุธติดตัวออกปฏิบัติงาน แต่สิ่งที่ยังเป็นข้อกังวล และต้องระมัดระวังให้สังคมต้องช่วยกันจับตาดู เพราะมีอาวุธปืนจำนวนหลายกระบอกที่เคยถูกกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยึดไปตั้งแต่การชุมนุมเมื่อปี 53 ซึ่งปัจจุบันยังตามคืนมาได้ไม่ครบ”

ทั้งนี้ แหล่งข่าวความมั่นคงในกองทัพเผยจำนวนอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนที่หายไปในระหว่างการปะทะเมื่อปี 53 โดยจำแนกตามจำนวน และตามจุดที่ปะทะ ดังนี้

1.เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า อาวุธปืนรุ่นทาโว่ จำนวน 12 กระบอก กระสุน 700 นัด แต่หลังเหตุการณ์ผ่านไป 2 ปี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 มีชาวบ้านพบอาวุธปืนทาโว่ ซึ่งมีเลขทะเบียนตรงกับ

อาวุธที่หายไปที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า จำนวน 10 กระบอก ที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ดังนั้น จึงเหลืออาวุธปืนทาโว่ที่สูญหายไป 2 กระบอก

2.แยกคอกวัว อาวุธปืนลูกซอง จำนวน 35 กระบอก

3. บริเวณใกล้เคียงวัดบวรนิเวศ อาวุธปืนรุ่นเอ็ม 16 จำนวน 5 กระบอก

4. หน้า ร.ร.สตรีวิทยา ปืนกล 59 มม. จำนวน 6 กระบอก อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 6 กระบอก ปืนอูซี่ (บรรจุกระสุนยาง) 3 กระบอก ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) 9 กระบอก

5.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อาวุธปืนทาโว่ จำนวน 13 กระบอก ต่อมามีชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงนำอาวุธปืนมาคืน 3 กระบอก เหลืออาวุธปืนทาโว่ที่สูญหายไป 10 กระบอก

นอกจากนี้ ก่อนการเข้ากระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ยังมีอาวุธปืนสูญหายไปอีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 บริเวณย่านมักกะสัน มีอาวุธปืนรุ่นเอ็ม 16 สูญหายไปอีก 2 กระบอก และต่อมาได้อาวุธปืนเอ็ม 16 คืนที่วัดปทุมวนารามอีก 1 กระบอก

เรียงตามลำดับจำนวนอาวุธปืนที่หายไปจากมากไปหาน้อย

1.อาวุธปืนทาโว่ จำนวน 25 กระบอก (ได้คืน 10+3 = 13 กระบอก) ยังคงสูญหาย 12 กระบอก

2.อาวุธปืนลูกซอง จำนวน 35 กระบอก

3.อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 13 กระบอก (ได้คืน 1 กระบอกที่วัดปทุมฯ)

4.ปืนกล 59 มม. จำนวน 6 กระบอก

5.ปืน ปรส. จำนวน 9 กระบอก

และ 6.ปืนอูซี่ จำนวน 3 กระบอก

คิดสะระตะแล้วมีปืนหายไปทั้งสิ้น 91 กระบอก (ได้คืนแล้ว 14 กระบอก) รวมยอดสูญหาย 77 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนอีก 700 นัด!!!

อาวุธปืนสงคราม และกระสุนปืนที่หายไปราวกับคลังแสงย่อมๆ มากเกินพอที่จะนำมาใช้ประหัตประหารชีวิตคน โดยเฉพาะในสงครามการเมืองที่ใกล้จะเป็นสงครามกลางเมืองเข้าทุกที

ท่ามกลางความกังวลของกองทัพว่า อาวุธล็อตนี้ รวมทั้งอาวุธล็อตใหม่ๆ ที่ขนกันเข้ามาจะทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ เพื่อล่อให้ทหารปฏิวัติ แล้วซ้อนแผนตลบหลังเอาคืนอย่างสาสม

โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
27 กุมภาพันธ์ 2557
/////////////////
'ปืนหาย'ปี53อยู่ในมือ'ชุดดำ'77กระบอก
27ก.พ.57

เตือนความจำ'ปืนหาย'ปี53 อยู่ในมือ'ชุดดำ'77กระบอก : ตะลุยกองทัพ ทีมข่าวความมั่นคง

               เหตุการณ์ความรุนแรงรอบเวทีชุมนุมกปปส. ได้ถูก "ยกระดับ" ขึ้นเรื่อยๆ จากที่แค่ลองเชิงกันด้วยระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์ มาวันนี้ "ระเบิดเอ็ม 79" และอาวุธปืนนานาชนิดได้ถูกนำมาใช้ห้ำหั่นประหัตประหารกันแล้ว

               แน่นอนว่า อาวุธส่วนหนึ่งถูกระดมมาจาก "ตลาดมืด" ตามแนวชายแดน รวมทั้งที่มีในการครอบครองของกลุ่มผู้มีอิทธิพล และคนมีสีแต่อาวุธ และกระสุนปืนส่วนหนึ่งหน่วยข่าวเชื่อว่า นำมาจากเหตุปะทะเมื่อปี 2553 ที่มีอาวุธปืนสงคราม และกระสุนปืนหายไปจำนวนมาก

               พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยังระบุผ่านแถลงการณ์ชัดเจนว่า กำลังส่วนใหญ่ที่ก่อเหตุรุนแรงในขณะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อปี 2553

               แหล่งข่าวในกองทัพเผยถึงข้อมูลปืนหายเพื่อเตือนความทรงจำกันว่า ในเหตุการณ์ปะทะที่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มีอาวุธปืนสงครามพร้อมเครื่องกระสุนของกองทัพบก (ทบ.) สูญหายไปเป็นจำนวนมาก โดยจำแนกตามจำนวน และตามจุดที่ปะทะ ดังนี้

               1.เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า อาวุธปืนรุ่นทาโว่ จำนวน 12 กระบอก กระสุน 700 นัด

               ทว่า หลังเหตุการณ์ผ่านไป 2 ปี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 มีชาวบ้านพบอาวุธปืนทาโว่ ซึ่งมีเลขทะเบียนตรงกับอาวุธที่หายไปที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า จำนวน 10 กระบอก ในพื้นที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี จึงเหลืออาวุธปืนทาโว่ที่สูญหายไป 2 กระบอก

               2.แยกคอกวัว อาวุธปืนลูกซอง จำนวน 35 กระบอก  3.บริเวณใกล้เคียงวัดบวรนิเวศ อาวุธปืนรุ่นเอ็ม 16 จำนวน 5 กระบอก

               4.หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ปืนกล 59 มม. จำนวน 6 กระบอก อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 6 กระบอก ปืนอูซี่ (บรรจุกระสุนยาง) จำนวน 3 กระบอก ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) จำนวน 9 กระบอก

               5.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อาวุธปืนทาโว่ จำนวน 13 กระบอก ซึ่งต่อมามีชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงนำอาวุธปืนมาคืน 3 กระบอก จึงเหลืออาวุธปืนทาโว่ที่สูญหายไป 10 กระบอก

               นอกจากนี้ ก่อนเหตุการณ์กระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ยังมีอาวุธปืนสูญหายไปอีกจำนวนหนึ่ง

               บริเวณย่านมักกะสัน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 มีอาวุธปืนรุ่นเอ็ม 16 สูญหายไปอีก 2 กระบอก ต่อมาได้อาวุธปืนเอ็ม 16 คืนที่วัดปทุมวนารามอีก 1 กระบอก

               เรียงตามลำดับจำนวนอาวุธปืนที่หายไปจากมากไปหาน้อย ดังนี้

               1.อาวุธปืนทาโว่ จำนวน 25 กระบอก ยังคงสูญหาย 12 กระบอก

               2.อาวุธปืนลูกซอง จำนวน 35 กระบอก

               3.อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 13 กระบอก

               4.ปืนกล 59 มม. จำนวน 6 กระบอก

               5.ปืนปรส. จำนวน 9 กระบอก

               6.ปืนอูซี่ จำนวน 3 กระบอก

               สรุปแล้วมีอาวุธปืนหายไปทั้งสิ้น จำนวน 91 กระบอก (ได้คืนแล้ว 14 กระบอก) ยังคงสูญหาย 77 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนอีก 700 นัด !!!

               จากจำนวนอาวุธปืน และกระสุนปืนจำนวนมากที่หายไป เขามองว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่อาวุธจำนวนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ก่อเหตุร้ายเพื่อสังหารบุคคล หรือสร้างสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่เหตุปะทะที่แยกหลักสี่เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

               ทว่า นี่ก็เป็นเพียง "สมมุติฐาน" เท่านั้น โดยในการพิสูจน์ทราบนั้นจำเป็นต้องเจออาวุธปืนเสียก่อน เพราะอาวุธปืนของกองทัพจะตี "เลขทะเบียน" ไว้ สามารถระบุที่มาของปืนได้ทันที

               อย่างไรก็ตาม อำนาจในการสืบสวนจับกุมเป็นหน้าที่ของทาง "ตำรวจ" ที่จะต้องช่วยกันสืบสวนติดตามอาวุธปืนของกองทัพ เพราะหากไปตกอยู่ในมืออาชญากรที่มีความเชี่ยวชาญอาวุธก็

จะเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
.................................
(หมายเหตุ : เตือนความจำ'ปืนหาย'ปี53 อยู่ในมือ'ชุดดำ'77กระบอก : ตะลุยกองทัพ ทีมข่าวความมั่นคง)

////////////////

วันอังคาร ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555, 16.05 น.
ผบ.ทบ., ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ปืนหาย, กองทัพ, แจ้งความ, คดีไม่คืบ

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2555ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5)พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพบอาวุธปืนทราโว่ ทาร์ 21จำนวน 10 กระบอกถูกทิ้งไว้ที่ริมถนนสายท่าเรือ – พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ว่า ได้สั่ง การให้ตรวจสอบพบว่าเป็นปืนที่กองทัพบกได้แจ้งหายตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งต้องตรวจต่อไปว่าใครจะเอาปืนไปทำอะไรจะไปที่ไหน แสดงให้ เห็นว่าปืนที่แจ้งหายที่ สน.บางยี่ขัน จำนวน 22 กระบอก ได้คืนเพียง10 กระบอก ยังหายอีก 12 กระบอก และกระสุน จึงเป็นเหตุให้สันนิษฐานว่าจะเอาไปทำร้ายใครก็ได้

                “ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องติดตามให้กองทัพ เพราะกองทัพได้แจ้งความไปตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งเราไม่ทราบ ว่าใครเอาไป ทั้งนี้ ไม่เห็นมีความคืบหน้าอะไร เพิ่งมาได้ปืนคืนในครั้งนี้ เห็นว่า

มีคนนำไปใส่ถุงดำถุงปุ๋ยเอาขึ้นรถกระบะ ดังนั้น ต้องตรวจสอบ ว่ารถกระบะเป็นของใครก็น่าจะเจอ ซึ่งคงไม่ใช่หน้าที่ผม หรือกองทัพ แต่เป็นหน้าที่ตำรวจที่กำลังดำเนินการ” ผบ.ทบ.กล่าว
////////////////////
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้ผู้ครอบครองอาวุธของทางราชการ ในช่วงความรุนแรงปี 2553 ส่งคืนภายใน 30 ก.ค.

ประกาศ คสช.ที่ 84/2557 จากเหตุการณ์ผู้ชุมนุมในช่วงปี 2553 และมีเหตุให้ผู้ชุมนุมได้ยึดเอาอาวุธปืน-เสื้อเกราะ หรือเครื่องยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ประกาศให้ผู้ครอบครองอาวุธปืน-เสื้อเกราะ หรือเครื่องยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารส่งมอบต่อนายทะเบียนท้องที่ภายใน 30 ก.ค. 2557 ไม่ต้องรับโทษทางอาญา ที่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน-เสื้อ
เกราะ หรือเครื่องยุทธภัณฑ์

ประวัติชีวิตและความสำเร็จ ‘ลี กวน ยู’ อดีตนายกฯ คนแรกของสิงคโปร์ผู้ล่วงลับ

ประวัติชีวิตและความสำเร็จ ‘ลี กวน ยู’ อดีตนายกฯ คนแรกของสิงคโปร์ผู้ล่วงลับ

นายลี กวน ยู ปกครองสิงคโปร์ในช่วงระหว่างปี พ.ศ 2502 – 2533 รวม 31 ปี และยังถือเป็นเสาหลักทางการเมืองของสิงคโปร์จนถึงปัจจุบัน
อดีตนายกฯ สิงคโปร์ ลี กวน ยู ถึงแก่อสัญกรรมแล้วในช่วงเช้าวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ศิริอายุรวม 91 ปี นายลี กวน ยู ปกครองสิงคโปร์ในช่วงระหว่างปี พ.ศ 2502 – 2533 รวม 31 ปี และยังถือเป็นเสาหลักทางการเมืองของสิงคโปร์จนถึงปัจจุบัน 
นายลี กวน ยู หรือแฮรี่ เป็นชาวสิงคโปร์รุ่นที่สี่ บรรพบุรุษอพยพมาจากมณฑลกวางตุ้งของจีนเมื่อราว 160 ปีก่อน เขาศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับปริญญาด้านกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Cambridge

ลี กวน ยู เริ่มต้นเส้นทางการเมืองในปี พ.ศ 2497 ด้วยการก่อตั้งพรรค People’s Action Party หรือ PAP และได้รับเลือกเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาในอีก 1 ปีต่อมา ในปี พ.ศ 2502 พรรค PAP ชนะเลือกตั้งได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล และนายลี กวน ยู ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ คนแรกของสิงคโปร์ ต่อเนื่องมาจนถึง ปี พ.ศ 2533 รวมเวลา 31 ปีที่เขาอยู่ในตำแหน่ง
ศาสตราจารย์ Carl Thayer แห่ง University of New South Wales ในออสเตรเลีย กล่าวว่านายลี กวน ยู คือผู้นำที่ผลักดันให้สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย เรื่องราวความสำเร็จของสิงคโปร์ยุคใหม่ แยกไม่ออกกับเรื่องราวของนายลี กวน ยู เขาคือผู้ผลักดันสิงคโปร์จากเมืองขึ้นของอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มีอิสรภาพ และยังปกป้องความท้าทายจากลัทธิสังคมนิยม
เป้าหมายหลักของนายกฯ ลี กวน ยู ในช่วงแรก คือการผนวกสิงคโปร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซีย  แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับนายกฯ มาเลเซียในขณะนั้นคือนายอับดุล ราห์มัน ในช่วงหลังความวุ่นวายทางเชื้อชาติ ระหว่างชาวจีนกับชาวมุสลิมในมาเลเซียในปี พ.ศ 2507 – 2508 จนกระทั่งในวันที่ 9 ส.ค ปี พ.ศ 2509 นายกฯ อับดุล ราห์มัน ก็ขอให้มีการแยกประเทศ สร้างความสับสนว้าวุ่นให้กับนายกฯ ลี กวน ยู เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา นายลี กวน ยู เชื่อในเอกภาพระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย ทั้งด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
ในวัย 42 ปี นายกฯ ลี กวน ยู คือผู้นำเพียงหนึ่งเดียวของสิงคโปร์ เป้าหมายหลักคือการผลักดันให้สิงคโปร์เป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ โดยมีชีวิตประชาชนหลายล้านคนเป็นเดิมพัน นักวิเคราะห์เชื่อว่าความเข้มแข็งและความเป็นนักคิด นักวางแผน ของลี กวน ยู คือต้นแบบให้กับชาวสิงคโปร์ทั้งประเทศ ทำให้สิงคโปร์สามารถสร้างทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดได้ นั่นคือมนุษย์
เศรษฐกิจสิงคโปร์ภายใต้การนำของนายกฯ ลี กวน ยู เติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวเลขจีดีพีเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ติดต่อกันกว่า 10 ปี นายกฯ ลียังมีส่วนสำคัญในการจำกัดความรูปแบบการพัฒนาที่หลายประเทศนำไปปรับใช้ จนกลายเป็น 4 เสือเอเชีย ประกอบด้วย ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์
นักลงทุนทั่วโลกต่างมุ่งหน้าไปสิงคโปร์ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางน้ำมัน การคมนาคมขนส่ง และการเงินของเอเชีย
Michael Barr นักวิเคราะห์การเมืองที่มหาวิทยาลัย Flinders ในออสเตรเลีย กล่าวว่า ลี กวน ยู ได้รวบรวมกลุ่มคนผู้มีความสามารถเพื่อช่วยกันวางรากฐานการพัฒนาในระยะยาวให้สิงคโปร์ ขณะที่ความเป็นผู้นำของเขา ช่วยสร้างบรรยากาศการเมืองที่สอดคล้องกลมกลืน
แต่ความเข้มแข็งเด็ดขาดของนายลี กวน ยู ก็ได้ทำให้เกิดลัทธิอำนาจนิยมขึ้น คือรัฐบาลสิงคโปร์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการลงโทษผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นำไปสู่การจับกุมคุมขังนักการเมืองฝ่ายค้าน นักรณรงค์ และผู้นำสหภาพแรงงานต่างๆจำนวนมาก
นายลี กวน ยู กล่าวว่าใครก็ตามที่ปกครองสิงคโปร์ต้องมีความเข้มแข็งเด็ดขาด เพราะนี่ไม่ใช่เกมแต่เป็นชีวิตจริง ดังนั้นในช่วงที่ตนยังอยู่ในอำนาจ จะไม่มีใครล้มล้างสิ่งที่ตนให้เวลาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมาได้
ปัจจุบัน สิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่ควบคุมการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะอย่างเข้มงวด เมื่อปีที่แล้วหน่วยงาน Reporters Without Borders จัดอันดับเสรีภาพสื่อในสิงคโปร์ให้อยู่ในระดับต่ำสุดในกลุ่มประเทศแถบอาเซียน เป็นรองทั้งพม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย
รายงานจากผู้สื่อข่าว Ron Corben / เรียบเรียงโดยทรงพจน์ สุภาผล

ลีกวนยู วีรบุรุษสิงคโปร์

เช้าวันนี้  เป็นวันที่ไม่สดใสของชาวสิงค์โปร เมื่อต้องทราบข่าวการจากไปจากปากของนายกรัฐมนตรี (ลี เซียน ลุง) ประกาศว่า นาย ลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบเมื่อเวลา 03:18 น. (ราว 2:18 น. ตามเวลาไทย) ที่โรงพยาบาล สิงคโปร์ เจเนอรัล ด้วยวัย 91 ปี
หลังหลังจากเข้ารับการรักษาอาการปอดติดเชื้อรุนแรงที่โรงพยาบาลมานานหลายสัปดาห์ และในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็มีข่าวว่าอาการของเขาทรุดลงเรื่อยๆ
ดั่งวานนี้ เมื่อเหล่าประชาชนทราบข่าวถึงอาการที่ทรุดหนักของเขา ต่างเดินทางนำดอกไม้มาให้กำลังใจถึงหน้าโรงพยาบาล ขณะที่โลกออนไลน์ได้เขียนข้อความสรรเสริญ พร้อมส่งกำลังใจ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บนี้โดยเร็ว
ลี กวน ยู, Lee Kuan Yew, ลี กวน ยู เสียชีวิต, สิงคโปร์, ประวัติ ลี กวน ยู
แต่…เพียงแค่ข้ามคืน นายลี กวน ยู ได้ต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย จากไป ทิ้งความทรงจำ “ตำนานตลอดกาล…วีรบุรุษสิงค์โปร์” หรือ “บิดา ผู้ก่อตั้งสิงคโปร์สมัยใหม่” ไว้ให้ลูกหลาน
หน้าประวัติศาสตร์ ได้บันทึก ชื่อ “ลี กวน ยู” (Lee Kuan Yew) ว่า เขา คือ ผู้กุมอำนาจบริหารของสิงคโปร์มายาวนายถึง 31 ปี และ เป็นผู้มีบทบาททางเมืองสำคัญคนหนึ่งระดับเอเชีย
และที่สำคัญ…ชาวสิงคโปร์ ไม่เคยลืม เขา คืออดีตผู้นำประเทศ ที่นำพาให้สิงคโปร์ ก้าวลำพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดที่มีความร่ำรวยมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
แม้..ที่ผ่านมา จะเคยถูกตราหน้าว่า เป็นนักเผด็จการตัวจริงในระบบอบประชาธิปไตยก็ตาม
ลีกวนยูมีเชื้อสายจีนแคะ ที่บรรพบุรุษอพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยนใน จีน แผ่นดินใหญ่ เกิดในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 16 กันยายน ปี 1923 ในยุคที่สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศอาณานิคมของอังกฤษ และได้เข้าศึกษาที่ “Raffles College” ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดใน “บริติส มาลายา” ของสิงคโปร์ ทำให้เขาได้รับการปลูกฝังและมีแนวความคิดตามแบบชาวตะวันกตมาตั้งแต่เด็ก
การเข้าศึกษาในวิทยาลัยแห่งนี้ เขา ยังได้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ “ตนกู อับดุล รามาน” ซึ่งเคยตำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียในยุคก่อนหน้าที่ “ดร. มหาเธร์ โมฮัมหมัด” จะขึ้นกุมอำนาจยาวนานในมาเลเซีย
แต่…ชีวิตของเขา พลิกผันตอนวัย 19 ปี เมื่อญี่ปุ่นเข้ารุกรานสิงคโปร์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสามารถ เอาชนะกองทัพอังกฤษที่ปกครองสิงคโปร์ได้อย่างง่ายดาย ชัยชนะของญี่ปุ่นทำลายความเชื่อของเขา เรื่องการไม่สามารถเอาชนะคนขาวลงได้อย่างสิ้นเชิง ความคิดทางการเมืองของ ลีกวน ยู เริ่มต้นนับจากวันนั้น
“แท้จริงแล้วคนเอเชียก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝรั่งผิวขาวตาน้ำข้าวจากซีกโลกตะวันตกเลย”
คำพูดผสมความคิด ที่ทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติจากเดิม จากที่เคยคิดว่าคนเอเชียด้อยกว่าจนถูกล่าอาณานิคมเป็นว่าเล่น เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นอีกหนึ่งในจังหวะชีวิต เขาจึงเริ่มหันมาสนใจงานด้านการเมืองและเริ่มมีแนวคิดที่จะต่อสู้เพื่อ“อิสรภาพ”
จนเมื่อสงครามจบลง เขา ได้เดินทางไปศึกษาด้านกฏหมายที่ “มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์” ในประเทศอังกฤษ และได้พบกับ “ควากอกชู” ซึ่งเดินทางมาเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน ก่อนจะแต่งงานกันในเวลาต่อมา
ลี กวน ยู, Lee Kuan Yew, ลี กวน ยู เสียชีวิต, สิงคโปร์, ประวัติ ลี กวน ยู
เมื่อ “ชาวมาลายัน” ส่วนใหญ่เริ่มตีแผ่ถึงความไม่พอใจในการปกครองประเทศอาณานิคมของอังกฤษ 
ความคิดเรื่องการต่อสู้เพื่ออิสระภาพของ ลีกวน ยู เริ่มคุกรุ่นทันที เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมใน Malayans Forum เพื่อมีบทบาทในการตอบโต้กับประเทศอังกฤษ เพื่อการเป็นอิสระจากอาณานิคมครั้งนี้
หลังสำเร็จการศึกษา เขาเดินทางกลับสิงคโปร์ในปี 1955 ลงเล่นการ เมืองเต็มตัว โดยการจัดตั้งพรรค People’s Action Party (PAP) และสามารถชนะการเลือกตั้งผ่านเข้าเป็นสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีก เพียง 4 ปี การเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 1 มิถุนายน ปี 1959 พรรคของลี กวน ยู ชนะการเลือกตั้งได้ผู้แทนเด็ดขาดถึง 43 ตำแหน่งจากทั้งสิ้น 51 ตำแหน่ง ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เมื่ออายุได้เพียง 36 ปี
ขณะที่ มาเลเซีย ได้อิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี 1961 เขาจึงเจรจากับ “ตนกู อับตุล รามาน” (เพื่อนเก่าสมัยเรียน) เพื่อต้องการอิสรภาพนี้เช่นเดียวกัน โดยมีแนวความคิดร่วมกันว่าจะรวมสิงคโปร์เข้ากับมาเลเซียให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยเล็งเห็นว่าสิงคโปร์นั้นไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่จะเกื้อหนุนให้เกิดการพัฒนาตนเอง ไปสู่การเป็นประเทศที่พร้อมสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้านได้ แนวความคิดนี้สำเร็จในปี 1962
กลายเป็นเสือเอเชีย “โลกที่หนึ่ง” ในกาลต่อมา
แต่…. 2 ปีให้หลัง เขา ได้ถูกต่อต้าน จากชาวมาเลเซียที่ไม่ต้องการให้ชาวสิงคโปร์ ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากมาเลเซีย เข้ามาอยู่ร่วม ขณะที่ชาวสิงคโปร์ ก็ไม่พอใจในการถูกเหยียดชนชั้น จึงกลายเป็นการ “จลาจลครั้งใหญ่”
ในที่สุด เขา ก็ตัดสินใจนำสิงคโปร์แยกออกจากมาเลเซีย และตัดสินใจประกาศอิสรภาพ ไม่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 1965 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ นายลี กวน ยู มีบุตรชาย 2 คน คือ ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนปัจจุบัน และนาย ลี เซียน ยัง ประธานคนปัจจุบันของสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์ และมีบุตรี อีก 1 คน คือ ลี เว่ย หลิง ผู้บริหารสถาบันประสาทวิทยาแห่งชาติ ส่วนภรรยา “ควา กอกชู” ได้เสียชีวิตด้วยวัย 63 ปีใน ปี 2010
ขอบคุณภาพ AP
แกล้วนลิน 

พบระเบิด-กระสุนปืนสงครามอื้อ ซุกป่า ใกล้ที่ประชุมครม.สัญจรหัวหิน

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 22 มี.ค. 2558 21:20


พบระเบิดและกระสุนปืนสงครามจำนวนมากซุกกระสอบ ทิ้งป่าริมถนน ใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใกล้ที่ประชุม ครม.สัญจร วันที่ 27-28 มี.ค.นี้ ห่างเพียง 2 กม. ตร.เร่งสืบหาที่มา พบอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน แค่ยังไม่ได้ต่อวงจร...
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 มี.ค.58 มีรายงานว่า ศูนย์วิทยุ 191 รับแจ้งจากชายหาปลาว่า พบกองวัตถุระเบิดจำนวน 2 กอง ภายในพื้นที่ปลูกป่าโครงการปลูกต้นไม้รอบบ้านพ่อ ริมถนนเพชรเกษม ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กับโรงเรียนนายสิบทหารบก ห่างจากสถานพักฟื้นกองทัพบกสวนสนประดิพัทธ์ ประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่จัดประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27-28 มี.ค.นี้ หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ พร้อม หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี)ค่ายนเรศวร
เจ้าหน้าที่อีโอดี ตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุ พบวัตถุระเบิด พร้อมเครื่องกระสุนปืนสงครามจำนวนมาก บรรจุอยู่ในกระสอบสีขาว และสีเขียว สำหรับทำบังเกอร์ทหารจำนวน 7 ถุง กองอยู่ใกล้ๆ กัน เจ้าหน้าที่อีโอดี จึงได้ทำการตรวจสอบ พบเป็นระเบิด ระเบิดซีโฟร์ ระเบิดทีเอ็นที ฝักแคระเบิด ระเบิดเพลิง ระเบิดแก๊สน้ำตา ระเบิดควัน พลุส่องสว่าง ชนวนจุดระเบิดไฟฟ้าชนวนจุดระเบิดแบบธรรมดา ตัวจุดจุดชนวนแบบ M3 M4 M5 กระสุนปืน M16 และกระสุนปืนอาก้า ในกล่องเหล็ก ซึ่งที่กระสอบมีข้อความเขียนไว้ว่า ร้อย 1 พัน 1
อีโอดี แยกระบิดชนิดต่างๆมาตรวจสอบ
ทั้งนี้ จากการสอบสอบพบว่าระเบิดทั้งหมดอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน แต่ยังไม่ได้มีการต่อวงจร เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเคลื่อนย้าย วัตถุระเบิดทั้งหมดที่พบออกจากป่าขึ้นมาบนถนนภายในโครงการปลูกป่า เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยจากนี้จะมีการสืบหาที่มาของวัตถุระเบิดทั้งหมด โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในการประชุม ครม.สัญจร หรือไม่ ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นกลุ่มบุคคลที่กลัวความผิดจากการกดดันระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นได้
ระเบิดและเครื่องกระสุนจำนวนมากซุกริมถนน
สำหรับ ชนิดระเบิดทั้งหมด ประกอบด้วย ฝักแคระเบิด ความยาวประมาณ 100 เมตร ระเบิด TNT ขนาด 1/4 ปอนด์ จำนวน 41 แท่ง ระเบิด TNT ขนาด 1/2 ปอนด์ จำนวน 7 แท่ง ระเบิด TNT ขนาด 1 ปอนด์ จำนวน 1 แท่ง ระเบิดซีโฟร์ one ขนาด 1/4 ปอนด์ จำนวน 4 แท่ง ระเบิดเพลิง WP M 34 จำนวน 20 ลูก ระเบิดเพลิงสำหรับเผาไหม้ TH3 AN-M14 จำนวน 11 ลูก แก๊สน้ำตา N201 MK3 จำนวน 12 ลูก สโมกควัน M18 จำนวน 2 ลูก ประทัด M80 23 ลูก ตัวจุดระเบิดชนิด M3 จำนวน 62 ชุด เชื้อปะทุไฟฟ้า 15 ชุด ตัวจุดระเบิด ชนิด M6 จำนวน 148 ชุด เชื้อปะทุธรรมดา 944 แท่ง พลุส่องสว่าง  16 ตัว ลวดสะดุด 12 ม้วน กระสุนปืน ปลย.88 12 นัด ปืนกล93 2 นัด M60. 5 นัด M16. 55 นัด กระสุนซ้อม m60. 2 นัด.

ศักดิ์ชัย กาย:คดีปลอมพินัยกรรม

พลิกปูม“ศักดิ์ชัย กาย”จากแนวร่วม กปปส.สู่จำเลยคดีพินัยกรรมตระกูลดัง
Cr:สำนักข่าวอิศรา
“…จนกระทั่งก่อนการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ได้บริจาคเงินไปแล้วจำนวนหลายสิบล้านบาท และด้วยความสัมพันธ์แนบแน่นกับบรรดา “นักธุรกิจ-ไฮโซ” ทำให้ “ศักดิ์ชัย กาย” เป็นหนึ่งใน “เครือข่าย” สำคัญที่ชวน “พรรคพวก” มาบริจาคเงินสนับสนุนให้กับม็อบ กปปส. อยู่เรื่อยๆ"
ชื่อของ “ศักดิ์ชัย กาย” บรรณาธิการนิตยสาร “ลิปส์” (LIPS) งานเข้าอีกครั้ง!
ภายหลังถูกทายาทตระกูลดัง “ณ ป้อมเพ็ชร์” พล.ต.ต.เพ็ชร์ โดย น.ส.นพมาศ ฐานะผู้อนุบาล เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวหานายศักดิ์ชัย ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยกรอกรายการในใบถอนเงินของธนาคารและเช็ค ที่มีลายมือชื่อของ พล.ต.ต.เพ็ชร์ ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชี และนำไปเบิกหรือถอนเงินจากธนาคารนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและบุคคลที่สาม โดยทุจริตหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกันจนกระทั่งถึงปี 2551 รวมเป็นเงินกว่า 158 ล้านบาท
นอกจากนี้ นายศักดิ์ชัย ยังถูกนายธีรวัต ณ ป้องเพชร บุตรชายนายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร เป็นโจทก์ฟ้องที่ทำพินัยกรรมของนายวิวรรธน์ กรณีนายวิวรรธน์ ยกที่ดิน 3 ไร่ ย่านยานนาวา กทม. พร้อมอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งห้องชุดเลขที่ 3 จี คอนโดมีเนียมการ์เด้น คลิฟ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ให้แก่นายศักดิ์ชัย ซึ่งศาลชั้นต้นตัดสินให้นายศักดิ์ชัยชนะคดี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า พินัยกรรมฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะ
อย่างไรก็ดี บทบาทก่อนหน้านี้ “ศักดิ์ชัย กาย” คือหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองกับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ผู้ร่วมบริจาคเงิน” คนสำคัญให้กับ “ม็อบนกหวีด” อีกด้วย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ประมวลบทบาทของ “ศักดิ์ชัย กาย” ในช่วงเคลื่อนไหวกับกลุ่ม กปปส. ระหว่างปี 2556-2557 ดังนี้
ช่วงปลายปี 2556 ที่ม็อบ กปปส. นำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” นักการเมืองชื่อดัง เลขาธิการ กปปส. ที่ปัจจุบันก้าวสู่ร่มกาสาวพักตร์บวชเป็นภิกษุ ได้ประกาศกร้าวยกระดับการชุมนุม จากต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับเหมาเข่ง เป็น “ขับไล่” รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
“ศักดิ์ชัย กาย” ได้ประกาศตนเข้าร่วมต่อสู้กับ “มวลมหาประชาชน” ด้วย โดยระบุว่า “ให้พนักงานหยุดงานออกไปทำหน้าที่พลเมืองดี และจะหยุดผลิตนิตยสารจนกว่าจะได้ประเทศไทยคืนมา” พร้อมยืนยันว่า “พนักงานจะได้โบนัสเต็มพิกัดเหมือนเดิม
“ผมไปทุกคืนครับ ตั้งแต่แยกอุรุพงษ์ (เวทีพรรคประชาธิปัตย์) หลังจากนั้นผมก็ไปช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังว่าที่ราชดำเนินเป็นอย่างไร ถ้ามีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ เราจะช่วยประกาศให้พรรคพวกส่งเสบียงไปบ้าง อะไรก็จะแชร์เพื่อนกันว่า ส่งน้ำเกลือ ส่งน้ำ ส่งเครื่องดื่มชูกำลัง ส่งผ้าปิดปาก อะไรแบบนี้” เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ "ศักดิ์ชัย กาย" ต่อไทยรัฐออนไลน์
ต่อมา “ศักดิ์ชัย กาย” เริ่มต้นแคมเปญ “ผลิตเสื้อ” เพื่อขายให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม นำเงินมาสมทบในการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. โดยได้ “ชัย ราชวัตร” การ์ตูนนิสต์ชื่อดัง มาเป็นคนวาดภาพเพื่อนำสกรีนลงบนเสื้อด้วย
โดยในช่วงแรกผลิตเสื้อจำนวนกว่า 3-4 พันตัว/วัน และจำหน่ายได้หมดเกือบทุกครั้ง และบริจาคเงินครั้งแรกให้กับ กปปส. มูลค่า 1 ล้านบาท!
หลังจากนั้นได้ริเริ่มจัดทำเสื้อหลากสีมากลายขึ้นเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปในโทน “ธงไตรรงค์” และคำพูด “ปิดเพื่อเปลี่ยน” หรือ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” โดยส่วนใหญ่เป็นการสื่อเรื่อง “ต้านโกง”
จนกระทั่งก่อนการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ได้บริจาคเงินไปแล้วจำนวนหลายสิบล้านบาท
และด้วยความสัมพันธ์แนบแน่นกับบรรดา “นักธุรกิจ-ไฮโซ” ทำให้ “ศักดิ์ชัย กาย” เป็นหนึ่งใน “เครือข่าย” สำคัญที่ชวน “พรรคพวก” มาบริจาคเงินสนับสนุนให้กับม็อบ กปปส. อยู่เรื่อย ๆ
ซึ่งเห็นได้จากคำพูดของ “สุเทพ” ที่มักหล่นบนเวทีช่วงปราศรัยบ่อยครั้งว่า ไม่มีกลุ่มทุนมาบริจาคแม้แต่บาทเดียว มีเพียง “ศักดิ์ชัย กาย” เพียงคนเดียวที่มาช่วยทำเสื้อขายให้กับ กปปส.
ทั้งหมดคือ “สีสัน” ความเคลื่อนไหวของ “ศักดิ์ชัย กาย” ระหว่างโลดแล่นอยู่ใน “ม็อบนกหวีด” ร่วมเดินเคียงข้างให้กำลังใจ “ลุงกำนัน” ขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ก่อนจะมีชื่อกลับมาเป็นที่สนใจของสาธารณชนอีกครั้ง ภายหลังถูกทายาทตระกูลดัง ฟ้องเรื่องการ “ปลอมพินัยกรรม” จนเป็นที่อื้อฉาวอยู่ในขณะนี้!


วาทะ ลี กวน ยู

วาทะ ลี กวน ยู
สิงคโปร์จัดการไว้ทุกข์เป็นเวลา 7 วันหลังการถึงอสัญกรรมของนายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรก นายลี ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษที่นำพาความเจริญก้าวหน้าสู่สิงคโปร์ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ดำเนินมาตรการคุมเข้มหลากหลายด้านรวมทั้งกับสื่อ 
บีบีซีไทยรวบรวมถ้อยคำบางส่วนที่นายลี เคยกล่าวไว้ในช่วงครองตำแหน่งผู้นำประเทศยาวนานถึง 31 ปี มาให้ทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเขากัน

ในวันแยกตัวจากมาเลเซีย

ถอดจากคำแถลงที่เต็มไปด้วยความสะเทือนใจในวันแถลงข่าวเมื่อ 9 สิงหาคม 2508 หลังจากมาเลเซียมีมติขับไล่สิงคโปร์
“สำหรับข้าพเจ้า นาทีนี้นับว่าเจ็บปวดที่สุด เพราะตลอดชีวิตของข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในการอยู่ร่วมกัน เชื่อมั่นในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสองแผ่นดินนี้ คือ มันเป็นเรื่องของประชาชนนะครับ ที่ผูกพันกันในทางภูมิศาสตร์ ทางเศรษฐกิจ และทางสายเลือด เดี๋ยวนะครับ คงไม่ว่ากันนะครับ? (หยุด เพื่อรวบรวมสติ)
(หลายย่อหน้าต่อมา) ไม่ต้องห่วงครับ หลายสิ่งหลายอย่างก็คงจะต้องดำเนินไปตามปกติ ขอให้พวกเราหนักแน่น ตั้งสติให้ดี ในสิงคโปร์เราจะมีประชาชาติที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ... ทุกคนจะมีที่ยืน มีความเท่าเทียมกัน มีภาษา มีวัฒนธรรม ศาสนา”

เสรีภาพสื่อ

แถลงต่อสมัชชาใหญ่แห่งสถาบันสื่อระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮลซิงกิเมื่อ 9 มิถุนายน 2514
“ประชาชนและรัฐบาลในประเทศเกิดใหม่เขาอยากให้สื่อมวลชนมีบทบาทอย่างไร?... สื่อมวลชนก็อาจช่วยนำเสนอปัญหาของสิงคโปร์ให้เห็นง่าย ๆ และชัดเจน และถ้าเขาสนับสนุนโครงการและนโยบายใด ก็สามารถชี้แจงได้ว่าปัญหาเหล่านี้ควรจะแก้อย่างไร ที่สำคัญ เราอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันส่งเสริมค่านิยมทางวัฒนธรรมและค่านิยมทางสังคมทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้ยั่งยืนสืบไป ไม่ใช่ช่วยกันบ่อนทำลาย
(หลายย่อหน้าต่อมา) เสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการเสนอข่าว จะต้องเป็นสองรองจากความจำเป็นที่จะต้องคงไว้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสิงคโปร์ และรองจากจุดมุ่งหมายสำคัญ ๆ ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

สิงคโปร์โมเดล

ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ เมื่อ 29 สิงหาคม 2550
“เรารู้ว่าถ้าเป็นแบบเพื่อนบ้านของเรา เราก็มีแต่ตายกับตาย เพราะเราไม่มีอะไรจะเสนอ อย่างที่เขามี ฉะนั้น เราก็ต้องผลิตบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างและดีกว่าที่เขามี คือระบบการนำที่ไม่มีการทุจริต มีประสิทธิภาพ และทุกคนต้องเป็นคนดีคนเก่ง
เราทำอะไรตามสภาพที่เป็นจริง....ระบบทำงานได้ผลมั้ย? ลองดูหน่อย ถ้ามันได้ผลก็ดี ทำต่อไป ถ้าไม่ได้ผล ก็โยนทิ้ง เริ่มต้นกันใหม่ เราไม่ได้หลงไหลได้ปลื้มกับระบบหนึ่งระบบใด”


บิ๊กป่อม บ่น คนเพียงไม่กี่คนที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศ

บิ๊กป่อม บ่น คนเพียงไม่กี่คนที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศ ทั้งที่คน 60-70 ล้านเขาอยู่ได้ แต่คนแค่ 2-3 คนที่ทำให้วุ่นวาย ขอร้องอย่าทำ ทำอยู่ก็ให้หยุด
บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีพบอาวุธสงครามใกล้กับสถานที่พักฟื้นกองทัพบกสวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะใช้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ ว่า เจ้าหน้าที่เขาทราบว่าคนงานที่เข้าไปหาของป่า ไปพบเจออาวุธสงครามเหล่านี้ ที่มีคนเอาไปฝังดินไว้ ทางตำรวจจะต้องสืบทราบว่าที่บอกว่าเป็นของเก่านั้น เป็นของใคร และมีที่มาที่ไปอย่างไร ต้องว่ากันไปตามกฎหมายไม่มีมาตรการเพิ่มเติมอะไร ในการรักษาความปลอดภัยการประชุม ครม. ที่ผ่านมาผมวางมาตรการตลอด ที่จะทำให้บ้านเมืองสงบในทุกๆ พื้นที่ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกัน เจ้าหน้าที่ทำคนเดียวไม่ได้ ถ้าอยากให้สงบประชาชนก็ต้องร่วมมือด้วย
เมื่อถามกรณีที่มีกลุ่มคนแจกใบปลิวรณรงค์แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วที่ จ.ระยอง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า กำลังติดตามอยู่และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ ยืนยันว่าจะจับตัวให้ได้ คนที่ทำเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศ ทั้งที่คน 60-70 ล้านเขาอยู่ได้ แต่คนแค่ 2-3 คนที่ทำให้วุ่นวาย ขอร้องอย่าทำ ทำอยู่ก็ให้หยุด


ลี กวน ยู รัฐบุรุษของสิงคโปร์

ลี กวน ยู รัฐบุรุษของสิงคโปร์
ด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบแหลมและการเป็นนักปฏิบัตินิยมที่เด็ดขาด นายลี กวน ยูได้เปลี่ยนแปลงให้สิงคโปร์ จากเดิมที่เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ กลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
นายลี ประสบความสำเร็จในการแปลงพลังที่มีอยู่ในชาวสิงคโปร์ให้กลายเป็นสิ่งที่เขามักเรียกว่าปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบทุนนิยมภาคเอกชนและภาครัฐ นายลีทำให้สิงคโปร์ก้าวสู่ประเทศที่มั่งคั่ง ทันสมัย มีประสิทธิภาพ แทบจะปราศจากการคอรัปชั่นและนักลงทุนต่างชาติพากันหลั่งไหลเข้าไปลงทุนในประเทศ
อย่างไรก็ดีแม้นายลีจะได้รับการยกย่องในความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ก็มีหลายฝ่ายแสดงความกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเขาอยู่ไม่น้อย
นายลี เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2466 เขาเป็นบุตรชายรุ่นที่ 3 ของชาวจีนโพ้นทะเลและเติบโตมาโดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอังกฤษ ปู่ของนายลีมักเรียกเขาว่าแฮรี ลี ซึ่งเป็นชื่อที่เขาใช้มาตลอดช่วงวัยเด็ก ขณะนั้นนายลี ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนซึ่งสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่การเรียนต้องสะดุดลงในช่วงการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อราวปีพ.ศ. 2485
ในช่วง 3 ปีต่อจากนั้นนายลีเข้าไปพัวพันกับตลาดมืด และใช้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษทำงานให้หน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่น หลังสงครามเขาได้เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน จากนั้นไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ด้านการเมืองนั้นนายลีถือเป็นนักสังคมนิยมมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา หลังจบการศึกษาในอังกฤษ เขาได้เดินทางกลับสิงคโปร์และกลายเป็นนักกฎหมายด้านสหภาพแรงงานชื่อดัง
เมื่อปีพ.ศ. 2497 นายลีก่อตั้งและดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คนแรกของพรรคกิจประชาชน ซึ่งเขาคุมบังเหียนมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 40 ปี พรรคของเขาชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2502 และอีกหลาย ๆ ครั้งต่อมา เขาเป็นผู้นำประเทศตั้งแต่ช่วงที่สิงคโปร์อยู่ใต้อาณานิคมอังกฤษ จนกลายเป็นประเทศเอกราช นายลีเป็นบุคคลที่กำหนดแบบแผนการปฏิรูป การออกแบบ และเปลี่ยนแปลงสิงคโปร์จากดินแดนที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นรัฐอุตสาหกรรมสมัยใหม่
อย่างไรก็ดี นายลีถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการลงโทษทางร่างกายผู้กระทำผิดกฎหมาย เขาปกครองประเทศโดยควบคุมทางการเมืองอย่างเข้มงวด จนทำให้สิงคโปร์เป็นสังคมที่มีกฎระเบียบเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในช่วงที่ปกครองประเทศ เขาสั่งคุมขังผู้ที่ออกมาวิจารณ์เขาโดยไม่มีการนำตัวบุคคลเหล่านั้นขึ้นพิจารณาคดีในศาล อีกทั้งยังควบคุมสื่อและจับกุมผู้สื่อข่าวจำนวนมาก โดยอ้างความชอบธรรมว่า “เสรีภาพของสื่อนั้นต้องถูกลดทอนความสำคัญลงเพื่อความเป็นเอกภาพของสิงคโปร์ซึ่งมีความสำคัญกว่า”
เขายังบอกด้วยว่าสื่อในประเทศได้รับเงินอุดหนุนจากฝ่ายที่อยู่นอกประเทศซึ่งมีผลประโยชน์ที่เป็นภัยกับสิงคโปร์และชี้ว่าประเทศที่ที่กำลังพัฒนานั้นจำต้องยอมละทิ้งเสรีภาพบางประการไป
นโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่งของนายลีคือการควบคุมจำนวนประชากรที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในสมัยนั้น โดยเขาได้รณรงค์เรื่องการวางแผนครอบครัวผ่านระบบการจัดเก็บภาษีและลงโทษผู้ที่มีบุตรเกิน 2 คนขึ้นไป แต่ภายหลังเขาได้เปลี่ยนมาสนับสนุนให้สตรีที่มีการศึกษาสูงแต่งงานและละเว้นนโยบายควบคุมประชากรกับสตรีกลุ่มนี้ ทว่ายังคงใช้นโยบายดังกล่าวกับกลุ่มสตรีที่มีการศึกษาต่ำกว่า
แม้การบริหารประเทศของนายลีจะทำให้ชาวสิงคโปร์มีมาตรฐานชีวิตสูงขึ้น แต่ผู้ลงคะแนนเสียงที่มีอายุน้อยกลับไม่ยอมรับนายลีเพิ่มเป็นอย่างมาก แล้วหันไปสนับสนุนพรรคฝ่ายค้านใหญ่ของสิงคโปร์แทน
นายลีก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำสิงคโปร์เมื่อปี 2533 ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดในโลก และทำให้สิงคโปร์เปลี่ยนจากประเทศกำลังพัฒนาก้าวขึ้นสู่หนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย
นายลี ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 91 ปี หลังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายสัปดาห์ด้วยอาการปอดบวมขั้นรุนแรง

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : เมืองไทยในสายตาของผู้ใหญ่ลี ...

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : เมืองไทยในสายตาของผู้ใหญ่ลี ...

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12:00:00 น.

เมืองไทยในสายตาของผู้ใหญ่ลี ...
โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ madpitch@yahoo.com


พ.ศ.2556 ผู้ใหญ่ลีแห่งหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำ เขียนหนังสือเล่มล่าสุดออกมา ซึ่งน่าจะแปลว่า "มุมมองของอั๊วต่อโลกใบนี้" (Lee Kuan Yew. One Man′s View of the World. Straits Times Press. 2013)

ผู้ใหญ่ลีเป็นคนที่ก่อร่างสร้างหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำจนเป็นเอกราช และเป็นต้นแบบในหลายๆ ด้าน แม้ว่าในวันนี้ผู้ใหญ่ลีจะไม่ได้มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกต่อไป (เพราะลูกชายแกเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน) แต่ใครๆ ก็รู้ว่าผู้ใหญ่ลีเป็นจิตวิญญาณของหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำ และที่สำคัญหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นมุมมองที่สำคัญสำหรับผู้คนและคณะผู้บริหารของหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำในวันนี้

ผู้ใหญ่ลีน่าจะเป็นหนึ่งในนักการเมืองระดับลายครามของภูมิภาคนี้เขาเขียนไว้ในคำนำว่าเขาได้เฝ้าสังเกตและพบปะผู้นำของหมู่บ้านอื่นๆทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาคมาในเวลา50ปีซึ่งแม้ว่าผู้ใหญ่ลีจะยอมรับว่าหมู่บ้านที่มีอิทธิพลต่อโลกมากที่สุดทั้งในแง่การกระทำและการตัดสินใจก็คือหมู่บ้านคาวบอยและหมู่บ้านมังกรแต่เขาเห็นว่าหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำของเขาก็ต้องมีการผูกพันกับหมู่บ้านอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านฝรั่ง หมู่บ้านซามูไร หมู่บ้านกิมจิ หมู่บ้านโรตี และกลุ่มหมู่บ้านอูฐ ส่วนหมู่บ้านของเรานั้นจัดเป็นหนึ่งในหมู่บ้านรอบบ้านของเขาที่จะต้องสนใจเช่นกัน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ผู้ใหญ่ลีได้เขียนถึงประเด็นหลักๆ ที่แต่ละหมู่บ้านจะต้องเผชิญ และอะไรคืออนาคตของแต่ละหมู่บ้าน

ผู้ใหญ่ลีเห็นว่าหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำของเขานั้นเล็กเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้แต่พวกเขาก็จะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะขยายพื้นที่ทางอิทธิพลที่พวกเขาจะทำได้ท่ามกลางบรรดาหมู่บ้านใหญ่ๆทั้งหลายโดยเฉพาะในภูมิภาคเดียวกันซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะทำได้ก็คือการที่จะต้องแคล่วคล่องว่องไว และมีไหวพริบ (ภาษาวัยรุ่นแปลตรงๆว่า "มีของ") ในการดำเนินชีวิตทางการเมืองระหว่างหมู่บ้านต่อไป

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ใหญ่ลีเห็นว่าความสำเร็จของหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำในวันนี้นั้นเกิดขึ้นจากคุณภาพสำคัญสามประการ นั่นคือ 1.การทำให้หมู่บ้านของเขามีความปลอดภัยที่จะใช้ชีวิตและทำมาหากิน 2.การดูแลพลเมืองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และ 3.การให้หลักประกันว่าความสำเร็จที่มีอยู่ในวันนี้จะต้องถูกส่งต่อให้ชาวบ้านของเขาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งความสำเร็จสามด้านนี้จะทำให้นักลงทุนนั้นรู้สึกมั่นใจในหมู่บ้านของเขา และทำให้หมู่บ้านเขามีความสำคัญและเชื่อมโยงกับโลกได้ และมีความกินดีอยู่ดี

สำหรับผมแล้ว เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะดูเป็นการโฆษณาชวนเชื่อของหมู่บ้านของเขา แต่อย่างน้อยเขาก็มีเรื่องราวที่พูดแล้วคนในโลกนี้เขาเข้าใจนั่นแหละครับ

มาเข้าเรื่องมุมมองของผู้ใหญ่ลีที่มีต่อบ้านเราดีกว่าซึ่งจะว่าไปผู้ใหญ่ลีอาจจะไม่ถูกไปทุกเรื่องแต่น่าสนใจมิใช่เล่นซึ่งผมว่าเราก็อย่าไปโกรธแค้นอะไรแกนักเลยหรือถึงกับต้องเรียกผู้ใหญ่แกมารายงานตัว(ส่วนตัวกระผมนั้นได้รับหนังสือเล่มนี้มาจากตัวแทนคนหนึ่งของสำนักงานหมู่บ้านแกครับ ผมไม่ได้ไปสั่งซื้อหรือพยายามเสาะแสวงหาอะไร และหนังสือเล่มนี้ก็วางขายตามร้านหนังสือชั้นนำของบ้านเราอยู่แล้ว)

บทที่ว่าด้วยเรื่องของบ้านเรานั้นอยู่ในหมวดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งประกอบด้วยหมู่บ้านสะเต๊ะหมู่บ้านอิเหนาหมู่บ้านของเราหมู่บ้านหมูยอ และหมู่บ้านเมงกาละบาเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแกนหลักของเรื่องในหมู่บ้านเราจากมุมมองของผู้ใหญ่ลีก็คือเรื่องของการที่คนรากหญ้านั้นกำลังรุก/ลุกขึ้นมาซึ่งผมแปลมาจากคำว่า"anunderclassstirs"หรือถ้าจะแปลตรงๆ เลยก็คือ การที่คนยากคนจนที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลได้เริ่มลุกขึ้นสู้ (คือคนกลุ่มนี้มีสถานะที่ต่ำกว่า "ชนชั้น" ในแง่ที่ชนชั้นอย่างน้อยก็สามารถจะรวมตัวกันต่อสู้ต่อรองได้ ซึ่งแนวคิดนี้เป็นหนึ่งในข้อถกเถียงของนโยบายสังคมของประเทศตะวันตก เช่นพวกที่ไม่ได้เป็นกรรมกร หรือไม่เป็นสหภาพ อาจจะเป็นคนสีผิว หรือยังไม่ได้รับการมองว่าเป็นพลเมืองที่เท่ากับคนอื่นๆ)

ผู้ใหญ่ลีเริ่มต้นบทนี้ที่ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วว่าการเข้าสู่อำนาจของผู้ใหญ่แม้วนั้นได้เปลี่ยนแปลงการเมืองของบ้านเราอย่างถาวรขณะที่ก่อนผู้ใหญ่แม้วจะเข้าสู่อำนาจนั้นบรรดาชนชั้นนำในกรุงเทพฯ(Bangkokestablishment) ได้ครอบงำการแข่งขันทางการเมืองของทุกฝ่าย และได้ปกครองบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของคนในเมืองหลวงของหมู่บ้านนี้ ซึ่งแม้ว่าอาจจะมีการทำเลาะเบาะแว้งกันบ้างแต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่รุนแรงเท่ากับที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ยุคผู้ใหญ่แม้วและนับจากหลังยุคผู้ใหญ่แม้ว

สิ่งที่ผู้ใหญ่แม้วนั้นทำให้พวกผู้ที่ได้ประโยชน์จากระบบการเมืองที่เป็นอยู่นั้นเคืองก็เพราะไปทำให้ตระกร้าผลไม้ที่พวกนี้เคยเก็บผลไม้ที่ได้มานั้นจะต้องถูกกระจายไปยังพื้นที่ส่วนยากจนของบ้านเมืองซึ่งเดิมทีตะกร้าเหล่านี้เคยถูกเก็บกินอย่างตะกละตะกลาม(ราวกับหมู-hogged)โดยคนชั้นกลางและชั้นสูงในกรุงเทพฯซึ่งเมื่อผู้ใหญ่แม้วได้นำ"ยี่ห้อทางการเมือง" แบบใหม่เข้ามา ยี่ห้อใหม่นี้มีลักษณะที่เข้าถึงชาวนาจากภาคเหนือและอีสาน เพื่อให้เข้าถึงส่วนแบ่งอันเนื่องมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านมากขึ้น โดยผู้ใหญ่ลีเห็นว่าช่องว่างระหว่างความยากจนและการเข้าถึงทรัพยากรและส่วนแบ่งเหล่านี้มีมาตั้งแต่ก่อนผู้ใหญ่แม้วจะเข้ามาเล่นการเมืองและเป็นสิ่งที่เกิดมาจากนโยบายที่เน้นให้กรุงเทพฯได้ทุกอย่างก่อนคนอื่นซึ่งมีมาอย่างยาวนาน


ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใหญ่แม้วทำก็คือแค่ปลุกให้ผู้คนเห็นช่องว่างนี้และความไม่เป็นธรรมของช่องว่างนี้ จากนั้นก็นำเสนอการแก้ปัญหาเพื่อลดช่องว่างดังกล่าว ซึ่งผู้ใหญ่ลีเชื่อว่าถ้าผู้ใหญ่แม้วไม่ทำคนอื่นที่เข้ามาอีกไม่นานก็จะต้องทำสิ่งเดียวกันนี้อยู่ดี

หลังจากที่ผู้ใหญ่ลีได้ยกตัวอย่างนโยบายต่างๆของผู้ใหญ่แม้วแล้ว(ขอไม่เขียนเพราะเราก็รู้กันอยู่)ผู้ใหญ่ลีชี้ว่าสำหรับพวกที่ไม่เอาผู้ใหญ่แม้วสิ่งที่ผู้ใหญ่แม้วทำเป็นการทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรจากที่เคยเป็นมา (จะแปลว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน จากคำว่า turning the country upside down ก็น่าจะได้อยู่) แต่พวกนี้ย่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ใหญ่แม้วลอยนวลอย่างแน่นอน และยังกล่าวหาว่าผู้ใหญ่แม้วเป็นพวกประชานิยมและนโยบายของผู้ใหญ่แม้วจะทำให้บ้านเมืองล้มละลาย


แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ลีชี้ต่อไปก็คือ พวกที่ด่าผู้ใหญ่แม้วก็ยังดำเนินนโยบายของผู้ใหญ่แม้วต่อไปในช่วงที่ตนเองถือครองอำนาจในช่วงปี 2551-2554 อยู่ดี และผู้ใหญ่แม้วและพรรคพวกก็ชนะการเลือกตั้ง 5 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่แกขึ้นสู่อำนาจ และชาวนาทั้งเหนือทั้งอีสานก็ได้ลิ้มลองว่ารสชาติของการเข้าถึงแหล่งทุนนั้นเป็นอย่างไร และพวกเขาจะไม่ยอมเสียมันไปง่ายๆ ท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองนับตั้งแต่ผู้ใหญ่แม้วได้รับเลือกตั้งครั้งที่สอง ซึ่งทำให้ชนชั้นนำในกรุงเทพฯไม่สามารถจะรับผู้ใหญ่แม้วได้อีกต่อไป และทำให้เกิดการทำรัฐประหารเมื่อ 2549


และจากนั้นมากรุงเทพฯก็มีแต่ความวุ่นวาย ไม่ว่าจะจากเสื้อเหลืองที่ต่อต้านผู้ใหญ่แม้วและอ้างว่า (... ขอไม่แปล) หรือเสื้อแดงที่มาจากพวกที่สนับสนุนผู้ใหญ่แม้วอย่างกระตือรือล้น ซึ่งผู้ใหญ่ลีแกมองว่าสำหรับผู้ที่ต่อต้านผู้ใหญ่แม้ว ถ้าจะหยุดยั้งหรือย้อนเวลากลับไปคงเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
นอกจากนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ลีมองว่าหากมองโลกในแง่บวกแล้วสำหรับบ้านเมืองเรานั้นพวกเสื้อแดงในระยะยาวๆ จะมีจำนวนมากกว่าพวกเสื้อเหลือง เพราะพวกเสื้อเหลืองเป็นกลุ่มที่ดึงมาจากพื้นที่ทางการเมืองที่หดตัวลงทุกวัน รวมทั้งคนรุ่นใหม่ก็อาจจะไม่มีมุมมองบางอย่างเหมือนกับคนรุ่นเก่า รวมทั้งเรื่องบางเรื่องก็อาจเปลี่ยนแปลงและเลือนหายไป (ขอแปลส่วนนี้กว้างๆ นะครับ)
เรื่องที่สำคัญที่ผู้ใหญ่ลีแกตั้งข้อสังเกตอีกเรื่องหนึ่งก็คือ บทบาทของกองกำลังป้องกันหมู่บ้าน ซึ่งผู้ใหญ่แกมองออกว่ามีบทบาทสำคัญมากในการเมืองไทย และที่ผ่านมาก็ได้พยายามทำให้การเคลื่อนไหวอะไรก็ตามที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อมโยงตัวเองเข้าไปเพื่อให้มีกำลังอำนาจนั้นจะไม่สามารถโงหัวขึ้นมาได้แต่สุดท้ายพวกกองกำลังป้องกันหมู่บ้านนี้ก็จะไม่มีทางเลือกมากไปกว่าการต้องยอมรับและปรับตัวเองเข้ากับสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยเฉพาะการที่จะแข็งขืนต่อเจตจำนงของผู้เลือกตั้งเป็นเวลายาวนานนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่เกิดผลดีโดยเฉพาะเมื่อสุดท้ายตำแหน่งต่างๆของกองกำลังนี้ก็จะต้องแต่งตั้ง"คนรุ่นใหม่"เข้าไปอยู่ดี


อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ลีแกทำนายว่าบรรดาผู้นำกองกำลังป้องกันหมู่บ้านก็จะพยายามจนถึงที่สุดที่จะยืนยันเอกสิทธิของพวกเขาและจะไม่ยอมที่จะถูกลดชั้นให้เป็นเพียงกองกำลังธรรมดาๆแต่ในขณะเดียวกันผู้ใหญ่ลีแกเชื่อว่าในอีกด้านหนึ่งกองกำลังป้องกันหมู่บ้านนี้ก็จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับรัฐบาลที่เป็นพันธมิตรกับผู้ใหญ่แม้วและอาจจะยอมรับให้ผู้ใหญ่แม้วแกกลับบ้านหากผู้ใหญ่แม้วจะไม่แก้แค้น(หุหุผู้ใหญ่ลีก็ยังรู้พลั้งนะครับ)

มุมมองโลกสวยของผู้ใหญ่ลียังมองต่อไปว่าการเมืองไทยนั้นไม่สามารถย้อนกลับไปก่อนยุคผู้ใหญ่แม้วได้อีกซึ่งหมายถึงการที่ชนชั้นนำในกรุงเทพฯผูกขาดอำนาจและผู้ใหญ่เชื่อว่าช่องว่างทางความมั่งคั่งก็จะลดลงหากเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่แม้วแกวางไว้และชาวนาก็จะกลายเป็นชนชั้นกลางและทำให้การบริโภคภายในประเทศสูงขึ้นและบ้านเมืองเราก็จะดีขึ้นในไม่ช้า

ทีนี้ในส่วนสุดท้ายของบทที่ว่าถึงบ้านเราเป็นลักษณะของการถามตอบ ซึ่งผู้ใหญ่ลีก็โดนจัดหนักอยู่หลายคำถาม แต่ผู้ใหญ่ลีแกก็มีมุมที่น่าสนใจ ซึ่งผมขอย้ำว่าเราอาจจะไม่ต้องมองว่าใครถูกใครผิด หรือหนังสือนี้มีความมุ่งหมายที่จะเขียนอะไรให้ใครอ่าน (คือให้คนในบ้านเขาอ่าน หรือให้ผู้มีอำนาจในบ้านเรา "เมื่อปีที่แล้ว" อ่าน) แต่เราควรจะตั้งสติและพิจารณาอย่างรอบด้าน
คำถามแรกก็คือเรื่องข้อวิจารณ์ที่มีต่อนโยบายประชานิยมของผู้ใหญ่แม้วซึ่งผู้ใหญ่ลีโดนยิงคำถามใส่ว่า"ผู้ใหญ่ฮะนักวิเคราะห์เรื่องไทยอาจจะไม่ได้มองโลกสวยในแง่ของความเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยหลังการเข้ามาของผู้ใหญ่แม้วแบบที่ผู้ใหญ่มองโดยมองว่าในช่วงทศวรรษที่1990คือสิบปีก่อนที่ผู้ใหญ่แม้วจะขึ้นสู่อำนาจนั้นนายกรัฐมนตรีต่างๆของไทยสามารถที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในแบบ ′ระยะยาว′ แต่เมื่อผู้ใหญ่แม้วมาถึง รัฐบาลใหม่ๆ ก็เน้นแต่มาตรการประชานิยมซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้น และการ ′แจกของฟรี′ ให้กับคนจน"

ผู้้ใหญ่ลีโต้ว่า "นั่นคือการมองด้านเดียว เพราะว่าผู้ใหญ่แม้วแหลมคมและฉลาดกว่าพวกที่วิจารณ์แก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถเจาะภาคอีสานได้ การได้รับคะแนนนิยมจากภาคอีสานไม่ใช่เรื่องของการซื้อแบบที่เราเข้าใจ แต่หมายถึงการเอาชนะการต่อต้านจากคนเหล่านั้นต่างหาก"

"คนเขาก็กังวลว่าการไปแข่งเอาคะแนนเสียงจากคนระดับล่างด้วยการไปเอาคะแนนเสียงจากชนบทให้ได้มากที่สุดด้วยการแจกนั้นจะดีเหรอฮะผู้ใหญ่?"

"ลื้อคิดว่าเงินที่เอาไปแจกของฟรีเหล่านั้นมาจากไหน?"

"นั่นแหละฮะปัญหา"

"ลื้อเข้าใจผิดแล้วเพราะก่อนที่เราจะแจกของฟรีได้เราต้องมีทรัพยากรซึ่งก็หมายถึงว่าจะต้องมีรายได้และถ้าเราต้องการจะแจกมากขึ้นแต่รายรับเรานั้นใช้ไปหมดแล้ว เราก็จะต้องเพิ่มภาษี"

"หรือเราก็ไปกู้เขามาใช่ไหมฮะ"

ผู้ใหญ่ลีจอมเก๋าเกมส์ก็ตอบต่อว่า "ใครเขาจะให้ยืม ถ้าลื้อไม่มีสินทรัพย์พอ?"

"ผู้ใหญ่ฮะ ผู้ใหญ่ไม่คิดว่าพวกเมืองไทยจะเกิดปัญหาในระยะยาวจากการเมืองแบบประชานิยมหรือฮะ เมื่อก่อนก็ดูจะเป็นการเมืองแบบเรียบๆ ร้อยๆ ดีอยู่"

"อั๊วไม่คิดเช่นนั้น เขาจะเอาของไปแจกคนไม่มีได้มากมายขนาดนั้นทำไม"

คำถามชุดที่สองที่ยิงใส่ผู้ใหญ่ลีก็คือ "ผู้ใหญ่ลีคิดอย่างไรกับผู้ใหญ่แม้วฮะ?"

ผู้ใหญ่ลีแกก็ตอบทันใดว่า "ผู้ใหญ่แม้วนั้นไซร้เป็นผู้นำประเภทขาลุยมากกว่าพวกทฤษฎี และเป็นพวกที่ทำงานหนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เร็วๆ ผู้ใหญ่แม้วเป็นคนที่เชื่อในประสบการณ์ธุรกิจและสัญชาตญาณของตนเองมากกว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ครั้งหนึ่งผู้ใหญ่แม้วเคยบอกอั๊วว่า เขานั่งรถบัสจากกรุงเทพฯมาถึงหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำของเรา และเขาได้เห็นว่าทำไมหมู่บ้านเราถึงได้เจริญ และเขาก็จะทำในแบบเดียวกับเรา แต่อั๊วก็ไม่รู้นะว่ามาเที่ยวเดียวนี้จะมาเข้าใจความเร้นลับของพวกเราได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องของการศึกษา การพัฒนาทักษะ และการสร้างสังคมที่ผนึกประสานกันโดยให้โอกาสอย่างเท่าเทียมกันกับทุกคน และที่สำคัญลื้อต้องไม่ลืมว่าในภาคอีสานมีคนเชื้อสายลาวมากกว่าไทยด้วยซ้ำ"

คำถามชุดที่สามที่ผู้ใหญ่ลีโดนต่อก็คือ"ผู้ใหญ่ฮะในสมัยหนึ่งผู้นำเราเคยมองว่าไทยเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเราไม่ว่าจะในฐานะศูนย์กลางการคมนาคมการผลิตอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวเชิงสาธารณสุข ผู้ใหญ่ว่าตอนนี้ยังเป็นเช่นนั้นไหมฮะ"

"ลื้อดูภูมิศาสตร์ของพวกเขาสิ ลื้อจะเห็นว่าเราสามารถข้ามหัวกรุงเทพฯได้ แต่ข้ามหัวพวกเราไม่ได้หรอกในการเดินทางทางทะล"

"แล้วทางอากาศล่ะฮะผู้ใหญ่"

"ลื้อดูเอาแล้วกันว่าพวกเขามีทักษะความชำนาญและการศึกษาสูงแค่ไหนพวกเขาต้องเหนือกว่าเราถึงจะชนะเราได้"

"แล้วพวกเขาจะมีโอกาสไหมฮะ"

"เรื่องแรกคือพวกเราได้เปรียบในแง่ภาษาอังกฤษเรื่องที่สองพวกเรามีโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพสูงและยังรวมพวกอาชีวะและพวกที่ฝึกอบรมพิเศษให้สถานประกอบการต่างๆลื้อว่าพวกเขาจะสามารถพัฒนาการศึกษาให้คน 60 ล้านคน ที่กระจายในชนบทได้เหรอ?" (แหม แปลมาถึงตรงนี้อยากจะจัดหนักผู้ใหญ่ลีซะจริงๆ ผู้ใหญ่ลีแกไม่เข้าใจเรื่องคนดีสำคัญกว่าคนเก่ง หรือพวกสมุดพกความดีอะไรบ้างเลยเหรอ มันน่าน้ากกกก)

คำถามชุดสุดท้ายคือมุมมองของผู้ใหญ่ลีต่อเมืองไทยในบริบทการเมืองระหว่างประเทศที่พวกคาวบอยและพวกมังกรเป็นใหญ่"ผู้ใหญ่ฮะพวกเมืองไทยจะเป็นพันธมิตรกับพวกคาวบอยต่อไหม?เห็นเป็นมาตั้งนานและเป็นฐานทัพให้เขาด้วยสมัยสงครามเวียดนามอะฮะ?"
"ลื้ออย่าไปสนใจเรื่องอดีตคำถามจริงๆมันอยู่ที่ว่าผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายมันตรงกันไหมการจะเป็นพันธมิตรกับใครนั้นมันก็ต่อเมื่อผลประโยชน์มันไปทางเดียวกันก็เหมือนนาโต้นั่นแหละ ถ้าไม่มีรัสเซียไว้ต้าน มันก็ไม่มีสาระสำคัญอะไร และในวันนี้ไทยก็ไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไรในสายตาพวกคาวบอยหลังสงครามเวียดนาม ก็อย่างที่ลื้อเข้าใจนั่นแหละว่าพวกคาวบอยมันไม่ได้ช่วยไทยจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ดังนั้น พวกเมืองไทยก็หันไปหามังกรมากขึ้น"

"และถ้าลื้อเข้าใจประวัติศาสตร์ของไทย ลื้อจะเห็นว่าเมื่อพวกซามูไรแข็งแกร่งและพยายามมายึดครองภูมิภาคเรา พวกเขาก็ยอมให้ทัพซามูไรบุกผ่าน และทำให้พวกซามูไรมายึดหมู่บ้านสะเต๊ะและสิงโตพ่นน้ำของเราได้ง่ายขึ้น ดังนั้น คำถามของลื้อที่ว่าพวกไทยจะทำอย่างไรกับอิทธิพลของจีนในละแวกบ้านเรานั้น อั๊วจะตอบลื้อว่า ใครชนะ ใครมีกำลังมาก พวกเมืองไทยก็เข้ากับเขาหมดนั่นแหละ"

ผมขอจบคอลัมน์ครั้งนี้ด้วยการอวยพรหมู่บ้านสิงโตพ่นน้ำที่จะครบรอบวันได้รับเอกราชในวันที่9สิงหาคมนี้นะครับบางทีเราก็ต้องรู้เขารู้เราและรู้ว่าเขาคิดยังไงกับเราด้วยครับ...

............


(ที่มา:มติชนรายวัน5 สิงหาคม2557)