PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ปฏิญญาลอนดอน ประยุทธ์ยืนยันนายกฯ อังกฤษ ไทยเลือกตั้งต้นปี 2562 แน่นอน

ปฏิญญาลอนดอน ประยุทธ์ยืนยันนายกฯ อังกฤษ ไทยเลือกตั้งต้นปี 2562 แน่นอน
.
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 เวลา 16.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เดินทางเยือนทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง โดยมี
นางเทเรซา เมย์ (Theresa May) นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรให้การต้อนรับและถ่ายรูปร่วมกันก่อนที่จะพบปะหารือ
.
พล.อ. ประยุทธ์ ได้ขอบคุณที่รัฐบาลอังกฤษให้การต้อนรับการในเยือนครั้งนี้ พร้อมชื่นชมนางเทเรซา เมย์ ในการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในการเจรจาให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปด้วยเงื่อนไขที่ดีที่สุด 
.
รวมถึงนโยบาย Global Britain ที่ยึดมั่นในการค้าเสรี และเป็นโอกาสดีที่สหราชอาณาจักรจะเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกยุโรป พร้อมชื่นชมที่สหราชอาณาจักรให้ความสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยให้ความสำคัญเช่นกัน
.
ส่วนเรื่องการเดินหน้าทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยยืนยันว่า ต้นปีหน้าจะมีการเลือกตั้งแน่นอน เพราะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งต่างๆ หลายฉบับทยอยประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว และการเดินหน้าเข้าสู่ประชาธิปไตยของไทยจะต้องมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และเหมาะกับบริบทของความเป็นไทย
.
ขณะเดียวกันสิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการในขณะนี้คือเดินหน้าการปฏิรูปโดยมีวัตถุประสงค์ให้ประเทศไทยมีการพัฒนาที่มีระเบียบแบบแผน ประเด็นสำคัญอีกเรื่องประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10
.
ขณะที่ นางเทเรซา เมย์ กล่าวว่า ได้ติดตามพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทยอย่างใกล้ชิด และมั่นใจว่าไทยกำลังเดินทางสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคง ยั่งยืน รวมทั้งเล็งเห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร เนื่องด้วยประเทศไทยมีศักยภาพและมีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคอาเซียน พร้อมที่จะเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาค และดำเนินความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยจะดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับการเปิดการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหราชอาณาจักร ตลอดจนความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบาย Thailand 4.0 และยินดีสนับสนุนให้ภาคเอกชนอังกฤษร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/
#News #TheStandardCo #TheStandardTH#StandUpForThePeople

'ยิ่งลักษณ์' เปิดใจผ่าน 'จอม เพชรประดับ' ทำไมต้องหนี!

'ยิ่งลักษณ์' เปิดใจผ่าน 'จอม เพชรประดับ' ทำไมต้องหนี!


   

21 มิ.ย.61 - นายจอม เพชรประดับ อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดัง โพสต์ภาพคู่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ต้องหาหลบหนีคดี โครงการรับจำนำข้าว พร้อมข้อความ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า "สุขสันต์วันเกิดครับ "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย"
หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมมีโอกาสได้พบคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ Kentucky อเมริกา วันที่เธอและพี่ชาย คุณทักษิณ ชินวัตร ไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย Kentucky มหาวิทยาลัยที่ทั้งสองท่านเคยสำเร็จการศึกษามา
มีผู้คนมาพบปะกันเยอะแยะมากมาย บวกกับภารกิจของผมเองที่วุ่นวาย และมีเวลาอันจำกัด เลยไม่ได้จับเข่าพูดคุย ถามไถ่ในหลายประเด็นที่อยากถาม 

โดยเฉพาะคำถามใหญ่ที่ว่า ทำไมจึงตัดสินใจหนีออกมาจากประเทศไทย 
แต่ในวงสนทนาวันนั้นมีผู้นำมาเล่าให้ฟังว่า มีคนถามคำถามนี้ด้วยเช่นกัน คำตอบจากส่วนลึกในห้วใจของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยบอกว่า "เธอไม่คิดจะหนี และพร้อมที่จะเดินเข้าคุก เพราะเธอยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่าจะยังดำรงความเป็นธรรมให้กับเธอ และเธอก็ยืนยันเรื่องนี้มาโดยตลอด" 
ถึงตรงนี้เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางวงสนทนาทันทีว่า "แต่ผมจะไม่ยอมให้น้องสาวผมติดคุกแม้แต่วันเดียว หรือแม้แต่วินาทีเดียว" 
และนี่คือประตูเปิด. เส้นทางการลี้ภัยออกจากประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย และเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่สองที่จำต้องลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศ 
เข้าใจ และเห็นใจ ทั้งสองอดีตนายกฯ

พี่ชาย - ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตน้องสาวไม่เพียงเพราะสายเลือดเดียวกัน แต่ด้วยเพราะเป็นผู้นำพาน้องสาวเข้าสู่สมรภูมิการเมืองที่เข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งในประเทศไทย
จะทำใจ..และจะมีลมหายใจอยู่ได้อย่างไร ในวันที่น้องสาวต้องเดินเข้าคุก
และ ณ วันนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนเส้นทางผู้ลี้ภัยของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยทั้งสองท่าน
ทุกวันเวลาที่ผ่านไป กับการใช้ชีวิตใหม่ในแผ่นดินประเทศอื่น ผมยังคงเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความร่าเริง เพิ่มมากขึ้น ไม่เหมือนกับ"คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อสี่ปี่ก่อนในประเทศไทย 
ดีใจที่เห็นเธอมีความสุข ดีใจที่เธอมีครอบครัวที่ดี มีพี่ชายที่รักเธออย่างที่สุด และดีใจที่เธอยังคิดถึงประเทศไทย และคนไทยผู้รักประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลา 
สุขสันต์วันเกิดครับ "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย"

สถานีคิดเลขที่12 : ชิงได้เปรียบ

สถานีคิดเลขที่12 : ชิงได้เปรียบ


หันไปทางไหนระยะนี้ จะพบเห็นสีหน้าง่วงเหงาหาวนอนหนาตาเป็นพิเศษ
เป็นฤทธานุภาพของฟุตบอลโลก ซึ่งทั้ง 32 ทีมที่ได้ไปรัสเซีย ลงสนามครบทุกทีมแล้ว แพ้บ้าง ชนะบ้าง พลิกล็อกบ้าง เกิดปรากฏการณ์เซียนอยู่รู หมูอยู่ตึกแต่หัววัน
อีกสักพักคงรู้ว่าใครจะมีคะแนนพอเข้ารอบต่อไป
ยังมีสีสันและความตื่นเต้นอีกมากรอคอยอยู่ กว่าจะถึงนัดชิงในวันที่ 15 ก.ค.
เมื่อวันอังคารที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดชัดเจนว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เป็นความชัดเจนมากขึ้นอีกจากนายกรัฐมนตรี
ขณะที่กระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้ดูแลเรื่องความมั่นคง ได้ร่อนหนังสือถึงพรรคต่างๆ เชิญมาหารือเรื่องการปลดล็อก ในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้
ต้องถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
เวลาที่เหลืออยู่ จึงสำคัญมากสำหรับผู้เกี่ยวข้อง
จนอาจทำให้หลายคนดูบอลไม่สนุก เพราะต้องเร่งเตรียมความพร้อม
มุมหนึ่งของการเตรียมความพร้อม ก็คือ จะต้องหาผู้สมัครมาสแตนด์บายเอาไว้
จึงเกิดสภาพฝุ่นตลบคู่ขนานไปกับมหกรรมลูกหนังที่รัสเซีย จากการตามเก็บ ส.ส.เข้าสังกัดพรรค

ภาษาการเมืองระยะนี้เรียกว่า “ดูด” เพราะเป็นการดึงตัวแบบรีบๆ และมีพลังแรง ยากแก่การต้านทาน
แม้ว่าก่อนหน้านี้ แวดวงการเมืองพูดถึง “คนรุ่นใหม่” มีเสียงเชิญชวนคนรุ่นใหม่เข้ามาสู่การเมือง แต่มองผลสัมฤทธิ์ทางการเลือกตั้งอาจมีปัญหา
เป้าของการดูดในระยะนี้ ส่วนมากจึงเป็นอดีต ส.ส. หน้าตาเดิมๆ
มีข่าวว่า อดีต ส.ส.หรือนักการเมืองที่มีคะแนนนิยมดีๆ ไปออกงานออกการ เฝ้าฐานเสียงสม่ำเสมอ มีบารมี มีเครือข่าย ในระดับที่เรียกว่าหัวกะทิ หรือเกรดเอ ค่าตัวพุ่งกระฉูด
คล้ายๆ ราคาทุเรียนในยุคที่พี่น้องชาวจีนมานิยมชมชอบเหมือนกัน
ที่โดดเด่นฮือฮา ได้แก่ การตั้ง “กลุ่มสามมิตร” มีแกนนำเดินสายอย่างเป็นงานเป็นการ เพื่อดึงอดีต ส.ส.อีสานเข้าพรรค
ส.ส.อีสานที่ถูกดึง ส่วนมากสังกัดพรรคเพื่อไทย การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ จึงกระทบกระเทือนต่อฐานภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของพรรคเพื่อไทยมาตลอด นอกเหนือจากภาคเหนือ
เท่ากับว่า การต่อสู้ทางการเมืองได้ยกระดับไปอีกขั้นหนึ่ง สู่จุดชิงความได้เปรียบในเรื่องผลเลือกตั้ง
หลังจากฝุ่นเบาบางลง สุดท้าย ต้องมานับหัวกันว่า แชมป์เก่าอย่างเพื่อไทยโดนเจาะไปเท่าไหร่ และจะแก้เกมนี้อย่างไร
สุดท้าย อะไรก็เกิดขึ้นได้ พรรคใหญ่อาจรุ่งเรืองต่อไปหรือวูบไปดื้อๆ พรรคใหม่อาจแจ้งเกิดชั่วข้ามคืน ส.ส.โนเนมหน้าใหม่อาจเข้าป้าย
และ ส.ส.หน้าเก่าเกรดเอ ก็มีสิทธิสอบตก
การเมืองเรื่องเลือกตั้ง เป็นเกมของผู้ลงคะแนน

‘อนุสรณ์’ คำนวณ งบดูดส.ส. บอกน่าจะใช้เงินประมาณ 6 พันล้านบาท

‘อนุสรณ์’ คำนวณ งบดูดส.ส. บอกน่าจะใช้เงินประมาณ 6 พันล้านบาท


“เพื่อไทย”คำนวณงบดูดส.ส. บอก น่าจะใช้เงินประมาณ 6 พันล้านบาทหรือไม่ ถาม ท่อน้ำเลี้ยงทุ่มขนาดนี้หวังได้ประโยชน์อะไร
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มนักการเมืองนำโดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตแกนนำกลุ่มวังน้ำยม เดินสายพบปะเพื่อดูดอดีต ส.ส.ทั้งจากภาคอีสาน ภาคเหนือและภาคอื่นๆ เข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.เป็นนายกฯอีกครั้ง ว่า ประชาชนชาวไทยต้องช่วยกันตอบคำถามว่า เราจะปล่อยให้ละครน้ำเน่าทางการเมืองที่น่าเบื่อหน่าย กลับมาฉายวนซ้ำอีกรอบหรือไม่ การดูดด่วน โดยวิธีน้ำเน่าโบราณ ตกปลาในบ่อเพื่อน ใช้เหยื่อหลายรูปแบบ ทั้งการเอาคดีความมากดดันและต่อรอง การอ้างว่าจะแบ่งเขตให้ได้เปรียบ การันตีปลอดใบส้ม ใบเหลือง ใบแดง ยังจะใช้ได้ผลอีกหรือในยุค 4G ที่สำคัญเหยื่อที่อานุภาพดึงดูดสูงสุดทุกยุคทุกสมัย คือการนำเงินมาล่อ กระแสข่าวบอกว่าแค่เชิญมาคุย จ่ายก่อนเลย 3 แสนบาทก่อน ระหว่างตัดสินใจ จ่ายดูแลร่ายเดือนเดือนละ 5 แสนบาท ถ้าเป็นส.ส.เกรดเอเมื่อตกลงย้ายไปจ่ายก้อนแรก 50 ล้านบาท ถ้าดูดอดีตส.ส. 100 คน เงินก้อนแรกก็คือ 5 พันล้านบาท รวมงบดูแลรายเดือนเดือนละ 5 แสนบาท ไปอีก 8 เดือนก่อนการเลือกตั้ง น่าจะใช้เงินในการดูดประมาณ 6 พันล้านบาทหรือไม่

แล้วเศรษฐกิจแบบนี้คนหาเช้ากินค่ำหรือนักธุรกิจที่หากินโดยสุจริตที่ไหนจะมาจ่ายเงินให้นักการเมือง ดังนั้น ต้องไปดูว่าใครได้ประโยชน์จากการดูด คนนั้นต้องจ่ายหรือไม่ แหล่งเงินจึงน่าจะมาจากเครือข่ายใกล้ๆตัวของนักดูดหรือไม่ แล้วมีหรือที่เขาหว่านพืชแล้วไม่หวังผล ลงทุนแล้วไม่ถอนทุน ถ้าเขาลงทุนไป 6 พันล้านบาท เขาจะต้องถอนทุนคืนกี่เท่า ถ้า 5 เท่าก็คือ 3 หมื่นล้านบาท แล้วเขาจะเอาคืนจากที่ไหน คนที่ดูดจึงต้องหวังเข้าไปเป็นรัฐบาลเป็นผู้ถืออำนาจรัฐเพื่อจะได้ถอนทุนคืนได้ ดังนั้นประชาชนจะยอมให้ บุ​ฟเฟต์​คา​บิ​เน็ต รุมแทะ กัดกินประเทศกลับมาอีกหรือ สังคมไทยต้องรู้เท่าทันนักดูด หยุดวงจรอุบาทว์ เพื่อป้องกันประเทศชาติย้อนกลับไปสู่หลุมดำ และรอสั่งสอนขบวนการดูดในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เพื่อไทยอุบลเจอ”ปรีชา”ดูดเข้าพลังประชารัฐ

เพื่อไทยอุบลเจอ”ปรีชา”ดูดเข้าพลังประชารัฐ


วันที่ 20 มิถุนายน แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย แจ้งว่า ขณะนี้อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่โดนพลังดูดและคิดว่าจะไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐแน่นอน คือ สุพล ฟองงาม อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิชัย จรูญเนตร อดีตส.ส.อุบล เขต 5 นำทีมดูดโดย นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และนายสิทธิชัย โควสุรัตน์
รายงานข่าวแจ้งว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อุบลในนามพรรคประชารัฐค่อนข้างลงตัวแล้วทั้ง 10 เขต ซึ่งประกอบด้วยนายอดุลย์ นิลเปรม อดีต ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคเพื่อไทย นายโกวิทย์ ธรรมมานุชิต ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลฯ นายสุทธิชัย จรูญเนตร อดีต ส.ส.เพื่อไทย นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.เพื่อไทย นายณรงค์ศักดิ์ โกศัลวัฒน์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์ ส.จ.เขต ตระการพืชผล (บุตรชาย นายอดิศักดิ์ โภคกุลกานนท์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย) นายสุชาติ ตันติวณิชชานนท์ อดีต ส.ส.ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นางสาวตวงทิพย์ จินตะเวช (ลูกสาว นายตุ่น จินตะเวช อดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา) และนายอภิชา จารุแพทย์ (พี่เขยของนายสิทธิชัย โควสุรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (ครม.ชุด นายสมัคร สุนทรเวช)

รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังที่มีความขัดแย้งกันมากระหว่างกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดอุบลราชธานีโดยอยู่พรรคเดียวกันแต่คนละกลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่ม นายเกรียง กัลป์ตินันท์ กับกลุ่ม นายสุพล ฟองงาม ซึ่งกลุ่มของนายเกรียง กัลป์ตินันท์ ได้เปิดตัว อดีต ส.ส.และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ จ.อุบลอย่างชัดเจน เมื่อกลุ่มของนายสุพล ฟองงาม ไม่มีที่ยืนก็พาสมาชิกของกลุ่มเข้าร่วมงานการเมืองกับ “ปรีชา เลาหะพงศ์ชนะ” “สิทธิชัย โควสุรัตน์” พร้อมสู้ในสนามเลือกกตั้ง

แนวประชารัฐ โดยสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ทลายเพื่อไทย

แนวประชารัฐ โดยสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ทลายเพื่อไทย


การประกาศจัดตั้ง “กลุ่มสามมิตร” ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ร่วมกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งในทางการเมือง
1 สร้างความแจ่มชัด
หลังจากปรากฏ “ข่าวลือ” ว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ร่วมปฏิบัติการ “ดูด” มาอย่างยาวนาน
คราวนี้ก็ “รู้” กันอย่างเปิดเผย
การเดินทางไปจังหวัดเลยโดยมีอดีต ส.ส.จังหวัดเลยอย่าง นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข และคณะ มาต้อนรับและประกาศตนเป็นองค์ประกอบภายใน “กลุ่มสามมิตร”
นั่นแหละคือ ความจริงใจ
ไม่เพียงแต่เท่านั้น 1 ยังทำให้สามารถแกะรอย “พรรคพลังประชารัฐ” ได้อีกด้วยว่า มีทิศทางในการสร้างพรรคอย่างไรและมีเป้าหมายอย่างไรในทางการเมือง
เมื่ออ่าน “เลย” ก็เท่ากับอ่าน “กลยุทธ์” ทั้งหมด
ใครก็ตามที่ติดตามคำบรรยายของ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ในเรื่องอันเกี่ยวกับ “ประชารัฐ” ก็จะทะลุแจ้งแทงตลอดในความเป็นเอกภาพ
1 คสช.และ 1 พรรคพลังประชารัฐ
การคิดประดิษฐ์สร้างคำว่า “ประชารัฐ” ขึ้นมาก็เพื่อมากดทับและทำลายล้างคำว่า “ประชานิยม” อันเคยสร้างความสำเร็จเป็นอย่างสูงให้กับพรรคไทยรักไทย
กระทั่งต่อเนื่องมาถึงพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย
การจะทำลายล้างความสำเร็จของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ลงได้โดยพื้นฐานก็ต้องทำลายผ่าน “วาทกรรม”
พลันที่นำเอา “ประชารัฐ” แทนที่ “ประชานิยม” ก็เรียบร้อย

ขั้นตอนต่อมาก็คือ การรุกเข้าไปเพื่อทำลายฐานกำแพงอันสำคัญของพรรคเพื่อไทย นั่นก็คือการดูดและดึงเอาอดีต ส.ส.ออกมาเป็นพวกของตน
เหมือนที่ทำในกรณี นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข
หากติดตามฟังแถลงของ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข แม้ว่าจะยังยืนยันว่าไม่ได้ย้ายพรรค แต่ความเป็นจริง 1 ซึ่งเห็นอยู่ทนโท่
นั่นก็คือ แสดงตนเป็นส่วนหนึ่งของ “กลุ่มสามมิตร”
นั่นก็คือ แสดงตนว่ามีความพร้อมที่จะเดินสายไปหาอดีต ส.ส.ที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เก่าของตนเพื่อดึงเข้ามาเป็นพวก
ทิศทางของ “กลุ่มสามมิตร” คืออะไรก็แทบไม่จำเป็นต้องถาม
เพราะทุกก้าวย่างของการเคลื่อนไหวผ่าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผ่าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็คือการดุนหลัง นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ให้ออกหน้า
ทะลวงเข้าไปยังอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย
นั่นก็เป็นกลยุทธ์เดียวกันกับของ “คสช.” ที่เสนอ “ประชารัฐ” เข้าไปทำลายล้าง “ประชานิยม” ประสานเข้ากับการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐเข้าสัประยุทธ์กับพรรคเพื่อไทย
เท่ากับเปิดกระบวนท่า “ยืมหอก สนองคืน”
กล่าวไปแล้วการดูด นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข และคณะแห่งจังหวัดเลย เสมอเป็นเพียง “น้ำจิ้ม” เพราะว่า “อาหารหลัก” ได้ปรากฏขึ้นแล้ว
นั่นก็คือ การเปิดตัว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
และนับจากนี้เป็นต้นไป กระบวนการใช้พลานุภาพแห่ง “การดูด” จะทวีความดุเดือด เข้มข้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่ออดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
ทำอย่างไรให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคต่ำกว่า 100

ชัดอีก วันเลือกตั้ง : ชัดอีก พลังดูด : พลังแห่งประชารัฐ

ชัดอีก วันเลือกตั้ง : ชัดอีก พลังดูด : พลังแห่งประชารัฐ


แล้วกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปก็ชัดเจน
ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
19 มิถุนายน หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ให้สัมภาษณ์ว่า
การเดินทางไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส 20-26 มิถุนายนนี้ จะมีการชี้แจงเรื่องโรดแมปการเลือกตั้ง
ซึ่งต้องเป็นไปตามขั้นตอน ที่ต้องรอการโปรดเกล้าฯ ภายในระยะเวลา 90 วัน
จากนั้นก็เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง
หัวหน้า คสช.กล่าวว่า ขอให้บ้านเมืองสงบสุข และขอทุกคนอย่าเอาตนมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
ซึ่งสิ่งสำคัญที่ คสช.กำลังพิจารณาอยู่คือ การเตรียมการไปสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
อย่าหาว่าตนเอาเรื่องตรงนั้น มาอ้างตรงนี้
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะมีการเลือกตั้งก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า
“หลังอยู่แล้ว…หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก”
วันเดียวกัน
รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.เปิดเผยว่า หลังที่ประชุม ครม.ประชุมพิจารณาวาระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ขอให้ข้าราชการทั้งหมดออกจากห้องประชุม ครม. ให้เหลือเพียงแต่รัฐมนตรี
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงกับรัฐมนตรี โดยอธิบายถึงไทม์ไลน์การทำงานทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการออกกฎหมาย และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ
พร้อมให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด และประเมินระยะเวลาที่ก่อนและหลังจากได้ทูลเกล้าฯ ร่างกฎหมายทั้งหมดไปแล้ว
ทั้งนี้ โรดแมปการเลือกตั้งที่คาดไว้ ยังคงเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เช่นเดิม
แต่อาจจะต้องเผื่อเวลาที่จะต้องรอกฎหมายให้เสร็จและประกาศใช้อีก
จนถึงพฤษภาคม 2562
ยกพระราชพิธีที่ไม่ควรจะต้องถูกจับโยงเข้ามาเกี่ยวข้องไว้
ก็จะสัมผัสได้ถึง “ความเร่งเร้า” ของบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกได้ว่า การเลือกตั้งทั่วไปใกล้เข้ามาเต็มที
จากข่าวลือเรื่อง “พลังดูด” ที่มีศูนย์กลางอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาล
วันนี้พลังที่ว่าแสดงตัวชัดเจนออกมาด้วยการ “เดินสายดูด” อย่างเปิดเผย
ฝ่ายดูดคืออดีตสองนักการเมืองค่ายไทยรักไทย-เพื่อไทย

ที่เข้าร่วมก่อตั้ง “พลังประชารัฐ” มาตั้งแต่วาระเริ่มต้น
อย่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ฝ่ายถูกดูดคืออดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในจังหวัด
ชนิดดูดทั้งตระกูล-ดูดยกจังหวัด
ไม่ใกล้เลือกตั้ง จะต้องเร่งร้อนประกาศตัว ประกาศศักดา หรือโฆษณาชวนเชื่อให้คนในพื้นที่อื่นๆ รู้หรือว่า
บัดนี้ พร้อมที่จะ “ดูดอย่างเปิดเผย” กันแล้ว
ระหว่างคำประกาศของนายกรัฐมนตรี
ที่ระบุว่า
“ขอทุกคนอย่าเอาผมมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง”
กับความเคลื่อนไหวที่เห็นเป็นจริง จับต้องได้ มีผู้ลงมือปฏิบัติชนิดนั่งรวมกลุ่มยิ้มหน้าชื่นตาบานให้สื่อทั้งหลายชักภาพเป็นหลักฐานพยาน
ว่าบัดนี้ “พลังประชารัฐ” ที่ประกาศตัวชัดเจน ว่าจะชู พล.อ.ประยุทธ์ให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้ง
ประชาชนผู้รับสารจะเลือกเชื่อเรื่องไหน ย่อมขึ้นกับความเป็นจริงที่มีแต่จะประจักษ์
อยู่เบื้องหน้า
มากขึ้นและมากขึ้น
ส่วนเมื่อ “ตระหนัก” แล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป
และอนาคตทางการเมืองของ พล.อ. ประยุทธ์
ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์
ความได้เปรียบตั้งแต่การยึดกุมปืนและทุน
รวมทั้งถืออำนาจรัฐ ชนิดที่ “เลือกได้” ว่าจะกำหนดจัดการเลือกตั้งในช่วงเวลาอัน
“เป็นคุณ” ที่สุดแก่ตนเองเมื่อไหร่
ไปจนกระทั่งถึง “พลังดูด” ที่นับวันจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงชนิดสร้างความตื่นตะลึง
แก่คนทั่วไป
จะเป็นเครื่องรับประกันชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่
ยังไม่มีคำตอบชนิดฟันธงเต็มร้อยในวันนี้
คำตอบที่ชัดเจนมีเพียงประการเดียวกัน
ก็คือบัดนี้ผู้นำกองทัพได้ “เลือก” แล้วที่จะเดินบนเส้นทางทางการเมือง เช่นเดียวกันกับนักการเมืองทั่วไป
ด้วย “วิธีการ” ทางการเมืองที่ไม่พ้นไปจากรอยเดิม
วิธีการเช่นนี้จะพาสังคมไทยเดินไปทิศไหน?

‘หมื่นล้าน’ สู้เลือกตั้ง ‘ทักษิณ-ลายพราง’อุปาทานหมู่ 280 สส.อุ้ม ‘บิ๊กตู่’นายกฯ

‘หมื่นล้าน’ สู้เลือกตั้ง ‘ทักษิณ-ลายพราง’อุปาทานหมู่ 280 สส.อุ้ม ‘บิ๊กตู่’นายกฯ


ถ้าเงินซื้อได้จริง และเป็นปัจจัยเดียว ที่กำหนดผลเลือกตั้ง เลือกตั้งใหญ่ส.ส.ปี2562 จะไม่แค่พลิกล็อก ถล่มทลายธรรมดา
แต่จะเป็นการแลนด์สไลด์แบบร้อนแรง ลุกเป็นไฟ ดุจลาวาภูเขาไฟระเบิด
ไหม้เผาในทุกพื้นที่ที่เงินไหลบ่าท่วม อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ว่ากันว่า เงินเยอะจริง อะไรจริง ยิ่งกว่าครั้งไหนๆเสียอีก
กติกาก็อีกปม จุดชนวนแข่งดุ เมื่อทุกเสียงไม่ตกน้ำ แต่นำมาคำนวนเป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ทุกพรรคก็ต้องสู้ชิงทุกคะแนน ทุกเขตเลือกตั้งทั้ง 350 แห่ง ไม่นับรวม แต่ละฝ่ายต้องระดมใส่เต็มแม็ก เพราะเดิมพันสูง
แพ้ไม่ได้!!
นักการเมืองผู้คร่ำหวอด ผ่านสนามเลือกตั้งมาโชกโชน ศิษย์เก่าสำนักเงินผัน ประชานิยมยุคคึกฤทธิ์
ประเมินว่าหากจะเอาชนะให้เด็ดขาด ต้องใช้มหาศาลถึง 4 หมื่นล้าน หรือเฉลี่ยเขตละไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน
ตัวเลข อาจดูเว่อร์วังเกินไป
แต่ที่ปูดกันทุกวันนี้ สนนราคาดึงร่วมพรรคเบื้องต้น ตัวท็อปเกรดเอ มัดจำ 50 ล้าน และอีกก้อนเท่ากันจัดตาม
ไป ที่เหลือจะอัดฉีดเพิ่มหรือไม่ อยู่ที่สภาพของการแข่งขันว่าลอยลำแล้ว หรือเบียดขบสูสี
เมื่อดูจากตัวเลขที่แบ-แฉกันวันนี้ เขตละ100ล้าน ก็ดูไม่มากเกินไป
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นแค่ประเมินวงเงิน กรณีสู้เดือด คิดเอาชนะทุกพื้นที่
ของจริงอาจมาก-น้อย หรือต่ำกว่านี้ก็ได้
และถึงอย่างไร ก็ไม่มีใครยอมเปิดเผยตัวเลขจริงของแต่ละพรรค
นอกจากยืนยัน ใช้เงินหาเสียง เขตละ 1 ล้านตามกฎหมาย ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่า จริงหรือไม่
กล่าวสำหรับศึกเลือกตั้งทั่วไป อีเวนต์การเมืองใหญ่สุดของประเทศไทยที่ร้างลา คูหาฝุ่นเขรอะมากว่า4ปี
การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญขนาดไหนคงไม่ต้องบอกกล่าวอีก
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ยังไม่ทันประกาศวันชัดเจน
มีการปั่นตัวเลขที่นั่งส.ส. พุ่งพรวด ขั้วหนุน “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คัมแบ๊กสืบทอดเก้าอี้นายกฯ
คึกสุด ทะลุเสียงข้างมากไปเรียบร้อยแล้ว
ประกอบด้วยพรรคพลังประชารัฐ ที่เคลื่อนไหวร้อนแรงในขณะนี้ วางเป้า ล็อกเก้าอี้ไว้ที่ 150 เสียง
ไต่เพดานมาจาก 70 ที่นั่งในเดือนที่แล้ว มาพีคสุดในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้
คงมาจากมั่นใจ เปิดตัว เดินสายทาบทาม อดีตส.ส.พรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมงาน มีเสียงตอบรับอย่าง
คึกคัก 150 ที่นั่งนี้ถีบตัว ขึ้นเป็น 2เท่าจาก 70
แต่มีตัวเลขกลางที่ว่ากันว่าใกล้เคียงความจริง อยู่ที่ประมาณ 100 เสียง
100เสียงมาจากไหน
ไม่ได้เป็นตัวเลขลอยๆ หากแต่แกนนำในรัฐบาล ระดับริเริ่มก่อตั้ง คาดการจากการส่งผู้สมัครปูพรมลงครบ 350 เขตเลือกตั้ง
แต่ละเขตได้คะแนนเฉลี่ย 20,000 คะแนน
รวมๆทั้งประเทศ อยู่ที่ 7,000,000เสียง ถอดสูตรเเป็นที่นั่งส.ส. ที่มีค่าเฉลี่ยกลาง 70,000 คะแนนได้ส.ส.1 คน
ออกมากลมๆ 100 เสียง
แต่ภายหลังการเดินเกมลึก มีอดีตส.ส.ตอบรับร่วมพรรคอย่างคึกคัก
จาก 70-100 คน ล่าสุด ขยับปรับเป้ามาอยู่ที่ 150 คน คงมั่นใจกำลังภายในอะไรสักอย่าง
พรรคใหญ่พลังประชารัฐ(หรืออาจใช้ชื่ออื่นใด) แกนนำรวมเสียงตั้งรัฐบาล ฝั่งหนุน”บิ๊กตู่”กำตัวเลขนี้
ไว้รอรวมกับพรรคแนวร่วม พันธมิตร ที่สหาย3มิตร เปิดดีลการเมืองเอาไว้ ต่อจิ๊กซอว์
ซึ่งก็มีหลายพรรค หลายกลุ่มที่เป็นเครือข่าย
ที่นับว่าเป็นเนื้อหนัง ก็อย่าง ภูมิใจไทย ครั้งนี้พรรคสีเสื้อน้ำเงิน ตั้งเป้า 50 คน
อีกพรรค รวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)พรรคตั้งใหม่ สายนกหวีดกปปส. กำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ แบไต๋ ไม่มโน ฝันเป็นที่ 1
แต่อย่างน้อยต้องมี ที่นั่งในสภา 50-60 คน สุเทพ เทือกสุบรรณ แย้มว่า จะส่งผู้สมัครลงสู้ครบทุกเขตทั้ง 350 เขต
แต่ละเขตคาดว่า จะเข้าที่ 1 บ้าง 2 บ้าง 3บ้าง แต่คะแนนรวมเล็งที่ 3,500,000 แต้ม หรือเฉลี่ยเขตละ1หมื่น คำนวนตัวเลขออกมาที่ 50 เสียง
ขนาดยังไม่นับรวม พันธมิตรพรรคเอสเอ็มอี อย่าง ชาติไทยพัฒนาของตระกูลศิลปอาชา พลังชลโดยทีมงานคุณปลื้ม พรรคชาติพัฒนาของบอสใหญ่ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

ตัวเลขส.ส.ฝั่งลายพรางนี้ ก็เหลือเฟือ ดันบิ๊กตู่คัมแบ๊ก นั่งนายกฯอีกครั้ง
พลังประชารัฐ 150 เสียง+ภูมิใจไทย50+รวมพลังประชาชาติไทย50 +ชาติไทยพัฒนา-พลังชล+ชาติพัฒนา
ซึ่ง3พรรคร่วมกัน 30 เสียงน่าจะทำได้
ส.ส.ปีกนี้ ปาเข้าไป 280 เสียง!
ครองเสียงข้างมาก ในสภาล่าง จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 500 ที่นั่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ทั้งนี้ หากนับ2สภารวมกัน ตามกติกาที่ใช้เสียงสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 750 ที่นั่งโหวตเลือกนายกฯ ประกอบ
ด้วยส.ส.500 คน และส.ว.แต่งตั้ง 250 คน บิ๊กตู่ก็ลอยลำ
แค่ตัวเลขอุปาทานหมู่ชนะเลือกตั้งก็กินขาด เพราะเสียงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาอยู่ที่ 376 เสียงเท่านั้น
จะมองเอียงแบบ เอาเสียงส.ส. 280 คนตั้ง หาส.ว.มาเพิ่มอีกก็แค่ 96 คน หรือจะมองจากเก้าอี้รองรัง
เป็นนั่งร้านให้บิ๊กตู่ที่นอนที่สุด ส.ว.250 คนก็พึ่งพาอาศัยเสียงส.ส.อีกแค่ 126 คน ส่องจากฝั่งไหนก็ทะลุ แบเบอร์
ยิ่งเอา 280+250 ก็ถล่มทลาย ในแง่ประสบความสำเร็จในการรวบรวมเสียงในสภา
มีถึง 530 มือ อุ้ม”บิ๊กตู่”นั่งนายกฯ กินรวบทั้งสภาล่าง-สภาบน
แต่ตัวเลขที่ว่านี้ ยังเป็นแค่ฝัน แต่ละพรรคประเมินกัน
ถ้าเข้าเป้าตามนี้จริง ฝั่งหนุนบิ๊กตู่กวาดได้ 280 ที่นั่ง นั่นก็แสดงว่า เหลืออีกเพียง 220 เก้าอี้เท่านั้น
ที่จะแย่ง-แชร์กัน ระหว่างพรรคเพื่อไทยแชมป์เก่า และรองแชมป์อย่างประชาธิปัตย์
ขณะที่เพื่อไทย โพลลับทักษิณ ชินวัตร เคลมตัวเลข 264 ที่นั่งบวก/ลบ10
ทักษิณสู้เต็มที่แน่นอน ตัวเลขก็ต้องปั่นสูงไว้ก่อน สกัดส.ส.ไหลออก ต้องการอยู่ฝ่ายชนะ เพื่อให้เห็นว่ากระแส นิยมยังดี
เมื่อเข้าเทศกาลเลือกตั้ง คงได้เห็นการงัดแผนการตลาดแนวถนัด กลเม็ดเด็ดพรายเข้าสู้
และคงได้เห็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฎตัวในโลกโชเชียลถี่ยิบ รวมถึงบินโชว์ตัว เฉิดฉายประเทศในแถบเอเชีย-อาเซียนบ่อยครั้ง เพื่อเรียกคะแนนสงสาร
ไม่มีใครยอมใคร
ตัวเลขเพื่อไทยก็ปั่นสูง -ขั้วหนุนพล.อ.ประยุทธ์ก็พุ่งลิ่ว
เอาสองขั้วมารวมกัน ตัวเลขส.ส.รวมกันก็เว่อร์เกิน 500เสียงไปแล้ว นี่ไม่นับรวม ประชาธิปัตย์ และพรรคเล็ก
พรรคน้อย พรรคนอมินี ที่คงได้ส.ส.บ้างไม่มากก็น้อย
และ เป็นไปไม่ได้ที่พรรคใหญ่ อย่างประชาธิปัตย์จะชวดที่นั่งส.ส. เพราะอย่างปักษ์ใต้ก็แข็งแกร่ง ระดับ40ที่นั่งอัพ แต่ก็อย่าได้แปลกใจ
ตัวเลขนี้ มันแค่ประเมิน -มีความซ้อนทับกันอยู่ และทุกครั้งก่อนเลือกตั้งก็เป็นแบบนี้
เพราะเป็นตัวเลขที่วิเคราะห์ บนพื้นฐานหยาบๆ ในขณะที่การต่อสู้ในสนามจริง มีอะไรต่อมิอะไรเป็นปัจจัย
ตัวแปรที่มีผลต่อการเลือกตั้งอีกมากมาย มีผู้สมัครตกหล่น ล้มหายระหว่างทางทุกครั้ง
แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ถึงอย่างไร “บิ๊กตู่”ก็ยังเป็นเต็ง1 แคนดิเดตนายกฯในการเลือกตั้งครั้งนี้
เนื่องจากยังไม่ทันลั่นปืน สตาร์ตออกตัว ก็นำโด่งมี 250 เสียงส.ว.ในมือ
ในสนามที่ต้องต่อสู้ ชิงเก้าอี้ส.ส. พรรคพลังประชารัฐก็มีแฮนดิแคป-แต้มต่อ สะเบียง กลไก เครือข่าย อำนาจรัฐ
จัดหนักได้ อะไรได้
เป้า150ที่นั่ง จึงมองข้าม ประมาทไม่ได้ เมื่อวางเป้าหมายเขาก็ย่อมมีวิธีทำให้บรรลุเป้าหมาย ส่วนพรรคอื่นในฟากฝ่ายสนับสนุน”บิ๊กตู่”
ก็อย่าได้แปลกใจ ที่เคลมตัวเลขสูงๆเข้าไว้ มันเป็นเรื่องระดมทุน เงินๆทองๆ
จำเป็นต้องปั่นให้สูงไว้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เข้าตา เจ้าสัว-นายทุน-กลุ่มธุรกิจ แทงหวยเลือกตั้ง
ทุ่มเงินช่วยพรรค-ฝั่งได้ลุ้นร่วมรัฐบาล
มุขโบราณๆ ระดมทุนแบบนี้ การเมืองยุคปฎิรูป 4.0 ก็น่าจะใช้ได้อยู่
พรรคการเมืองต่างๆในขั้วนี้ จึงปั่นตัวเลขชูป้าย
อุปาทานหมู่ 280เสียงดึงน้ำเลี้ยง หนุน”บิ๊กตู่”คัมแบ๊ก

เช็กกระแสปั่นราคา ส.ส.30-50 ล. เพื่อไทยไม่หวั่น พรรคใหม่ระวังเลือดตกใน

เช็กกระแสปั่นราคา ส.ส.30-50 ล. เพื่อไทยไม่หวั่น พรรคใหม่ระวังเลือดตกใน


ขึ้นชื่อว่าการเมืองในยุคปฏิรูป หรือไทยแลนด์ 4.0 แต่กลับมาเกิดกระแสดราม่าจากปากคำ “วรชัย เหมะ” อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย
ว่ามีพลังดูดจากฝ่ายผู้มีอำนาจในหลายพื้นที่รุนแรงมาก
เริ่มจากการให้ผู้มีอำนาจเข้าไปหาอดีต ส.ส.ที่สีเทาๆ โดยเข้าไปบีบเรื่องคดีและธุรกิจ จากนั้นให้นักธุรกิจเข้า
ไปคุยเรื่องย้ายพรรค เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้
พร้อมเปิดประเด็นปั่นราคาตลาด อดีต ส.ส.เกรดเอ ซื้อขายราคา 50 ล้านบาท เกรดรองลงมาตกคนละ 30 ล้านบาท
หากนี้คือแผนแยบยลของ คสช.ที่ต้องการบอนไซพรรคการเมือง ดิสเครดิตบรรดานักการเมือง
เพื่อเป้าหมายให้ฝากการเมืองอ่อนแอ เมื่อนักเลือกตั้งยอมตะครุบเหยื่อ กินเบ็ดกันถึงขนาดนี้ ก็ต้องยอมรับว่าแผนการนี้ได้ผล
ตลาดซื้อขายนักการเมืองเข้มข้นขนาดนี้ จึงจำเป็นต้องต่อสายหาแหล่งข่าวสืบเสาะราคาว่าตัวเลข 30-50 ล้าน นั้นของจริงหรือแค่ปั่นราคา
สายข่าวฝั่งเพื่อไทยให้ข้อมูลว่า หากเป็นการเมืองยุคเก่าๆ เงิน 30-50 ล้านบาท จ่ายไปเพื่อแลก ส.ส.1 คน อาจเป็นไปได้
แต่การเมืองตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย ใต้เงา “ทักษิณ ชินวัตร”
ได้พลิกโฉมหน้าว่า ” เงินซื้อ ส.ส.ได้ แต่ซื้อเสียงไม่ได้ “
การนำนโยบายประชานิยมที่หยั่งรากลึกไปถึงรากหญ้าจนเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้าน ได้สร้างกระแสนิยมพรรคมากกว่าตัวบุคคล
ชาวบ้านก่อนหน้านี้ใครให้เงิน 100-200 บาทแลกกับคะแนนกาบัตร ย่อมมีบุญคุณที่จับต้องได้
นำไปซื้อข้าวประทังชีวิตได้หลายวัน แต่ภายหลังนโยบายประชานิยมที่กระจายลงไปในทุกพื้นที่ ชาวบ้านอยู่ดีกินดี

มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น จนเกิดภาวะ ” รับเงินหมา กาพรรคทักษิณ”
เคยสอบถามอดีต ส.ส.หลายคน ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า กระสุนดินดำที่ใช้จ่ายในการเลือกตั้งนั้นน้อยมาก หากวัดกระแสพรรคทักษิณ
คงไม่ต่างจากกระแสภาคใต้ที่หว่านเงินลงไปเท่าไหร่ก็ฝ่ากระแสพรรคประชาธิปัตย์ไปได้ยาก
ยิ่งได้ฟังน้ำเสียง “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) หากไม่ใช่เพราะแก้เกี้ยวเหตุเลือดไหลไม่หยุด ก็ยังยืนยันอย่างมั่นคงถึงกระแสพรรคเพื่อไทยว่า
” ผลการเลือกตั้งระยะหลังๆ ได้สะท้อนการตัดสินใจของประชาชน คือ ส.ส.คนเดิมที่ถูกดูด ล้วนสอบตกเกือบหมดทุกคน เพราะประชาชนผู้ลงคะแนนเขารู้ดีว่า
จุดยืนของคนเหล่านี้คือเงินและผลประโยชน์ของตน ที่สำคัญได้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนย้าย”
” ผลการเลือกตั้งหลายครั้งได้สะท้อนให้เห็นว่า คะแนนพรรคเพื่อไทยชนะคะแนนนิยมของ ส.ส.รายบุคคลในเกือบทุกเขตเลือกตั้ง ”
ดังนั้น กระแสอดีต ส.ส.เกรดเอตัวเลขพุ่ง 50 ล้าน ต้องจับตาดูเพราะหลังปลดล็อกการเมืองว่า เงื่อนไขนี้ของจริงหรือปั่นราคา
พร้อมกระซิบดังๆ ว่า พรรคใหม่ซิงๆ กำลังเกิดภาวะชิงการนำ ใครคุยโวรวบรวมสมาชิกเป็นหัวขบวนได้ก่อน
หมายถึงความไว้ใจของเจ้าของพรรคตัวจริง ย่อมต้องส่งกระสุนดินดำก้อนใหญ่ให้ผ่านมือ
หลายคนที่เปิดหน้า เคยสร้างมูลค่าให้ตัวเองสูงถึง 50 ล้านบาท สมัยย้ายสังกัดออกจากพรรคเพื่อไทย
หวังฝ่ากระแสชิง ส.ส.เหนือ-อีสาน แต่พอโค้งสุดท้ายรู้ว่าจ่ายยังไงก็แพ้แน่ ยอมนอนจับเงินอยู่บ้าน เปรียบ “มวยชกไม่สมศักดิ์ศรี “
เล่นเอาหัวหน้าพรรคหลายคนเพิ่งเห็นลีลานักเลือกตั้งชั้นเซียน ต้องนอนกระอักเลือดจนถึงทุกวันนี้