PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รอบนี้"ลุงตู่"เบ็ดเสร็จ

นัดแรก ประเดิมศักราช ครม. “ประยุทธ์ ภาค 2” ที่มีอำนาจบริหารสั่งการเต็มมือ

และถือเป็นวาระเร่งด่วนสำคัญก่อนอื่นเลย นั่นคือการตั้ง “ครม.เศรษฐกิจ” ที่ชงยุทธศาสตร์โดย “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ให้ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน

เสมือนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่มีอำนาจสูงสุดในการฟันธงขั้นสุดท้าย

โดยมีรองนายกฯทั้งหมด และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ประกอบด้วย รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รมว.อุตสาหกรรม รมว.พลังงาน รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รวมถึงตัวแทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นทีม ครม.เศรษฐกิจ

เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหารงานเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีเอกภาพ

เรือเหล็กเดินหน้าเต็มกำลัง ไม่ใช่ต่างคนต่างแจว

เหนืออื่นใด ตามแนวโน้มมาตรฐานความโปร่งใส “หลักประกัน” เมกะโปรเจกต์ที่ผ่านการประมูลแล้วในรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาคแรก” อาทิ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา และรถไฟฟ้าสารพัดสายที่ปักหมุดตอกเสาเข็มไปแล้ว

โดยไม่มีเรื่องชักหัวคิว หักค่านายหน้า เรียกเปอร์เซ็นต์

ในรูปการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะ ครม.เศรษฐกิจ โดยมีนายสมคิดคอยช่วยกัน “ตีมือ” คิวสอดไส้ มันก็เป็นอะไรที่นักลงทุนมั่นใจได้ระดับหนึ่งเมกะโปรเจกต์เรือธงจะได้รับการเข็นให้เดินหน้าต่อเนื่องทันที

ไม่มีการดึงจังหวะให้ช้า หรือทำท่ารื้อกันใหม่ ขู่ “ตีเมืองขึ้น” ให้วุ่นวาย

เพราะมันคือจุดอันตรายต่อเชื้อบาดทะยักคอร์รัปชัน เสี่ยงกับการโดนจับได้ไล่ทัน ในสถานการณ์สื่อกระแสหลักและสื่อโซเชียลฯที่เฝ้าจับตาฟอร์มของรัฐบาลนักการเมืองอาชีพที่จ้องเข้ามา “ถอนทุน”

โดยเฉพาะห้วงฤดูเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนี่แหละสำคัญ

ยิ่งเทียบกันตามระดับความโปร่งใสของทีม “ประยุทธ์ ภาคแรก” ที่ทำให้เห็นมาแล้ว กับทีม “ประยุทธ์ ภาค 2” ที่พรรคร่วมรัฐบาลแย่งชิ้นปลามัน ดึงกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอไปกำกับดูแล

สภาพเสียงปริ่มน้ำ ยิ่งทำให้เอื้อต่อการใช้อำนาจต่อรองเพื่อผลประโยชน์ในทางมิชอบ

“ครม.เศรษฐกิจ” จึงเป็นคำตอบได้ดีที่สุด สำหรับไฟต์บังคับรัฐบาลที่จัด ครม.โลกสวยไม่ได้

เอาเป็นว่า รับรู้กันตามสภาพการณ์ “หน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2” คือ “บิ๊กตู่” ไม่ใช่ “สมคิด” ที่ออกตัว

ตีกรรเชียงถอยให้ตามยุทธศาสตร์

มีแค่ตำแหน่ง แต่ไร้อำนาจ เก๋าระดับ “จอมยุทธ์กวง” อ่านขาดอยู่แล้ว

แนวโน้มต้องอาศัย “ลูกเด็ดขาด” สไตล์ “บิ๊กตู่” ขู่ปรามพรรคร่วมแผลงฤทธิ์ไว้ก่อน ตามเหลี่ยมล้อกับสถานการณ์ตอนฟอร์มรัฐบาล ที่เป็นผู้มีบารมีนอกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็

ว่ากัน มี พล.อ.ประยุทธ์ไปจัดการแจกขนมให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย

งานนี้ก็ต้องไล่ตาม “เก็บงาน” กันเองด้วย

ไม่ใช่แค่มุมเศรษฐกิจเท่านั้น หันไปทางมุมความมั่นคง

ล่าสุดเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม ก่อนประชุม ครม. “บิ๊กตู่” ในอีก 1 สถานะ คือ รมว.กลาโหม ถือฤกษ์งามยามดี อุ้มพระพุทธรูป 5 องค์ เข้าบูชาที่ห้องทำงานกระทรวงกลาโหม

ท่ามกลางผู้นำทุกเหล่าทัพตบเท้ารอรับกันพรึบพรับ

ตามสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรีประกาศคุมเองหมด ทั้งกองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

ครบเครื่องอำนาจความมั่นคง เบ็ดเสร็จในตัวคนเดียว

เรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่กุมสภาพแน่นปึ้ก ล็อกไว้หมดทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง

ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามสถานภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังมีอำนาจ คสช. “ค้างท่อ” ที่สำคัญมีน้องรักอย่าง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นแบ็กอัปคุ้มกันหลังให้

แต่มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ สถานภาพนี้จะยังอยู่ดีหรือไม่

ถ้าหาก “บิ๊กตู่” ตัดสินใจกระโดดลงสนามการเมืองเต็มตัว เป็นหัวขบวนพรรคพลังประชารัฐ

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่กองทัพ รวมถึงน้องรักอย่าง “บิ๊กแดง” เองก็คงอึดอัด วางตัวลำบาก หากต้องเอากองทัพไปหนุนพรรคการเมืองชัดเจน

จำเป็นต้องถอย ลดระดับมาตรการอารักขา “พี่ตู่”.

ทีมข่าวการเมือง

วันแมนโชว์

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำทัพของ นายกฯหน้าเก่าไม่ต้องวอร์มอัป ไม่ต้องฮันนีมูน เริ่มเดินเครื่องทำงานทันที

แต่เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง เป็นรัฐบาลรวมดาว กระจาย รูปแบบการทำงานของรัฐบาลใหม่จึงแตกต่างจากยุครัฐบาล คสช. ซึ่ง นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุมอำนาจเบ็ดเสร็จแต่ผู้เดียว

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าเมื่อรองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญๆ กลายเป็นโควตาพรรคร่วมรัฐบาล

ไม่ใช่ลูกน้องสายตรงที่ “นายกฯลุงตู่” จะชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันได้อย่างสะดวกโยธิน

จึงมีความจำเป็นที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องปรับโครงสร้างอำนาจ และกระบวนการทำงานให้สอดรับกับสถานการณ์

ต้องกระชับอำนาจในมือเพื่อควบคุมรัฐมนตรีพรรคต่างๆไม่ให้นอกลู่นอกทาง

และเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีคนละพรรคเหยียบตาปลากันเอง

ดังนั้น หน่วยงานสำคัญๆที่เคยมอบอำนาจให้รองนายกฯช่วยกำกับดูแลแทน

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องแผ่พังพานเข้าไปกำกับดูแลเอง

เริ่มตั้งแต่การควบ 2 เก้าอี้ เป็นนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหมแบบทูอินวัน

“พล.อ.ประยุทธ์” จะเป็นผู้ควบคุม สั่งการกระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศโดยตรง

กำลังทหาร 3 กองทัพกว่า 3 แสนนายจะขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

ไม่ต้องผ่านรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงอย่างเดิม

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าเพื่อกระชับอำนาจให้แน่นป่ึกร้อยเปอร์เซ็นต์ นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศชัดกลางสภาฯ จะเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยตัวเอง

หมายความว่ากำลังตำรวจ 2.1 แสนนาย จะเปลี่ยนไปขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศจะอยู่ในมือ “นายกฯลุงตู่” ร้อยเปอร์เซ็นต์

ล่าสุด นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ยังส่งสัญญาณจะเข้าไปกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” อีกหนึ่งองค์กร

ไม่ผ่องถ่ายให้รองนายกฯรับ หน้าเสื่อกำกับดูแลดีเอสไออย่างที่ผ่านมา

จากนี้ไปคดีใหญ่ๆทุกคดี ที่จะประเคนให้เป็นคดีพิเศษ ให้ดีเอสไอเป็นผู้เช็กบิล

จะต้องผ่านไฟเขียวจาก พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง

สรุปว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกำลังทหาร 3 เหล่าทัพกว่า 3 แสนนาย ตำรวจทั่วประเทศอีก 2.1 แสนนาย และกรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอ ครบไตรภาคี

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่ายังมีอีกบทบาทสำคัญที่ “พล.อ.ประยุทธ์” จะแอ่นอกแสดงบทบาทเอง

คือจะเป็นหัวหน้าทีม ครม.เศรษฐกิจ แทน “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจคนเดิม

นายกฯลุงตู่ จะนั่งหัวโต๊ะประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจทุกกระทรวง ทุกพรรคเพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกด้านที่รัฐบาลแถลงต่อสภาฯ

การเปลี่ยนโครงสร้างบริหารในรัฐบาลใหม่ จะยกระดับ “นายกฯ ลุงตู่” ให้กลายเป็น “ซุปเปอร์แมน”

ต้องทะลุ่มทะลุยทำงานหนักขึ้นอีกเท่าตัว

แล้วอย่าบ่นว่าเหนื่อยเชียวนะลุง.

“แม่ลูกจันทร์”