PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สิ้นบุญ "โกฮง" พงษ์ ถาวรวิวัฒน์บุตร เทรนเนอร์คู่บารมี "เขาทราย"

“โกฮง”พงษ์ ถาวรวิวัฒน์บุตร เทรนเนอร์คู่บารมี เขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมเปี้ยนโลกขวัญใจชาวไทย สิ้นลมแล้ว ..
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.59 รายงานข่าวแจ้งว่า นายพงษ์ ถาวรวิวัฒน์บุตร หรือ “โกฮง” เสียชีวิตอย่างสงบที่พัก แฟลต อาคารพึ่งบุญ รามอินทรา 79 ท่ามกลางภรรยา และญาติ หลังจากป่วยด้วยโรคชรา และมีโรคความดัน เบาหวาน หลายโรครุมเร้า มานานหลายปี ซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถช่วยตัวเองได้มานานหลายเดือน ต้องนอนอยู่บนที่นอน กระทั่งสิ้มลมไปอย่างสงบ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. วันจันทร์ที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา
ญาติจะนำร่างไปทำพิธี ที่วัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา กทม. ทำพิธีรดน้ำศพ 16.00 น. วันอังคารที่ 26 ก.ค. สวดพระอภิธรรม เวลา 19.00 น. ก่อนฌาปนกิจ วันอาทิตย์ที่ 31 ก.ค. เวลา 16.00 น.
โกฮง คือเทรนเนอร์คู่บารมี เขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมป์จูเนียร์แบนตั้มเวต สมาคมมวยโลก (WBA) และ เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม อดีตแชมป์โลก รุ่นฟลายเวต WBA เคยสร้างสรรค์นักมวยไทยอีกมากมาย ภายใต้การร่วมมือกับ “แชแม้”นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ โปรโมเตอร์คนดังแห่งศึกพลังหนุ่ม และ แกแล็คซี่ โปรโมชั่น
พงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2484 อายุ 75 ปี เป็นบุตรนายเต็ง และนางตี่ ซึ่งอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน ตัวโกฮงเป็นคนสุดท้อง และเป็นชายทั้งหมด
พื้นเพเป็นชาวอุทัยธานี ติดตามพี่ชาย “ศักดิ์ณรงค์ ลูกสุรินทร์” มาอยู่ค่ายเมืองสุรินทร์ แต่เนื่องด้วยร่างกายใหญ่โตจึงไม่ได้ชกมวย ทว่าก็ยังคลุกคลีอยู่ในค่าย ยุคที่ ครูมนู สมพันธ์ เป็นเจ้าของ และได้ศึกษาวิธีการเทรนเนอร์เก็บเกียวประสบการณ์จากครูมนูจนหมดสิ้น จนอายุ 25 จึงย้ายไปเป็นเทรนเนอร์เต็มตัวที่ค่าย”สิทธิบุญเลิศ” ก่อนจะย้ายมาตั้งค่ายตัวเองชื่อ “ศักดิ์ณรงค์” สร้าง เนตรศักดิ์ณรงค์ และ ณรงค์น้อย ศักดิ์ณรงค์ เป็นยอดมวยไทยชื่อดังคู่บารมี กระทั่งเลิกรา และยุบค่ายไปในที่สุด

จนปี พ.ศ.2528 ได้รับการติดต่อจาก “แชแม้”นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ให้มาเป็นเทรนเนอร์ เขาทราย รับช่วงต่อจาก “ครูเฒ่า ชนะทรัพย์แก้ว” สร้างสรรค์ขัดเกลาวิชามวยจนเขาทราย กลายเป็นแชมเปี้ยนโลกขวัญใจชาวไทยตลอดกาล และเป็นแชมป์โลกระดับตำนาน ถือเป็นคู่หู คู่บารมีของกันและกัน

ช่วงบั้นปลายเคยได้รับการดึงตัวจาก นริส สิงหวังชา ให้เข้ามาช่วยเทรนเนอร์ เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม จนกลายเป็นแชมป์โลกอยู่ระยะหนึ่งก่อนโกฮงจะเลิกราไปเนื่องจากสภาพร่างกายไม่อำนวย ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดัน ก่อนจะเสียชีวิตอย่างสงบในที่สุด ด้วยวัย 75 ปี

ลำดับเรื่อง เหตุเกิดในห้อง "หมอเปรม" สั่งถอดกางเกงสื่อ จ.ขอนแก่น-เจ้าตัวเตรียมแถลงขอโทษ

updated: 26 ก.ค. 2559 เวลา 22:31:07 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เหตุการณ์เกรียวกราวเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ อ.บ้านไผ่ เมื่อนักข่าวขอนแก่น 5 คน นำทีมโดยนักข่าวรุ่นใหญ่อายุ 60 -70 ปี ทำข่าวมาหลายสิบปี รู้จักมักคุ้นกับน.พ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านไผ่ เป็นอย่างดี ยกคณะเดินทางมาจากอ.เมือง จ.ขอนแก่น ไปที่สำนักงานของน.พ.เปรมศักดิ์ ที่อ.บ้านไผ่ เพื่อขอสัมภาษณ์ กรณีมีข่าวเกรียวกราวผูกข้อไม้ข้อมือกับสาวรุ่น
เมื่อไปถึงน.พ.เปรมศักดิ์บอกรอให้มาพร้อมๆกันก่อน หลังจากนั่งรอพักใหญ่ มีเจ้าหน้าที่เทศบาลมาเชิญเข้าไปในห้องที่น.พ.เปรมศักดิ์นั่งอยู่

ที่แปลกคือมีการขอยึดโทรศัพท์กับกล้อง ก่อนที่น.พ.เปรมศักดิ์จะต่อว่าผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ว่าลงข่าวหมั้นสาวทำไมไม่ถามก่อน

นักข่าวบอกว่า ส่วนกลางเป็นผู้ทำข่าวนี้ เพราะได้ข่าวและภาพจากโซเชียลมีเดีย น.พ.เปรมศักดิ์กล่าวว่า ไม่รู้ ตนไม่เล่นโซเชียล
พร้อมกับต่อว่าอีกว่า เวลาพวกคุณมีปัญหา ผมช่วย แต่ผมมีปัญหา พวกคุณมาเขียนข่าวสร้างความเสียหาย ซึ่งบรรดาผู้สื่อข่าวพากันงง เพราะเป็นกลุ่มสื่ออาวุโสของจังหวัด ไม่ได้มีเรื่องราวต้องขอความช่วยเหลือ

น.พ.เปรม ศักดิ์ยังคงร่ายยาวแสดงความไม่พอใจ บรรยากาศเคร่งเครียดทำให้นักข่าวบางคนขอตัวลงมาก่อน ผู้สื่อข่าวหญิงคนหนึ่ง อายุ 40 กว่า ร่ำไห้ออกมาด้วยความตกใจ

อยู่ๆ น.พ.เปรมศักดิ์สั่งให้เจ้าหน้าที่ถอดกางเกงผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ท่ามกลางความตกตะลึงของเจ้าตัว
แล้วให้เจ้าหน้าที่อีกคนถ่ายรูป โดยระบุว่า จะได้รู้สึกว่าถูกประจานเป็นยังไง

กระทั่ง สักพักหนึ่งจึงให้ใส่กางเกง พร้อมกับกล่าวว่า นักข่าวทำข่าวไม่รับผิดชอบ ลงภาพข่าวทำให้เดือดร้อน ทั้งที่ตนไปช่วยเหลือครอบครัวเขา ทำให้รู้สึกเจ็บปวด นอนร้องไห้มาเป็นอาทิตย์

น.พ.เปรมศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า ตนเองสู้มาเยอะแล้ว สู้กับเสธ หนั่น ( พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ) มาแล้ว

สรุปสุดท้าย เป็นอารมณ์ช็อคของผู้สื่อข่าว ที่มีประสบการณ์กับข่าวสารพัด แต่ต้องมาพบกับเหตุการณ์นอกสารบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ข่าวล่าสุดเปิดเผยว่า วันที่ 27 ก.ค.นี้ น.พ.เปรมศักดิ์ นัดพบผู้สื่อข่าวเพื่อจะแถลงขอโทษ

ส่วน ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ที่วงการข่าวเรียกกันว่า”พี่แบน” หรือนายก่อสิทธิ กองโฉม อายุ 64 ปี จะเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในวันที่ 27 ก.ค.นี้



ที่มา มติชนออนไลน์

"ครูสน รูปสูง" ปราชญ์ชาวบ้านอีสาน สิ้นลม


ปราชญ์ชาวบ้าน "สน รูปสูง" นักเคลื่อนไหวภาคการเกษตรและกลุ่มองค์กรในพื้นที่ขอนแก่น และภาคอีสาน หัวใจวายเฉียบพลัน 

              ครูสน รูปสูง แกนนำสภาองค์กรชุมชนตำบลท่านางแนว อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 69 ปี ด้วยอาการหัวใจวาย เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 59 
             นายประกาศิต รูปสูง บุตรชายนายสน กล่าวว่า ที่ผ่านมาพ่อทำงานเป็นนักเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ค่อยได้พักผ่อน ต่อมาระยะหลังมีอาการป่วยด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ได้เข้าทำการรักษาเป็นระยะ และเริ่มทำงานน้อยลง ดูแลสุขภาพมากขึ้น เริ่มออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานวันละประมาณ 30-40 กม. ต่อมาพ่อมีอาการป่วยเพิ่มขึ้นจากภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย ก็ได้ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอย่างจริงจัง
              นายประกาศิต กล่าวว่า วันนี้ช่วงเย็นพ่อได้ไปปั่นจักรยานตามปกติ เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษๆ พ่อได้โทรศัพท์มาหาแม่ ขอความช่วยเหลือโดยบอกว่า มีอาการเหนื่อยจนช็อค อยู่ที่ถนนสายเมืองพล-ชัยภูมิ ทางบ้านจึงรีบออกไปช่วยเหลือ นำส่ง รพ.แวงน้อย สภาพขณะนั้น ยังรู้สึกตัวดี เมื่อถึง รพ. เจ้าหน้าที่ได้พยายามใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่พ่อได้ดิ้นส่งเสียงร้อง ไม่นานก็เงียบไป แพทย์ตรวจพบหัวใจวาย จึงได้ปั๊มหัวใจอยู่นานประมาณ 30 นาที แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ เสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.
               ส่วนสาเหตุ คาดว่าเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ เพิ่งกลับจากประชุมที่ จ.อุดร หนองบัวลำภู และขณะปั่นจักรยาน มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เพราะฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว จึงให้อาการเส้นเลือดหัวใจตีบกำเริบ เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ทัน จนเกิดการช็อค

             ประวัติของนายสน รูปสูง เกิดเมื่อวันที่ 27 ก.ค.2490 เป็นลูกชาวนา เรียนจบวิทยาลัยครู จาก จ.อุดรธานี แล้วเข้าเรียนต่อทางด้านกฎหมาย ที่ ม.รามคำแหง แต่ยังไม่ทันจบ ขณะนั้นได้เข้าร่วมขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงปี 2517 ต่อเนื่องถึงปี 2519 จึงต้องหลบหนีเข้าป่า มีชื่อจัดตั้งว่า 'สหายวา' อยู่เขต 196 เขตเดียวกับหมอพลเดช ปิ่นประทีป กระทั่งกลับออกมาปี 2520 จึงหันไปเรียนต่ออีกครั้ง ขณะเดียวกันได้ร่วมทำงานกับชาวบ้าน พร้อมกับเป็นครูประชาบาล ก่อนจะลาออกมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว เลี้ยงวัว ทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ จัดทำเป็นโครงการพัฒนาปศุสัตว์ภาคอีสาน พัฒนาเป็นสภาผู้เลี้ยงวัวควายภาคอีสาน โดยมีชาวบ้านมารวมตัวกัน การเลี้ยงวัวควายก็พัฒนามาเป็นรูปสหกรณ์มากขึ้น ตอนหลังตั้งเป็นสหพันธ์สหกรณ์ภาคอีสาน จดทะเบียนเป็นชุมนุมสหพันธ์สหกรณ์ภาคอีสาน มีสำนักงานอยู่ที่ตำบลท่านางแนว จังหวัดขอนแก่น 
              ครูสน เป็นผู้มุ่งมั่นทำงานเพื่อชุมชนอย่างจริงจัง เป็นเกษตรกร เป็นนักพัฒนาเพื่อชุมชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มายาวนาน แม้วันเปลี่ยนเวลาผ่านความใฝ่ฝันของครูสน นักสู้จากที่ราบสูงยังมั่นคง 
             โดยในปี 2550 ครูสนได้เป็นที่ปรึกษา สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และยังรวมถึงตำแหน่งในหน่วยงานอื่นๆ ในฐานะผู้นำองค์กรชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
               ครูสน เคยกล่าวไว้เมื่อช่วงปี 2557 หลังการปฏิวัติโดย คสช. ว่า “วันนี้คุณต้องฟังประชาชน ฟังเสียงคนข้างล่าง การเปลี่ยนแปลงประเทศผมเชื่อว่าประชาธิปไตยชุมชนจะไปกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว แล้วประชาชนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ผมอยากเห็นชาวบ้านลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนการแบมือขอ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก นี่คือสิ่งที่ผมหวัง” 

ยูเอ็นเรียกร้องหยุดใช้ พ.ร.บ.ประชามติ-เปิดเสรีดีเบตร่าง รธน.




ผู้รายงานพิเศษ UN ประณามไทยจับ-ตั้งข้อหาจากคำสั่ง คสช.-พ.ร.บ.ประชามติ เรียกร้องหยุดใช้ พ.ร.บ.ประชามติ และเปิดให้มีการถกเถียงร่างรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง
26 ก.ค. 2559 เดวิด ไคย์ ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ออกแถลงการณ์ประณามการจับกุมและตั้งข้อหาต่อการแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียและสาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลทหารและ พ.ร.บ.ประชามติ
ในแถลงการณ์ระบุว่า มีรายงานว่า ตั้งแต่ มิ.ย.เป็นต้นมา มีคนอย่างน้อย 86 รายถูกสอบสวนหรือตั้งข้อหาเกี่ยวเนื่องกับการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อต้นเดือน ก.ค. มีนักกิจกรรมเจ็ดรายถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประชามติ ขณะที่นักข่าวที่ตามไปทำข่าวก็ถูกจับและตั้งข้อหาด้วย ทั้งนี้ การฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประชามติ มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี เสียค่าปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
เขาแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อคำสั่งของรัฐบาลทหาร และ พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งจำกัดการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ
"แนวคิดของการประชามติคือการเปิดให้มีการถกเถียงอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะมีการลงประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ควรส่งเสริมให้มีการแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง เสรี และเปิดให้มีการอภิปรายอย่างเข้มข้น" เดวิด ไคย์ กล่าว
"แทนที่จะทำให้การแสดงออกต่อร่างรัฐธรรมนูญเป็นอาชญากรรม รัฐบาลไทยควรจะส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่เปิดกว้างต่อการสนทนาของสาธารณะ เพื่อทำให้แน่ใจว่าจะเกิดการมีส่วนร่วมโดยได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ในระหว่างการประชามติ" เดวิด ไคย์ กล่าว
ทั้งนี้ มาตรา 61 วรรคสอง พ.ร.บ.ประชามติ ระบุว่า “ผู้ใดดำเนินการเผยแพร่ ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสื่อพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือในช่องทางอื่นใดที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย”
"ทุกคนต้องมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง" เขากล่าวพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประชามติ ยกเลิกข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.นี้ รวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่ง คสช. ทั้งหมด และยึดถือพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
สำหรับข้อเรียกร้องของผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ได้รับการรับรองจากผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคมโดยสงบ, ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และคณะทำงานว่าด้วยการคุมตัวโดยพลการ
 

แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องตรวจสอบสภาพผู้ต้องขังตุรกี หลังทราบข้อมูลทารุณกรรม


องค์กรสิทธิมนุษยชนได้ข้อมูลการละเมิดสิทธิในตุรกี หลังรัฐบาลตุรกีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเผยว่า มีการทารุณกรรมผู้ต้องขัง ล่วงละเมิดทางเพศ และไม่ยอมให้ทนายหรือครอบครัวเข้าเยี่ยม ชี้เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายข้อ
26 ก.ค. 2559 องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า พวกเขาได้รับหลักฐานที่น่าเชื่อถือทำให้ทราบว่าผู้ต้องขังที่ถูกจับกุมหลังจากการรัฐประหารที่ล้มเหลวในตุรกีถูกทุบตี ทารุณกรรม รวมถึงถูกข่มขืน ในสถานที่คุมขังทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
แอมเนสตี้ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองอังการาและอิสตันบูลสั่งให้ผู้ต้องขังอยู่ในท่าผิดปกติหรืออยู่ในท่าเดิม (stress position) เป็นเวลา 48 ชั่วโมง ไม่ยอมให้น้ำ อาหาร และการรักษาพยาบาล รวมถึงมีการใช้วาจาด่าทอและข่มขู่คุกคามพวกเขา ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือถูกทุบตี ทารุณกรรมและข่มขืน จอห์น ดาลฮุยเซน ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ยุโรปกล่าวว่าเขาได้รับภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการละเมิดสิทธิเกิดขึ้นในที่คุมขังจริงและถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกเมื่อพิจารณาจากจำนวนการคุมขังผู้คนเป็นจำนวนมากตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
"มันเป็นเรื่องด่วนที่สุดที่รัฐบาลตุรกีจะต้องหยุดยั้งการกระทำที่น่ารังเกียจเหล่านี้และยอมให้นานาชาติเข้าไปตรวจสอบเยี่ยมเยียนผู้ต้องขังเหล่านี้ในสถานที่ที่พวกเขาถูกควบคุมตัวไว้" ดาลฮุยเซนกล่าว
แอมเนสตี้ระบุอีกว่ามีการกักขังตามอำเภอใจรวมถึงนำไปขังไว้ในที่ๆ ไม่เป็นทางการ ผู้ต้องขังถูกปฏิเสธไม่ให้ทนายความหรือครอบครัวเข้าพบและไม่มีการแจ้งข้อหาในการจับกุมอย่างเหมาะสมจนถือเป็นการละเมิดสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทางการตุรกีก็ทำให้ประธานาธิบดี เรเซป ไทยิป แอร์โดอัน สามารถคุมขังผู้คนโดยไม่แจ้งข้อหาได้เพิ่มขึ้นจาก 4 วันเป็น 30 วัน เพิ่มความเสี่ยงที่ผู้ต้องขังจะถูกปฏิบัติอย่างทารุณมากขึ้น
ทางแอมเนสตี้ยังได้พูดคุยกับทนายความ แพทย์ และผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำเกี่ยวกับสภาพของผู้ต้องขังซึ่งไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อเพื่อความปลอดภัยทำให้ทราบถึงเรื่องการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องขังตามที่ระบุถึงซึ่งเกิดขึ้นมากโดยเฉพาะในสนามกีฬาและสนามม้าของศูนย์บัญชาการตำรวจกรุงอังการา และมีอีกหลายกรณีที่ถูกนำไปคุมขังในสถานที่ที่ไม่ใช่เรือนจำอย่างเป็นทางการเช่นนี้
ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่คุมขังเปิดเผยอีกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้ผู้ต้องขังเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์แม้ว่าผู้ต้องขังจะอยู่ในสภาพแทบยืนไม่ได้ ตาเลื่อนลอย จนถึงขั้นหมดสติ มีแพทย์ตำรวจรายหนึ่งบอกกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำว่าให้เขาปล่อยผู้ต้องขังให้ตายไปแล้วค่อยบอกกับคนอื่นว่าพบตัวผู้ต้องขังรายนี้เสียชีวิตไปตั้งแต่แรกแล้ว นอกจากนี้ในหมู่ผู้ต้องขังราว 650-800 รายในศูนย์บัญชาการตำรวจอังการา มีอย่างน้อย 300 รายที่มีร่องรอยถูกทุบตีทำร้าย บางคนมีบาดแผลของมีคม รอยช้ำ และกระดูกหัก ราว 40 ราย บาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถเดินได้ มีสองรายที่ถึงขั้นยืนไม่ขึ้น มีผู้ต้องขังรายหนึ่งเป็นผู้หญิงมีรอยช้ำที่ใบหน้าและลำตัว ผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่าเขาได้ยินตำรวจพูดกันว่าที่พวกเขาถูกทุบตีเพื่อให้ "เปิดปากพูด"
มีการเปิดเผยต่อไปว่าผู้ต้องขังถูกมัดมือและถูกบังคับให้คุกเข่าเป็นเวลานานหลายชั่วโมง บางครั้งมีการรัดที่มัดมือแน่นจนเกิดแผล ทนายความบอกว่าผู้ต้องขังบางคนถูกนำตัวมาโดยที่เสื้อผ้าเปื้อนเลือด ไม่ยอมให้น้ำและอาหารแก่ผู้ต้องขัง 2-3 วัน นอกจากนี้ผู้ต้องขังยังอยู่ในสภาพจิตใจย่ำแย่ มีคนหนึ่งพยายามกระโดดจากหน้าต่างชั้น 6 ของอาคาร อีกคนหนึ่งเอาหัวโขกกำแพงซ้ำๆ
ดาลฮุยเซนกล่าวว่า ถึงแม้จะมีภาพและวิดีโอการทารุณกรรมเผยแพร่ไปทั่วประเทศตุรกี แต่รัฐบาลก็ยังเงียบเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเงียบเฉยในสภาพการณ์เช่นนี้ถือเป็นปล่อยปละละเลยให้การละเมิดสิทธิฯ เกิดขึ้น ดาลฮุยเซน ยังกล่าวอีกว่าเขาเข้าใจว่าสภาพการณ์ในตุรกีชวนให้มีความเป็นห่วงด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนหลังเกิดกรณีการพยายามก่อรัฐประหารเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แต่ก็ไม่ควรจะกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการทารุณกรรม ปฏิบัติเลวร้ายต่อผู้ต้องขัง รวมถึงการจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ เพราะลิดรอนสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมถือเป็นการละเมิดกฎหมายตุรกีเองและกฎหมายระหว่างประเทศ
"บรรยากาศการเมืองของตุรกีในตอนนี้อยู่ในสภาพของความหวาดกลัวและตื่นตระหนก รัฐบาลควรเบนเข็มให้ประเทศเข้าสู่หนทางของการเคารพสิทธิและกฎหมาย ไม่ใช่การแก้แค้น" ดาลฮุยเซนกล่าว
แอมเนสตี้เรียกร้องให้คณะกรรมการยุโรปเพื่อการป้องกันการทารุณกรรม (CPT) เข้าตรวจสอบสภาพผู้ต้องขังในตุรกีโดยด่วน และในฐานะที่ตุรกีเป็นสมาชิกสภายุโรปรัฐบาลตุรกีมีพันธกรณีในการต้องให้ความร่วมมือกับ CPT ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการเข้าถึงสถานที่คุมขังได้จากที่ก่อนหน้านี้สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตุรกีถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเยี่ยมสถานที่คุมขัง แอมเนสตี้ยังเรียกร้องให้หน่วยงานทางการของตุรกีร่วมกันประณามการทารุณกรรมและการปฏิบัติเลวร้ายต่อผู้ต้องขัง รวมถึงต่อต้านและนำตัวผู้ทำการทารุณกรรมออกมาแสดงความรับผิดชอบ อนุญาตให้ทนายความเข้าเยี่ยม แจ้งเรื่องการคุมขังต่อสมาคมทนายความและครอบครัวผู้ต้องขังโดยทันที
"ทางแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล เรียกร้องให้ทางการตุรกีปฏิบัติตามพันธกรณีด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและไม่ฉวยโอกาสใช้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในการย่ำยีสิทธิผู้ต้องขัง" ดาลฮุยเซนกล่าว

เรียบเรียงจาก
Turkey: Independent monitors must be allowed to access detainees amid torture allegations, Amnesty International, 24-07-2016
https://www.amnesty.org/en/latest/news/2016/07/turkey-independent-monitors-must-be-allowed-to-access-detainees-amid-torture-allegations/

'ม.44'สั่งพักงานด่วน 'นายกฯอบจ.เชียงใหม่' เซ่นจับร่างรธน.เก๊

ราชกิจจานุเบกษา หน้า ๑๐เล่ม ๑๓๓ ตอนพิเศษ ๑๖๔ ง ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๔/๒๕๕๙ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๕ 

ตามที่จะมีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ และเจ้าหน้าที่ 
ได้เข้าดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายนั้น เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานและตรวจค้นพบว่าผู้บริหาร 
และเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งมีการกระทําซึ่งอาจเป็นความผิดตามกฎหมาย 
ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ จําเป็นต้องดําเนินการโดยด่วนเพื่อป้องกันหรือระงับ 
มิให้เป็นการทําลายความสงบเรียบร้อยหรือเกิดความเสียหายต่อราชการแผ่นดิน 

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 
พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้ 
ข้อ ๑ ให้นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ระงับการปฏิบัติ 
ราชการหรือหน้าที่ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคําสั่ง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน 
ข้อ ๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายดําเนินการตรวจสอบ หรือดําเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว ในกรณีพบว่ามีผู้บริหารหรือข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้อื่นเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิด หรือไม่พบว่าบุคคลตามข้อ ๑ มีความผิด ให้หน่วยงานดังกล่าวรายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาหรือเปลี่ยนแปลงคําสั่งต่อไป 

ข้อ ๓ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 
สั่ง ณ วนทั ี่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ 
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

"บิ๊กป้อม"ไฟเขียวผบช.ภ.5ออกหมายจับ "5บิ๊กนักการเมือง" เอี่ยว จ.ม.ปลอมบิดเบือนร่างรธน.

"บิ๊กป้อม"ไฟเขียวผบช.ภ.5ออกหมายจับ "5บิ๊กนักการเมือง" เอี่ยว จ.ม.ปลอมบิดเบือนร่างรธน. ย้ำคสช.ไม่ได้จัดฉาก ยันยังไร้ขบวนการล้มประชามติ

เมื่อวันที่ 26ก.ค. เวลา14.30น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีพล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบช.ภ.5เตรียมออกหมายจับนักการเมืองอีก5คนที่เกี่ยวข้องกับการออกจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญในพื้นที่ภาคเหนือว่า เจ้าหน้าที่ระบุว่ากำลังเตรียมการ ต้องว่าไปตามพยานหลักฐานถึงใครก็ว่าไปตามนั้น ไม่ทราบว่าจะถึงนักการเมืองระดับชาติหรือไม่ ขอให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนไปก่อน โดยตนยืนยันว่าเรื่องเอกสารปลอมร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่การดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ส่วนถึงฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามตินั้น ยืนยันไม่มีขบวนการฉีกบัตร แต่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ถึงขั้นเป็นขบวนการล้มประชามติ เชื่อว่าแม้จะถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนลงประชามติจะไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น พร้อมปฏิเสธไม่จำเป็นต้องตั้งวอรูมลับประชุมกันในวันลงประชามติ"
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/politics/378510682/

บทเรียน การเมือง จาก บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ‘เขาอยาก อยู่ยาว’

สถานการณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ กำลังอยู่ในสภาพคล้ายกับสถานการณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อเดือนกันยายน 2558
คล้ายตรงที่เป็น “ร่างรัฐธรรมนูญ”
ไม่คล้ายตรงที่ในเดือนสิงหาคม 2559 เป็นร่างรัฐธรรมนูญในความรับผิดชอบยกร่างของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ขณะที่ในเดือนกันยายน 2558 เป็นร่างรัฐธรรมนูญในความรับผิดชอบยกร่างของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ความเป็นจริงที่มิอาจ “ปฏิเสธ” ได้ก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ถูก “คว่ำ”
เหตุผลในการคว่ำ 1 คือไม่ต้องการให้ผ่าน สปช.เข้าไปสู่สนาม “ประชามติ” อีกเหตุผลในการคว่ำ 1 ก็อย่างที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ สรุปในภายหลังว่า
“เขาอยากอยู่ยาว”
มีความพยายามจะนำเอาเหตุผล “อยู่ยาว” มาอ้างอิงอีกครั้งหากว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ถูกคว่ำในสนามแห่ง “ประชามติ”
รับฟังแล้วเหมือนกับ “คมคาย” และ “ชาญฉลาด”
ทั้งๆ ที่สะท้อนท่วงทำนอง “กลิ้งกะล่อน” และใกล้เคียงอย่างยิ่งกับภูมิปัญญาในแบบของ “ศรีธนญชัย” หรือ “เซี่ยงเมี่ยง”
ประเภท กินหัว กินหาง กินกลางตลอดตัว

ต้องยอมรับว่าระหว่างสถานการณ์ของเดือนสิงหาคม 2559 กับสถานการณ์ของเดือนกันยายน 2558 อยู่ในกรอบแห่ง“ร่างรัฐธรรมนูญ” อย่างเดียวกัน
แต่ก็ด้วย “สภาพ” และ “เงื่อนไข” อันต่างกัน
สถานการณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อเดือนกันยายน 2558 เป็นสถานการณ์ที่ คสช.สามารถกำหนดได้อย่างเต็มเปี่ยม
กำหนดได้เพราะว่าอยู่ในกรอบแห่ง “สปช.”
เพราะว่า สปช.เป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สาย สมาชิก สปท.ส่วนใหญ่อันเป็นด้านหลักล้วนได้รับการแต่งตั้งมาโดย คสช.ทั้งสิ้น
แต่สถานการณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ต่างออกไป
ต่างออกไปตรงที่เวทีแห่งการออกเสียง “ประชามติ” เป็นเรื่องของประชาชน อยู่ในกระบวนการแห่งการตัดสินใจของประชาชน
ตรงนี้ “กำกับ” และ “ควบคุม” ยาก
แม้จะพยายามร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ให้ดำเนินไปในลักษณะเหมือนกับเป็น พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559
แต่ความเป็นจริงนับแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมามิได้เป็นไปตามความต้องการ
ตรงนี้คือ “ตัวแปร” ตรงนี้คือ “ความละเอียดอ่อน”

เป็นความจริงที่ “ประชามติ” แตกต่างไปจาก “การเลือกตั้ง” แต่สภาพการณ์นับแต่ร่างรัฐธรรมนูญปรากฏออกมาแสดงออกอย่างเด่นชัดว่า
ยิ่งใกล้ถึงวันที่ 7 สิงหาคม ยิ่งเหมือนกับเป็น “การเลือกตั้ง”
เริ่มต้นจากพื้นฐานที่แยกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่าง 1 ฝ่ายรับ กับ 1 ฝ่ายไม่รับ ขณะเดียวกัน จากจุดรับและไม่รับก็ต้องมี“เหตุผล” ดำรงอยู่เป็นมูลฐาน
นำไปสู่ร่างรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย หรือไม่เป็นประชาธิปไตย
นำไปสู่ร่างรัฐธรรมนูญประชาชนมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด หรือประชาชนแทบไม่มีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อยนิด
นำไปสู่ร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวแทนของอะไร
เป็นตัวแทนแห่งระบอบ “ประชาธิปไตย” หรือว่าเป็นตัวแทนแห่งระบอบอื่นซึ่ง “ไม่เป็น” ประชาธิปไตย
นำไปสู่การปะทะระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ”
ท่ามกลางการปะทะ ขัดแย้ง ถกแถลงอภิปรายอย่างเข้มข้น กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการเคลื่อนไหวก็จะปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
นำไปสู่ “โจทก์” นำไปสู่ “จำเลย” ในทางการเมือง
คสช.อาจสามารถควบคุมมติและทิศทางในที่ประชุม “สปช.” ได้เหมือนกับควบคุม “สนช.” แต่แน่ใจมากน้อยเพียงใดว่าคุม “ประชามติ” ได้

ที่ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน “ประชามติ” เท่ากับประชาชนอยากให้ คสช.อยู่ยาว จึงเสมอเป็นเพียงเรื่องลวง
ลวงเพื่อทำให้กระบวนการ “ประชามติ” เกิดความไขว้เขว เบี่ยงเบน ยิ่งกว่านั้น ยังเท่ากับลวงให้แม้กระทั่งตนเองก็เกิดความเชื่อหากปรากฏผลออกมาว่าประชามติ “ไม่ผ่าน”
ทั้งๆ ที่สถานการณ์เดือนสิงหาคม 2559 ต่างกับสถานการณ์เดือนกันยายน 2558 อย่างยิ่งยวด