PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สถานการณ์ข่าว25ธ.ค.57

กมธ.ยกร่าง

"พรเพชร" สั่งงดประชุม สปช. 25 - 26 ธ.ค. ขณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เตรียมหาข้อสรุปที่มา ส.ว.

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา เช้านี้ การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด และตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กำหนดให้ประชุมสัปดาห์ละ 2 วัน ในทุกวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ แต่เนื่องด้วยสัปดาห์สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่มีเรื่องบรรจุในระเบียบวาระ โดย นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. จึงสั่งงดประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม และวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 ขณะเวลา 10.00 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นัดกรรมาธิการประชุม เพื่อหาข้อสรุปการจัดรูปแบบองค์กรทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นจำนวนที่มาของสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงองค์กรอิสระ จะต้องมีความชัดเจนวันนี้ ภายหลังจากเมื่อวาน ได้ข้อสรุปที่มาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มติให้ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม โดยให้สภาผู้แทนราษฎร มีผู้

แทนมาจากการเลือกตั้งผสมทั้งแบบแบ่งเขตและแบบระบบสัดส่วน หรือ ปาร์ตี้ลิสต์
--------------
วิป สปช. บรรจุวาระ ผลักดันอันดามันเป็นมรดกโลก, โซลาร์รูฟเสรี เข้าที่ประชุม 29 ธ.ค. และ 5 ม.ค.นี้ 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. เปิดเผยถึงการประชุมวิป สปช. ว่า ได้พิจารณาความเห็นชอบเรื่องของการปฏิรูปเร็ว เพื่อบรรจุเข้าวาระการประชุม สปช. ในวันที่ 29 ธ.ค. 2557 และ วันที่ 5 ม.ค. 2558 รวมทั้งพิจารณาผลักดันให้อันดามันเป็นมรดกโลก, การเสนอโซลาร์รูฟเสรี และการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นแผนแม่บทในการปฏิรูปประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นไป

ส่วนของขวัญที่ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. จะมอบให้ประชาชนนั้น คือ การปฏิรูปเร็ว ซึ่งจะปฏิรูปคุณธรรม ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน
----------------
"คำนูณ" ยัน ระบบสัดส่วนใหม่ไม่เหมือนเดิม จำนวน ส.ส.อาจแปรผันได้ถึง 480 คน ไม่กำหนดนายกฯ ต้องเป็น ส.ส. หรือไม่ ส่วน ครม. ต้องส่งให้ ส.ว.ตรวจสอบคุณสมบัติ

นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วในเรื่องรูปแบบของการเลือกตั้ง ที่จะใช้แบบสัดส่วนผสม มี ส.ส. 450 แต่ไม่เกิน 480 คน โดยแบ่งเป็นแบบแบ่งเขต 250 และสัดส่วน 200 แต่เนื่องจากระบบสัดส่วน จะมีการแปรผันได้ เพราะการนับคะแนน และการคำนวณหาค่าเฉลี่ยจะไม่เหมือนเดิม เพื่อให้มีการเติมเต็มส่วนที่ขาด และคำนึงถึงสัดส่วนที่แท้จริงจากคะแนนเสียงของประชาชน อีกทั้ง ทั้ง 2 แบบ ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่ในระบบสัดส่วน อาจะเป็นการรวมกลุ่ม หรือภาคประชาสังคม ส่งผู้สมัครแทน

ทั้งนี้ นายคำนูณ ยังกล่าวถึงที่มาของนายกรัฐมนตรีด้วยว่าจะต้องมาจากการโหวตของ ส.ส.ในสภา แต่ไม่ได้กำหนดว่า นายกฯ จะต้องเป็น ส.ส.หรือไม่ ส่วน คณะรัฐมนตรี ให้นายกฯ เป็นผู้เสนอต่อวุฒิสภา เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ด้านคุณธรรม จริยธรรมก่อน และหากพบไม่เหมาะสม สามารถระงับยับยั้งได้
-----------------
มติ กมธ.ยกร่าง รธน. ให้ ส.ว. มี ไม่เกิน 200 คน คัดเลือกจาก 5 ช่องทาง เพิ่มอำนาจเสนอร่างกฎหมายได้

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมวานนี้ว่า ที่ประชุมมีฉันทามติให้ ส.ว.มีจำนวนไม่เกิน 200 คน โดยคัดเลือกจาก 5 ช่องทาง คือ เป็นอดีตอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นอดีตข้าราชการสำคัญ อาทิ อดีตผู้บัญชาการเหล่าทัพ อดีตปลัดกระทรวง มาจากประธานองค์กรวิชาชีพที่กฎหมายรองรับ เช่น ประธานหอการค้าไทย ประธานสภาอุตสาหกรรม กลุ่มภาคประชาชน และการคัดสรรจากกลุ่มวิชาชีพที่หลากหลาย ที่เปิดใช้วิธีเลือกตั้งทางอ้อม

นอกจากนี้ ยังเพิ่มอำนาจในการเสนอร่างกฎหมายต่าง ๆ และกฎหมายการปฏิรูปประเทศ พร้อมเพิ่มอำนาจการตรวจสอบประวัติผู้ที่จะดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ก่อนนายกรัฐมนตรี จะนำขึ้นทูล
เกล้าฯ รวมถึงตรวจสอบประวัติจริยธรรมของหัวหน้าส่วนราชการทุกส่วน
-------------------
กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค จี้ กสทช. บังคับใช้ พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่

นายอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ โฆษกกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงข่าวเพื่อขอให้ กสทช. บังคับใช้ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ให้ผู้ประกอบการคิดค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงตามการใช้งานจริงเป็นวินาทีโดยไม่ปัดเศษเป็นนาที

ทั้งนี้ การใช้โทรศัพท์แต่ละครั้ง ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มมากขึ้นถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน จึงมีการเสนอให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็วด้วยการแจ้งไปทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อให้แก้ไขปัญหา โดยให้ กสทช. ใช้อำนาจตามมาตรา 31 วรรคสอง มีคำสั่งห้ามผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียง คิดค่าบริการโดยไม่ปัดเศษวินาทีเป็นนาที

มาตรา 27(9) กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม โทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียง คิดค่าบริการตามระยะเวลาที่ใช้งานจริง และมาตรา 27(13) ดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคกรณีดังกล่าวนอกเหนือจากข้อ 1 และ 2

อย่างไรก็ตาม จะมีการนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. ในวันที่ 5 ม.ค. 2558
-------------------
เลขาฯ กมธ. วิป สปช. ยินดีสานเสวนานักศึกษาเยาวชนมีข้อเสนอปราบทุจริตคอร์รัปชั่น-รอประชุมติดตั้งโซลาร์รูฟ และการคุ้มครองผู้บริโภค ม.ค. นี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. กล่าวถึงผลการเปิดเวทีสานเสวนาของนักศึกษาและเยาวชน ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19-22 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า ได้รับความร่วมมือจากนักศึกษาและเยาวชนอย่างดี โดยมีข้อเสนอในเรื่องการศึกษาระบบการเมืองที่ดี การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งเสนอให้จัดตั้งองค์กรนักศึกษาเพื่อต่อต้านคอร์รัปชั่น

ทั้งนี้ ในเดือน ม.ค. จะจัดกิจกรรม work shop เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ปฏิรูปประเทศไทย ส่วนเดือน ก.พ. จะมีจัดเวทีสานพลังนักศึกษาอาชีวะ ให้มีส่วนร่วมในเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 5 ม.ค. 2558 จะมีการประชุมการติดตั้งโซลาร์รูฟ และการคุ้มครองผู้บริโภค เรื่องการคิดค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามการใช้งานจริงโดยไม่ปัดเศษ
---------------
ประธาน กมธ.เกษตรฯ เร่งเสนอรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายางพารากิโลละ 60 - เกษตรกรได้รับชดเชยเเล้วเพียง 3%

นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยว และบริการ พร้อมด้วย นายธนิต โสรัตน์ เลขานุการและโฆษกอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตรฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรและยางพาราตกต่ำ ไม่คุ้มกับราคาต้นทุน จึงต้องการเร่งเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้ปรับราคายางพารากิโลกรัมละ 60 บาท แต่บางพื้นที่ราคากิโลกรัมละ 40 บาท พร้อมกันนี้ ได้เสนอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการช่วยเหลือ 16 มาตรการ เพื่อกระตุ้นให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นชดเชยเกษตรชาวสวนยาง ไร่ละ 1,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ ที่ปัจจุบันพบว่าเกษตรกรได้รับการชดเชยเพียง 3% ซึ่งเกิดจากการไม่มีเอกสารสิทธิ์ ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อย และแรงงานนอกระบบได้รับความเดือดร้อน

นอกจากนี้ สินเชื่อเกษตรกรรายย่อยยังประสบปัญหา เพราะผู้ประกอบการติดปัญหาในเชิงปฏิบัติกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
----------------
อุทัย ย้ำเพิ่มมูลค่ายาง ส่งเสริมเกษตรกรมีรายได้เสริม - หลังปีใหม่เสนอ รมต. ช่วยเหลือเร่งด่วน

นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยว และบริการ ระบุถึงเรื่องกองทุนส่งเสริมอาชีพเสริมให้เกษตรกร รายละ 100,000 บาท ว่า จะเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเช่นเดียวกับการเพิ่มมูลค่ายางพาราที่ปัจจุบันมีการใช้ในประเทศ 15% แต่มีมูลค่ามากกว่า 85% ที่ส่งออก

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีการตั้งโรงงานทำน้ำยางข้น โดยเรียกร้องให้กระทรวงคมนาคมคิดอัตรามูลค่าของยางพาราที่จะใช้เป็นส่วนผสมในการสร้างถนนให้เป็นตัวเลขในราคาปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม หลังปีใหม่กรรมาธิการปฏิรูปการเกษตรฯ จะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหายื่นข้อเสนอให้ช่วยเหลือเกษตรกรสวนยางอย่างเร่งด่วน
-------------------
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยืนยัน เร่งพิจารณากรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ย้ำที่มานายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็น ส.ส. ป้องกันระบบเผด็จการรัฐสภา

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ หมวดนิติธรรม ศาลและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุมพิจารณาหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยให้ยึดรัฐธรรมนูญปี 40 แต่ประเด็นศาสนาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้พิจารณาจากรัฐธรรมนูญปี 50 พร้อมตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ มติของที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในกรณีการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องเป็น ส.ส. แต่ต้องมาจากสภาผู้แทนราษฎรนั้น เพราะที่ผ่านมา การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค ต้องทำตามมติพรรค และนายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น ซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่างฯ เห็นตรงกันว่า ข้อบัญญัติดังกล่าวเป็นต้นตอของเผด็จการรัฐสภาโดยธรรมชาติ
--------------
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีฉันทามติให้สมาชิกวุฒิสภา มีไม่เกิน 200 คน ซึ่งมีที่มาจาก5 ช่องทาง พร้อมเพิ่มอำนาจการตรวจสอบคุณสมบัติจริยธรรมรัฐมนตรีก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของ สว.

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นัดกรรมาธิการประชุม เพื่อพิจารณารายงานข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมถึงข้อเสนอจากพรรคการเมือง คู่ขัดแย้ง และจากภาคประชาชน สำหรับการประชุมในวันนี้ จะเป็นการพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับศาลและกระบวนการยุติธรรมรวมถึงองค์กรอิสระ คาดว่า จะได้ข้อสรุปในสัปดาห์นี้ ก่อนเริ่มยกร่างรายมาตราต่อไป

ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีฉันทามติให้ ส.ว.มีจำนวนไม่เกิน 200 คน โดยคัดเลือกจาก 5 ช่องทาง คือ 1.เป็นอดีตอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อาทิ
อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร 2.เป็นอดีตข้าราชการสำคัญ อาทิ อดีตผู้บัญชาการเหล่าทัพ อดีตปลัดกระทรวง 3.มาจากประธานองค์กรวิชาชีพที่กฎหมายรองรับ เช่น ประธานหอการค้าไทย ประธานสภาอุตสาหกรรม 4.กลุ่มภาคประชาชน เช่น สหภาพต่างๆ องค์กรภาคประชาชน และ 5.คัดสรรจากกลุ่มวิชาชีพที่หลากหลาย โดยใช้วิธีเลือกตั้งทางอ้อม เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2489

นอกจากนี้ ยังเพิ่มอำนาจในการเสนอร่างกฎหมายต่างๆ และกฎหมายการปฏิรูปประเทศ พร้อมเพิ่มอำนาจการตรวจสอบประวัติผู้ที่จะดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ก่อนนายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ รวมถึงตรวจสอบประวัติจริยธรรมของหัวหน้าส่วนราชการทุกส่วน และวุฒิสภายังมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี /รัฐมนตรี /ส.ส./ส.ว.และหัวหน้าส่วนราชการทุกส่วน แต่ให้ใช้เสียงถอดถอนเกินกึ่งหนึ่งของสองสภา ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภา

นายคำนูณ ยังกล่าวถึงที่มาของนายกรัฐมนตรีว่า ให้มาจากการเสนอชื่อของสภาผู้แทนราษฎร และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ โดยที่นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.

/////////////////
แถลงผลงาน รบ.

นายกฯ เตรียมนำทีมแถลงผลงาน 3 เดือน ก่อนต้อนรับฉลองชัยนักฟุตบอลชุดแชมป์ ซูซูกิ คัพ

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ ในเวลาประมาณ 09.00 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี จะมีการแถลงถึงผลงานของรัฐบาลหลังเข้ามาบริหารประเทศ 3 เดือน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

หลังจากนั้น ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย จะเข้าพบนายกรัฐมนตรี ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้าขณะที่เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
-------------
พล.อ.ประวิตร และคณะ เข้าพบ พล.อ.เตีย บัญ ขอบคุณกัมพูชา ที่เข้าใจสถานการณ์ของไทย และให้กำลังใจในการแก้ปัญหา

สำหรับการเยือนกัมพูชา อย่างเป็นทางการ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ กระทรวงกลาโหมราชอาณาจักรกัมพูชา โดยการการต้อนรับเป็นไปอย่างอบอุ่นและมีมิตรไมตรี อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่แนบแน่น ระหว่าง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ เตีย บัญ ที่มีมากว่า 20 ปี ทำให้บรรยากาศการพูดคุยเป็นกันเองยิ่ง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณกัมพูชา ที่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทย และให้กำลังใจเราในการแก้ปัญหาของประเทศที่ผ่านมา พร้อมกับขอให้กัมพูชา มาร่วมพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ จ.ตราด และ สระแก้ว ที่มีพื้นที่ติดกับ จังหวัดเกาะกง และ บันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ทั้งสองจังหวัด เตรียมรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าชายแดน และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนร่วมกัน ให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศดีขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับความร่วมมือด้วยดี
-------------
นายกฯ นำแถลงผลงาน 3 เดือน ลุยปฏิรูป ลดขัดแย้ง ขออย่างกังวล รัฐบาลใช้อำนาจโปร่งใส 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แถลงผลงานรัฐบาลรอบ 3 เดือนว่า ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 2 คือการปฏิรูป ซึ่งปัจจุบันสถาการณ์ดีขึ้นตามลำดับแต่ยังไม่น่าพอใจที่จะทำให้ประเทศมั่นคงและยั่งยืนได้ ทั้งนี้ รัฐบาลมีภารกิจ 3 ประการ คือการรักษาความสงบ การบริหารประเทศที่ปรับปรุงบูรณาการ และการปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปจะเป็นไปตามโรดแมปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งยืนยันว่าดำเนินการเร็วที่สุด และไม่ดึงเวลา และอย่ากังวลว่ารัฐบาลจะใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนหรือภาพลักษณ์ของประเทศ

ทั้งนี้ จะต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยเร็ว สร้างความปรองดองโดยยึดตามกระบวนการยุติธรรม และการดำเนินงานทั้ง 19 กระทรวงให้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส และข้าราชการต้องมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ซึ่งจะมีการตรวจสอบ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ระบุว่าถึงแม้ตอนนี้เหมือนว่าบ้านเมืองจะมีความสงบแล้วแต่ต้นเหตุของความขัดแย้งยังคงมีอยู่

อย่างไรก็ตาม ทุกคดีจะต้องมีความชัดเจนใน 3 เดือนข้างหน้า พร้อมกันนี้ในช่วงปีใหม่จะต้องไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น โดยจะมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้ก่อเหตุ
------------
พล.อ.อนุพงษ์ แถลงผลงาน 3 เดือนด้านความมั่นคง เน้นย้ำปกป้องสถาบัน แก้ไขปัญหาความยากจน ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ปชช.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงผลการดำเนินงานรอบ 3 เดือนของรัฐบาลในส่วนของความมั่นคงว่า ได้มีการบูรณาการร่วมกันกับฝ่ายต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยเรื่องปัญหาความยากจน มีการเร่งสร้างอาชีพ การมีรายได้ที่มั่นคงให้ประชาชนโดยให้บริการจัดหางานทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนผลิตภันฑ์ท้องถิ่น เร่งรัดการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน การแก้ไขปัญหาภัยแล้งในเชิงรุก ด้านปัญหาความเหลื่อมล้ำและความเป็นธรรมในสังคม ได้สร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมด้วยการรักษากฎหมายและบริการประชาชน อาทิ การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอ แก้ปัญหาตามแผนปฏิบัติการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน โดยจัดระเบียบต่าง ๆ

ขณะที่การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้ประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวนั้น มีการบูรณาการกันของทหาร ฝ่ายปกครอง และประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ควบคุมอาชญากรรมและจัดระเบียบสังคม อาทิ การจัดชุดปฏิบัติงานร่วม การติดตั้งอุปกรณ์ส่องสว่างและกล้องวงจรปิด ป้องกันยาเสพติด สร้างเข้มแข็งให้เจ้าหน้าที่และจัดสรรงบประมาณในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และยังมีการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ปัญหาขยะมูลฝอย และการป้องกัน เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และปิดเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน และติดตามตัวผู้กระทำความผิดในเรื่องดังกล่าว
---------------
"ยงยุทธ" แถลงผลงานด้านสังคม ยันเร่งลดความเหลื่อมล้ำ แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พัฒนาการศึกษาและเรียนรู้

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลรอบ 3 เดือนในด้านสังคม โดยรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายด้านการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงของรัฐ และการสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย แบ่งเป็น 4 ด้านด้วยกัน คือ การพัฒนาสังคม มีการประกาศให้การป้องกันราชอาณาจักรและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เป็นวาระแห่งชาติและให้มีการบูรณาการข้อมูลบริการ และความช่วยเหลือจากทุกส่วนราชการ พร้อมกันนี้ได้จัดทำโครงการการสร้างรายได้ ฝึกอาชีพคนพิการและผู้ดูแลคนพิการในชนบทร่วมกับสมาคมคนพิการทุกประการแห่งประเทศไทย

ส่วนในด้านการพัฒนาการศึกษาและเรียนรู้ มีการขยายผลโครงการการศึกษาทางไกลผ่านดามเทียม และแก้ไขปัญหาการขาดโอกาสการศึกษาของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศกว่า 15,000 แห่ง รวมถึงชายแดนภาคใต้ อีกทั้งยังสนับสนุนให้เยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีกว่า 1,000 ทุนต่อปี โดยเน้นการทำงานในพื้นที่ต้นแบบในจังหวัดนำร่องทุกภาค

ขณะที่ในด้านการพัฒนาสุขภาพชีวิตประชาชน ได้เร่งรัดเรื่องที่มีความสำคัญต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน โดยพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิเพื่อลดปัญหาผู้ป่วยแออัดและให้บริการที่ดีกว่า ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ ส่งเสริมการสนับสนุนการออกกำลังกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบเฝ้าระวังโรคระบาด โดยเฉพาะโรคระบาดและอุบัติเหตุซ้ำ

ด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ได้นำผลวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับขีดความสามารถรัฐวิสาหกิจชุมชน สินค้า OTOP และผู้ประกอบการ SMEs พร้อมดำเนินการนำร่องร่วมกับโรงเรียน 10 แห่ง เพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบบูรณาการในระดับมัธยมศึกษา รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของเส้นทางอาชีพด้านวิทยาศาสตร์
-----------------
ประวิตร แถลงหารือกัมพูชาราบรื่น ความสัมพันธ์ดี ยันไม่มีกลุ่มต่อต้านในกัมพูชา

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากการเยือนราชอาณาจักกัมพูชา ว่า ได้มีการไปหารือกับทางกัมพูชาในเรื่องของความมั่นคง แรงงาน การค้ามนุษย์ เศรษฐกิจ และความร่วมมือทางกองทัพ แต่ไม่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร พร้อมยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาอยู่ในระดับดี และทางกัมพูชาให้การต้อมรับอย่างเป็นมิตร ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการเพิ่มการพูดคุยของเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน

ส่วนเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้ง พลเอกประวิตร เป็นคณะกรรมการติดตามการทำงานของคณะรัฐมนตรีนั้น พลเอกประวิตรยืนยันว่า รัฐมนตรีทุกคนทำงานอย่างเต็มที่และดีอยู่แล้ว ตนเองเพียง
แต่คอยติดตามว่ามีส่งใดขาดตกบกพร่องไปบ้างก็จะเรียนให้รัฐมนตรีท่านนั้นทราบ แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการประชุมคณะกรรมการชุดดังกล่าว

นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ยังกล่าวว่า ทางกัมพูชาได้ยืนยันว่าไม่มีกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา
------------------
ธนะศักดิ์ เเถลงผลงาน 3 เดือน ทำงานเชิงรุก สร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยว พัฒนากีฬาสู่สากล เสริมค่านิยม 12 ประการ

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลรอบ 3 เดือน ซึ่งในส่วนของการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจต่อนานาชาติได้ดำเนินการในเชิงรุกด้วยการเชิญคณะทูตานุทูต บุคคลสำคัญ องค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมและชี้แจงข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงขั้นตอนการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปของรัฐบาล รวมถึงการเดินทางเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เช่น การเยือนเมียนมา กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย

ส่วนการส่งเสริมศักยภาพด้านเศรษฐกิจ ได้เร่งกระตุ้นกิจกรรมท่องเที่ยว โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดโครงการท่องเที่ยววิถีไทยตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการ 12 เมืองต้องห้ามพลาด การจัดเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพ 2014 และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามรอยหนังฮอลลีวู้ด
ในด้านกีฬา ได้ยกระดับมาตรฐานกีฬาไปสู่สากล และมุ่งใช้กีฬาในการพัฒนาสุขภาพและความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายเป็นประจำ

สำหรับด้านการทำนุบำรุงและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยนั้น ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การจัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกโลก การอนุรักษ์พระราชวังบวรสถาน  การจัดประเพณีลอยกระทง และการส่งเสริมแต่งกายผ้าไทย กินของไทย ใช้ของไทย และเที่ยวเมืองไทย

ทั้งนี้ ในด้านการทำนุบำรุงศาสนา ได้จัดโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ด้วยการใช้บ้าน วัด โรงเรียน เป็นกลไกในการขับเคลื่อน ส่วนการเสริมสร้างค่านิยม 12 ประการ ได้ผลิตสื่อเผยแพร่และจัดกิจกรรมรณรงค์เสริมค่านิยม ขณะที่กิจกรรมเพื่อส่งเสริมและเชิดชูสถาบัน ได้จัดพิมพ์หนังสือและนิทรรศการเผยแพร่พระราชกรณียกิจ โดยเฉพาะการประชุมเพื่อขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ทุกสถานเอกอัครราชทูตไทยได้รณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กับคนไทยและต่างประเทศ
---------------------
"วิษณุ" แถลงผลงานรัฐบาลด้านกฎหมาย ออกเป็น กม. แล้ว 13 ฉบับ ชี้ฐบาลจะไม่เร่งรัดการออกกฎหมายเชิงปริมาณ แต่จะเน้นคุณภาพ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย แถลงผลงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน ว่า งานด้านกฎหมายเป็นงานที่สนับสนุนงานด้านอื่น ๆ ให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ ซึ่งกฎหมายต่าง ๆ จะต้องมีการปรับปรุงในส่วนที่ล้าสมัย หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าจะมีการออกกฎหมายหลายฉบับมารองรับนโยบายต่าง ๆ เบื้องต้นทราบว่าจะต้องออกกฎหมาย 63 ฉบับ เพื่อรองรับนโยบาย เช่น กฎหมายการคืนบำนาญให้แก่ข้าราชการ กฎหมายภาษีมรดก กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ทำกิน โดยตอนนี้รัฐบาลได้ส่งกฎหมายให้ สนช. เพื่อออกเป็นกฎหมายแล้ว 13 ฉบับ รวมถึงยังมีร่างกฎหมายค้างการพิจารณาของ สนช. กว่า 71 ฉบับ รวมถึงมีกฎหมายต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายกว่า 300 ฉบับ ที่รอการพิจารณา

ทั้งนี้ รัฐบาลจะไม่เร่งรัดการออกกฎหมายเชิงปริมาณ แต่จะเน้นคุณภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้นำกฎหมายที่ออกในช่วงรัฐบาลปกติได้ยาก กฎหมายที่ลดความเหลือมล้ำ กฎหมายที่ลด
ภาระของสังคม กฎหมายที่มีพันธกรณีระหว่างประเทศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็ก สตรี และคนพิการ มาพิจารณาก่อน ที่ผ่านมา ในช่วงที่เกิดปัญหาทางการเมือง มีกฎหมายที่ค้างการพิจารณาจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดภาวะสูญญาการทางกฎหมาย

ส่วนการปฏิรูประบบราชการ รัฐบาลได้สั่งการให้ข้าราชการจัดทำคู่มือการบริการประชาชน โดยให้กำหนดระยะเวลาการดำเนินการ หากทำไม่ได้จะมีบทลงโทษ

ส่วนกฎหมายที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ในเดือนมกราคม เบื้องต้น ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.การปรับเงินเดือนข้าราชการ ร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับชุมนุมสาธารณะ ร่าง พ.ร.บ.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ สำหรับการทำงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. หลังจากนี้จะเริ่มขับเคลื่อนการปฏิรูป สร้างความปรองดอง และแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง หลังจากที่เข้าไปมีส่วนรวมในการร่างรัฐธรรมนูญ
---------------
"หม่อมอุ๋ย" แถลงผลงานรอบ 3 เดือน ยันดูแลราคาสินค้าเกษตรเต็มที่ ปรับสัดส่วนเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ทำราคาหน้าปั๊มลด

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน ที่ผ่านมาว่า การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะเรื่องข้าวที่ผ่านมานั้น ได้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ในการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือและชดเชยให้กับชาวนาในการชะลอการขายข้าวเพื่อทำให้ราคาข้าวไม่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับฝ่ายต่างๆ รวมไปถึงการค้าแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ G2G ในการระบายข้าวรวมกว่า 1.2 ล้านตันที่ผ่านมา ขณะที่การดูแลเรื่องยางพารานั้น ก็ได้มีการจ่ายเงินชดเชยในการช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อบรรเทาภาระราคาตกต่ำ รวมไปถึงติดต่อกับประเทศคู่ค้าเพื่อให้มีการเข้ามาลงทุนของภาคเอกชนในการจัดตั้งโรงงานแปรรูป ทั้งนี้ เชื่อว่า ในปีหน้าจะทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม ได้ ส่วนมันสำปะหลังและอ้อย รวมถึงน้ำตาลนั้น มีคณะกรรมการในการดูแล ขณะที่ด้านการจัดการพลังงานนั้น ก็ได้มีการปรับอัตราราคาพลังงานให้มีความเหมาะสมโดยลดการอุดหนุนในส่วนของก๊าซ LPG และก๊าซ NGV ที่มีต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ปัจจุบันอัตราส่วนในเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น กลับมาเป็นบวกได้และราคาน้ำมันก็ปรับตัวลดลงเป็นที่น่าพอใจในการดำเนินงานของรัฐบาล
--------------------
นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ "เกียรติศักดิ์" และคณะนักฟุตบอลทีมชาติ ก่อนเข้าประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่ายวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย นำคณะนักฟุตบอลทีมชาติไทย พร้อมด้วยผู้ฝึกสอนชุดแชมป์ฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเงินรางวัลจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จำนวน 5,000,000 ล้านบาท จากบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด จำนวน 5,000,000 บาท และจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 15,000,000 บาท ให้กับตัวแทนนักกีฬาด้วย

/////////////
อสส.ถกปปช.

ป.ป.ช. เตรียม หารือ อสส. ปมฟ้องอาญา "ยิ่งลักษณ์" กรณีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ครั้งที่ 3

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการประชุมของคณะทำงานร่วม ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด (อสส.) ในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ฝ่าย อสส. เป็นขอนัดประชุมด่วน เพื่อหารือในรายละเอียดของคดีที่ยังติดค้างอยู่ โดยจะเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น.

ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา อสส. มองว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ต้องการให้สอบพยานเพิ่มเติม แต่ ป.ป.ช. ได้ยืนยันไปแล้วว่า โดยหลักของสำนวนแล้ว ไม่ได้ฟ้องในเรื่องทุจริต แต่เป็นเรื่องการ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนเรื่อง จีทูจี หรือ เรื่องทุจริตนั้น ก็มีอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่ง ป.ป.ช. กำลังดำเนินการอยู่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทาง ป.ป.ช. ระบุว่า หากที่ประชุมของคณะทำงานร่วมฯ ครั้งนี้ ไม่สามารถตกลงกันได้ เลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานร่วมฝ่าย ป.ป.ช. อาจจะนำผลการหารือรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทันภายในวันพรุ่งนี้
-------------------
"สรรเสริญ" เห็นชอบสอบพยานเพิ่มเติม-ยังไม่ได้ข้อสรุป ฟ้องอาญา ยิ่งลักษณ์ ปมจำนำข้าว

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานร่วมฝ่าย ป.ป.ช. และ นายชุติชัย สาขากร ตัวแทนฝ่าย อสส. ได้แถลงข่าวผลการประชุมร่วม ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด (อสส.) ในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ว่า ฝ่าย อสส. เห็นด้วยกับทาง ป.ป.ช.ที่จะรวบรวมพยานลักฐานเอกสารเพิ่มเติม อาทิ รายงานการปิดบัญชีของอนุกรรมการปิดบัญชีข้าว เเละรายงานการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติม เนื่องจากในสำนวนคดีเดิมนั้น มีพยานบุคคลบางรายที่ได้กล่าวถึงเรื่องการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ซึ่งมี 2 ราย คือ ผู้กล่าวหา และนักวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ หรือ TDRI ที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ซึ่งในการไต่สวนพยานเพิ่มทางอัยการจะส่งตัวแทนเข้าร่วมด้วยทุกครั้ง และภายหลังจากรวบรวมข้อมูลครบถ้วน จะนำเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณา เพื่อขอความคิดเห็น ก่อนจะนำเข้าหารือที่ประชุมคณะทำงานร่วมฯ ครั้งต่อไป ซึ่งยังไม่มีการกำหนดวันประชุม

อย่างไรก็ตาม นายสรรเสริญ กล่าวว่า ข้อสรุปในวันนี้ เป็นความเห็นชอบในเบื้องต้นในการทำงานร่วมกัน และจะเร่งดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานให้รวดเร็วที่สุด โดยคาดว่า การสอบพยานจะแล้วเสร็จ ภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2558
--------------------
ประชุม ป.ป.ช. พิจารณาคดีอาญาระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ยังไม่ได้พิจารณาชี้มูลความผิด - คาด อนุฯ สรุปคดีก่อนสิ้นปี

ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการพิจารณาสำนวนคดีอาญาคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่มี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ที่คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้สรุปคดีและเสนอต่อที่ประชุม โดยเป็นการพิจารณาครั้งแรก ซึ่งเป็นสำนวนการไต่สวนของผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด โดยไม่ได้แยกเป็นสำนวนเหมือนที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ คาดว่าในที่ประชุมจะแค่รับทราบการสรุปคดีเท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีการพิจารณาชี้มูลความผิด

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ จะสรุปคดีดังกล่าวได้ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาชี้มูลความผิดต่อไป
----------------

///////////
องค์กรอิสระ กกต.
กกต. จัดประชุม ผอ.กกต.จว. ทั้ง 77 จว. เพื่อมอบนโยบายสั่งการ-ด้านทูตเยอรมันตอบรับ กกต.เข้าบรรยายการเลือกตั้งแบบเยอรมันแล้ว

วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยมี นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมด้วยกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีการประชุม เพื่อสั่งมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงาน โดยมีผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด หรือ ผอ.กกต.จว. และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมการประชุม ซึ่งจัดที่ห้องประชุม 704 ชั้น 7 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะมีการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ห้องประชุมชั้น 8 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อาคารบี เขตหลักสี่ อีกด้วย

ทั้งนี้ ด้าน นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า ทางด้านของเอกอัครราชทูตของเยอรมัน ได้มีการตอบรับในการบรรยายระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมัน ให้กับ กกต. เพื่อรับทราบ ในช่วงต้นเดือนมกราคม ซึ่ง กกต. ต้องเตรียมความพร้อมศึกษารูปแบบ เพื่อทำความเข้าใจก่อนที่จะหาแนวทางประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้ง

--------
"สมชัย" คาด ปลายเดือน ม.ค.58 รู้ตัวคนรับผิดชอบค่าเสียหาย 3 พันล้าน ทำเลือกตั้งโมฆะเเน่ ระบุ หาก กกต. ไม่ดำเนินการจะมีความผิดตามมาตรา 157

รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยถึงกรณีที่ ทาง กกต. จะดำเนินการการเรียกค่าเสียหายเกือบ 3 พันล้าน จากบุคคลที่ทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ ว่า ขณะนี้ กกต. และฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานว่ามีบุคคลใดบ้าง ซึ่งคาดว่าช่วงปลายเดือนมกราคม ปี 2558 จะรู้ว่า กกต. นั้นจะฟ้องบุคคลใดบ้าง ซึ่งจะพิจารณาจากปัญหาที่เกิดขึ้นว่าบุคคลใดเป็นต้นเหตุทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

ทั้งนี้ จะมีการสั่งฟ้องบุคคลในสองกลุ่ม คือ คนที่เป็นสาเหตุให้การเลือกตั้งทั้ง 28 เขตไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ไม่เลื่อนการจัดการเลือกตั้งทั้งที่ กกต. ได้ชี้แจงแล้วก็ตาม นอกจากนี้ หาก กกต. ไม่ดำเนินการฟ้อง กกต. ก็จะโดนมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้อีกด้วย

///////////////////
เศรษฐกิจ

"หม่อมอุ๋ย" เผย รัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ความเชื่อมั่นฟื้น ดัน จีดีพี ไตรมาส 4 ขยายตัว 3% ไตรมาส 1 ปีหน้า โตเกิน 4%

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน ที่ผ่านมาว่า การดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน นั้น มีปัจจัย 3 ปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การเบิกจ่ายงบลงทุน และงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐที่ได้มีการผลักดันให้มีการเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 732,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าในสิ้นปีนี้จะผลักดันการเบิกจ่ายให้อยู่ที่ในระดับ 800,000 ล้านบาท ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือนปรับตัวดีขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชน ก็ปรับตัวดีขึ้นตามเช่นกัน

โดยมีอนุสงค์มาจากการอนุญาตใบประกอบกิจการโรงงาน หรือ ร.ง.4 ที่มีปัญหาความล่าช้ามาก่อนหน้านี้ ทำให้มีการเบิกจ่ายและการลงทุนในภาคเอกชนมากขึ้น จึงทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 3 ขณะที่ปี 2558 ในไตรมาสแรกจะขยายตัวได้เกินกว่าร้อยละ 4 และทั้งปีจะขยายตัวได้ที่ประมาณร้อยละ 4.5
---------------
"หอการค้า" เผย น้ำมันถูก ประชาชนเที่ยวปีใหม่คึกคัก คาดเงินสะพัด 1.1 แสนล้าน ขยายตัว 5.1%

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ว่า ประชาชนวางแผนท่องเที่ยวมอบของขวัญให้แก่กัน ส่งผลทำให้เงินสะพัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 หรือคิดเป็นมูลค่าที่ 117,472 ล้านบาท หรือเฉลี่ยมีค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 12,381 บาท โดยผู้ที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ยังวางแผนท่องเที่ยวในประเทศ หลังราคาน้ำมันลดลงประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการมอบของขวัญของรัฐบาลให้กับประชาชนในการลดราคาสินค้า รวมทั้งการโอนเงินให้กับชาวนาและชาวสวนยาง ทำให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องการของขวัญจากรัฐบาล คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และเสถียรภาพทางการเมือง และต้องการมอบดอกไม้และกำลังใจให้กับนายกรัฐมนตรี
-------------------
กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้า หลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าช่วงเทศกาลปีใหม่ ลดความแออัดในการเดินทาง

นายวัฒนา พัทรชนม์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลที่ประชาชนนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ส่ง
ผลให้การจราจรคับคั่งและมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มปัญหาการจราจรและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากรถบรรทุกสินค้าและวัตถุอันตราย กรมการขนส่งทางบกจึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าและผู้ประกอบการขนส่งวัตถุอันตราย หลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะการขนส่งวัตถุอันตราย ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2557 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2558 โดยขอความร่วมมือไปยังองค์กรและผู้ประกอบการขนส่งจำนวน 20 แห่ง

ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการขนส่งมีความจำเป็นต้องขนส่งสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอให้หลีกเลี่ยงเส้นทางและช่วงเวลาที่มีประชาชนใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก และกรณีที่มีความจำเป็นต้องจอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทางในเวลากลางคืนหรือในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ให้เปิดโคมไฟเล็ก โคมไฟท้ายและไฟส่องป้ายทะเบียนรถเพื่อให้ผู้ขับขี่คันอื่นสังเกตเห็นได้ชัดเจน
-------------
หม่อมอุ๋ย เผย 3เดือน เร่งพัฒนาระบบดิจิทัล ลุยปรับปรุงรถไฟรางคู่ 5 เส้นทางกว่า 700 กม.

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการมุ่งเน้นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่โดยได้ปรับเปลี่ยนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการเพิ่มสำนักงานดิจิตอลและเศรษฐกิจเพื่อสังคม เพื่อให้มีการบูรณาการในการทำงานมากขึ้นสอดคล้องกับการรองรับเศรษฐกิจระบบดิจิตอลที่ได้มีการดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่การพัฒนาด้านระบบคมนาคมขนส่งก็ได้มีการเร่งรัดในการดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จจากกำหนดการเดิมได้มากขึ้นรวมไปถึงแผนการปรับปรุงรถไฟรางคู่ที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 700 กิโลเมตร ใน 5 เส้นทาง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2558 เพื่อพัฒนาระบบขนส่งของประเทศที่มีอยู่ให้ดีมากขึ้น
----------------
สศก. คาดภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 58 โต 2-3% เหตุยังเสี่ยงจากภาวะภัยแล้ง

นายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรปี 2558 ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2-3
โดยสาขาการผลิตที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาพืชขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.2-3.2 สาขาปศุสัตว์ขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5-2.5 สำหรับสาขาประมงคาดว่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในปีนี้
หลังจากที่หดตัวต่อเนื่องมา 2 ปี โดยขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 1-2 และสาขาป่าไม้ขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5-3.5 ส่วนสาขาบริการทางการเกษตรหดตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2-3

สำหรับผลผลิตพืชสำคัญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปี มันสำปะหลัง สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด และเงาะ ขณะที่ผลผลิตปศุสัตว์ อาทิ ไก่เนื้อ สุกร ไข่ไก่ และโคนม ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนสถานการณ์การระบาดของโรคตายด่วนในกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงเริ่มคลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 และคาดว่าการผลิตกุ้งจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ และมีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2558 นอกจากนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก อาทิ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป รวมทั้งตลาดอาเซียน และตลาดเกิดใหม่ต่าง ๆ จะทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์มีทิศทางที่ดีขึ้น
------------------
“พาณิชย์” ปลื้ม โครงการ “เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน” สุดคึกคัก ประชาชนจับจ่ายซื้อสินค้า ลดค่าครองชีพต่อเนื่อง

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคึกคักของการจัดทำโครงการลดราคาสินค้าเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน “เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน” ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-30 ธันวาคม 2557 ว่า จากการตรวจสอบบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนทั่วประเทศจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดพบว่ามีความคึกคักเป็นอย่างมาก ประชาชนได้ออกไปจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าที่มีการปรับลดราคาตามห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่ง และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการช่วยลดค่าครองชีพและมอบความสุขเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่าการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการลดค่าครองชีพครั้งแรกและครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เพราะทำทีเดียวพร้อมกันทั่วประเทศ ประชาชนทั้งประเทศได้รับประโยชน์จากการปรับลดราคาสินค้าซึ่งเป็นของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนในการลดค่าครองชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยประเมินว่าจะมีมูลค่าการจับจ่ายใช้สอยช่วง 7 วันนี้สูงถึง 5 หมื่นล้านบาท
-------------------
“พาณิชย์” ปลื้ม โครงการ “เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน” สุดคึกคัก ประชาชนจับจ่ายซื้อสินค้า ลดค่าครองชีพต่อเนื่อง

พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคึกคักของการจัดทำโครงการลดราคาสินค้าเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน “เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน” ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-30 ธันวาคม 2557 ว่า จากการตรวจสอบบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนทั่วประเทศจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดพบว่ามีความคึกคักเป็นอย่างมาก ประชาชนได้ออกไปจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าที่มีการปรับลดราคาตามห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่ง และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการช่วยลดค่าครองชีพและมอบความสุขเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน

ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการลดค่าครองชีพครั้งแรกและครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เพราะทำทีเดียวพร้อมกันทั่วประเทศ ประชาชนทั้งประเทศได้รับประโยชน์จากการปรับลดราคาสินค้าซึ่งเป็นของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนในการลดค่าครองชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยประเมินว่าจะมีมูลค่าการจับจ่ายใช้สอยช่วง 7 วันนี้สูงถึง 5 หมื่นล้านบาท
-----------

///////////////////
คดีพงศ์พัฒน์

ศาลออกหมายจับอีก 9 บิ๊ก ตร. โยงรับสินบนบ่อนพนันออนไลน์แก๊ง พงศ์พัฒน์

ศาลอาญารัชดา อนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมในคดีการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามพนันฟุตบอลออนไลน์ เมื่อปี 2552ซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ประกอบด้วย พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล, พ.ต.ต.จักรพันธ์ ลีลานันทวงศ์, ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร, พ.ต.อ.สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม, พ.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมฆประยูร, พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี, พ.ต.ท.พิพัฒน์ เฉวงราษฎร์ และ ร.ต.อ.ศักรินทร์ เกษรเทียน รวม 9 นาย ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่และข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ศาลได้อนุมัติหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์, พล.ต.ท.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์, พ.ต.อ.วรพจน์ พืชผล ผู้กำกับกอง 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ, พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี สารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม และพลเรือนอีก 1 คน ในข้อหาเดียวกัน ส่งผลให้มีนายตำรวจและพลเรือนออกหมายจับในคดีนี้ รวม 14 คน
----------------
ผบช.น. เผย ประสานไปยังหน่วยงานที่นาย ตร.ทั้ง 9 ผู้ต้องหาเรียกรับส่วย "อาบูบาก้า" เพื่อส่งตัวให้ บช.น. แล้ว ยันไม่มีการออกหมายเพิ่ม

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีการเรียกรับส่วยบ่อนการพนันออนไลน์ "อาบูบาก้า" หลังได้มีการออกหมายจับนายตำรวจเพิ่มอีก 9 นาย เมื่อคืนนี้ (23 ธ.ค.) รวมคดีนี้ มีผู้ต้องหาแล้ว 14 คน โดยทั้งหมดเป็นเครื่อข่ายของอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่โดนจับไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือประสานไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ต้องหาทั้งหมดแล้ว เพื่อให้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมดให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายในวันนี้ เพื่อสอบสวนขยายผล รวมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมด และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้านการออกหมายจับเพิ่มนั้น ยังไม่มีการขอหมายจับใครเพิ่ม ซึ่งต้องรอการสอบสวนขยายผลก่อน ซึ่งถ้าพบว่าหลักฐานพยานสาวถึงผู้ใดจะดำเนินการทันที

/////////////
ปภ.ปีใหม่

ปภ. แนะผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวปีใหม่ เตรียมร่างกาย - เช็กสภาพรถและศึกษาเส้นทางให้พร้อม ก่อนออกเดินทาง 

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า เทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่มีสถิติอุบัติเหตุทางถนนกว่าปกติ ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก โดยมีปัจจัยสำคัญทั้งพฤติกรรมเสี่ยงจากการใช้รถใช้ถนน การขาดจิตสำนึกของผู้ขับขี่ สภาพรถไม่พร้อมใช้งาน และจุดเสี่ยงบนถนนเพื่อความปลอดภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะผู้ขับขี่ให้ปฏิบัติ ดังนี้ เตรียมร่างกายให้พร้อมขับรถ ตรวจสอบรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จัดเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินไว้ประจำรถ เลือกใช้เส้นทางที่ปลอดภัย และวางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้า และที่สำคัญผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัดใช้อุปกรณ์นิรภัยทุกครั้งที่เดินทางไม่ขับรถเร็ว เมาไม่ขับ ไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ หากมีอาการง่วงนอน ให้จอดรถพักในบริเวณที่ปลอดภัย รวมถึงมีมารยาทและมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง ตลอดจนเรียนรู้วิธีแก้ไขเหตุฉุกเฉินเฉพาะหน้า อย่างถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางในช่วงปีใหม่
-----------------------
บช.น. แถลงข่าว "การเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่ กทม. ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่"

ในช่วงวันที่ 25 ธ.ค. 2557 - 4 มกราคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้มีการวางมาตรการการดูแลด้านการจราจร ซึ่งจะคอยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่จะเดินทางออกต่างจังหวัด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. นี้ และในช่วงขาเข้ากรุงเทพฯ ในวันที่ 4 ม.ค. ทั้งนี้ ได้มีจัดให้มีการวางกำลังจัดการจราจรตามสถานีขนส่งต่าง ๆ ประกอบด้วย สถานีขนส่งจตุจักร สายใต้ สายตะวันออก และสถานีรถไฟหัวลำโพง

ขณะเดียวกัน ทางกรุงเทพฯ จะมีการจัดงาน countdown หลายแห่ง อาทิ เซ็นทรัล เวิลด์ เอเชียทีค และห้าง CDC โดยทาง บช.น. ได้สั่งการให้จัดศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าประจำจุดในบริเวณงาน ดูแลความเรียบร้อย และด้านการจราจรอย่างเต็มที่ พร้อมกับมีการตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์หน้าสถานบริการ รวมถึงตั้งจุดบริการประชาชน ทั้งหมด 11 จุด อาทิ สถานีขนส่งหมอชิต หัวลำโพง สถานีขนส่งสายใต้ใหม่

ทั้งนี้ พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ ได้เปิดเผยถึงมาตรการตรวจจับแอลกอฮอล์ ว่า หากผู้ขับขี่รายใดไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเป่าวัด จะถือว่าผู้ขับขี่รายนั้นเมาและตำรวจจะแจ้งข้อหา
ขับขี่ในขณะมึนเมาสุรา ซึ่งข้อกฎหมายนี้ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
------------
รอง ผบช.น. แถลงข่าว "การเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่"

โดยในช่วงวันที่ 25 ธ.ค. 2557 - 4 มกราคม 2558 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลวันคริสมาสตร์และวันขึ้นปีใหม่ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีการวางมาตรการการดูแลด้านการจราจร ซึ่งจะคอยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่จะเดินทางออกต่างจังหวัด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. นี้ และในช่วงขาเข้ากรุงเทพฯในวันที่ 4 ม.ค. ทั้งนี้ได้มีจัดให้มีการวางกำลังจัดการจราจรตามสถานีขนส่งต่างๆ ประกอบด้วย สถานีขนส่งจตุจักร สายใต้ สายตะวันออก และสถานีรถไฟหัวลำโพง

ขณะเดียวกัน ทางกรุงเทพจะมีการจัดงาน countdown หลายแห่ง อาทิ ห้างเซนทรัลเวิลดิ์ เอเชียทีค และห้าง CDC โดยทาง บชน.ได้สั่งการให้จัด ศูนย์ปฎิบัติการส่วนหน้าประจำจุดในบริเวณงาน ดูแลความเรียบร้อย และด้านการจราจรอย่างเต็มที่ พร้อมกับมีการตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์หน้าสถานบริการ รวมถึงตั้งจุดบริการประชาชน ทั้งหมด 11 จุด อาทิ สถานีขนส่งหมอชิต หัวลำโพง สถานีขนส่งสายใต้ใหม่

ทั้งนี้ พล.ต.ต.อดุลย์ ได้เปิดเผยถึง มาตรการตรวจจับแอลกอฮอล์ว่า หากผู้ขับขี่รายใดไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเป่าวัด จะถือว่าผู้ขับขี่รายนั้นเมาและตำรวจจะแจ้งข้อหาขับขี่ในขณะมึนเมาสุรา ซึ่งข้อกฎหมายนี้ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
------------------
อธิบดีกรมอนามัย เผย ช่วงปีใหม่เอาจริง ลานเบียร์ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ควบคุมแอลกอฮอล์เคร่งครัด 

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูหนาวและช่วงเทศกาลปีใหม่มักจะมีผู้ใช้โอกาสนี้จัดงานเทศกาลลานเบียร์สด โดยมีการจัดตั้งซุ้มจำหน่ายอาหาร เบียร์สดยี่ห้อต่าง ๆ และการแสดงดนตรีสด มีโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับบริการลูกค้า นับเป็นการสร้างสีสันให้กับกลุ่มนักดื่มช่วงฤดูหนาว ซึ่งการตั้งซุ้มจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และการแสดงดนตรี เป็นกิจการตามกฎหมายการสาธารณสุข ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแล สถานประกอบกิจการลานเบียร์สดที่มีการจัดให้มีซุ้มจำหน่ายอาหาร เบียร์สด และการแสดงดนตรี ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 อย่างเคร่งครัด

อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ผู้ประกอบกิจการต้องยื่นขอใบอนุญาตหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่เป็นสถานที่ตั้งของกิจการนั้น และผู้ประกอบกิจการจะต้องปฏิบัติให้ถูกสุขลักษณะ เป็นไปตามข้อบัญญัติท้องถิ่น รวมทั้งควบคุมการดำเนินกิจการมิให้เกิดเสียงดังจนเป็นเหตุรำคาญสร้างความเดือดร้อนกับประชาชน หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีผู้ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จะมีความผิด โดยมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้น การควบคุมดูแลสถานประกอบกิจการดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญมากที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของภาครัฐในการที่จะคุ้มครองสิทธิทางสุขภาพของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกแก่ผู้ประกอบกิจการให้มีความรู้และปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายการสาธารณสุข รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เป็นต้น
-----------------
รอง ผบช.น. เผยมาตรการดูแลการจราจรปีใหม่ใน กทม. เตรียมตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนออกไป ตจว. 

พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงมาตรการดูแลด้านการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยคาดว่าประชาชนบางส่วนจะเริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมนี้ และหนาแน่นอีกครั้งในวันที่ 30 ธันวาคม ว่า ได้มีการระดมกำลังตำรวจจราจรดูแลประชาชนตั้งแต่ช่วงเช้า และร่วมกับสถานีขนส่งหมอชิต สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ และสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์คนขับรถโดยสาร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน จะมีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ ด้วย พร้อมเตือนผู้ขับขี่งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ เพราะขณะนี้ได้มีการประกาศกฎหมายใหม่ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
โดยบังคับผู้ขับขี่ที่ต้องสงสัยว่ามึนเมาสุรา ต้องเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ทุกคน หากปฏิเสธ หรือหลีกเลี่ยง จะถูกดำเนินคดีทันทีในข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรา โดยไม่ละเว้น
-----------------------
ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เตรียมเปิดเส้นทางพิเศษรองรับประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ แนะนำเส้นทางจุดอันตราย กว่า 10 จุด

พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ตำรวจทางหลวงได้วาง 3 มาตรการหลักอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งก่อนเทศกาล ระหว่าง
เทศกาล และหลังเทศกาล โดยกวดขันวินัยจราจร ตรวจจับรถใช้ความเร็วสูง วิ่งย้อนศร ไม่สวมหมวกนิรภัยและดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมกันนี้ยังแนะนำเส้นทางลัดเผยแพร่ในยูทูบของตำรวจทางหลวง
เพื่อให้ประชาชนศึกษาเส้นทางก่อนการเดินทางสู่หลายภูมิภาค ทั้งนี้ ได้แสดงความเป็นห่วงบริเวณทางต่างระดับบางปะอิน ซึ่งเป็นจุดบรรจบระหว่างถนนกาญจนาภิเษกและถนนพหลโยธิน และเป็นเส้นทางที่ประชาชนใช้เดินทางไปสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวนมาก ดังนั้น ตำรวจทางหลวงจึงเตรียมเปิดเส้นทางพิเศษไว้รองรับบริเวณถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 50 ถึงกิโลเมตรที่ 80 มุ่งหน้าไปอำเภอวังน้อย เพื่อรองรับปริมาณรถช่วงขากลับอีกด้วย

“จุดอันตรายที่สำรวจมีด้วยกัน 106 จุด เราได้กำหนดให้แคบลงเหลือ 14 จุดใหญ่ เช่น ทางเหนือ ขึ้นไปอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท และนครสวรรค์ เนื่องจากเป็นเส้นทางตรงและเส้นทางกลับรถจำนวนมาก ช่วงนั้นอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ในจุดกลับรถ ดังนั้น จึงมีป้ายเตือน และมีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวัง”

พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ กล่าวย้ำว่า เส้นทางต่างระดับบางปะอินถือเป็นที่ชุมนุมของรถที่จะเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะมีสถานีบริการน้ำมันถึง 7 สถานี จึงทำให้รถติดขัด ดังนั้น ตำรวจทางหลวงจึงแนะนำประชาชนที่เดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร ให้ใช้ทางเลี่ยงเมือง
//////////////////
คดีลาดกระบัง

ตร.นำหมายศาลเข้าตรวจค้น บ้าน ผอ.ส่วนกองคลัง ย่านบางนา ด้าน นายพูลศักดิ์ ผู้ถูกออกหมายเรียกเข้าพบแล้ว - จ่อออกหมายจับเพิ่มอีก

พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาราชการแทน ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม กล่าวถึงความคืบหน้าคดียักยอกเงินกว่า 1,600 ล้านบาท จาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ว่า ล่าสุด ตำรวจกองปราบปรามได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักของ นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนกองคลัง ย่านบางนา แล้ว เพื่อหาเอกสารหลักฐานในการกระทำความผิดเพิ่มเติม ขณะที่ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายเรียก ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองปราบปรามแล้ว ในเบื้องต้น นายพูลศักดิ์ ให้การอ้างว่า เพื่อนให้ไปเปิดบัญชี

ธนาคาร เมื่อวันที่ 1 ต.ค 2557 หลังจากเปิดบัญชีแล้วเสร็จมีคนเงินโอนเข้ามา 50 ล้านบาท และ วันที่ 2 ต.ค. ก็มีเงินโอนเข้ามาอีก 35 ล้านบาท หลังจากนั้น เพื่อนก็ให้โอนเงินออกจากบัญชีทันที ซึ่งตำรวจต้องตามต่อว่าเงินในบัญชีนั้นโอนไปให้ใครอย่างไรบ้าง และเตรียมออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม หากการสอบสวนแล้วพบว่าผู้ที่ถูกออกหมายเรียกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก็จะออกหมายจับทันที แต่หากให้การเป็นประโยชน์ และพิจารณาแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะกันไว้เป็นพยาน และวันนี้ อาจมีการพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม แต่ยังบอกไม่ได้ว่ามีอีกกี่คน
------------------
ตร.กองปราบ เข้าตรวจค้นบ้าน ผอ.ส่วนการคลัง เทคโนลาดกระบัง โกงเงินพันล้าน พบของกลางอื้อ 

ตำรวจกองปราบปรามได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง เลขที่ 562 ถนนริมทางรถไฟ แขวงและเขตบางนา ตำรวจพบบัญชีธนาคารของครอบครัว นางสาวอำพร โฉนดที่ดินของ นางสาวอำพร จำนวน 6 ไร่ ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา, เอกสารทางการเงิน และเอกสารประกันชีวิตจำนวนมาก จึงนำไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน พร้อมเตรียมประสานโรงพยาบาลตำรวจเพื่อขออายัดตัว นางสาวอำพร ที่กำลังพักรักษาอาการป่วยที่โรงพยาลเอกชนแห่งหนึ่ง

ด้าน นายผดุงศักดิ์ อ่อนละเอียด อายุ 42 ปี หลานชายของ นางสาวอำพร ระบุว่า นางสาวอำพร ไม่เคยมีนิสัยหรือมีพฤติกรรมไม่ดี เป็นที่รักมาโดยตลอด แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นายทรงกลด เข้ามาตีสนิทกับครอบครัว พร้อมอวดอ้างว่าตนเองมีฐานะร่ำรวย ตนเองจึงเชื่อว่า นางสาวอำพร ถูก นายทรงกลด หลอกลวงมากกว่า

"ประยุทธ์"ขู่ปิดสื่อบางฉบับ

‘ประยุทธ์’ โวยสื่อทำ ‘เสียมาดผู้นำ’ ขู่ใช้กฏอัยการศึกปิดบางฉบับ

ที่มาของภาพ: ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล
25 ธ.ค.2557 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เดินทางมาร่วมแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 3 เดือน โดยในช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงสื่อมวลชนด้วยว่า ต้องปฏิรูป พร้อมระบุว่าขณะนี้ยังมีสื่อมวลชนบางฉบับที่นำเสนอข่าวในทางที่ไม่สร้างสรรค์ สร้างความขัดแย้งในสังคม ซึ่งหากยังไม่หยุดการกระทำในลักษณะนี้ รัฐบาลจะนำกฎอัยการศึกมาบังคับใช้เพื่อปิดสื่อ โดยขอให้ทุกคนเคารพในสิทธิส่วนบุคคล และความเป็นมนุษย์ ตนเองยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ แต่ไม่ใช่การใส่ร้าย หรือปลุกระดมโจมตี
"ผมอดทนมานาน เป็นไร บ้าหรือไง ไม่ว่าใครเป็น ด่าทั้งหมด แล้วมันจะดีตรงไหนวะ ผมไม่อยากอ่าน อ่านแล้วมันโมโห ทำให้เสียกริยา เสียมาดผู้นำหมด คราวนี้ผมจะปิดจริงๆ ไม่งั้นจะมีกฎอัยการศึกไว้ทำไม มาตรา 44 ใช้ในทางสร้างสรรค์ ผมยังไม่เคยเอาใครมาติดคุกสักคน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า หลังการยึดอำนาจการปกครองประเทศของ คสช. ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา มีกระบวนการควบคุม แทรกแซงและปิดสื่อมาโดยตลอด เช่น คำสั่งระงับสื่อทั้งทีวีดาวเทียมและวิทยุชุมชนที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวมวลชนฝ่ายต่างๆ แม้ภายหลังจะมีการเปิดให้ดำเนินการได้บางสื่อก็ตาม รวมไปถึงการเรียกสื่อมวลชนทั้งกระแสหลักและสื่ออิสระเข้ารายงานตัว และที่สำคัญประกาศ คสช. ฉบับที่ 97(ประกาศเมื่อ 18 ก.ค.57) และ 103(ประกาศเมื่อ 21 ก.ค.57) ที่เป็นอุปสรรคของสื่อในการเชิญบุคคลไปออกรายการทีวี โดยประกาศดังกล่าวให้งดนำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะที่ส่งผลต่อความมั่นคง สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะห้ามสื่อเสนอ “การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช.โดยมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ” เป็นต้น

ปูติดดิ้น จับมือ4ชาติตั้งกลุ่มสหภาพศก.ยูเรเซีย

ปูตินจับมือผู้นำ 4 ชาติตั้งกลุ่ม “สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย” ผนึกกำลังสร้างการเติบโตทางศก. ชี้มูลค่าจีดีพีรวม ทะลุ “4.5 ล้านล้าน”
Cr:ผู้จัดการ
เอพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-รัสเซียประกาศจับมือเบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน จัดตั้งกลุ่มความร่วมมือ “สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย” ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าเสรีในหมู่สมาชิก
รายงานข่าวล่าสุดจากกรุงมอสโกยืนยันว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย บรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ร่วมกับผู้นำของอีก 4 ชาติที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในยุคสหภาพโซเวียตจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Union : EEU) ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2015 เพื่อส่งเสริมการค้าเสรีและสร้าง “ระบบการเงิน” ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายเส้นทางคมนาคม นโยบายการเกษตรและแรงงาน
ประธานาธิบดีปูติน ผู้นำรัสเซียระบุว่า สมาชิกของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียทั้ง 5 ประเทศ มีมูลค่าของจีดีพีรวมกันสูงถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีประชากรซึ่งมีกำลังซื้อรวมกันมากกว่า 170 ล้านคน นอกจากนั้น ยังถือเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บน “จุดเชื่อมต่อ” ระหว่างยุโรปและเอเชีย
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า ผู้นำรัสเซียพยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลยูเครน เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ล่าสุดนี้ แต่ระบอบการปกครองของประธานาธิบดีวิคตอร์ ยานูโควิชแห่งยูเครน ซึ่งมีจุดยืนฝักใฝ่รัสเซียมีอันต้องถูกโค่นล้มโดยฝ่ายโปรตะวันตก ไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียจะมีการจัดตั้ง “ธนาคารเพื่อการพัฒนา” เป็นของตนเองที่นครอัลมาตีของคาซัคสถานเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความร่วมมือทางการเงิน โดย “ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา” ความช่วยเหลือจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่เป็นสถาบันการเงินที่ตกอยู่ในความควบคุมของสหรัฐฯและโลกตะวันตก


ย้อนรอยคดี"สินบน"วิ่งเต้นล้มคดี

จากเพจสายตรงภาคสนาม
ย้อนพฤติกรรม ทักษิณ วิ่งเต้น-ติดสินบน ล้มคดี
คดีซุกหุ้น
- บัณฑิต ศิริพันธ์ เบิกความเป็นพยานในคดีที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากคดีซุกหุ้นฟ้องหมิ่นประมาท นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์แนวหน้าว่า “วินิจฉัยเพื่อช่วยทักษิณ” โดยระบุว่า
“"ได้ไปพบกับนาย อุระ หวังอ้อมกลาง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนายอุระเล่าให้ฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้มาพบกับนายอุระ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวกับนายอุระว่า ขอคะแนน ๑ เสียง แล้วลูกชายของนายอุระที่ทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศจะย้ายไปเป็นเลขาฯ ทูตที่ประเทศไหนก็ได้ หรือจะลาออกจากราชการมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยก็ได้ ในขณะที่นางเยาวภาก็ไปพบนายอุระที่บ้านถึง ๓ ครั้ง แต่นายอุระก็ไม่ได้ลงมติตามที่ถูกร้องขอ
นายอุระได้เล่าให้ฟังว่า ครั้งสุดท้ายที่นางเยาวภาไปพบที่บ้าน ได้ระบุว่า ขณะนี้มีตุลาการ ๔ คนที่รับปากจะช่วย พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว คือนายกระมล ทองธรรมชาติ นายจุมพล ณ สงขลา นายผัน จันทรปาน และนายศักดิ์ เตชาชาญ"
- วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 (ตำแหน่งในขณะนั้น) เบิกความคดีเดียวกัน ระบุว่า ก่อนลงมติคดีซุกหุ้น นายจุมพล ณ สงขลา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขอคำปรึกษาว่าหากจะเขียนคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความผิดในคดีซุกหุ้น เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา 295 จะเหมาะสมหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่า ประชาชนกว่า 11 ล้านคนเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯจะให้เสียงของคนไม่กี่คนมาทำให้พ.ต.ท.ทักษิณพ้นตำแหน่งได้อย่างไร
คดียุบพรรคไทยรักไทย
- 24 ธันวาคม 2557 ศาลอาญา พิพากษาจำคุก พ.ต.อ.ชาญชัย อดีตผู้กำกับสภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม เพือนร่วมรุ่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สามีนางเยาวภา น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 3 ปี ข้อหา เสนอสินบนจำนวน 30 ล้านบาทให้แก่ หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยเหลือคดียุบพรรคไทยรักไทย แต่ตุลาการท่านดังกล่าวปฏิเสธและทำบันทึกส่งให้ประธานศาลฎีกา
คดีที่ดินรัชดา
- ศาลฎีกา พิพากษาจำคุก พิชิต ชื่นบานและพวก ข้อหาดูหมิ่นศาล เป็นเวลา 6 เดือน กรณีถุงขนม 2 ล้าน
////////////////////////////////////////

ชูชาติ ศรีแสง:คดีสินบน30ล้านตุลาการยุบพรรคทรท.

...ข่าวเรื่องมีนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้สินบนต่อรองประธานศาลฎีกาท่านหนึ่งในคดียุบพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆ รวม ๕ พรรค เมื่อปี ๒๕๔๙ คงจะเลือนหายไปจากความทรงจำของประชาชนแล้ว
.....ขอทบทวนความจำว่า เมื่อ คมช.ทำการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ได้มีประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ศาลรัฐธรรมนูญจึงถูกยกเลิกไปด้วย
.....คมช.มีประกาศให้มีีตุลาการรัฐธรรมนูญ จำนวน ๙ ท่าน ทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธาน ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวน ๕ ท่าน และผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด จำนวน ๒ ท่าน
.....หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ซึ่งขณะนั้นดำรงแหน่งรองประธานศาลฎีกา ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้เป็นเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญด้วย
.....ตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้ทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดีที่ กกต.ยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคไทยรักไทย กรณีถูกกล่าวหาว่า จ้างพรรคการเมืองอื่นให้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.และ พรรคประชาธิปัตย์ กรณีถูกกล่าวหาว่าใส่ร้ายป้ายสีพรรคไทยรักไทย กับพรรคการเมืองอื่นๆ อีก ๓ พรรค
.....ในระหว่างที่ตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีดังกล่าว พันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษารุ่นเดียวกับหม่อมหลวงไกรฤกษ์ ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ไปหาหม่อมหลวงไกรฤกษ์ ทั้งที่ทำงานและที่บ้านพูดขอให้ช่วยพิจารณาให้เป็นประโยชน์แก่พรรคและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยเสนอผลประโยชน์ให้เป็นเงิน ๓๐ ล้านบาท แต่หม่อมหลวงไกรฤกษ์ปฏิเสธ และได้ทำบันทึกเรื่องนี้รายงานให้ประธานศาลฎีกา ทราบ
.....ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ให้ยุบพรรคไทยรักไทยด้วยคะแนนเสียง ๙:๐ และตัดสิทธิทางเมืองคณะกรรมการบริหารไทยรักไทยรวมทั้งทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา ๕ ปี ด้วยคะแนนเสียง ๖:๓
.....หลังจากนั้นนายจรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ออกมาเปิดเผยว่า คดีนี้ได้มีการวิ่งเต้นให้สินบนตุลาการรัฐธรรมนูญด้วย
.....ต่อมานายวีระ สมความคิด ได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจึงได้ไปกล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่่พันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ ในข้อหาให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน
.....พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นให้สั่งฟ้องพันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๗ ที่บัญญัติว่า ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำใดอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
.....เมื่อคดีไปถึงพนักงานอัยการ ๆ กลับมีคำสั่งไม่ฟ้อง แต่ ผบ.ตร มีความเห็นแย้งคือยืนยันให้ฟ้อง ในที่สุดอัยการสูงสุดในขณะนั้นคือนายชัยเกษม นิติศิริ มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง
.....คดีค้างอยู่ที่สำนักงานอัยการสูงสุดประมาณ ๔ ปี โดยพนักงานอัยการได้ฟ้องพันตำรวจเอกชาญชัย เป็นจำเลย ต่อศาลอาญา เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๖
.....วันนี้ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาแล้ว โดยพิพากษาว่า พันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๗ ให้ลงโทษจำคุก ๓ ปี ครับ

เปิดข้อสงสัย'โซลูชั่น'ขาดทุนอ่วมแต่คิดการใหญ่

กรุงเทพธุรกิจ
24ธ.ค.2557

ชำแหละ 6 ข้อสงสัย ดีลบริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) ซื้อหุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป 12.27% หลายฝ่ายสงสัย

เหตุใดธุรกิจที่ขาดทุนติดกัน 4 ปี จึง "ใจป้ำ" ยอมควักเงิน เพิ่มทุนทุ่มซื้อหุ้นสื่อไซส์ใหญ่

จากกรณีที่ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) หรือ SLC เข้าลงทุนในบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG ด้วยการซื้อหุ้น NMG จำนวน 404.99 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.27% มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.53 บาท ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 2.02 บาท และใบสำคัญแสดงสิทธิ (NMG-W3) จำนวน 225.00 ล้านหน่วย ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 0.99 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,042.32 ล้านบาท จะเข้าข่าย “ปลาเล็กกินปลาใหญ่” หรือไม่

การเข้าทำรายการในครั้งนี้ หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยให้ติดตามต่อไว้หลากหลายประการ เช่น

ประการแรก ศักยภาพในการลงทุนของบริษัทโซลูชั่น เพราะหากพิจารณาจากข้อมูลทางการเงินของ บริษัทโซลูชั่นกับ บริษัทเนชั่น จะพบว่า "สินทรัพย์รวม" มีขนาดแตกต่างกันอย่างมาก โดยบริษัทโซลูชั่นมีสินทรัพย์รวม 2,379 ล้านบาท น้อยกว่า บริษัทเนชั่นมีสินทรัพย์รวม 8,615 ล้านบาท (ตัวเลข ณ วันที่ 30 ก.ย. 2557)

นอกจากนั้น หากมองเข้าไปใน “ฐานะการเงิน” ก็จะเห็นแตกต่างเช่นกัน โดยช่วง 4 ปีก่อน (2553-2556) รวมถึงในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2557 บริษัทโซลูชั่น มีผล "ขาดทุน" ติดต่อกัน เห็นได้จากในปี 2553 ขาดทุน 145 ล้านบาท ปี 2554 ขาดทุน 203 ล้านบาท ปี 2555 ขาดทุน 146 ล้านบาท ปี 2556 ขาดทุน 197 ล้านบาท และไตรมาส 3 ปี 2557 ขาดทุน 396 ล้านบาท

ล่าสุด สิ้นไตรมาส 3 ปี 2557 (วันที่ 30 ก.ย.2557) บริษัทโซลูชั่น ยังมีขาดทุนสะสมสูง 1,118 ล้านบาท โดยมี "กระแสเงินสด" อยู่ในมือเพียง 169 ล้านบาท

จากประเด็นดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อสงสัยว่า ฐานะการเงินที่ย่ำแย่ของบริษัทโซลูชั่น เหตุใดจึงกล้าคิดการใหญ่นำเงิน "เพิ่มทุน" ที่เพิ่งได้จากเหล่านักลงทุนและผู้ถือหุ้นเดิม หลังจากเดินหน้าขายหุ้นเพิ่มทุนไปแล้ว 11 ครั้ง ในรอบ 1 ปี มาลงทุนในหุ้นบริษัทเนชั่น แทนที่จะนำเงินที่ได้ ไปลงทุนปรับปรุงธุรกิจเดิมให้มีความแข็งแกร่ง ตามเจตนารมณ์ที่ผู้บริหารเคยบอกไว้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย

ประการที่สอง หากพิจารณาจากเงินเพิ่มทุนที่บริษัทโซลูชั่นทยอยได้รับจากนักลงทุนมาแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท หลายฝ่ายมองว่า อาจไม่เพียงพอต่อการลงทุนในหุ้นบริษัทเนชั่น และร่วมลงทุนในกลุ่มบริษัท ทีนิวส์ ของนายสนธิญาน ชื่นฤทัยในธรรม รวมถึงนำไปชำระคืนหนี้ในส่วนที่กู้มา เพื่อนำไปจ่ายค่าใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจทีวีดิจิทัลของบริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด

ประการที่สาม “กูรูหุ้นรายใหญ่” วิเคราะห์ให้ฟังว่า บริษัทโซลูชั่นคงไม่ใจป้ำพอที่จะควักเงิน เพิ่มทุนเกือบทั้งหมดมาลงทุนในหุ้นบริษัทเนชั่น แต่มีความเป็นไปได้ว่า อาจมี “นักลงทุนรุ่นลายคราม” ที่ร่ำรวยหุ้นมาเมื่อครั้งบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ หรือ ฟินวัน ยังเฟื่องฟู เข้ามาร่วมวงลงทุนให้การสนับสนุนบริษัทโซลูชั่น ซึ่งนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว อาจเป็น “คอนเนคชั่น” มาจากทาง “โฉมพิศ บุนนาค” มารดาของ “ฉาย บุนนาค”

ซึ่ง “โฉมพิศ” คือ อดีตผู้บริหาร บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ

ขณะเดียวกัน “ฉาย” อาจได้คอนเนคชั่นจากคนในเครื่องแบบที่ชื่นชอบการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวมีสไตล์การลงทุนเช่นเดียวกับ “ฉาย” แตกต่างกันตรงที่ “ฉาย” เป็นเด็กหนุ่มไฟแรง พร้อมลุยทุกสถานการณ์ ในขณะที่กลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่ไฟมอดแล้ว เพราะหลายคนมีอายุล่วงเลยวัยกลางคน

แม้วันนี้ “ฉาย บุนนาค” จะไม่ปรากฏชื่อในการเข้าลงทุนหุ้นตัวใดเลย แต่หากดูจากในอดีต เขามักลงทุนผ่านคนสนิท ฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่า วันนี้ “ฉาย” ยังคงวนเวียนเข้าออกหุ้นเหมือนเคย

ประการที่สี่ บริษัทโซลูชั่นแจ้งผ่านสื่อมวลหลายฉบับว่า ได้ซื้อหุ้นบริษัทเนชั่น และลูกหุ้น ในกระดานหุ้นตามปกติ โดยไม่ได้รับซื้อต่อจากกลุ่มใด แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัทโซลูชั่น จะรับซื้อหุ้นเนชั่น บางส่วนต่อจากบริษัท เอ็ม บี เค (MBK) ที่ได้เข้าไปลงทุนในหุ้นเนชั่น สัดส่วน 10.67% เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา

เนื่องจากหากพิจารณาจากการดำเนินการของบล.ธนชาต ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า จะใช่หนึ่งในโบรกเกอร์ที่เป็นผู้ดำเนินการซื้อหุ้นเนชั่นให้กับบริษัทโซลูชั่นหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้บล.ธนชาตได้ซื้อขายหุ้นเนชั่นให้กับบริษัทเอ็มบีเค ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ปล่อยเงินกู้ยืม 200 ล้านบาท ให้ “สิริวัฒน์ โตวชิรกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วธน แคปปิตัล หรือ WAT มาซื้อหุ้นเนชั่น จำนวน 250 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.60 บาท เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2557

ย้อนอดีต “สิริวัฒน์” เคยซื้อหุ้นเพิ่มทุน หุ้น แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น หรือ MAX ในเวลาเดียวกันกับ “ฉาย บุนนาค” เข้ามาลงทุน

ประการที่ห้า ก่อนหน้านี้บริษัทโซลูชั่น แจกแจงว่า ได้พูดคุยกับผู้บริหารของบริษัทเนชั่นก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นเนชั่น ซึ่งในความเป็นจริง บริษัทโซลูชั่นซื้อหุ้นเนชั่นก่อนแล้วค่อยติดต่อขอพบ “สุทธิชัย หยุ่น”ประธานกรรมการเครือเนชั่น ประเด็นดังกล่าว “อารักษ์ ราษฏร์บริหาร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โซลูชั่น ย้ำว่า ได้ติดต่อขอพบสุทธิชัย ก่อนสั่งซื้อหุ้นเนชั่น แต่สุทธิชัยติดงานต่างจังหวัด
เป็นเหตุให้ต้องซื้อก่อนแล้วค่อยไปพบ

ประการสุดท้าย ก่อนบริษัทโซลูชั่นจะเข้าลงทุนในบริษัทเนชั่นย่อมรู้ดีว่า อาจข่ายผิดเงื่อนไขของกสท.ที่ห้ามบริษัทเดียวกันประมูลหมวดหมู่เดียวกันมากกว่า 1 ช่อง เนื่องจากโซลูชั่นเป็นเจ้าของ 
เจ้าของ “สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น” แต่เหตุใดยังคงทุ่มเงินกว่าพันล้านซื้อหุ้นเนชั่น ซึ่งเรื่องดังกล่าวบอร์ดกสท.เตรียมจะพิจารณาในวันที่ 5 ม.ค.2558

ขณะที่ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" นักลงทุนแนววีไอ วิเคราะห์กรณีบริษัทโซลูชั่น ซื้อหุ้นบริษัทเนชั่น ว่า หุ้นเนชั่น (NMG) ถือเป็นหุ้นกลุ่มสื่อที่มีศักยภาพที่สุดเมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะเดียวกันหุ้น NMG ยังมีสภาพคล่องสูง ฉะนั้นไม่แปลกหากจะมีนักลงทุนบางรายมองเห็นศักยภาพจนยอมควักเงินลงทุน การเข้ามาของบริษัทโซลูชั่น หากดูจากรูปทรงคงไม่เข้ามาเทคโอเวอร์ NMG แต่อาจเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพราะโซลูชั่น คือ เจ้าของ “สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น” ซึ่งวันนี้ยังเป็นสำนักข่าวขนาดเล็ก

ดังนั้นหากมีสำนักข่าวขนาดใหญ่อย่างเนชั่นคอยช่วยเรื่องเนื้อหา บ้างคงทำให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่การที่คนข่าวของเนชั่น ส่วนใหญ่เป็นมืออาชีพคงไม่ง่ายหากใครจะเข้ามาครอบงำความคิด

ในต่างประเทศสื่อถือเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมาก และมีความเป็นตัวเองสูง ฉะนั้นต่อให้นักลงทุนรายใหญ่มาขอให้ช่วยลงข่าวที่เอื้อประโยชน์กับเจ้าของใหม่ย่อมทำได้ยาก ดังนั้นนักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นสื่อต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะมาแล้วก็ไป ซึ่งอาจตรงข้ามกับนักลงทุนที่เข้ามาซื้อสื่อในเมืองไทยที่เข้ามาแล้วมักหาประโยชน์บางอย่าง

ในกรณีของบริษัทโซลูชั่น คงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าจะใช้ NMG ทำอะไร เพราะในหมู่นักลงทุนวีไอไม่มีใครพูดถึงกรณีดังกล่าว

ทหารจ่อขอโทษศาลกรณีออกนส.ให้ไปรับ

ทหารจ่อขอโทษ“ขรก.-ผู้พิพากษาเชียงราย” หลังถูกเชิญรับ-ส่งผู้ช่วยผบ.ทบ.

เขียนวันที่
วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม 2557 เวลา 09:48 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
มณฑลทหารบกที่ 33 จ.เชียงราย จ่อทำเรื่องขอโทษ “บิ๊กขรก.-ผู้พิพากษาศาล” หลังถูกเชิญให้ร่วมรับ-ส่ง “พล.อ.ธีระชัย” ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เหตุเป็นเรื่องเข้าใจผิด-ละเมิดอำนาจหน้าที่
PIC-army-24-12-57 1
จากกรณี พ.อ.สุปัญญา วิไลรัตน์ นายทหารปฏิบัติการประจำมณฑลทหารบกที่ 33 รักษาราชการแทนรองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเชียงราย ทำการแทนผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเชียงราย ทำหนังสือแจ้งหัวหน้าส่วนราชการ และข้าราชการ รวมถึงผู้พิพากษาในจังหวัดเชียงรายร่วมรับ-ส่ง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและคณะ ที่จะเดินทางมาปฏิบัติราชการในพื้นที่ จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 23-24 ธันวาคม 2557 นั้น
ล่าสุด รายงานข่าวจากมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงรายแจ้งสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า เบื้องต้นมีการเตรียมทำเรื่องขอโทษไปยังหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ รวมถึงผู้พิพากษาในจังหวัดเชียงรายแล้ว เนื่องจากอาจเป็นการเข้าใจผิดกัน และคาดว่าอาจมีประเด็นในการล่วงละเมิดอำนาจหน้าที่กันด้วย
ขณะที่ พ.ต.ลาภิศ ประสาทเขตต์การ นายทหารฝ่ายกำลังพลจังหวัดทหารบกเชียงราย ซึ่งปรากฏชื่อเป็นผู้ประสานงาน ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า ยังไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้ ขอติดต่อกับผู้บังคับบัญชาก่อน