PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ย้อน 4 “รัฐประหารซ้อน” เลือกตั้งสกปรก ต่ออายุอำนาจ พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ



ท่ามกลางกระแสข่าวลือ “รัฐประหารซ้อน” โหมกระหน่ำหนักหน่วงไปทั้วทั้งแผ่นดิน ชาวโซเชียลตื่นตระหนกแห่แชร์เรื่องราวที่ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด โดยมีภาพประกอบข้อความแสนชวนคิด คือ ภาพเคลื่อนย้ายรถถังในหลายพื้นที่ อันเป็นเครื่องยืนยันว่า อาจมีข่าวไม่สู้ดีไม่เร็วก็ช้านี้

กระทั่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ต้องออกมาแจกแจงกันให้แจ่มแจ้งว่า “ไม่มีรัฐประหารซ้อนแน่นอน! และขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาล เราจะทำบรรยากาศการเลือกตั้งครั้งนี้ให้เกิดความเรียบร้อย มีเสรีเป็นธรรมและเท่าเทียม”
ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ไล่เรียงประวัติศาสตร์ “รัฐประหารซ้อน” ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จนประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการทำรัฐประหารที่มากที่สุดประเทศหนึ่ง 

“จอมพล ป. ยึดอำนาจจอมพล ป."

ย้อนกลับไป 29 พฤศจิกายน 2494 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำการรัฐประหาร แต่เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่เรียกได้ว่า “รัฐประหารตัวเอง” หรือ “การยึดอำนาจตัวเอง”
ขณะที่ การยึดอำนาจกระทำโดยไม่ใช้การเคลื่อนกำลังใดๆ เพียงแต่มีความเคลื่อนไหวโดยมีตำรวจและทหาร รวมทั้งรถถังเฝ้าประจำการในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน จนกระทั่งในเวลาหัวค่ำ ของวันที่ 29 พฤศจิกายน ได้มีการประกาศผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ว่า
เหตุที่มีการรัฐประหารในครั้งนั้น เพราะ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น อ้างว่าไม่ได้รับความสะดวกในการบริหารประเทศ ซึ่งสืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ขณะนั้น ไม่เอื้อให้เกิดอำนาจ และข้ออ้างสุดคลาสสิกในการยึดอำนาจ ก็คือ “...มีอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เข้าแทรกซึมอยู่เป็นมาก แม้ว่ารัฐบาลจะทำความพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหา เรื่องคอมมิวนิสต์ได้ ทั้งไม่สามารถปราบการทุจริตที่เรียกว่า คอร์รัปชัน...” 
จากนั้น คณะบริหารประเทศชั่วคราวได้สั่งยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2492 หันกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกมาใช้แทน ซึ่งการรัฐประหารครั้งนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการกระทำที่ประหลาดที่สุดในโลก และเป็นเหตุให้พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของพันตรีควง อภัยวงศ์ ได้ประกาศคว่ำบาตรรัฐบาลทุกประการ เช่น ไม่ร่วมเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2495 เป็นต้น

จอมพลสฤษดิ์ ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ย้อนกลับไป 16 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
โดยสาเหตุการรัฐประหาร เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2500 ซึ่งมีการกล่าวขานว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเสียงข้างมาก ได้จำนวนผู้แทนทิ้งห่างคู่แข่งคือพรรคประชาธิปัตย์แทบไม่เห็นฝุ่น และได้ตั้งรัฐบาล ท่ามกลางการเดินประท้วงของประชาชนจำนวนมาก ที่เรียกร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
ขณะที่ การเลือกตั้ง ณ เวลานั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ประกาศจะจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในโอกาสครบวาระกึ่งพุทธกาล แต่ประชาชนทั่วทุกหัวระแหง กลับพบว่าเกิดการทุจริตเลือกตั้งอย่างโจ๋งครึ่ม กลโกงที่ปรากฏทุกรูปแบบ ก็นำสู่การเดินขบวน ต่อต้านครั้งใหญ่ของนักศึกษาและประชาชน ทั้งมีการลดธงชาติครึ่งเสาไว้อาลัยการเลือกตั้ง
13 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ และคณะทหาร ยื่นคำขาดต่อ จอมพล ป.ว่า ให้รัฐบาลลาออก แต่ได้รับคำตอบจาก จอมพล ป. ว่า ยินดีจะให้รัฐมนตรีลาออก แต่ตนจะขอเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลเอง ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชน ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ได้พูดผ่านวิทยุยานเกราะถึงผู้ชุมนุมจำนวนมากที่กำลังเดินประท้วงรัฐบาล ว่า “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”
15 กันยายน 2500 ประชาชนพากันลุกฮือเดินขบวนบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อไม่พบจอมพล ป. จึงพากันไปบ้านจอมพลสฤษดิ์ ในขณะที่รัฐบาลจอมพล ป. ก็กำลังเตรียมจับกุมจอมพลสฤษดิ์ ในข้อหากบฏ แต่ไม่ทัน 
ค่ำคืนอันเงียบสงัดในวันที่ 16 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ นำกำลังรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. ส่วน จอมพล ป. ได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ

จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจ พลเอกถนอม ฉบับเตี๊ยมกันไว้แล้ว

หลังยึดอำนาจรัฐบาลจอมพล ป. แล้ว จอมพลสฤษดิ์ เห็นว่า ไม่เหมาะสมที่ตนเองจะขึ้นครองอำนาจ ประกอบกับมีปัญหาสุขภาพ จึงมอบหมายให้พจน์ สารสิน เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดการเลือกตั้ง หลังจากรัฐบาลพจน์ สารสิน จัดการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อย พลเอก ถนอม กิตติขจร ก็รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ปี 2501
ต่อมาไม่นาน ได้เกิดความวุ่นวายจากความขัดแย้งระหว่างสมาชิกพรรคที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับรัฐมนตรี เนื่องจากบรรดา ส.ส. มีข้อต่อรองบางอย่าง แลกกับการไม่ถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล
พลเอก ถนอม กิตติขจร ก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ จอมพลสฤษดิ์ จึงเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วร่วมมือกับ พลเอก ถนอม นายกรัฐมนตรี กระทำการบางอย่าง
เช้าวันที่ 20 ตุลาคม 2501 พลเอก ถนอม กิตติขจร ประกาศลาออกในเวลาเที่ยงวัน แต่ยังไม่ได้ประกาศให้แก่ประชาชนทราบโดยทั่วกัน พอช่วงค่ำ เวลา 21.00 น. จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างถึงเหตุความมั่นคงของประเทศ
รัฐประหารครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็น “การยึดอำนาจตัวเอง” ก็ว่าได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ได้ร่างกันขึ้นมานั้น ส่งผลให้จอมพลสฤษดิ์ สามารถใช้อำนาจในตำแหน่งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จากรัฐธรรมนูญ มาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเต็มที่ สามารถจัดการกับบุคคลที่ก่อความไม่สงบได้ทันที แล้วจึงค่อยแจ้งต่อสภา

จอมพลถนอม รัฐประหารตนเอง ต่ออำนาจ

จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี 4 สมัย รวมเป็นเวลา 10 ปี 6 เดือน เคยก่อรัฐประหารรัฐบาลตัวเองเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2514 เพราะไม่อาจควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎรได้
การยึดอำนาจครั้งนี้สะดวกง่ายดาย ถึงขนาดทางกรมประชาสัมพันธ์ที่เป็นหน่วยงานของรัฐได้ออกข่าวบอกประชาชนล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ชั่วโมงให้รอฟังข่าวสำคัญ ซึ่งก็คือ “ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 1”

การบริหารบ้านเมืองโดยคณะปฏิวัติผ่านมาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2514 จึงได้มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 34 ตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้นมา และจอมพลถนอม กิตติขจร ที่เคยเป็นหัวหน้ารัฐบาล หัวหน้าคณะปฏิวัติก็มาเป็นประธานสภาบริหารคณะปฏิวัติ และมีกรรมการสภาบริหารคณะปฏิวัติอีก 15 คน พอไปดูที่อำนาจหน้าที่ของสภาบริหารคณะปฏิวัติก็จะเห็น เขาต้องการให้มาทำหน้าที่คณะรัฐมนตรีนั่นเอง เพราะประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 34 ได้สั่งให้ “บรรดาอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีนั้นให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาบริหารคณะปฏิวัติ”
ต่อมา จอมพลถนอม อายุครบ 60 ปี จึงได้ต่ออายุราชการของตัวเอง ประกอบกับหลายๆ เหตุการณ์ที่ด่างพร้อยของรัฐบาล จึงทำให้รัฐบาลถูกประท้วงโดยนิสิต นักศึกษา และประชาชน และเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนท่านต้องลาออกและเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ และบวชเณรเข้ามาใหม่อีกครั้งในปี 2519 กลุ่มนักศึกษาประชาชนก็ได้ขับไล่อีกครั้งจนเกิดการนองเลือดกลายเป็นเหตุการณ์ล้อมฆ่าหมู่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
หลายคนอ่านจบ มีเพลงเพลงหนึ่งดังเข้ามาในหัวทันที...ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำ ประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยน เปลี่ยนไปเป็นฉันและเธอเท่าเทียมกัน ประวัติศาสตร์ในวันนี้ จะแตกต่างจากวันนั้น (อนาคต) ของเราจะทันสมัย.


เอฟเฟกต์ตีไพ่พลาด!



เล่นกันแรงถึงขั้น “ปลอม” ราชกิจจานุเบกษา คำสั่งหัวหน้า คสช.ปลด ผบ.เหล่าทัพ ล้อกันเลยกับฉากรถถังที่วิ่งกันเพ่นพ่าน โดยหน่วยทหารเคลียร์ข่าวเดินทางไปฝึกตามภารกิจปกติ

ปั่นประสาท เขย่าขวัญพวกมโนโซเชียลฯ
เอาเป็นว่า “ปฏิวัติ” ทุกรอบ รัฐประหารทุกครั้ง ไม่เคยมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
โจ๋งครึ่มแบบนี้แสดงว่า ยังเป็นแค่เกมของพวก “ลุ้น”
ตามจังหวะมันต้องมีการสร้าง “สตอรี” ปั่นอุณหภูมิ “อุ่นเตา” ให้ระอุไว้ก่อน
เรื่องของเรื่อง ปมปัญหาการเมือง เรื่องร้อนๆเสียวๆมันยังอยู่ในขอบเขตกระบวนทางกฎหมาย ไม่เกินวิสัยที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะวินิจฉัยได้
ทั้งภายใต้ระเบียบ กกต.และยังรวมทั้งบทบัญญัติ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
เหนืออื่นใดนั่นคือสำนึกแบบไทยๆกับใจความท่อนสำคัญของประกาศพระราชโองการ
“การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์ มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยตัดสินใจได้ด้วยสัญชาตญาณ
ตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หลังห้าทุ่มคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ แม้แต่อาการของลูกข่าย “ทักษิณ” พรรคเพื่อไทยสั่งให้สมาชิกระมัดระวังการเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคเพื่อชาติหยุดการเดินสายหาเสียง ไม่ต้องพูดถึงพรรคไทยรักษาชาติที่เงียบสงัดวังเวง
นั่นเพราะ “รู้ตัวดี” กับพฤติการณ์เย้ยฟ้าท้าดินของทีม “นายใหญ่”
“ทักษิณ” แพ้ภัยตัวเอง โดยไม่เกี่ยวกับ ม.44 ไปกลั่นแกล้ง
จาก “ไพ่เด็ด” เปิดมาหวังป๊อกกินรอบวง
เกมพลิกกลายเป็น “เจ้าบอดแต้ม” เจ๊งจ่ายรอบโต๊ะ
และปฏิเสธไม่ได้ พวกที่ฟลุกบวกเฮงก็คือยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ที่รอช้อน “แต้มหก” แบบเป็นกอบเป็นกำ
จากอารมณ์ “เบื่อลุงตู่” พลิกเป็นต้องช่วยกันหนุน “พล.อ.ประยุทธ์”
หยุด “นายใหญ่” ล้มกระดานประเทศไทย
ภายใต้อาฟเตอร์ช็อก แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองหลายแมกนิจูด จากปรากฏการณ์ “แคนดิเดตพิเศษ” พะยี่ห้อ “ทักษิณชัวร์” บัญชีนายกฯพรรคไทยรักษาชาติ
จังหวะตีไพ่พลาดของ “นายใหญ่”
ฤทธิ์ยักษ์ “นนทก-นนทัก” ชี้นิ้วฆ่าตัวตายเอง
มันกำลังทำให้การเมืองเดินหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นโอกาสที่ทีมหนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ รับอานิสงส์จาก “กระแสพลิก” ชั่วข้ามคืน รวมถึงป้อมค่ายอื่นที่แบ่งแต้มหล่นกันไป
ภายใต้สัญญาณ “chin up” อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ตีธงรบ เชิดหน้าลุยถั่วสู้ไม่ถอย
ในจังหวะที่ฝ่ายความมั่นคง คสช.ต้องสั่งตั้งวอร์รูม “เกาะติด” ขบวนการจ้องสร้างสถานการณ์ป่วน ห้วงเวลาสำคัญ ตามปรากฏการณ์ข่าวลือต่างๆนานา ฟุ้งกระจายโซเชียลมีเดีย
แกะรอยตามกลิ่น “สงครามป่วน” ล้มกระดาน
ขณะที่สถานการณ์ยากของ “นายใหญ่” ก็ต้องเจอกับเครื่องหมายคำถามในกลุ่มสาวกกองหนุน
เพราะมันหลายครั้งหลายหนที่ดันหลังหน่วยกล้าตายออกหน้า
ตั้งแต่วาทกรรม “ถ้าเสียงปืนแตกนัดแรกเมื่อไหร่ ผมจะกลับมานำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯเอง”
ก่อนเหตุสลายม็อบราชประสงค์ เสื้อแดงตายเกือบร้อยศพ
มาถึงคดีโกงจำนำข้าว ที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ถูกตัดหาง ติดคุกหัวโต โดยไม่ระแคะระคาย “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “ล่องหน” ไปโผล่อีกทีอยู่ลอนดอน อังกฤษ
จนมาถึงคิวโหด “ส่งเด็กมาตาย” ชะตากรรมของ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ผู้เปิดโพย “แคนดิเดตพิเศษ”
ต้องโดนคดียุบพรรค ไปถึงความเสี่ยงหมิ่นเหม่กฎหมายมาตรา 112
กองเชียร์สาวกเสื้อแดง ลูกน้องใกล้ชิด “บุญทรง-ภูมิ” เด็กๆ ลูกหลานในทีม “ทักษิณชัวร์”
ชะตากรรมโหด เหยื่อสังเวยเกมอำนาจคน “แพ้ไม่เป็น” ทุกรายตายตอนจบ
จะเหลือคนกล้าคบ กล้าเสี่ยงด้วยอีกแค่ไหน.
ทีมข่าวการเมือง
ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/1493890

รัฐบาล-กองทัพ เหนียวแน่น 100% ไม่มีปฏิวัติซ้อน !!



รัฐบาล-กองทัพ เหนียวแน่น 100% ไม่มีปฏิวัติซ้อน !!
โฆษก”บิ๊กป้อม” ยัน กองทัพกับรัฐบาล เป็น หนึ่งเดียว เหนียวแน่น 100% ไม่มีแตกแยก ชี้คนปล่อยข่าว หวังผลให้แตกแยก ไม่เข้าใจกันเอง ยัน ข่าวลือ ปฏิวัติซ้อน ไม่จริง ถาม ข่าวลือนี้ ใครได้ประโยชน์หวังทำให้แตกแยก ไม่เข้าใจกันเอง เร่งหาตัวคนปล่อยข่าว วอนอย่าแชร์ ข่าวลือ เอกสารเท็จ เดินหน้าสู่เลือกตั้ง และจัดพระราชพิธี

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวถึงข่าวลือปฏิวัติซ้อนว่า พลเอกประวิตร ยืนยัน แล้วว่า ไม่จริงและยืนยัน กองทัพ และรัฐบาล เป็นเอกภาพ 100%. เราเหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน สถาบันทหาร ยังเป็นสถาบันหลัก ด้านความมั่นคงของชาติ เราทำเพื่อส่วนรวมและชาติ มาตลอด

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร สั่งให้ฝ่ายความมั่นคง ติดตามสถานการณ์ การเชื่อมโยงข้อมูล อันเป็นเท็จ ถือว่าเป็นสิ่งผิดกม. ผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ เรากำลังตามหาตัวคนปล่อยข่าว

เผยตอนนี้ บ้านเมือง เดินมาถึงขนาดนี้แล้ว กำลังจะมีการเลือกตั้ง ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล ที่จะทำให้บรรยากาศการเลือกตั้ง เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ทุกฝ่าย มีความเสรี เป็นธรรม เท่าเทียมกัน
ต่อง ถามกลับไปว่า คนที่ปล่อยข่าวลือ และทำเอกสารปลอมนี้ ว่า ใครได้ประโยขน์ จากข่าวลือปฏิวัติซ้อนนี้ รัฐบาลไท่ไเ้ประโยชนฺ แต่ทำให้เกิดความแตกอยก ไม่เข้าใจกันเอง ขอให้ ประชาชน ใช้วิจารณญาณ ติดตามข้อมูลข่าวสาร ที่เป็นจริงจากทางราชการ ใช้บทเรียนในอดีต เพื่อวางอนาคต สู่ความสงบสุขเรียบร้อยร่วมกัน

เมื่อถามว่า ข่าวลือ ปฏิวัติ นี้ มาจากฝ่ายการเมือง หรือไม่ พลโท คงชีพ กล่าวว่า เราติดตามความเขื่อมโยงของทุกฝ่าย ไม่ว่ากลุ่มใดก็แล้วแต่ ถือว่า ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติ เพราะเป็นปีสำคัญ ปีมหามงคล ที่จะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประธานอาเซี่ยน และ การเลือกตั้ง และขอให้คนไทยเราทำหน้าที่คนไทย ทำพระราชพิธีให้ยิ่งใหญ่

ส่วนที่มีการติดhashtag รัฐประหาร นั้น โฆษกกลาโหม กล่าวว่า ไม่ต้องตื่นตระหนก การเคลื่อนย้ายกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ ไปฝึก ซึ่งหน่วยชี้แจงแล้ว ไม่ใช่การรัฐประหาร

เราอยู่กันมาได้ 4 ปีแล้ว ทุกอย่างที่ทำมีเจตนาดี คนไทยทุกฝ่าย มีเจตนาดี กลับมายืนบนความถูกต้อง บนหลักกฏหมาย ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ส่วนการที่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่มาร่วมประชุม เป็นการประชุม คณะกรรมการถวายความปลอดภัย พระราชพิธีฯไม่ใช่ประชุม ผบ เหล่าทัพ

ถ้าผม ทำไม่ดี ผบ.เหล่าทัพ จะไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับ!!

“บิ๊กตู่” .....แอ่นอก!! ถ้าผม ทำไม่ดี ผบ.เหล่าทัพ จะไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับ!! ยัน สัมพันธ์ดี พี่น้องกันมาหลายสิบปี สยบข่าวลือ ปฏิวัติซ้อน
“นายกฯบิ๊กตู่” ลั่น เป็นไปไม่ได้เลย ที่ผมจะย้าย ผบ.เหล่าทัพ ชี้เป็น พี่น้องผูกพันกันมาหลายสิบปี แต่ถ้าเมื่อใด ผมทำไมีดี และ เขา ไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับซึ่งกันและกัน
ชี้ ไม่รู้ คนทำเอกสารคำสั่งหัวหน้าคสช. ปลอม ย้าย ผบ.เหล่าทัพ. นั้น ทำเพื่ออะไร ยัน เป็นไปไม่ได้ เลย ที่ผมจะโยกย้าย ผบ.เหล่าทัพ ถ้าเป็นไปได้ ผมจะย้ายใครจะโกรธใคร ผมจะต้องเป็นคนแจ้ง ต้องทำตามขั้นตอน ถ้าจะย้ายใคร ไม่มีทางที่จะใช้ ม.44 จะใช้กับคนที่มีปัญหา เท่านั้น แต่ใช้กับเฉพาะคนที่มีปัญหาเท่านั้น แล้วผมก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร กับ ผบ.เหล่าทัพ ไม่มีสถานการณ์ไม่ดีอะไร เพราะก็เป็นพี่น้องกันมาเป็นหลายสืบปี ถ้าต่างคนต่างทำความดี ก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าผมทำไม่ดี แล้ว เขา ไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับ ซึ่งกันและกัน
ยันไม่เคยยุ่งเกี่ยว เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายทหารเลย กลาโหม ส่งมา ผมก็ลงนามและนำขึ้นทูลเกล้าฯ มีคณะกรรมการกลั่นกรองหลายชุด ถ้าไม่ดีเขาก็ย้ายหมด ขึ้นมานี่ต้อง 100% แล้ว

“บิ๊กตู่” ขอบคุณ “พรรคพลังประชารัฐ” เสนอชื่อ เป็นนายกฯ



“บิ๊กตู่” ขอบคุณ “พรรคพลังประชารัฐ” เสนอชื่อ เป็นนายกฯ แต่ ผมจะได้เป็นนายกฯ อีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของพรรค ยัน สัปดาห์ที่แล้ว ไม่อึดอัด
หลังรับเป็นนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อ8กพ. แล้ว .... พลเอกประยุทธ์ เพิ่งให้สัมภาษณ์ครั้งแรก ...
โดย สื่อถามว่า หลังจากตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ มั่นใจว่าพรรคจะได้รับชัยชนะหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของพรรคที่ดำเนินการ ที่พรรคเสนอชื่อผม ผมก็ขอบคุณ ส่วนผมจะได้เป็นนายกฯ อีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของพรรค
แต่วันนี้ ผมขอทำงานในส่วนของรัฐบาล เพราะถือว่าสำคัญที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะไม่มั่นใจว่า ในวันหน้า หลายอย่างที่ทำอยู่ จะได้รับการสืบสานหรือไม่ เราควรจะห่วงเรื่องนี้มากกว่า
เมื่อถามว่า เมื่อวันศุกร์ สัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกอึดอัดใจหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่อึดอัด ไม่หนักใจ ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง

ธนาธร พร้อมต้านรัฐประหาร เชื่อเป็นไปได้ สั่งทีมข่าวเกาะติด

 ธนาธร พร้อมต้านรัฐประหาร เชื่อเป็นไปได้ สั่งทีมข่าวเกาะติด
.
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ชั้น 7 สยามสแควร์วัน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกระแสข่าวลือการรัฐประหารตลอดคืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีกระแสข่าวลือการรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาของสังคมไทยให้เห็นว่า เกิดการเผชิญหน้าระหว่างอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งกับอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกำลังจะไปต่อไม่ได้ จนกลายเป็นกระแสเรื่องการรัฐประหารอีก ซึ่งถ้ามีการยึดอำนาจ อนาคตใหม่ยืนยันว่าจะคัดค้านอย่างแน่นอน
.
"ตอนนี้ทีมข่าวของพรรคกำลังติดตามประเมินข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนแนวทางการต่อต้านจะเป็นอย่างไรนั้นยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ เพราะเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ เนื่องจากก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต ผบ.ทบ. ก็บอกตลอดว่าจะไม่ทำ แต่ไปยอมรับในการสัมภาษณ์นิตยสาร Time ว่าเตรียมการล่วงหน้ามา 6 เดือน ซึ่งทางออกของสถานการณ์การเมืองในช่วงนี้คือ เดินหน้าสู่การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมที่กำหนดไว้ เพื่อกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย" ธนาธร กล่าว
.
เมื่อถามถึงความเห็นต่อการเคลื่อนไหวให้มีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ธนาธร กล่าวว่า อนาคตใหม่คงไม่ไปก้าวล่วงพรรคไหน ไม่ว่าจะเป็นการส่ง ส.ส. แบบแบ่งเขตบัญชีรายชื่อหรือบัญชีนายกฯ อนาคตใหม่ยืนยันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเจรจาทางการเมืองใดๆ ขอเตรียมพร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อเป้าหมาย 3 ข้อคือ หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และล้มล้างผลพวงการรัฐประหาร พร้อมกันนี้ขอยืนยันข้อเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ ลาออกจากทั้งตำแหน่งหัวหน้า คสช. และนายกฯ
.
ธนาธร กล่าวอีกว่า เพราะรัฐบาล คสช. ไม่เป็นรัฐบาลรักษาการตามหลักสากล ที่จะไม่มีอำนาจออกนโยบายที่ใช้งบผูกพันกับรัฐบาลหน้า แต่รัฐบาล คสช. ยังสามารถดำเนินการได้ ทั้งยังมีมาตรา 44 อยู่ ซ้ำร้ายกว่านั้น พล.อ. ประยุทธ์ ยังมีอำนาจเลือก 250 ส.ว. ที่จะกลับไปเลือก พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก ก็เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง

ส่องโผทหาร ส่งท้าย คสช.‘บิ๊กแดง’ จัดทัพ รับเปลี่ยนผ่าน จัดแถวกองพลปฏิวัติ

ส่องโผทหาร ส่งท้าย คสช.
‘บิ๊กแดง’ จัดทัพ รับเปลี่ยนผ่าน
จัดแถวกองพลปฏิวัติ
ตรวจแถว ‘ขุนพลแตงโม’ สู้ศึกเลือกตั้ง ‘3 ป.’
ที่มา : มติชนสุดฯ

ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปี เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยเพราะกองทัพมีงานสำคัญรออยู่เบื้องหน้ามากมาย
ทั้งการเป็นกำลังหลักของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของ คสช. ในการดูแลทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562
ทั้งยังเป็นกำลังหลักในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งการดูแลความปลอดภัย และการริ้วขบวนเฉลิมพระเกียรติ ตามโบราณราชประเพณีต่างๆ และการถวายพระเกียรติของทั้ง 3 เหล่าทัพ
รวมทั้งการเป็นประธานอาเซียน ที่ต้องเป็นเจ้าภาพการประชุมกว่า 180 การประชุม ทั้งการอารักขาดูแลผู้นำ และการดูแลความสงบเรียบร้อยในการประชุม
โดยที่กลาโหมต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน หรือ ADMM และการประชุม ผบ.เหล่าทัพอาเซียน
จึงทำให้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ส่งสัญญาณให้ ผบ.เหล่าทัพจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายกลางปีให้เสร็จภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพราะโผนี้จะส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำเข้าขั้นตอนการทูลเกล้าฯ ในต้นเดือนมีนาคม เพราะต้องประกาศ และมีผล 1 เมษายน 2562
แม้จะเป็นโผกลางปี ที่เป็นการรองรับนายทหารชั้นนายพลที่จะเกษียณราชการเท่านั้นก็ตาม แต่เพราะปีนี้จะมีนายพลหลายคนลาออกเพื่อไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ด้วย จึงอาจทำให้มีการขยับมากกว่าโผเมษาฯ ตามปกติ
โดยเฉพาะที่ ทบ. แม้บิ๊กตู่น้อย พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผช.ผบ.ทบ. จะเคยยืนยันแล้วว่า ไม่เคยคิดจะลาออกเพื่อไปเป็น ส.ว. แต่ก็ยังมีข่าวลือสะพัด ทบ.ว่า ถูกผู้ใหญ่เสนอชื่อให้เป็น ส.ว.
อาจเพราะมีแรงกดดันให้มีการจัดทัพบกในระดับหัวใหม่ เพราะเมื่อ 5 เสือ ทบ.ว่างลง ก็จะมีการขยับได้หลายตำแหน่ง แต่อยู่ที่ว่า บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จะเลือกสูตรไหน
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์ เดินทางไปต่างประเทศระยะหนึ่ง ที่นอกจากเรื่องการฝึก การปรับโครงสร้างกองทัพบกแล้ว ก็มีเรื่องการจัดทัพ จัดโผทหาร เพราะบางตำแหน่งอยู่นอกเหนือการจัดวางของกองทัพ
เพราะ 1 เมษายน 2562 นี้ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ก็จะมาเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 1 จากที่เคยเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ขึ้นตรงกับ ผบ.ทบ.
เพราะ พล.ม.2 รอ. ได้ชื่อว่าเป็นกองพลทหารม้ารถถังปฏิวัติ ที่ใช้เป็นกำลังหลักในการรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมีกำลังทั้งในกรุงเทพฯ สนามเป้า เกียกกาย และสระบุรี
ขณะที่กองพันทหารม้ารถถังปฏิวัติ อย่าง ม.พัน 4 รอ. นั้น เป็น “ม้านอกกองพล” เพราะไปขึ้นตรงอยู่กับกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) มายาวนานแล้ว จนทำให้ พล.1 รอ. ได้รับฉายาว่าเป็น กองพลปฏิวัติ นั่นเอง
แต่ทว่า พล.1 รอ. ก็มีการปรับเปลี่ยน โดยที่ ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. กำลังรบหลัก ได้โอนย้ายไปเป็นกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ของ ทม.รอ.แล้ว
โดยที่ พล.1 รอ. และ พล.ม.2 รอ. ก็ขึ้นตรงกับแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ปัจจุบันคือ บิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ นายทหารสายวงศ์เทวัญ ที่คาดว่าจะขยับขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.อภิรัชต์ ตุลาคม 2563 พอดี
ยกเว้นในเวลานั้น ข้อเสนอของสภาปฏิรูปฯ ที่ให้ยืดอายุเกษียณราชการ จาก 60 เป็น 63 ปี จะผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ ที่จะทำให้ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณกันยายน 2565
แต่กระนั้นก็เชื่อกันว่า ไม่ว่าจะเกษียณราชการจาก ทบ.ในปีใดก็ตาม พล.อ.อภิรัชต์คงจะได้รับหน้าที่สำคัญทำงานต่อหลังจากนั้น แบบไม่มีวันเกษียณราชการ
ในการโยกย้ายทหารครั้งนี้ ยังคงมีข่าวสะพัดว่า จะมีนายทหารหลายคนที่ได้รับการเสนอชื่อจากองค์กร ให้ไปเป็น ส.ว. ทั้งที่ บก.กองทัพไทย ที่มีข่าวว่า บิ๊กเจอร์รี่ พล.อ.ดร.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม ผบ.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ที่กำลังจะเกษียณกันยายน 2562 นี้
แม้ว่า พล.อ.ธนเกียรติจะยังมีความสุขกับการทำงานในการช่วยเหลือประชาชน ในฐานะทหารพัฒนา นักรบสีน้ำเงิน อยู่ก็ตาม ทั้งการสร้างบ้านให้ชาวใต้ที่โดนพายุปาบึก และการส่งรถฉีดน้ำออกตระเวนทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาตลอด 3 สัปดาห์ และไปซ่อมสร้างบ้านให้ชาวมอร์แกน
ทั้งนี้ มีชื่อของทั้งบิ๊กกวาง พล.ท.สัณฑัศน์ นนทิภาคย์หิรัญ รอง ผบ.นทพ. และบิ๊กแขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล ผบ.สปท. เตรียมทหาร 21 เป็นแคนดิเดต ที่พร้อมเสียบเป็น ผบ.นทพ.แทน
ขณะที่ ทบ. ยังมีข่าวลือสะพัดว่า บิ๊กตู่ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผช.ผบ.ทบ. น้องรักของ พล.อ.ประวิตร และบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะลาออก เพื่อไปเป็น ส.ว. ทั้งๆ ที่ พล.อ.กู้เกียรติได้เคยยืนยันแล้วว่า ไม่เคยคิดเรื่องลาออก และยังมีอายุราชการถึงกันยายน 2563
แต่ก็ยังไม่อาจสยบข่าวลือได้ จนทำให้เกิดความหวังว่า จะมีการขยับในระดับ 5 เสือ ทบ.ใหม่ หากเก้าอี้ว่างลง
โดยเฉพาะกระแสข่าวที่จะดัน พล.ท.ณรงค์พันธ์ จากแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นมาเป็น 5 เสือ ทบ. เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ.ไว้เลย ทั้งๆ ที่ พล.อ.อภิรัชต์ยังไม่เกษียณราชการ เพราะ พล.ท.ณรงค์พันธ์สามารถขึ้นเป็นพลเอก 5 เสือ ทบ. ในการโยกย้ายตุลาคมนี้ได้ เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ.ได้ ไม่ต้องรีบ แต่กล่าวกันว่า อาจเป็นเรื่องนอกเหนือการตัดสินใจของบิ๊กแดง
ขณะที่ข่าวอีกกระแสคือ พล.อ.อภิรัชต์จะดันบิ๊กแก้ว พล.ท.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ รอง เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. หรือ เสธ.ทบ.คนใหม่ กลายเป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ ผบ.ทบ. เพราะมีความสนิทสนมกันอย่างมาก เพราะเป็นรุ่นน้อง ตท.21 ที่ พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่งเป็น ตท.20 สนิทสนมตั้งแต่สมัยเรียน
อีกทั้ง พล.ท.เฉลิมพลเป็นนายทหารม้าที่มีบทบาทสำคัญใน คสช.มาตลอด ตั้งแต่เป็น ผบ.พล.ม.2 รอ. และจนวันนี้ เป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ. 904 ช่วยงาน พล.อ.อภิรัชต์ ที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ. รวมทั้งได้เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลอาร์มี่ ยูไนเต็ด อีกด้วย
แต่หาก พล.อ.กู้เกียรติไม่ลาออก ก็คงต้องรอโยกย้ายใหญ่ปลายปี ในยุครัฐบาลใหม่เลย

ขณะที่กองทัพเรือนั้นมีรายงานว่า บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. จะดันบิ๊กแก๋ง พล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผบ.ทัพเรือภาคที่ 3 น้องรักที่ถูกโฉลกต้องชะตากัน ขึ้นเป็นพลเรือเอกในโผนี้ เพื่อครองอาวุโสไว้ชิงเก้าอี้ 5 ฉลามทัพเรือ ในโยกย้ายปลายปี
เพราะหากเป็นเช่นนั้น ย่อมสะท้อนว่า พล.ร.อ.ลือชัยเตรียมวางตัว พล.ร.ท.สิทธิพร แกนนำเตรียมทหาร 20 คนนี้ ไว้ชิงเก้าอี้ ผบ.ทร.คนใหม่ แทนตนเอง ที่จะเกษียณกันยายน 2563 ด้วยอีกคน
จากที่เดิม แม้จะมีบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน เสธ.ทร. เป็นแคนดิเดตอยู่ในห้าฉลาม ทร.อยู่แล้ว และเป็นแกนนำคนเก่งของเตรียมทหาร 20 รุ่นเดียวกับ พล.ร.ท.สิทธิพรด้วยก็ตาม
แต่ก็ถือว่า โผนี้จะเป็นโผโยกย้ายนายพลโผสุดท้ายของรัฐบาล คสช. โผสุดท้ายของ พล.อ.ประวิตรในฐานะ รมว.กลาโหม หลังจากที่จัดโผนายพลมา 9 โผ ตั้งแต่หลังรัฐประหารมา เพราะรัฐบาลใหม่ ที่ก็อาจเป็น พล.อ.ประยุทธ์อีกครา
จะเห็นได้ว่า สถานการณ์การเมือง และการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 นี้ ทำให้นายทหารเก่า ทหารแก่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารแตงโม ที่ใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งเครือญาติ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 และในเครือข่าย กระโดดลงสู่สนามการเมืองกันมากขึ้น ทั้งการเป็นสมาชิกพรรค และการลงเลือกตั้ง
เพราะเมื่อเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในนามของ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ จนถูกเรียกว่าเป็นพรรคทหาร พรรค คสช. มาสู้ศึกการเมือง เพื่อครองอำนาจต่อ โดยยกทีมเพื่อนเตรียมทหาร 12 มาช่วยงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยมีบิ๊กฉัตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เคียงข้าง
แถมยังมี พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ เป็นกำลังหลักสำคัญ
นายทหารเก่า ทหารแก่ ฝ่ายตรงข้าม ก็กระโดดลงสนามการเมืองกันอุตลุด จากที่ไม่เคยมีทีท่าว่าอยากจะเล่นการเมือง แต่ก็ตัดสินใจลงมาเพื่อสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์และพลพรรค
จนอาจกลายเป็นศึกสายเลือดเตรียมทหาร และสายเลือด จปร. ระหว่าง คสช.และทหารแตงโม
แม้แต่ “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม ที่โดนรัฐประหารปี 2549 ก็ยังมารับตำแหน่งประธานกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคพลังไทยรักไทย
แม้จะอายุ 80 แล้ว แต่ด้วยความเป็นนายทหารหน่วยข่าว และทำงานทั้งบนดินใต้ดินมาตลอดการรับราชการทหาร จึงทำให้ คสช.ต้องจับตามอง
รวมถึงอดีตนายทหารยังเติร์ก จปร.7 ที่มากประสบการณ์ทางการเมืองอย่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี วัย 82 ปี ที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และมีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์ด้วย
แม้แต่บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ และอดีต ผบ.ทบ. วัย 86 ปี ที่แม้ครั้งนี้จะไม่ได้ประกาศตัวว่าลงพรรคไหน และเคยมีคนเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ของพรรคเพื่อชาติก็ตาม แต่ พล.อ.ชวลิตก็ขอที่จะช่วยอยู่เบื้องหลัง
ขณะที่บิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ. ญาติผู้พี่ของอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น ก็รับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคพลังปวงชนไทย ที่ก็ถูกมองว่าเป็นพรรคในเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย
เพราะ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ตท.5 นั้น ยังมีเรื่องคาใจกับ พล.อ.ประวิตร รุ่นหลัง ตท.6 เมื่อครั้งที่นายทักษิณตอนเป็นนายกฯ สั่งเด้ง พล.อ.ชัยสิทธิ์จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร จาก ผช.ผบ.ทบ. ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็คิดว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์จะเป็น ผบ.ทบ. 2 ปียันเกษียณ
เพราะเป็นญาติผู้พี่ของนายกฯ ทักษิณในเวลานั้น ที่เคยทวีตแฉบิ๊กป้อม “เกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.” เมื่อไม่นานมานี้

ไม่แค่นั้น ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 ของนายทักษิณ เช่น บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต อดีต ผบ.พล.1 รอ. ที่โดนรัฐประหารปี 2549 จนลดบทบาทตัวเองมาตลอด จนยุค คสช. แต่ที่สุดก็เพิ่งมาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
ขณะที่บิ๊กติ๋ม พล.อ.อ.สมชาย เธียรอนันต์ เพื่อนซี้นายทักษิณ และใกล้ชิดบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ก็เงียบหายไปนาน แต่ที่สุดก็มาเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมกับ เสธ.ยอร์ช พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรอง ผบ.ทหารสูงสุด และเตรียมทหาร 16 ที่ผิดหวังกับกองทัพ
แต่ที่สุดก็ต้องยุติงานทางการเมือง ลาออก และกลับมาใช้ชีวิตของทหารเกษียณ และไปพักผ่อนที่ จ.เชียงรายบ้าง บ้านเกิดที่ฉะเชิงเทราบ้าง แต่ก็ยังไปร่วมงานของกองทัพบ้าง และยังไปช่วยงานฟุตบอลของธรรมศาสตร์ ในฐานะที่เคยเรียนปริญญาโท ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง
โดยเฉพาะ พล.ท.ดร.พงศกร รอดชมพู อดีตรองเลขาธิการ สมช. ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์เด้งเพราะมองว่าเป็นทหารแตงโม ที่ตอนนี้มาเป็นรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ประกาศตัวพร้อมที่จะเป็น รมว.กลาโหม
รวมทั้งบิ๊กแมว พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาฯ สมช. และแกนนำเตรียมทหาร 14 ก็เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและพร้อมทำงานด้านความมั่นคง
เหล่านี้คือบรรดาขุนพลฝ่ายทักษิณ ที่เปิดหน้าลงสนามการเมือง พร้อมที่จะสู้ศึกกับ “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” และนายทหารในสาย คสช. ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้
ไม่ว่าฝ่ายใดชนะในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คาดว่า อีกฝ่ายหนึ่งก็พร้อมเป็นฝ่ายตรงข้ามในทุกสนาม และพร้อมงัดทุกวิชาที่ร่ำเรียนและฝึกกันมา ต่อสู้กันเต็มที่
  นี่แหละที่กล่าวกันว่า การเมืองที่มีศึกสายเลือดทหารแฝงเร้นอยู่ด้วย ย่อมจะเป็นการเมืองที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก