PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

09.00 INDEX หมัดเด็ด คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เข้าปลายคาง “ประชาธิปัตย์”

09.00 INDEX หมัดเด็ด คำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เข้าปลายคาง “ประชาธิปัตย์”


คำปลอบประโลมอันมาจาก นายจุติ ไกรฤกษ์ ต่อสมาชิกพรรคกว่า 2.8 ล้านคนทั่วประเทศ ที่ว่า
“ไม่ต้องขวัญเสีย”
ไม่เพียงสะท้อนความรู้สึกในลักษณะ “รวบยอด”ต่อคำสั่งหัว หน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560 ได้เป็นอย่างดีว่าส่งแรงสะเทือนมากน้อยเพียงใดในทางการเมือง
หากแต่ยังยืนยันใน”ฐานคติ” อันแข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งที่สะสมมาอย่างยาวนานของพรรคประชาธิปัตย์
ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2489
ต้องยอมรับว่าพัฒนาการของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเติบใหญ่ มาท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองอันเข้มข้น
ทั้งต่อสู้”ภายใน” ทั้งต่อสู้”ภายนอก”

ความเจ็บปวดของพรรคประชาธิปัตย์ต่อสถานการณ์คำสั่งหัวหน้า
คสช.ฉบับที่ 53/2560 มาจากบางส่วน”ภายใน”พรรค
อย่างที่เคยระบุว่า มี”ผู้ทรยศ”ทำตัวเป็น”นกต่อ”
น่าเศร้าที่บุคคลผู้นั้นเคยดำรงตำแหน่งสำคัญภายในพรรค มี บทบาทเป็นอย่างสูงภายในพรรค

เล่นบทสนับสนุน “รัฐประหาร”
เล่นบทเป็น”ลูกแหล่ง ตีนมือ”ให้กับขบวนการรัฐประหารกระทั่งนำไปสู่ข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพรป.ว่าด้วยพรรค การเมือง
ในนามแห่ง”ความเสมอภาค”ระหว่างพรรคการเมืองเก่ากับ พรรคการเมืองใหม่
และคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53 คือ “นวัตกรรม”

นี่คือจุดที่สร้างความสะเทือนใจให้กับแกนนำและสมาชิกพรรค
ประชาธิปัตย์ได้ลึกซึ้ง กว้างขวางที่สุด สร้างสภาวะ”นะจังงัง”ในทางการเมือง
ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดาแกนนำที่เคยมีบทบาทของ”กปปส.” ที่หวนคืนสู่พรรคประชาธิปัตย์จะตกอยู่ในสภาพ หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก
เพราะทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพิมพ์เขียวแห่งการเคลื่อนไหว”ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”ในห้วงแห่งปฏิบัติการ”ชัตดาวน์”กทม.
คำถามอยู่ที่ว่า”ภายใน”พรรคประชาธิปัตย์จะ”ตื่นรู้”หรือไม่

แผนรุก การเมือง คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 แผน มัดตราสัง

แผนรุก การเมือง คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 แผน มัดตราสัง

หลังคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 57/2557 ก็ต้องถือว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560 เป็นมาตรการ “รุก” ทางการเมืองอีกก้าวใหญ่
เมื่อปี 2557 ห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว
ในปี 2560 เป้าหมายคือ มัดตราสังพรรคการเมือง “เก่า” และเปิดทางสะดวกให้กับพรรคการเมือง “ใหม่”
ยิ้มเห็นแก้ม แย้มเห็นไรฟัน
จากข้อเสนอของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประสานกับข้อเสนอของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป สัมผัสได้ผ่านคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560
เสียงร้องจาก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เสียงร้องจาก นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เสียงร้องจาก นายชัยเกษม นิติสิริ ชัด
รวมศูนย์ไปยัง “รีเซต” เพื่อ “เซต ซีโร่”
ประติมากรรมอันมาจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560 เท่ากับเป็นการรุกเข้าไปยัง “กล่องดวงใจ” ของพรรคการเมือง
ที่ว่า 2.8 ล้านพรรคประชาธิปัตย์-แหลก
ทั้งๆ ที่เป็นการสะสมปริมาณมาจากเดือนเมษายน 2489 ผ่านร้อนหนาวทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ไม่ว่ายุค จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ไม่ว่ายุค จอมพลถนอม กิตติขจร
มาพังครืนก็ในยุค “คสช.”
ความเคียดแค้นอันปรากฏผ่านวาทกรรมว่าด้วยบทบาทของ “ลุง” บางคนที่เป็นนกต่อให้กับพรรคทหารจากภายในพรรคประชาธิปัตย์
ถือได้ว่าเป็น “แค้น” อันมี “เป้า”
หากไม่ได้รับการปรึกษาอย่างใกล้ชิดจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยากยิ่ง
ที่จะสามารถสร้างประติมากรรมได้

ในระดับคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560
ไผเป็นไผ แทบไม่ต้องบรรยาย
จากนี้จึงเห็นได้ว่าสถานการณ์นับแต่ก่อนเดือนกันยายน 2549 ต่อเนื่องมายังสถานการณ์ก่อนเดือนพฤษภาคม 2557 มีความสัมพันธ์และต่อเนื่องกัน
บทสรุปที่ว่ารัฐประหาร “เสียของ” นั้นน้ำหนักอยู่ตรงไหน
แท้จริงแล้ว การพยายามรวมศูนย์ความเคียดแค้นชิงชังไปยังพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และ ณ วันนี้คือพรรคเพื่อไทย
อาจสะท้อนนัยยะอะไรได้หลายอย่างในทางการเมือง
มาถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เป้าหมายนี้มิได้เปลี่ยน แต่เมื่อโยงคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 57/2557 กับคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560 เข้าด้วยกัน
ก็จะเผยการขยาย “เป้าหมาย” ที่ใหญ่ขึ้น
มิได้จำกัดแต่เพียงพรรคเพื่อไทยอีกต่อไปแล้ว แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา หรือพรรคการเมืองเก่าอย่างพรรคภูมิใจไทยก็โดน
หากไม่ทำตัวน่ารักเหมือนนักการเมือง “บางคน”
ผลจากคำสั่งนี้จะก่อให้เกิดการแปรเปลี่ยนในทางความคิดและในเชิงการวิเคราะห์หรือไม่ อีกไม่นานย่อมได้คำตอบ
นับวันกระบวนการในทางการเมืองยิ่งเพิ่มความสลับซับซ้อน เพราะความต้องการก็คือการต่อท่อแห่งอำนาจ การดำรงจุดมุ่งหมายนี้จึงสำคัญ
สำคัญต่อพัฒนาการในทางการเมือง
สำคัญต่อแต่ละ “มาตรการ” ที่ออกมาเพื่อทำหมันและมัดตราสังพรรคการเมืองเก่า พรรคการเมืองใหญ่ ให้ค่อยๆ หมดฤทธิ์หมดเดชลง
ทุกอย่างล้วน “ปฏิรูป” ก่อน “เลือกตั้ง”

เปล่าหมกเม็ดคลายล็อคการเมือง

คสช.ปัด หมกเม็ด ในคำสั่ง "คลายล็อค"พรรคการเมือง กำหนด4 เงื่อนไขเวลาควบคู่โรดแมพ ไปสู่การเลือกตั้ง / ยันมีเจตนาให้ประชาชน ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ในกระบวนการอย่างแท้จริง  จี้นักการเมือง-พรรคการเมือง หากจะก้าว ไปสู่สิ่งที่โปร่งใส น่าจะยอมรับได้/แจง การบริจาคเงิน หากอ้างว่าทำให้เกิดความยุ่งยาก อาจจะทำให้ สังคมผิดหวัง / แนะประชาชน อ่านคำสั่งเอง ในราชกิจจาฯ

พลตรี ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช.กล่าวว่า ตามที่คสช.ได้มีคำสั่งที่ 53/ 2560 เรื่องการดำเนินการ ตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2560 นั้น 
 
สำหรับสาระสำคัญ ของคำสั่งนีั ระบุถึงการผ่อนคลายการดำเนินกิจกรรม ให้พรรคการเมือง ทั้งพรรคเดิมและพรรคที่จะจัดตั้งใหม่ แบ่งเป็น 4 ห้วงระยะเวลา กล่าวคือ 
  1 ตั้งแต่ ออกคำสั่งฉบับนี้ จนถึง 1มี.ค.2561
  2 ตั้งแต่ 1 มี.ค.2561 จนถึง 1 เม.ย.2561
  3 ตั้งแต่ 1 เม.ย.2561 จะเป็นการปลดล้อคใหญ่ 
  4 การปลดล้อค ด้วยการยกเลิกคำสั่งและประกาศ คสช.ฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งโดยเสรี 
  
อย่างไรก็ตามกิจกรรม หรือกระบวนการต่างๆ ในแต่ละห้วงเวลา เช่น การจัดทำทะเบียน การตรวจสอบสมาชิกใหม่ การแสดงตน 

รวมถึงการบริจาคเงิน อาจมีบุคคลหลายกลุ่ม หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ทั้งในการแสดงตัวตน แสดงการบริจาคเงินให้ชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนส่วนหนึ่งก็ไม่ได้บริจาคเงิน ไม่ได้แสดงตนด้วยตัวเองในเมื่อนักการเมืองต้องการจะช่วยปฏิรูปประชาธิปไตยทำให้เกิดความโปร่งใสจริง ก็น่าจะยอมรับได้ หากอ้างว่าทำให้เกิดความยุ่งยาก อาจจะทำให้ สังคมผิดหวัง

ทั้งนี้ คสช.มีเจตนาเพื่อให้ประชาชน ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม ในกระบวนการอย่างแท้จริง และเมื่อ อดีตนักการเมืองและพรรคการเมือง มีความมุ่งหวัง ที่จะร่วมกันก้าว ไปสู่สิ่งที่โปร่งใส น่าจะยอมรับได้ 
   
ทั้งนี้ก่อนที่จะมีคำสั่งนี้ คสช.ได้รับคำร้อง การให้ความเห็น การเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นไปได้ การพิจารณาข้อกฏหมาย และผลกระทบต่างๆ  

รวมทั้งการประเมินสถานการณ์ และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ รวมทั้งนโยบายต่างๆ อย่างรอบด้าน ควบคู่ไปกับ โรดแมปที่นำไปสู่การเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องกำหนด เงื่อนไขเวลา ขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ ความมั่นคงของประเทศ ให้เกิดเสถียรภาพ มากที่สุด จึงจำเป็นต้องออกคำสั่งดังกล่าว

 ทั้งนี้คำสั่งดังกล่าว ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายสามารถ อ่านรายละเอียดได้

4 ปี อำนาจพิเศษ “ควบแน่น” สถานการณ์มั่นคง : เคาต์ดาวน์ปีใหม่ ท้าทายจุดแข็งคสช.

4 ปี อำนาจพิเศษ “ควบแน่น” สถานการณ์มั่นคง : เคาต์ดาวน์ปีใหม่ ท้าทายจุดแข็งคสช.


4 ปี อำนาจพิเศษ “ควบแน่น” สถานการณ์มั่นคง

สัปดาห์สุดท้าย นับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

อารมณ์ร่วมของคนทั่วทุกมุมโลกต่างมุ่งไปที่การเฉลิมฉลอง บรรยากาศอยู่ในโหมดที่ประชาชนชาวไทยเตรียมโปรแกรมท่องเที่ยว เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว

จดจ่อกับห้วงวันหยุดยาว แทบไม่มีสมาธิสนใจเรื่องอื่นกันแล้ว

ตามแนวโน้มที่รัฐบาลก็เดินหน้าแจกของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน มติ ครม.สัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมฯได้เสนอมาตรการให้เงินเด็กแรกเกิด 1,000 บาท จังหวัด ละ 65 คน รวม 77 จังหวัด รวม 5,005 คน และช่วยผู้มีรายได้น้อยซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน 2561 หลัง กระทรวงมหาดไทยสั่งลดดอกเบี้ยโรงรับจำนำในสังกัด

ขณะที่บรรดารัฐมนตรี ถือโอกาสมอบของขวัญปีใหม่ซึ่งกันและกัน
โดย “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้อวยพรปีใหม่ ขอให้เป็นปีที่คนไทยทุกคนมีความหวัง มีส่วนร่วมในอนาคตซึ่งกันและกัน ถือเป็นความหนึ่งเดียวของคนไทยของประเทศ ถือเป็นเป้าหมายหลักของคนไทยทุกคน เพื่อความสุขที่ยั่งยืน ขอให้ทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ มีเงินทองที่พอเหมาะพอควร มีความเหมาะสมในการดำรงชีวิต

สิ่งที่รัฐบาลคาดหวัง และเชื่อว่าเป็นความคาดหวังของประชาชนทั้งประเทศเช่นกัน ในส่วนของคนรวยก็ต้องทำดีเพื่อสังคมให้มากขึ้น เสียสละให้มากขึ้น การประกอบการธุรกิจก็ขอให้คำนึงผู้มีรายได้น้อยด้วย ควรจะมีส่วนแบ่งในรายได้จำนวนเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นการลงทุนโดยเสรีจะไปบังคับกันไม่ได้
แฝงนัยของปม “รวยกระจุก จนกระจาย”

โจทย์ยากเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องแก้ให้ตกในปีหน้า

ในโอกาสนี้ ทีมของเราจึงขอใช้เวทีวิเคราะห์การเมืองหน้า 3 ประจำวันอาทิตย์ฉบับสุดท้ายของปี 2560 อวยพรปีใหม่ให้ผู้อ่านและประชาชนคนไทยทุกคน

มีความสุขสมหวัง สุขภาพแข็งแรง แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง

และขอแสดงความห่วงใยจากใจจริงกับผู้ใช้รถใช้ถนนในการสัญจรช่วงเทศกาลนี้ ขอโปรดได้ระมัดระวังตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพื่อจะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ

ไม่ให้เกิดความสูญเสียในเทศกาลแห่งความสุข

โดยเฉพาะกับการที่รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน ได้ผ่อนผันให้ประชาชนสามารถนั่งท้ายรถกระบะกลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยห้ามนั่งขอบกระบะ และต้องไม่ดื่มสุรา

เจ้าหน้าที่ลดความเข้มงวด เปิดทางอำนวยความสะดวกให้เต็มที่

นั่นก็ยิ่งเป็นอะไรที่ประชาชนคนไทยเองจะยิ่งต้องเพิ่มความระมัด ระวังไปอีกขั้น ในการดูแลสวัสดิภาพของตัวเอง ครอบครัวและคนใกล้ชิดให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ปล่อย แค่ไหน ก็สุดเหวี่ยงกันเท่านั้น

พึงระลึกไว้ว่า ถ้าพลาด มันจะไม่มีโอกาส แก้ตัว อาจเป็นปีสุดท้ายที่ได้ฉลองปีใหม่

และก็ซาลงไปโดยอัตโนมัติ ในบรรยากาศทางการเมืองที่ลดโทนความร้อนแรง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นตัวหลักๆโดยเฉพาะในส่วนของรัฐบาลได้พักหายใจหายคอ

หลังโดน “ล่อเป้า” หนักจนชักออกอาการยุบเหมือนกัน

ตามเงื่อนสถานการณ์ที่นักการเมืองอาชีพขยับกลับมาแผลงฤทธิ์เดช โชว์ลูกเขี้ยว ทั้งขู่ ทั้งตื๊อ

กดดันให้ปลดล็อกการเมืองวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

ที่สุดเลยก็ทนรำคาญไม่ไหว ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการขยายเวลาที่บังคับไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ให้พรรคการเมืองต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีสมาชิกภายใน 90 วันออกไป
เจาะช่องระบาย ผ่อนคลายแรงกดดัน

เพราะไม่ใช่แค่นักการเมืองที่เขย่าให้ปลดล็อกรายวัน แต่มันยังมีพวกร้อนวิชา เครือข่ายฝ่ายเดียวกันเองที่ออกมาจุดพลุเสนอสารพัดสูตรว่าด้วยการจัดระเบียบป้อมค่ายการเมือง ทั้งเรื่องของการรีเซ็ต เซ็ตซีโร่พรรค การเมือง รายการชงเรื่องส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ฯลฯ

เริ่มฟุ้งกระจัดกระจาย ปล่อยของกันมั่วไปหมด

“บิ๊กตู่” เลยต้องงัดกระบองยักษ์มาตรา 44 สยบแรงกระเพื่อม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ยังแปลความว่า “ปลดล็อก” การเมืองไม่ได้ ตามเงื่อนไขก็แค่แง้มๆประตูให้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอัพเดตสมาชิกเท่านั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นไฟเขียวให้ทำกิจกรรมได้อย่างเสรีแต่อย่างใด
หัวหน้า คสช.ยังกั๊กเหลี่ยม เล่นเอาล่อเอาเถิดกับนักการเมือง

เรื่องเกมการเมืองทหารไม่ถนัด ไม่เล่นเกมเสี่ยง แต่ก็ไม่ยอมหงายไพ่หมดเหมือนกัน

เพราะยังไงก็ถือดาบมาตรา 44 ไว้ในมือ คับขันจวนตัวงัดออกมาใช้ได้ตลอดเวลา

เรื่องของเรื่อง ในห้วงสถานการณ์รอบปี 2560 ก่อนเข้าสู่ช่วงปี 4 ท้ายเทอม ตามสภาพการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาล คสช.เริ่มตกอยู่ในสภาวะ “เปราะบาง” ต่อแรงกระแทก

“เศรษฐกิจ” ก็สะดุ้งตามลมปากนักการเมืองที่ตีปี๊บปลุกอารมณ์ชาวบ้าน ย้ำปมปัญหาปากท้อง

“การเมือง” ก็ต้องผวากับเกมเขี้ยวนักเลือกตั้งอาชีพปลุกกระแสทหารสืบทอดอำนาจ

จุดแข็งที่เหลืออยู่ของรัฐบาลท็อปบูตก็แค่ “ความมั่นคง”

และแน่นอน มันคงจะต้องถูกยกเป็นเงื่อนไขหลักในการพิสูจน์ศักยภาพ ในห้วงสถานการณ์ไฮไลต์ เทศกาลแห่งความสุขของประชาชนชาวไทย

“เคาต์ดาวน์” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ตามรูปการณ์แบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เบอร์หนึ่งคุมงานความมั่นคง ได้เรียกประชุมหน่วยความมั่นคง พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เตรียมข้อมูลสำหรับกำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชน

เตรียมการกันตั้งแต่เนิ่นๆ ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเลย

นั่นก็น่าจะประเมินสถานการณ์แล้ว ช่วงเทศกาลแห่งความสุข คือห้วงเวลาที่ล่อแหลม ท้าทาย
พวกจ้องก่อเหตุมักจะเลือกปฏิบัติการชั่ว

ในห้วงที่ผู้คนกำลังมีความสุข เป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอาจเผลอหรือลดระดับการเฝ้าจับตา

อย่างที่เห็นเป็นปรากฏการณ์มาหลายครั้ง ในอดีตก็มีเหตุร้ายที่เกิดช่วงเทศกาลสำคัญ

ยิ่งในสถานการณ์ทั่วทุกมุมโลกกำลังเผชิญภัยก่อการร้าย ประเทศไทยยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกหลายเท่า เพราะเรามีหัวเชื้อทั้งภายในและภายนอก

โอกาสความน่าจะเป็นมันย่อมสูงตามสภาพการณ์

อะไรก็ไม่เท่ากับเงื่อนไขสถานการณ์รัฐบาลทหาร คสช.คุมเกมบริหารอำนาจผ่านมา 3 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ย่อมหนีไม่พ้นการบ่มเพาะศัตรู คู่แค้น

สร้างความเกลียดชังให้พวกที่สูญเสียผลประโยชน์

โจทก์จ้อง “เอาคืน” รอดิสเครดิตเพียบ

และถึงตรงนี้ก็ไม่แยกฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายเดียวกันเองที่จ้องเตะตัดขาเจาะยาง

เพราะมันนัวเนียมั่วไปหมด
สรุปเลยว่า มันคือบททดสอบสถานการณ์ควบแน่นความมั่นคงของ “3 พี่น้อง” ค่ายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
ที่คุมเกมอำนาจบริหารประเทศมาจนย่างเข้าปีที่ 4

ท่ามกลางความเปราะบางทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ที่โดนแรงกระแทกแล้วสะดุ้ง

ขืนปล่อยตูมตามช่วงปีใหม่ “ตบหน้า” คสช. ทำลายจุดแข็งความมั่นคง

สถานการณ์หลังปีใหม่คงดูไม่จืด.
“ทีมการเมือง”

เข้าทางยื้อ “ปลดล็อก”

เข้าทางยื้อ “ปลดล็อก”


ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนเป็นฝ่ายถอย

ตามสถานการณ์ที่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขอถอนปมร้อนมาตรา 37/1
ว่าด้วยการให้อำนาจ ป.ป.ช.เข้าถึงข้อมูลด้วยการดักฟังโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก ของนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนในคดีทุจริต และร่ำรวย ผิดปกติ

หลังจากถูก กมธ.เสียงข้างน้อยผนึกกำลังกับสมาชิก สนช.หลายคน ฮึดสู้ไม่ยอมรับความเห็นของฝ่าย กมธ. เสียงข้างมากที่ยืนกรานอยากได้อำนาจการดักฟังเป็นเครื่องมือปราบโกง

เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน

ในอารมณ์ที่ สนช.หลายคนแอบระแวงอยู่ลึกๆเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามมาตรการดังกล่าวที่อาจย้อนศรกลับมาเป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ตัวเองในอนาคต หากวงจรอำนาจเปลี่ยนมือ

เผยให้เห็นร่องรอยภายในขั้ว สนช.ที่ชักมีอาการแข็งข้อ ไม่ไปทางเดียวกัน เมินการสนองตอบแนวทางของเสียงข้างมากที่เป็นทีมงานของบิ๊ก คสช.

เร้าไปกับบรรยากาศการเมืองมีท่าทีออกรสออกชาติมากขึ้น ภายหลังจากที่มวยรุ่นใหญ่อย่าง “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมผสมโรงเร่งอุณหภูมิการเมือง

กระตุก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้หยุดบ่น เลิกด่า หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนัก เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเร็ว

รุ่นพี่ส่งสัญญาณเตือนรุ่นน้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ก่อนที่ชาวบ้านกำลังจะอดตาย กันหมด

พุ่งเป้าเล่นงานจุดอ่อนรัฐบาลทหารเรื่องฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

จากหลักฐานที่เห็นได้ชัดๆตัวเลขหนี้สินครัวเรือนและหนี้สินนอกระบบที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ
(สสช.)สำรวจพบครัวเรือนไทยมีหนี้สินในระบบและนอกระบบเพิ่มขึ้นจาก 3.7% เป็น 4.6% มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 177,128 บาท

ในทางตรงข้ามกลับมีเงินออมลดลง โดยปัญหาที่ชาวบ้านอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนยังคงเหมือนเดิมคือ การควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้มีราคาแพง

โจทย์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจยังเป็นด่านหินที่ท็อปบูตต้องเร่งเครื่องกันอีกยกใหญ่

ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจรุมเร้ากดดันผู้นำ คสช.มากขึ้น ในยามที่เรตติ้งของ “บิ๊กตู่” เริ่มสั่นคลอน ไม่มีหน้าตักแน่นหนาเหมือนเก่า เครือข่ายที่เคยสนับสนุนไม่แน่นแฟ้นเหมือนเก่า

อย่างที่เห็นอาการของทีมนกหวีด นายอิสสระ สมชัย อดีต ส.ส.ประชาธิปไตย และแกนนำ กปปส.หวดใส่รัฐบาล “ลุงตู่” บริหารงานมาจะ 4 ปี การปฏิรูปประเทศไม่ดีขึ้น มีแต่อุ้มคนรวยไม่ช่วยคนจน

ประกาศตรงๆต่อหน้า เชียร์ต่อไปไม่ไหวแล้ว สะกิดแรงๆให้เลิกกระเตงพวกพ้องที่ไม่ดี

มิตรชั้นดีอย่าง กปปส.มีท่าทีเปลี่ยนไป ไม่ลงรอยกันมากขึ้น ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกคู่ปรับจากค่ายการเมืองต่างๆที่ผูกปีห้ำหั่นกันมาตลอด

แนวโน้มความคุกรุ่นไต่ระดับขึ้นตามลำดับ ล่าสุด “จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำกลุ่มสตาร์ตอัพพีเพิล ยื่นหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. จี้ สนช.เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและ คสช.

เพื่อเคลียร์ความโปร่งใสในการทำงาน อาทิ ปมการละเมิดสิทธิมนุษยชน จับกุมประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และปัญหาการทุจริตในบรรดาพวกพ้อง

ขีดเส้นให้เปิดซักฟอกใน 30 วัน หากภายใน 3 สัปดาห์แรกของเดือน ม.ค.2561 ไม่ดำเนินการ กลุ่มประชาชนจะเปิดเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเองทั้งประเทศ

แหย่หนวดเสือ ตั้งท่าปลุกระดมมวลชนต่อต้านอำนาจพิเศษ

ต้อนรับฉากที่ “บิ๊กตู่” เพิ่งลงนามคำสั่งมาตรา 44 คลายล็อกบางส่วนให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางธุรการได้ตามกรอบเวลาที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด

สุมหัวเชื้อรอระหว่างทาง ร่วมเร้าอุณหภูมิการเมืองก่อนไปถึงสนามเลือกตั้งปลายปีหน้า

แต่เต็มที่คงทำได้แค่เพียงเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ ดิสเครดิตให้ คสช.เกิดความรำคาญเท่านั้น
คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่อำนาจพิเศษจะสยบอาการแตกแถวได้

แต่ที่ดูน่าเป็นห่วงคือ ฝ่ายนักเลือกตั้งที่มีแต่เสียกับเสีย หากเงื่อนไขสถานการณ์บ้านเมืองยังวุ่นวายไม่สงบ

ยิ่งกวนน้ำให้ขุ่นมากเท่าไร โอกาสปลดล็อกการเมืองก็ยิ่งริบหรี่.

ทีมข่าวการเมือง