PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปชป.เลือก"อภิสิทธิ์"เป็นหัวหน้าพรรค สมัยที่4

(17ธ.ค.56) ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประกาศผลการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวม 98.06 % ถือว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกครั้งเป็นสมัยที่4

ส่วน ผลการเลือกตั้งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (10 ตำแหน่ง)ประกอบด้วย

1.นายเกียรติ สิทธีอมร (ฝ่ายเศรษฐกิจ)
2.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (ฝ่ายนโยบาย)
3.นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ (ฝ่ายการเมือง)
4.ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร (ฝ่ายท้องถิ่น)
5.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน (ฝ่ายยุทธศาสตร์)
6.นายอัศวิน วิภูศิริ (ภาคเหนือ)
7.ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช (ภาคอีสาน)
8.นายสาธิต ปิตุเตชะ (ภาคกลาง)
9.นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ (ภาคใต้)
10.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ (กรุงเทพมหานคร)



แถลงข่าว ศอรส.17/12/56

สรุปประเด็นแถลงข่าว ของทีม โฆษก ตร.ประจำวันที่ 17 ธ.ค.2556 เวลา 13.00น.
ผู้แถลง คือ
1.พล.ต.ต.ปิยะ. อุทาโย โฆษก ตร.
2.พล.ต.ต.อนุชา รมยะนันทน์ รองโฆษก ตร.
3. พ.ต.อ.หญิงวิชญ์ชยากร ณิชาบวร รองโฆษก ตร.
4.พ.ต.ท.กฤษณะ พัฒนเจริญ. รองโฆษก ตร.(ต่างประเทศ)
5.พ.ต.ท.หญิง แพทย์หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล รองโฆษก ตร.

พลตำรวจตรี ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวถึงผลการบริหารประจำสัปดาห์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในที่ประชุม พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ฝากขอบคุณไปยังทุกหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ที่มีส่วนช่วยเหลือในการดูแลความสงบเรียบร้อยจากการชุมนุมทั่วประเทศในการประคับประคองให้สถานการณ์เป็นไปด้วยดี ซึ่งสถานการณ์จะยังคงตัวแบบนี้ไปสักระยะหนึ่ง พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และมองผู้ชุมนุมทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน นอกจากนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นย้ำภารกิจ 4 ประการ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายจะต้องเร่งดำเนินการภายในเดือนนี้ คือ 1. การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่พี่น้องประชาชนทุกคน รวมถึงธนาคาร ร้านทอง ร้านสะดวกซื้อ 2. การดูแลป้องกันอาชญากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ และการจราจรช่วงเทศกาลปีใหม่ 3. การเตรียมความพร้อมที่จะดูแลและอำนวยความสะดวกการเลือกตั้ง ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ พลตำรวจโท อำนาจ อันอาตม์งาม ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติประชุมร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 4. การเน้นพัฒนาบุคลากรและสร้างขวัญกำลังใจ โดยให้ปรับปรุงวัสดุอุปกรร์ในการทำงาน การอบรมบุคลากรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พลตำรวจตรี ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ในที่ประชุมบริหารประจำสัปดาห์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในที่ประชุมได้วางมาตรการในการป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ ซึ่งสถิติการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 ที่ผ่านมา พบว่า ในช่วง 7 วันอันตราย ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2555 – วันที่ 2 มกราคม 2556 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งสิ้น 3,176 ครั้ง ซึ่งเพิ่มจากปีใหม่ 2555 จำนวน 83 ครั้ง โดยจังหวัดเชียงใหม่มีสถิติเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด 141 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุดคือ นครปฐม จำนวน 18 ราย ยานพาหนะที่เกิดอุบัติสูงที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ สาเหตุการเกิดอุบัติมากที่สุดคือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด และยานพาหนะไม่ปลอดภัยหรือไม่สวมหมวกนิรภัย ตามลำดับ โดยเกิดอุบัติเหตุตามถนนที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอกับอำเภอ หรือจังหวัดกับจังหวัด มากที่สุด ร้อยละ 62.59 ขณะที่เกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงเพียงร้อยละ 37.41 และช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือช่วง 16.00 – 20.00 น. ร้อยละ 30.64 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ จะได้นำข้อมูลสถิติเหล่านี้ ประกอบการพิจารณาในการวางแผนป้องกัน โดยในปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้สโลแกนในการรรงค์ป้องกันอุบัติเหตุว่า “ปีใหม่สัญจรปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุ” ซึ่งในช่วงวันที่ 1-30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาเป็นการเตรียมความพร้อมสำรวจอุปกรณ์ต่างๆ และในช่วงวันที่ 1-26 ธันวาคม จะเป็นช่วงการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันและลดอุบัติเหตุ โดยเน้นเรื่องการขับขี่ การดูแลรถ การประสานงานกับหน่วยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลเส้นทาง และช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2556 – 2 มกราคม 2557 จะมีการใช้มาตรการต่างๆ การอำนวยความสะดวกการจราจร การบังคับใช้กฎหมาย และการเข้มงวดเรื่องการดื่มสุรา

ะเปิดเผยว่า สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทย สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ การเมา ซึ่งนำมาสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ตลอดจนเพื่อนร่วมทาง โดยขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจทุกจุดทุกที่ หากพบว่ามีปริมาณแอลกอฮล์สูงเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะมีโทษตามกฎหมาย ซึ่งหากดื่มเบียร์ไม่เกิน 1 กระป๋อง ปริมาณแอลกอฮล์ที่ตรวจพบจะไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ พร้อมฝากเตือนประชาชนว่า หากจะต้องขับรถควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด นอกจากนี้การที่มีผู้โดยสารในรถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮล์ ก็ถือว่าผิดกฎหมายเช่นกัน พร้อมฝากประชาชนหากพบเห็นการดื่มสุราแล้วขับรถยนต์ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการตั้งจุดตรวจเป็นระยะๆ ในช่วง 7 วันอันตราย เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน จากการเมาแล้วขับและการขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด หากพี่น้องประชาชนท่านใดมีปัญหาจากการเดินทางสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดตรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน

พลตำรวจตรี อนุชา รมยะนันทน์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลเรื่องการอำนวยความสะดวกการจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนนแล้ว ตำรวจยังมีหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง คือ มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดมาตรการการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไว้ 2 มาตรการด้วยกัน ประกอบด้วย 1. ให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรม 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 20 – 26 ธันวาคม 2556 โดยมีเป้าหมายในการดำเนินการ ในเรื่องคดีชีวิต ร่างกาย และเพศ การประทุษร้ายต่อทรัพย์ อาวุธปืน อาวุธสงคราม ยาเสพติด และบุคคลตามหมายจับ โดยเน้นสถานีขนส่ง ที่พักผู้โดยสาร หรือสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ พื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวสถานบริการและแหล่งอบายมุขต่างๆ รวมถึงทางสาธารณะที่มีการแข่งรถ โดยจะใช้วิธีการปฏิบัติปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด รวมถึงการถ่ายรูปทำประวัติบุคคลกลุ่มเสี่ยง การขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านค้า รวมถึงโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ ซึ่งจะดำเนินการในวันที่ 25 ธันวาคม 2556 – 2 มกราคม 2557 และอีกมาตรการคือ การป้องกันการก่อความไม่สงบในพื้นที่ โดยจะเพิ่มความเข้มในการป้องกันความปลอดภัยการจัดงานที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ การดำเนินการข่าวเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีและมือที่สาม นอกจากนี้ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะได้ตรวจสอบบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจะได้สนับสนุนทีมชุดตรวจพิสูจน์เก็บกู้วัตถุระเบิด รวมถึงสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ได้เตรียมชุดเก็บรวบรวมหลักฐานเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ โดยการดำเนินการทั้งสองมาตรการ ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม จะเป็นผู้รับผิดชอบ และจะมีการรายงานผลในวันที่ 3 มกราคม 2557 สำหรับปีนี้จุดที่จะจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร คือ บริเวณเซ็นทรัลเวิร์ลด์ เอเชียธีค ส่วนภูมิภาคจะมีที่ พัทยา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ภูเก็ต สงขลา โดยทางตำรวจจได้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกัน ระงับยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ ได้แก่ การป้องกันการประทุษร้ายต่อทรัพย์ การป้องกันอุบุติภัยจากพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง การรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน และเครื่องดื่มแอลกอฮล์

พันตำรวจเอกหญิง วิชญ์ชยากร ณิชาบวร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการประชุมบริหารประจำสัปดาห์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึงประเด็น คดีคนร้ายฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 6 ขวบ ซึ่งตอนนี้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว โดยจากคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ให้การว่าเคยก่อเหตุไว้หลายสถานที่ โดยผู้บังคับบัญชาสายป้องกันและปราบปรามทั้ง พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจเอก จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษาสัญญาบัตร10 ได้ให้ความสำคัญกับคดีดังกล่าว พร้อมสั่งการให้ทุกพื้นที่ ที่เกี่ยวเนื่องกับคำรับสารภาพให้ไปขยายผลของทุกคดี ที่เกี่ยวเนื่องกัน นอกจากนี้ พลตำรวจเอก จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษาสัญญาบัตร10 ในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารคนหาย หรือ ศปคน. ชี้แจงว่า แม้ว่าทางกฎหมายจะให้รับแจ้งคนหายภายใน 24 ชั่วโมง แต่ขอให้ทุกสถานีตำรวจให้ความสนใจกับเรื่องนี้ รับแจ้งความทุกราย และไปดำเนินการเร่งรีบ สืบสวน หาข่าวเรื่องคนหายทันที นอกจากนี้ศูนย์บริหารคนหาย หรือ ศปคน. ได้เปิดเลขสายด่วน 1599 เพื่อรับแจ้งการพบศพนิรนาม หรือบุคคลสูญหาย

พลตำรวจตรี ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเช้านี้ ในที่ประชุมบริหารประจำสัปดาห์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความพร้อมของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในการดูแลอำนวยความสะดวกในกรณีที่จะมีการรับสมัครการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป รวมถึงความพร้อมด้านต่างๆ การดูแลการหาเสียง รวมถึงการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งจากที่มีข่าวทางสื่อมวลชนบางสำนักเสนอข่าวไปว่า ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เสนอว่า เนื่องจากยังคงมีการชุมนุมอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ จะเลื่อนการเลือกตั้ง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด


“นิวยอร์กไทม์ส” วิเคราะห์ตื้นบอก "ไทย" ประท้วงแปลก! “ต่อต้านประชาธิปไตย”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์17 ธันวาคม 2556 15:56 น.
“นิวยอร์กไทม์ส” วิเคราะห์ตื้นบอก ไทย ประท้วงแปลก!  “ต่อต้านประชาธิปไตย”
       นิวยอร์กไทม์ส – หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ส ซึ่งเป็นสื่อชั้นนำของสหรัฐฯ เผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมในไทยวานนี้(16) โดยข้อสังเกตว่า กรณีของไทยนั้นผิดแปลกจากการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาหรับสปริงในตะวันออกกลาง, การปฏิวัติผ้าเหลืองในพม่า หรือการปฏิวัติสีส้มในยูเครน เพราะผู้ประท้วงไทยนั้นต้องการให้ประเทศ “ลด” ความเป็นประชาธิปไตยลงจากเดิม
     
       กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งปักหลักอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต้องการให้ระบบรัฐสภาถูกแทนที่ด้วย “สภาประชาชน” ซึ่งเป็นการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากสาขาอาชีพเข้ามาทำหน้าที่ โดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งทั่วไป
     
       อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์นี้ละเลยที่จะอธิบายต่อว่า สภาประชาชนจะทำหน้าที่เพียงชั่วคราว เพื่อจัดทำแนวทางการปฏิรูปประเทศ แล้วค่อยจัดการเลือกตั้ง
     
       นิวยอร์กไทมส์ ระบุอีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภาและกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์เพื่อสลายความขัดแย้ง แต่ทางออกดังกล่าวก็ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของผู้ชุมนุม
     
       “ผมเป็นประชาชนคนหนึ่งที่จะไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งสละตำแหน่งทางการเมืองเพื่อมาทำหน้าที่แกนนำขับไล่รัฐบาล กล่าวต่อกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว(12) พร้อมยอมรับว่า การประท้วงที่ยืดเยื้อ “อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจบ้าง” แต่ก็ใน “ระยะสั้น” เท่านั้น
     
       ท่ามกลางสภาพสังคมไทยที่แตกแยก คนส่วนใหญ่ต้องการเห็นประเทศมีระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ทว่ายังมีคนกลุ่มเล็กๆโดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีและผู้มีอำนาจที่ “หวาดหวั่น” สภาวการณ์เช่นนั้น
“นิวยอร์กไทม์ส” วิเคราะห์ตื้นบอก ไทย ประท้วงแปลก!  “ต่อต้านประชาธิปไตย”
       เนื่องจากแกนนำผู้ประท้วงบางคนมาจากตระกูลที่ร่ำรวย ผู้สังเกตการณ์จึงเปรียบเทียบการชุมนุมในไทยครั้งนี้ว่าเป็น “ภาพแย้ง” ของขบวนการ “อ็อคคิวพาย วอลล์สตรีท” ในสหรัฐฯ เพราะครั้งนี้คนไทย 1% กำลังลุกฮือต่อต้านคนอีก 99% ที่เหลือ
     
       อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงอาจจะสลับซับซ้อนยิ่งกว่านั้น เพราะผู้ที่ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลมีทั้งคนรวยและคนจน ทั้งชาวกรุงเทพฯและคนจากจังหวัดภาคใต้ที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทย สิ่งที่เหนี่ยวนำพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันก็คือเจตนารมณ์ที่จะโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือจะกล่าวให้ชัดก็คือ “พรรคของทักษิณ” ที่ชนะเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2001
     
       การที่กระแส “ต่อต้านประชาธิปไตย”ปรากฏขึ้นในเมืองไทยถือว่าน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะไทยเป็นประเทศแรกๆในเอเชียที่เปลี่ยนมาสู่ระบอบประชาธิปไตย พลเมืองไทยทั้งชายและหญิงมีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่ปี 1897 (พ.ศ. 2440) หรือกว่า 20 ปีก่อนที่สหรัฐฯจะแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 19 เพื่อห้ามการกีดกันทางเพศในการเลือกตั้งเสียอีก
     
       การชุมนุมต่อต้านประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยยังก่อให้เกิดคำถามว่า เมื่อประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นก็ย่อมต้องการความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นจริงหรือไม่? เพราะทุกวันนี้สังคมไทยมั่งคั่งกว่าเมื่อ 20 ปีก่อน แต่คนกลับมีความคิดแตกแยกกันมากขึ้น
     
       แก่นแท้ของการชุมนุมดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนส่วนใหญ่กับคนส่วนน้อยที่เหลือจะทนกับความพ่ายแพ้ซ้ำซากในศึกเลือกตั้ง ซึ่งทำให้พวกเขาไม่มีอำนาจกำหนดนโยบายใดๆในระบบการเมืองแบบ “ผู้ชนะกินเรียบ” ที่เมืองไทยกำลังเป็นอยู่
“นิวยอร์กไทม์ส” วิเคราะห์ตื้นบอก ไทย ประท้วงแปลก!  “ต่อต้านประชาธิปไตย”
       อย่างไรก็ตาม วิกฤตการเมืองไทยมีหลากหลายแง่มุม และผูกพันอย่างแยกไม่ออกกับความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเด็นสำคัญที่ปลุกเร้าให้คนไทยนับล้านๆ คนออกมาขับไล่รัฐบาลชุดนี้ก็คือความรู้สึกที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันเบื้องสูงกำลังถูกดูหมิ่นทำลายโดยกระแสนิยม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้นำตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ
     
       เกษตรกรปลูกข้าวโพดวัย 64 ปีซึ่งมีนามว่า “หมวย” ให้สัมภาษณ์ระหว่างออกมาร่วมชุมนุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว(12)ว่า “นี่เป็นสงครามระหว่างทักษิณกับในหลวง... ทักษิณมันจาบจ้วงพระองค์ท่านมานานเกินไปแล้ว”
     
       แม้ตัว ทักษิณ เองจะไม่เคยให้ร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย ทว่าพรรคพวกของเขาหลายคนก็ต้องคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
     
       การที่กองทัพก่อรัฐประหารโค่นรัฐบาลทักษิณลงในปี 2006 กลับทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งมองเขาเป็นวีรบุรุษที่ถูกทำร้ายโดย “ระบอบอำมาตย์” และหันมาเชิดชูทักษิณโดยไม่ใส่ใจพฤติกรรมทุจริตฉ้อโกงที่เกิดขึ้นในสมัยที่เขายังเรืองอำนาจ หรือแม้กระทั่งผลของ “สงครามต่อต้านยาเสพติด” ที่ทำให้มีการฆ่าตัดตอนเกิดขึ้นถึง 2,800 ราย ในเวลาเพียง 3 เดือน
“นิวยอร์กไทม์ส” วิเคราะห์ตื้นบอก ไทย ประท้วงแปลก!  “ต่อต้านประชาธิปไตย”
       ดร.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ความเห็นต่อสถานการณ์การเมืองไทยว่า กลุ่มผู้มีอำนาจและบุคคลใกล้ชิดสถาบันเกรงจะถูกแทนที่โดย “ขั้วอำนาจใหม่” ซึ่งมีบุคคลอย่าง ทักษิณ เป็นสัญลักษณ์
     
       ดร.วีรพัฒน์ ยังอ้างถึงสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ว่าเป็นองค์กรที่ครอบครองที่ดินในกรุงเทพมหานครมากที่สุด และถือหุ้นอยู่ในบริษัทใหญ่ๆหลายแห่ง ซึ่งผู้จัดการทรัพย์สินเหล่านี้เองเป็นกลุ่มหนึ่งที่ “อยู่เบื้องหลัง” การชุมนุม
     
       ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสถาบันกษัตริย์ไทย เสนอข้อคิดว่า วิกฤตการเมืองไทยเวลานี้ถูกกระตุ้นโดยการสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างระหว่างพระมหากษัตริย์ซึ่งถูกยกย่องเป็นดั่งสมมติเทพ กับนักการเมืองที่สกปรกและฉ้อโกง
     
       “เรามีภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ไร้ที่ติในทุกๆด้าน... ก็ถ้าเราไม่สร้างภาพลักษณ์อย่างนี้ขึ้นมาเสียแต่ต้น สังคมจะไม่เกิดปัญหา และไม่มีการประณามด่าว่านักการเมืองมากมายเช่นนี้” สมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2010
     
       ช่วงไม่กี่วันมานี้ โฆษกผู้ประท้วงบางคนกล่าวว่า การที่ไทยยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปในปี 1932 ถือเป็น “ความผิดพลาด” ขณะที่แกนนำก็เรียกร้องขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานเพื่อคลี่คลายวิกฤตชาติ
     
       อนุชิต สพันธุ์พงษ์ หรือ “โอ อนุชิต” นักแสดงชื่อดังของไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อเร็วๆนี้ว่า ตนเกลียดชังนักการเมืองฉ้อโกงเสียจนอยากกลับไปเกิดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
     
       “ผมว่าเวลานี้เรายังไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตย... เรายังไม่เข้าใจประชาธิปไตยดีพอ แม้กระทั่งตัวผมเอง”

สหภาพระดมพลชุมนุมใหญ่เสริมกำลังกปปส.พรุ่งนี้

แถลงการณ์ ด่วนที่สุด !!!

"ร่วมสร้างประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงประเทศไทย"

(17ธ.ค.56Xด้วยสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และ กปปส. ได้จัดคาราวาน รณรงค์เพื่อทำความเข้าใจกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ กรณี "ปฏิรูปประเทศไทยก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง" ในวันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556 โดยนัดรวมเวลา 09.00-09.30 น. หน้าบริษัทการบินไทย สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีฯ

ขบวนคาราวานจะเริ่มที่หน้าบริษัทการบินไทย สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีฯ ต่อจากนั้นจะเคลื่อนขบวนต่อไปยังการประปาส่วนภูมิภาค TOT CAT บ.ไปรษณีย์ไทย การประปานครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสิ้นสุดที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (บางกรวย)

ดังนั้น จึงขอเชิญชวนพนักงานการบินไทย และรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ทุกคน ที่มีความรักชาติบ้านเมือง ต้องการให้บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงพ้นจากระบอบทักษิณที่เกาะกินประเทศ และการบินไทย รวมถึงรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์สร้างประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงประเทศไทย และรับเอกสารโดยพร้อมเพรียงกันที่บริเวณ บริษัท การบินไทย สำนักใหญ่ ถ.วิภาวดีฯ

ด้วยจิตคารวะ

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย

กำหนดวันเลือกตั้งเลื่อนไม่ได้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปประเทศไม่สามารถทำได้โดยไม่แก้รัฐธรรมนูญ


แนวความคิดที่จะแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกา หรือตราพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งให้เลื่อนออกไป ภายหลังจากวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่อาจกระทำได้ เพราะการดำเนินการจะเป็นการขัดแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๘ โดยตรงเพราะบทบัญญัติในมาตรา ๑๐๘ การกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ภายหลังยุบสภาต้องอยู่ในกรอบระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน นับตั้งแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และหากนับเวลา ๖๐ วัน นับตั้งแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว กำหนดเวลาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เป็นอย่างช้า

การกระทำตามแนวคิดดังกล่าวจะทำให้พระราชกฤษฎีกาที่จะให้เลื่อนวันเลือกตั้งเป็นอันใช้บังคับมิได้ เพราะบทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

โปรดช่วยกันให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ส่วนการปฏิรูปประเทศ ตามข้อเสนอของ กปปส. ที่ให้เลือกนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยตรงหรือการปฏิรูประบบราชการ ทำคู่ขนานกันได้กับการเลือกตั้ง เพราะต้องแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย


จุดยืนกองทัพไทยกับสภานการณ์

เมื่อวานนี้(16 ธันวาคม 2556)แหล่งข่าวนายทหารระดับสูงจากกองทัพไทย เปิดเผยว่า 

"ยืนยันว่าการเสวนาที่กองทัพไทยไม่ได้เป็นการแสดงจุดยืนของผบ.เหล่าทัพ เพียงแต่ทหารมีเส้นและหลักในการยึดถือ ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทหาร เพราะความเป็นทหารต้องมีระเบียบวินัย และพร้อมสนับสนุนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นแต่สิ่งที่พล.อ.นิพัทธ์ นำไปพูดไม่ใช่ข้อยุติของผบ.เหล่าทัพ และไม่ได้นำคำพูดของผบ.สส.ไปพูดทั้งหมด ทำให้มีความหมายต่างกันพอสมควร ทั้งนี้ในการประชุมผบ.เหล่าทัพในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ จะมีการนำเรื่องดังกล่าวมาหารือกัน จุดยืนของกองทัพคือ อยากให้สถานการณ์คลี่คลาย โดยไม่ให้มีผู้บาดเจ็บสูญเสีย ยืนยันว่า กองทัพจะไม่ไปกดดันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องจากทหารมีระเบียบวินัย และกฎกติกาชัดเจน"แหล่งข่าวระดับสูง กล่าว


นานทีจะได้เห็น สะพานกรุงเทพฯยกเปิดให้เรือผ่าน

วันนี้(17ธ.ค.2556) กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) แจ้งว่าช่วงเวลา 09.00-09.30 น.ที่ผ่านมาได้มีการ ปิดการจราจรบนสะพานกรุงเทพ
เพื่อเปิดสะพานให้เรือผ่าน 2 ลำ โดยเป็นเรือรบ1ลำและเรือขนส่งสินค้าอีก 1 ลำ ส่งผลให้การจราจรบริเวณดังกล่าวติดขัดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ทั้งนี้สะพานกรุงเทพฯเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่สามารถปิด-เปิด ให้เรือรบเข้าออกได้ โดยเปิดใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 จนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลากว่า 54 ปี แล้ว แต่กลไกของสะพานยังสามารถทำงานได้ โดยภาพการเปิด-ปิดสะพานกรุงเทพฯในปัจจุบันนับว่าหาชมได้ยาก เพราะหากจะมีการเปิดกลางสะพานจะต้องมีการปิดการจราจรโดยรอบซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

สำนักราชฯเตือนอย่าแอบอ้างดึงสถาบันตั้งสภาสูงสุด

วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8395 ข่าวสดรายวัน


ชี้ชัดตั้งสภาสูงสุด แอบอ้าง สำนักราชฯเตือน! 
ดึงสถาบัน-มิบังควรยิ่ง 'เทือก'เปิดแผน'24 พย.'ข้ามคืน-ลุยเดิน 12 ถนน ม็อบคปท.ยึด'นางเลิ้ง'


เยี่ยมตร. - พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. นำผู้บัญชาการภาคต่างๆ มาเยี่ยมชมยุทธวิธีและร่วมให้กำลังใจตำรวจที่มาปฏิบัติหน้าที่ดูแลสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง บริเวณสะพานมัฆวานฯ เมื่อ 22 พ.ย.

       ผู้ช่วยราชเลขาธิการ เตือนผู้เผยแพร่ข่าวอ้างทูลเกล้าฯถวายฎีการ่างรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย 2556 รวมทั้งร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง กก.สภานโยบายสูงสุดแห่งชาติ เพื่อนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เป็นการกระทำที่พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันความขัดแย้งทางการเมือง ไม่บังควรอย่างยิ่ง ด้าน "เหลิม" ประกาศฟ้อง "เทือก" ปราศรัยหมิ่นประมาท เตือนถ้าเกิดเหตุรุนแรงต้องรับผิดชอบ สั่ง ตร.ประกบไม่คลาดสายตาวันยกระดับม็อบ ส่วนผบ.ตร.ประเมินม็อบ 24 พ.ย. คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นคน

ราชเลขาฯติงอย่าดึงสถาบัน

     เมื่อวันที่ 22 พ.ย. รายงานข่าวจากสำนักราชเลขาธิการเปิดเผยว่า นายปรีชา ส่งกิตติสุนทร ผู้ช่วยราชเลขาธิการ ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลพยายามเผยแพร่ข่าวว่าได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธ ศักราช 2556 และร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะกรรมการสภานโยบายสูงสุดแห่งชาติ พร้อมทั้งมีความประสงค์ที่จะให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท รวมถึงกล่าวอ้างและพาดพิงบุคคลต่างๆ นั้น เป็นการกระทำที่พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นสิ่งที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง