PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

บิ๊กตู่” ชิงแต้มฐานเสียง “คนจน” เท 3 แสนล้าน มัดจำ 11.4 ล้านคน วันที่ 15 มกราคม 2561 - 00:05 น.

“บิ๊กตู่” ชิงแต้มฐานเสียง “คนจน” เท 3 แสนล้าน มัดจำ 11.4 ล้านคน
วันที่ 15 มกราคม 2561 - 00:05 น.
1 ปีนับจากนี้ ตามคำประกาศโค้งสุดท้ายโรดแมป รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชูการแก้ปัญหาความยากจนเป็น “ธงนำ” ในการขับเคลื่อนให้ “คนจน” 11.4 ล้านคน “หมดประเทศ”
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา จึงมีมติเห็นชอบ “มาตรการแก้จน เฟสสอง” พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เม็ดเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์-“ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ฝากความหวังกับ “มาตรการแก้จนเฟสสอง”
เป็นอย่างมาก เพราะเป็น “เดิมพันสูง” ของ “พล.อ.ประยุทธ์และคณะ” หากหวังที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี (คนนอก) อีกครั้ง
“บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะ “บอร์ดแก้จน”
“พล.อ.ประยุทธ์ ” ลงมือ “กุมบังเหียน” แก้ความยากจนด้วยตัวเอง ภายใต้ “คณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” (คนส.) โดยมี “ดร.สมคิด” เป็นรองประธาน และ “ขุนคลัง” อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นกรรมการ
นอกจากนี้ ยังมี “คณะติดตาม-ประเมินผล” หรือ “คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” (คอต.) มีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ขณะที่ในระดับ “พื้นที่” ขับเคลื่อนโดยกลไกกระทรวงมหาดไทยของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ผ่าน “คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำจังหวัด” (คอจ.)
ปูพรม ผอ.เขต-นอภ. 878 ชุด
โดยให้ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) รับผิดชอบในพื้นที่ “คนจนเมือง” และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เป็นประธานในระดับจังหวัด มีตัวแทน-กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด เป็นกรรมการ รวม 77 คณะ 77 จังหวัดทั่วประเทศ
คอจ.มี อำนาจในการแต่งตั้ง กำกับดูแล การปฏิบัติงาน-ลงพื้นที่ของ”คณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ” หรือ “ทีมหมอประชารัฐสุขใจ” (ทีม ปรจ.) มีผู้อำนวยการเขต กทม.ทุกเขต-นายอำเภอ เป็นประธาน 878 ชุด“ทีม ปรจ.” จึงเป็นกลไกภาครัฐ “เคาะประตูบ้าน” ชนิด “ถึงเนื้อ-ถึงตัว” ผู้มีรายได้น้อย “รายบุคคล” โดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสิน 2 หมื่นคน และ ธ.ก.ส. 1 หมื่นคน เป็น “หน่วยเคลื่อนที่” เรียกว่า ผู้ดูแลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) สัดส่วน AO 1 คน รับผิดชอบผู้มีรายได้น้อย 30-50 คน
ตั้งพลเรือน-ทหารแก้จน
“พล.อ.ประยุทธ์ ” กล่าวถึงมาตรการแก้จน ระยะที่ 2 ว่า “เป็นโครงการแก้ปัญหาความยากจนในทุกจังหวัด ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนของกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เกษตรฯ สิ่งแวดล้อม รวมถึงความมั่นคง เพื่อลงไปแก้ปัญหา เหมือนกับที่รัฐบาลจีนได้ลงไปพบปะทุกครอบครัว”
ขณะที่ “ดร.สมคิด” แม่ทัพเศรษฐกิจ กล่าวว่า กระทรวงการคลังใช้เวลามากในการประสานกับกระทรวงต่าง ๆ เช่น แรงงาน เกษตรฯ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เพราะต้องลงไปพบผู้มีรายได้น้อย-รับฟังความต้องการในการพัฒนา
“นายกฯกำลังให้มีทีมทำเรื่องนี้ ประกอบด้วยหลายกระทรวง เช่น มหาดไทย เกษตรฯ ธ.ก.ส. รวมทั้งกลาโหม เพื่อลงไปในระดับจังหวัด เช่น จ.กาฬสินธุ์ ลงไปให้ลึกระดับจังหวัด”
เคาะประตู-แก้จนตัวต่อตัว
“มหาดไทย คือ หัวใจ ทุกจังหวัดรู้ว่าจะต้องทำอะไร เมืองจีนพัฒนาได้เร็ว แก้จนได้เร็ว เพราะเขาโฟกัสลงไปที่จังหวัด ใช้กำลังของสมาชิกพรรคลงไปตรวจสอบว่า แต่ละจังหวัด แต่ละมณฑลที่ยากจน เหตุคืออะไร แตกต่างกัน”
ด้าน “ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 1 ใน “ทีมคิด” กล่าวว่า กระทรวงการคลังเป็น “แกนหลัก” ในการคิดมาตรการแก้จน เฟส 2 โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาความยากจน
“หัวใจ คือ ต้องลงไปถึงพื้นที่ จึงต้องมีคณะกรรมการระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ เป็นความตั้งใจของเราเพื่อให้ลงไปตอบโจทย์ในพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิต”
“กรรมการระดับประเทศลงไปข้างล่างไม่ได้ เกมนี้จะต้องไปคุยกับประชาชนตัวต่อตัวว่า มีปัญหาอะไร จะช่วยเหลือได้อย่างไร ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในมือ เพื่อให้เหมาะสม-ตรงตามความต้องการของผู้มีรายได้น้อย”
แก้จน 4.7 ล้านคน มีนา 61
“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งเป้าแก้ปัญหา “คนจน” ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี 4.7 ล้านคน ให้ “เลิกจน” โดยเริ่ม “คิกออฟ” เดือนมีนาคม 2561 จำนวน 34 โครงการ 4 มติ พ่วงของแถม-แรงจูงใจเข้าคอร์สอบรมคนละ 100-200 บาทต่อเดือน
มิติที่ 1 การมีงานทำ 5 โครงการ มิติที่ 2 การฝึกอบรมและการศึกษา 10 โครงการ มิติที่ 3 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ 11 โครงการ และมิติที่ 4 การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน 8 โครงการ
ขณะเดียวกันด้วยการบริหาร “สไตล์ประชารัฐ” ยังอนุมัติ “มาตรการภาษี” เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อจูงใจ “นายจ้าง” ฝึกทักษะฝีมือ-จ้างงานเป็นกรณีพิเศษ โดยหักจากรายจ่ายเป็นจำนวน 1.5 เท่า
ทุ่มงบฯกลางปี 1.5 แสนล้าน
สอดประสานกับกระทรวง การคลังจะเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายกลางปี เพิ่มเติมปี 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ให้ที่ประชุม ครม.เห็นชอบในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเดือนมีนาคม เพื่อทันใช้ในเดือนเมษายนต่อไป แบ่งออกเป็น โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 3.5 หมื่นล้านบาท การปฏิรูปภาคการเกษตร 4 หมื่นล้านบาท โครงการกองทุนหมู่บ้าน 1 หมื่นล้านบาท โครงการพัฒนาเศรษฐกิจระดับตำบล 1 หมื่นล้านบาท
งบฯปฏิรูปประเทศ 1 ล้านล้าน
ขณะ ที่กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ซึ่งเป็นช่วง “รอยต่อ” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศโรดแมปไว้ว่า จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561
ล่าสุด พุ่งทะลุ 3 ล้านล้านบาท โดยเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลกว่า 4.5 แสนล้านบาท โดยสำนักงบประมาณจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เห็นชอบในวันที่ 16 มกราคม 2561 ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุม สนช.พิจารณาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2561
โดยมีสัดส่วนงบฯปฏิรูปประเทศถึง 1 ล้านล้านบาท ! บวกกับงบฯ อปท. 1.5 แสนล้าน เบ็ดเสร็จแล้วใช้งบฯแก้จนโค้งสุดท้าย 3 แสนล้านบาท
การแก้ปัญหาความยากจน 1 ปีนับจากนี้ จึงเป็น “เดิมพันสูง” ของ พล.อ.ประยุทธ์-คณะ คสช.

ปลัดยธ.โต้ปล่อยตัว'กำนันเป๊าะ'แลกเปลี่ยนกลุ่มชลฯหนุน'บิ๊กตู่'นั่งนายกฯ


วันจันทร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561, 08.48 น.

15 ม.ค.61 นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวชี้แจงกรณีประเด็นข่าว พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ยุติธรรม ได้เจรจาทางลับกับนักการเมืองกลุ่มชลบุรี เพื่อขอให้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยแลกเปลี่ยนกับเงื่อนไขทางคดีที่บิดาของท่านเป็นนักโทษในกรมราชทัณฑ์ มีการแลกเปลี่ยนจนเป็นที่พอใจของทั้ง 2 ฝ่ายนั้น
โดย นายธวัชชัย กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าการพักการลงโทษเป็นประโยชน์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 52 (7) ที่พิจารณาให้นักโทษเด็ดขาดที่มีความประพฤติดี มีความอุตสาหะก้าวหน้าในการศึกษาและทำการงานเกิดผลดี หรือทำความชอบแก่ราชการเป็นพิเศษให้ได้รับโอกาสออกไปอยู่นอกเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษตามคำพิพากษา ไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในสังคม หากไม่ปฏิบัติตนตามเงื่อนไขอาจถูกจับเข้ามาคุมขังอีก ตามกำหนดโทษที่เหลืออยู่ โดยคณะกรรมการพักการลงโทษ ตามนัย ข้อ 91 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2553) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 ประกอบมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งสิ้น จำนวน 15 ท่าน ทำหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบพักการลงโทษตามประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาพักการลงโทษ พ.ศ.2560 ซึ่งหากเป็นใน "กรณีปกติ" ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีขึ้นไป อาจได้รับพักการลงโทษตามชั้น ดังนี้ "ชั้นเยี่ยม" ได้รับพักการลงโทษไม่เกิน 1 ใน 3 , "ชั้นดีมาก" ไม่เกิน 1 ใน 4 , "ชั้นดี" ไม่เกิน 1 ใน 5 ของกำหนดโทษครั้งหลังสุด
สำหรับการพักการลงโทษ "กรณีมีเหตุพิเศษ" เป็นการพักการลงโทษให้แก่นักโทษเด็ดขาดที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย ซึ่งจะได้รับการพักการลงโทษมากกว่าการพักการลงโทษกรณีปกติ โดยคณะกรรมการพักการลงโทษจะต้องให้ความเห็นชอบ และได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่ง ตามนัยข้อ 92 วรรคสาม แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2553) โดยปัจจุบันกรมราชทัณฑ์มีโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษเนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป พ.ศ.2560 โดยมีสาระสำคัญ  คือ จะต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีขึ้นไป ต้องโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษครั้งหลังสุด กรณีเจ็บป่วยร้ายแรง นักโทษเด็ดขาดจะต้องมีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงซึ่งไม่สามารถรักษา ให้หายขาด และอาการอยู่ในระยะอันตรายอาจถึงแก่ความตาย เช่น ไตวายเรื้อรัง มะเร็ง ระยะที่ 3 หรือระยะที่ 4 เป็นต้น โดยมีแพทย์ของทางราชการรับรอง 2 ท่าน
นอกจากนี้ กรณีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และเหลือโทษจำต่อไปไม่เกิน 10 ปี โดยมีแบบประเมินคัดกรองปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน กรมอนามัย ซึ่งผู้ทำการประเมิน คือ เจ้าหน้าที่พยาบาลประจำสถานพยาบาล เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุม และผู้บัญชาการเรือนจำรับรองข้อมูล
ซึ่ง นักโทษเด็ดขาดชาย สมชาย คุณปลื้ม หรือ "กำนันเป๊าะ" ต้องโทษอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ปัจจุบันเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลตำรวจ เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม กระทำผิดรวม 2 คดี ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกรวม 28 ปี 4 เดือน ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษรวม 3 ครั้ง (ปี 58 และปี 59 รวม 2 ครั้ง) เหลือกำหนดโทษครั้งหลังสุด 10 ปี 18 เดือน 20 วัน ต้องโทษจำคุกมาแล้ว 4 ปี 9 เดือน 25 วัน เหลือโทษจำต่อไป 6 ปี 8 เดือน 25 วัน
เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่า นักโทษเด็ดขาดชาย สมชายฯ มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป เป็นนักโทษเด็ดขาด ชั้นเยี่ยม ต้องจำมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษครั้งหลังสุด มีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาด และอาการอยู่ในระยะอันตรายอาจถึงแก่ความตาย โดยป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และแพร่กระจายไปที่ปอดระยะที่ 4 ทำให้มีอาการปอดบวม บางครั้งหยุดหายใจต้องให้ออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องต้องเสียชีวิต คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าอาการเจ็บป่วย ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยมีแพทย์ของทางราชการ 2 ท่าน รับรองอาการป่วย สภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการกระทำผิดซ้ำ และมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป โดยปัจจุบันมีอายุ 80 ปี และอยู่ในสภาพไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ได้ประชุมคณะกรรมการพักการลงโทษ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 30 พ.ย.60 คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษนักโทษเด็ดขาดชาย สมชายฯ และเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.60 รมว.ยุติธรรม ได้อนุมัติพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยได้รับการปล่อยตัวพักการลงโทษจะไปพักอาศัยอยู่กับ น.ส.จิราภรณ์ คุณปลื้ม บุตรสาว อายุ 49  ปี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ซึ่งต้องปฏิบัติตนตามเงื่อนไขการคุมประพฤติของสำนักงานคุมประพฤติจนกว่าจะพ้นโทษ ซึ่งมีระยะการคุมประพฤติ 6 ปี 8 เดือน 25 วัน ส่วนจำนวนครั้งหรือความถี่ในการรายงานตัวนั้นให้เป็นไปตามที่พนักงานคุมประพฤติจกำหนด
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงขอยืนยันว่า การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษนักโทษเด็ดขาดชาย สมชายฯ นั้น เป็นการดำเนินการที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่นักโทษทุกคนมีสิทธิได้รับ โดยที่ไม่มีวาระซ่อนเร้นตามประเด็นข่าวแต่อย่างไร

อภิสิทธิ์ ชน2ป.

"มาร์ค" เปิดหน้าชก "2 ป." 

#กองหนุนคสชใกล้หมด

ซัด "พี่ป้อม-น้องตู่"จี้ ลาออก ปม นาฬิกา ยก สมัยเป็นนายกฯ สร้างมาตรฐานไว้ ขู่ อาจลามถึง"บิ๊กตู่" / ซัด บิ๊กตู่ ประดิษฐ์คำ "ประชาธิปไตยไทยนิยม" ดักคอ หลังเลือกตั้ง อย่าใช้ สว.เตือน อย่าเรียก ประชาธิปไตย ถ้ามันไม่ได้เป็น

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ถูกขุดคุ้ย มากว่า 20 เรือน ว่า ไม่มีอะไรซับซ้อน ก่อนอื่นต้องพิสูจน์ว่านาฬิกามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจริงต้องอธิบายว่าเป็นของใคร และถ้ามั่นใจในคำชี้แจงก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอกต่อสาธารณชน แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ตอนนี้เรื่องยืดเยื้อและประชาชนไม่พอใจ พลันจะรามไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นเรื่องอื้อฉาวที่กระทบต่อภาพลักษณ์

“ถ้ายังจำกันได้ในสมัยที่ผมเป็นรัฐบาล เพียงแค่เกิดเรื่องราวขึ้น และยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรมว.สาธารณสุข หรือกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังขอลาออก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งผมจำคำพูดของนายวิทยา บอกได้ว่า “ผมไม่อยากเป็นภาระของรัฐบาล”

นายอภิสิทธิ์ ยัง กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ระบุต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ว่า ไม่ทราบว่าประชาธิปไตยไทยนิยมเป็นแบบใด ซึ่งต้องระมัดระวัง การใช้คำดังที่มีความหมายในตัวของมันค่อนข้างชัด มีการไปแต่งเติมเงื่อนไขต่างๆ ก็คงต้องมาดูว่าถึงจุดหนึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่เที่ยงตรงหรือไม่ 

อย่างกรณีประชาธิปไตยที่เคร่งครัดก็ต้องบอกว่า คือประชาธิปไตยเสรีนิยม ซึ่งมีหลักการพื้นฐานอยู่ ประชาธิปไตยคืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ความหมายคือประชาชนสามารถกำหนดทิศทางต่างๆของบ้านเมืองได้ แต่ความเป็นไทยในประชาธิปไตยแบบไทยๆอยู่ที่ไหน มีเรื่องอะไรที่เป็นแบบไทยๆ 

ตอนนี้บอกได้แบบเดียวว่าไม่เป็นสากลก็เลยเป็นไทย สำหรับผมไม่เคยปฏิเสธว่าการปรับให้เข้ากับสังคมวัฒนธรรมมีความจำเป็น แต่คงไม่ใช่เอาเรื่องวัฒนธรรมหรือสังคมมาเป็นข้ออ้างในการจะยกเว้นไม่ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย แต่ยังอยากจะใช้คำที่ดูเป็นเรื่องดี เป็นสากลอยู่ แล้วก็อ้างว่าเป็นอย่างนั้น

“ความเป็นประชาธิปไตยคือ หลังการเลือกตั้ง ถ้าส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของคนที่มาจากการเลือกตั้ง เขาจะจัดตั้งรัฐบาล ไม่ควรจะมีการใช้อำนาจวุฒิสภา เพื่อฝืนเจตนารมณ์นั้น เพราะมันไม่ใช่ประชาธิปไตย หรืออย่าไปใช้คำว่าประชาธิปไตยแบบไทยนิยม 

ผมต้องถามว่าความเป็นไทยของวุฒิสภามีมากกว่าความเป็นไทยของการเลือกตั้งของคนไทยอย่างไร หากอ้างว่าทำตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องบอกว่ารัฐธรรมนูญนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เพราะในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็มีรัฐธรรมนูญเช่นกัน 

หากยังจำกันได้ในสมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีคำว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งผมคิดว่าอย่างน้อยยังมีความตรงไปตรงมา ยอมรับเป็นประชาธิปไตยครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งไม่เป็น แต่ไม่ใช่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ เพราะมันไม่ได้เป็น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

‘มาร์ค’ แนะ ‘ป้อม’ เอาอย่าง“วิทยา-วิฑูรย์”สมัยเป็นรมต. ยังลาออกก่อน

‘มาร์ค’ แนะ ‘ป้อม’ เอาอย่าง“วิทยา-วิฑูรย์”สมัยเป็นรมต. ยังลาออกก่อน


“มาร์ค” ชี้ปมนาฬิกา“บิ๊กป้อม”อื้อฉาวกระทบภาพลักษณ์ “บิ๊กตู่” จี้ เอาอย่าง “วิทยา-วิฑูรย์” สมัยเป็นรมต. ยังลาออกก่อนพิสูจน์ข้อเท็จจริง
เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งปัจจุบันปรากฏถึง 22 เรือน ว่า ไม่มีอะไรซับซ้อน ก่อนอื่นต้องพิสูจน์ว่านาฬิกามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจริงต้องอธิบายว่าเป็นของใคร และถ้ามั่นใจในคำชี้แจงก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอกต่อสาธารณชน แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ตอนนี้เรื่องยืดเยื้อและประชาชนไม่พอใจ พลันจะรามไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นเรื่องอื้อฉาวที่กระทบต่อภาพลักษณ์

“ถ้ายังจำกันได้ในสมัยที่ผมเป็นรัฐบาล เพียงแค่เกิดเรื่องราวขึ้น และยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรมว.สาธารณสุข หรือกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังขอลาออก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งผมจำคำพูดของนายวิทยา บอกได้ว่า “ผมไม่อยากเป็นภาระของรัฐบาล”

“ภูมิธรรม” กังขา “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ของ “ประยุทธ์” มีความหมายอย่างไร

“ภูมิธรรม” กังขา “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ของ “ประยุทธ์” มีความหมายอย่างไร



ภูมิธรรม เวชยชัย (แฟ้มภาพ)
เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุเราต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ว่า ตนไม่ทราบว่าท่านนายกฯตีความคำว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้นแบบไหน แต่ในความเห็นตน ความเป็นประชาธิปไตยนั้นเป็นสากล เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกยอมรับว่าประชาธิปไตยคือการยอมรับในอำนาจของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ ดังนั้น ประชาชนจะเป็นใหญ่ที่สุด จะเป็นผู่ที่มีอำนาจในการคิด และตัดสินใจว่าอยากเห็นชีวิตของตัวเอง หรือคนในประเทศของตัวเอง หรืออยากเห็นประเทศของตัวเองเป็นไปในทิศทางไหนที่จะอำนวยความสะดวก และความสุขให้เกิดขึ้นกับคนในประเทศของคนในประเทศทั้งหมด ดังนั้น เมื่ออำนาจเป็นของประชาชนก็จะแสดงอำนาจของตนโดยการเลือกนโยบายที่พรรคการเมืองนำเสนอ เลือกพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองที่อาสาเข้ามาว่าจะเอาคณะผู้นำแบบไหน มีวิสัยทัศน์อย่างไร แล้วจะมีวิธีการนำพาประเทศไปสู่ความเจริญผาสุขได้อย่างได้อย่างไร นี่คือหลักการ และเป็นประชาธิปไตยที่อิงหลักสากล นอกจากนี้ ที่สำคัญคือ ต้องเคารพในสิทธิ และเสรีภาพของคน เคารพในสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน เคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั้งหมด เพราะเขาเห็นว่าการที่จะให้ทุกคนในสังคมคิด และเห็นเหมือนกันทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นไม่ง่าย เพราะมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่เขาเคารพในความแตกต่างของคนที่อยู่ในสังคมด้วยกัน แล้วหาทางออกที่ดีที่สุด ฟังเสียงข้างมาก และเคารพในเสียงข้างน้อย ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เพราะสักวันหนึ่งเสียงข้างน้อยก็อาจจะถูกต้องก็ได้ แล้วก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปได้ นี่คือการดำรงอยู่ร่วมกันของความคิดที่แตกต่างกัน นี่คือประชาธิปไตยแบบสากลที่เคารพทุกคน เขาไม่มองความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นความขัดแย้ง แต่เขาถือเป็นหนทางที่จะนำไปพัฒนาสู่สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นในสังคม
“สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ควรทำความเข้าใจคือ ควรเข้าใจว่าหลักสากลนี้เป็นหลักที่คนทั้งประเทศเขาได้พิสูจน์มาแล้วว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองการปกครองที่มีข้อบกพร่องน้อยที่สุด และยอมรับในสิทธิเสรีภาพของคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นมากที่สุด และเป็นหนทางในการที่จะระดมเอาสรรพสิ่ง และความคิดของคนในสังคมไปร่มมือกัน และไปทำงานในอนาคตเพื่อประเทศชาติของเขามากที่สุด ดังนั้น การหยิบเรื่องประชาธิปไตยแบบไทยนิยมนี้ขึ้นมาไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ทั้งนี้ ผมเห็นการที่พูดถีงการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เป็นหลักสากล แล้วพยายามอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตยที่เป็นแบบไทยๆ หรือประชาธิปไตยที่เป็นแบบของพวกตัวเอง ซึ่งประวัติศาลตร์ประชาธิปไตยในโลกนี้ แบบนี้มีแต่ผู้เผด็จการ และผู้ที่พยายามได้อำนาจมาโดยวิธีพิเศษที่ใักจะใช้สิ่งนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อกำหนดวิธีการปกครองแบบของตนเองที่บิดเบือนเสียงของประชาชนหรืออำนาจของประชาชนในการที่จะคิด และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ดังนั้น ผมจึงบอกว่า ประชาธิปไตยแบบไทยนิยมที่พูดขึ้นไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร หรือจะหมายความว่าประชาธิปไตยแบบที่ฉันดำเนินการ คือ ฉันไม่จำเป็นต้องฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ ฉันคิดเอง ฉันกำหนดให้เอง ฉันมองให้เองว่าประเทศข้างหน้า 20 ปี ควรจะเป็นอย่างไรอย่างที่ฉันทำ แทนที่จะมาฟังความเห็นของคนส่วนใหญ่ว่าอีก 20 ปี ข้างหน้าควรจะมีทิศทางอย่างไร แต่ละปีๆควรเดินไปแบบไหน เคารพในเสรีภาพของคนไหม เปิดโอกาสให้คนได้แสดงความเห็นไหม ไม่ใช่ใครเห็นต่างก็เชิญเข้าค่ายไปอบรม หรือไปคุกคามเขา” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนคิดว่า ควรจะต้องใจกว้าง ถ้าคิดว่าตนเองมีความเป็นประชาธิปไตย และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิด ที่ทำเป็นที่ปรารถนาของคนส่วนใหญ่ วันนี้อย่าคิดเองว่าประชาชนให้โอกาส หรือประชาชนยอมรับ แต่ควรคืนอำนาจให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้เลือกตั้ง แล้วให้ประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจ และหากประชาชนเลือกเขาอย่างถล่มทลาย เราก็จะให้โอกาสเขาดำเนินการบริหารประเทศต่อไปภายใต้การตัดสินใจของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ดึงทั้งหมด แล้วพยายามสร้างกติกาที่ตนเองได้เปรียบ มีส.ว.250 คน เป็นอำนาจพิเศษที่พยายามเดินไปตามทางของตนเอง แล้วเขียนรัฐธรรมนูญมากำหนดทิศทางให้คนอื่นเดิน แล้วบอกทั้งหมดนี้คือประชาธิปไตยแบบไทยนิยม อันนี้คือการสร้างประชาธิปไตยที่รองรับอำนาจของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่ ประชาธิปไตยแบบไทยนิยมของพล.อ.ประยุทธ์คือ ประชาธิปไตยแบบที่เวลาเรื่องกลุ่มตัวเองทำอะไรผิดไม่ต้องไปพูดถึง หรือพยายามไม่เอ่ยถึง แต่อะไรที่คนอื่นทำไม่ถูก หรือทำไม่เหมือนฝ่ายตนก็ไปดำเนินเขาอย่างเด็ดขาด ไม่มีมาตรฐานเดียวกันในการจัดการต่างๆ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความคลางแคลงใจในสิ่งที่ตัวเองพูดมา ดังนั้น ที่พูดมาตนมองว่าไม่มีความหมายอะไรที่มากไปกว่าการพยายามให้คนยอมรับในกติกาที่ตัวเองร่างขึ้นอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องยึดมั่นในระบอบที่เป็นสากล แต่เอาแบบไทยนิยมที่พวกตัวเองกำหนด ให้คนปฏิบัติตามสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

ยังสบาย

ยังสบาย


เรื่องใช้เงินเก่ง ใช้เงินไม่อั้น ใช้เงินเกินหน้าตัก ต้องยกให้รัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชนะขาด
สาเหตุที่รัฐบาลบิ๊กตู่จ่ายหนักแจกกระหน่ำยิ่งกว่ารัฐบาลอื่นๆ เพื่อเร่งอัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่ๆไปกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นจากสลบ
แม้ว่าบัดนี้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นแล้วก็จริง รัฐบาลยังต้องเร่งอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป และต่อไปให้สุดลิ่มทิ่มประตู
ล่าสุด รัฐบาลประกาศอัดฉีดงบกลางปีเพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท
เพิ่มพิเศษจาก พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี 2561 ซึ่งกำหนดวงเงินไว้ที่ 2.9 ล้านล้านบาท
เพื่อเร่งอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าให้เห็นผลทันตาก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหญ่
เรียกว่าวางแผนจัดหนักซื้อใจรากหญ้าเต็มอัตราศึก
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการที่รัฐบาล คสช.จัดงบอัดฉีดกลางปีเพิ่มอีกก้อนใหญ่ ทำให้งบประมาณรายจ่ายประเทศปี 2561 ต้องขาดดุลสูงถึง 5.5 แสนล้านบาท
ถ้าเปรียบเทียบงบรายจ่ายประเทศปีนี้ กับงบรายจ่ายประเทศปี 2560 พบว่าขาดดุลบานทะโร่เท่ากันคือ 5.5 แสนล้านบาท
สรุปว่าในเวลาเพียง 2 ปี (2560-2561) รัฐบาลบิ๊กตู่ใช้เงินมือเติบเกินหน้าตักไปถึง 1.1 ล้านล้านบาท
คือเก็บภาษีเพิ่มเท่าไหร่ก็ยังไม่พอจ่ายว่างั้นเถอะ
“แม่ลูกจันทร์” มองข้ามช็อตไปถึงงบประมาณรายจ่ายประเทศปีหน้า 2562 ซึ่งจะเริ่มเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ รัฐบาลตั้งกรอบวงเงินไว้สูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท
สูงกว่างบปี 2561 ถึง 4 แสนล้านบาท
แต่ยังจัดเป็นงบขาดดุล “รายรับน้อยกว่ารายจ่าย” อีก 4.5 แสนล้านบาท
แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ นอกจากไม่เพลาการใช้จ่ายเงินลงยังมุ่งมั่นใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกตะหาก
แน่นอน...ผลจากรัฐบาลจัดงบขาดดุลติดลบตัวแดงติดต่อกันทุกปี ทำให้รัฐบาลต้องแบกหนี้ (เงินกู้) เป็นดินพอกหางหมูโตขึ้นๆเช่นเดียวกัน
“แม่ลูกจันทร์” ขออนุญาตรวบรวมสถิติงบประมาณรายจ่ายขาดดุลยุครัฐบาล คสช. ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2562 ให้เห็นภาพรวม ดังนี้คือ...
ปี 2558 ขาดดุลจิ๊บๆ 2.5 แสนล้านบาท
ปี 2559 ขาดดุลเบาะๆ 3.9 แสนล้านบาท
ปี 2560 ขาดดุลพุ่งพรวดเป็น 5.5 แสนล้านบาท
ปี 2561 ขาดดุลมากเท่าเดิมคือ 5.5 แสนล้านบาท
และปีหน้า 2562 ตั้งวงเงินขาดดุลซ้ำอีก 4.5 แสนล้านบาท
รวมเบ็ดเสร็จ 5 ปี ของรัฐบาล คสช. จัดงบรายจ่ายประเทศขาดดุลติดลบตัวแดงเป็นประวัติการณ์ถึง 2.19 ล้านล้านบาท
นี่ยังไม่รวมที่รัฐบาลจะต้องกู้เงินไปลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เช่น โครงการลงทุนจัดการปัญหาน้ำทั้งระบบ โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง ฯลฯ อีกหลายแสนล้านบาท
นี่แหละคือประเด็นที่ “แม่ลูกจันทร์” เป็นห่วง
แต่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ออกมายืนยันว่า “ไม่ต้องห่วง!”
ไม่ต้องห่วง เพราะยอดหนี้สินเงินกู้ของรัฐบาล หรือหนี้สาธารณะล่าสุด ยังอยู่ที่ 43 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
แต่เพดานการก่อหนี้สาธารณะกำหนดไว้ไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลยังสามารถกู้เงินก่อหนี้เพิ่มได้อีกสบายๆ
โอเค ตอนกู้เงินมาใช้มันสบายก็จริง
แต่ตอนใช้หนี้น่ะซี มันไม่สบายนะอาจารย์.
"แม่ลูกจันทร์"

ผ่าไต๋การเมือง “ปะทุ” ปีคืนอำนาจประชาชน : กติกาขั้นเทพ วัดผลปฏิรูป

ผ่าไต๋การเมือง “ปะทุ” ปีคืนอำนาจประชาชน : กติกาขั้นเทพ วัดผลปฏิรูป


หนาว อุ่น ฝน เย็น สลับกัน

สภาพอากาศแปรปรวนทำหลายภูมิภาคในประเทศ ไทยต้องเผชิญครบ 3 ฤดูในสัปดาห์เดียว

ที่ต้องเป็นห่วงก็คือสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเด็กเล็ก และคนชรา ต้องดูแลตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะอากาศแบบนี้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายๆ

อาการแปรปรวนล้อกับการเมืองที่ปรวนแปร

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายหลังผู้นำทหารอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก
รัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แบไต๋ “ไปต่อ” บนเส้นทางอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

ส่งสัญญาณชัด ประกาศเป็น “นักการเมือง” เต็มตัว

กระตุกแรงเสียดทานเจ้าถิ่น อาการต่อต้านจากนักเลือกตั้งอาชีพยกระดับขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทั้งยี่ห้อประชาธิปัตย์ ทั้งคนเพื่อไทย นั่งกันไม่ติด

พร้อมๆกับปรากฏการณ์ที่สร้าง “อิมแพ็กต์” ทางการเมืองอย่างแรง ตามมาตรการอัดฉีดที่รัฐบาล “ลุงตู่” ได้ทุ่มงบ 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้คนมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จาก 300 บาท เพิ่มเป็น 500 บาท ส่วนที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มจาก 200 บาท เป็น 300 บาทต่อเดือน

แจกของขวัญ ซื้อใจคนจนฐานรากใหญ่ของประเทศ

เรียกว่าใส่เกียร์ห้าลุยกันตั้งแต่การประชุม ครม.นัดแรกของปี

รัฐบาลเน้นโจทย์เศรษฐกิจ กลบจุดอ่อนไหวปัญหาปากท้อง สอดคล้องต่อเนื่องกับการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ประกาศจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย

ล้อไปกับภาพรวมที่เป็นบวกทั้งตัวเลขจีดีพี สถิติการส่งออก ตลาดหุ้นที่ทิศทางสดใส

ถึงจุดมั่นอกมั่นใจ นายสมคิดประกาศเลยว่า ขอเวลา 1 ปีที่เหลือของโรดแม็ป จะเสริมฐานทางเศรษฐกิจให้แกร่งเพื่อประเทศเดินหน้าในระยะยาว

และนั่นก็จะช่วยให้งานเบาลงเยอะ สำหรับ “นายกฯลุงตู่” ในการเบิ้ลอำนาจรอบต่อไป

ทุกอย่างกำลังเดินไปตามโปรแกรมเป้าหมาย

ที่แน่ๆว่ากันตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่นายสมคิดเดินหน้าโชว์เนื้องานทางเศรษฐกิจ อัดฉีดมาตรการช่วยคนจน ซื้อใจชาวบ้านฐานราก ล้อไปกับเงื่อนเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศสัญญาประชาคมไว้ พร้อมแสดงตนเป็นนักการเมืองเต็มตัว

เดินหมาก “มัดจำ” คะแนนนิยมล่วงหน้า

มันยิ่งเป็นอะไรที่เร้าโหมดเลือกตั้ง ย้ำปีของการคืนอำนาจประชาชน

ที่จะประเดิมเริ่มต้นก่อนเลยก็คือ การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

รอกฎหมายเกี่ยวกับท้องถิ่นเข้า ครม.ส่งต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

คาดว่าจะดีเดย์สนามเล็กกันได้กลางปี

งานนี้ถือเป็นจังหวะหยั่งกระแส นำร่องก่อนสนามใหญ่เลือกตั้ง ส.ส.

อย่างไรก็ตาม โดยฉากสถานการณ์ที่ล้อไปกับบรรยากาศเร้าปีแห่งการคืนอำนาจประชาชน มันก็เริ่มเห็นคนหน้าเดิมๆ ที่หายไปนานหลังทหารยึดอำนาจ

บรรดานักการเมืองพันธุ์เก่าเริ่มโผล่กลับมา

โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของภาพฮือฮาที่พี่น้องตระกูล “สะสมทรัพย์” บ้านใหญ่จังหวัดนครปฐม ถ่ายรูปกับ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน

ต่อเนื่องกับการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสุโขทัย

ก็มีการเปิดโอกาสให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีรุ่นใหญ่ ได้นำคณะเข้าพบปะสนทนาพาทีกับ “นายกฯลุงตู่”

รวมถึงช็อตแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มประเดิมสนทนาปราศรัยกับนักการเมืองอาชีพ โดยการเปิดพื้นที่ให้ “ลูกท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา ทายาททางการเมืองของอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ล่วงลับ ได้นำลูกทีมเข้าร่วมพิธีต้อนรับนายกฯในการลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี

“ลุงตู่” เกลือกกลั้วกับนักการเมือง พร้อมประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัว

เป็นการพลิกท่าทีแบบ 180 องศา จากที่ตั้งแง่รังเกียจเดียดฉันท์ ด่านักการเมืองมาตลอด

นั่นก็หนีไม่พ้นโดนตอด โดนโห่ฮา

หัวหน้า คสช. “หงายไพ่” กลับไปเล่นเกมเดิมๆกับนักการเมืองพันธุ์เก่า

ตามจังหวะที่เร้าไปกับกระแสดูด ส.ส. การก่อกำเนิดพรรคทหาร

ตามเหลี่ยมสถานการณ์ที่เข้าทางทีมงาน ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย รีบยกขบวนเข้าอวยพรปีใหม่ผู้อาวุโสลายครามอย่าง “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น รวมถึง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค

พร้อมประกาศสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่ยอมให้ใครลากออกจากอก “นายใหญ่”

ตีปี๊บประจาน ดักทางเกมดูดของพรรคทหารเป็นนัยๆ

โดยหัวขบวนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รุ่นเก๋าลายครามระดับ “หัวเขียง” นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เจ้าของผลงาน “นิรโทษกรรมสุดซอย”

ผู้ก่อหัวเชื้อชนวนให้รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” โดนถอนยวงนั่นเอง

ขบวนการภักดี “นายใหญ่” ก็ทีมเดิม ไม่ได้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตา

หรือในมุมของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็วนเวียนอยู่กับเจ้าตำนานยี่ห้อ “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ที่ต้องแบกสังขารเข้ามากอบกู้สถานการณ์ “หักเหลี่ยม” ระหว่างทีมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กับก๊วนของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวขบวนกลุ่ม กปปส.

ส่อพรรคแตกซ้ำรอย “กลุ่ม 10 มกรา”

ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ต้องขายของเก่ากินเหมือนกัน

หน้าเก่า พันธุ์เดิม เพิ่มเติมคือทหาร คสช.

ตามรูปการณ์ที่ส่อเค้าฟาวล์ เหมือนเสียเวลาเปล่า กับ 3 ปีกว่าย่างเข้าปีที่ 4 ที่ประเทศไทยต้องปิดซ่อมแซม

เว้นวรรคประชาธิปไตย เปิดทางอำนาจพิเศษนำไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่

มันยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หนีวังวนเก่าๆไม่พ้นอยู่ดี

ที่สำคัญมันสวนทางกับธงที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจยืนยัน ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

เพราะถึงตรงนี้ก็ยังไม่มีหลักประกันว่า ถ้ามีการเลือกตั้งทุกอย่างจะกลับสู่สถานการณ์ปกติ ในเมื่อคนหน้าเดิมๆ

เงื่อนไขความขัดแย้งเก่าๆก็ยังแฝงอยู่ไม่ได้หายไปไหน

ในเมื่อ “ขุนอาสา” มากอบกู้วิกฤติ จำเป็นต้องอาศัยนักการเมืองที่เป็นต้นตอของวิกฤติมาช่วยอุ้ม

เพื่อกรุยทางกลับมาคุมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

สถานการณ์มันลักลั่น ผลประโยชน์ขัดกันโดยสิ้นเชิง

และแน่นอน มันก็คงไม่มีความหมายอะไร กับ “รัฐธรรมนูญขั้นเทพ” ของซือแป๋ “มีชัย ฤชุพันธุ์” กติกาหรูๆ

สูตรพิสดารที่ถูกออกแบบมาให้การเลือกตั้งของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีคุณภาพ

สกัดเชื้อชั่วพันธุ์เก่าให้หมดไป

เปิดทางนักการเมืองพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารบ้านเมือง

ตามเป้าหมายปฏิรูป สู่การเมืองในฝัน

แต่โดยสภาพการณ์แบบที่เห็นๆกัน มันยังหนีไม่พ้นวังวนเก่าๆ

น้ำเน่ายังค้างคาท่ออยู่อีกมาก

เรื่องของเรื่อง มันก็อยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ด้วย เพราะถ้ายังยึดติดกับตัวบุคคล มองสิ่งตอบแทนจากนักการเมืองเป็นที่ตั้ง ยังยึดติดกับผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่สนการปฏิรูปในระยะทางยาวๆ

มันก็เท่ากับล็อกให้การเข้าสู่อำนาจการเมือง ต้องเดินบนเส้นทางเก่าๆต่อไปไม่จบสิ้น

ถึงรัฏฐาธิปัตย์ ผู้นำทหารจะยิ่งใหญ่ มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหนก็สั่งผลเลือกตั้งไม่ได้

ในเมื่ออำนาจตัดสินสุดท้ายมันอยู่ที่ประชาชน.

“ทีมการเมือง”

ยังแค่ 'ยืมมือ' ยันท็อปบูต

ยังแค่ 'ยืมมือ' ยันท็อปบูต


มาถึงขั้นนี้แล้ว น่าจะไปไหนไปกัน

ถึงแม้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม จะออกตัวกับคำถามที่ว่า จะเป็น “กองหนุน” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ในแผนต่อตั๋วเก้าอี้ผู้นำหรือไม่
โบ้ยว่าเป็นเรื่องอนาคต อย่าสมมติ–อย่าเผื่อ “เป็นเรื่องประชาชนตัดสิน”

แต่ขึ้นชื่อว่า “พี่ใหญ่” มีหรือจะทิ้งจะเทน้องเลิฟ

เห็นได้จาก ถึงแม้จะเจอมรสุมข่าว “นาฬิกาหรู” กระแทกใส่เป็นรายวัน

จนต้องนิ่งตั้งหลักกับคำถาม

พอมีคิวการขยับของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยรวมตัวเดินสายอวยพรแกนนำช่วงปีใหม่ หนีไม่พ้น “บิ๊กป้อม” ต้องออกโรงช่วยกระตุกเบรก “เป็นเรื่องของนักการเมืองเก่าๆ”

อย่างไรเสีย “บิ๊กตู่” ก็ต้องอาศัยสไตล์ใจถึงพึ่งได้ คอนเนกชั่นกว้างไกลอย่าง “พี่ใหญ่” มาเป็น “กองหนุน” คนสำคัญในโหมดการเมือง คู่ขนานไปกับมือประสานอื่นๆ

เพราะตำรับคนคู่ คสช. มี “ลุงตู่” ก็ต้องมี “ลุงป้อม”

ในจังหวะที่หลายอย่างเริ่มชัด “บิ๊กตู่” นำทัพ “พี่น้อง 3 ป.” เข้าสู่วงการเต็มตัว โชว์แผนต่อตั๋วเต็มๆ
และรอสัญญาณ “ถูกเลือก” อย่างเป็นทางการ กับสนามเลือกตั้งห้วงเปลี่ยนผ่าน

แน่นอน นั่นก็ย่อมมีแรงกระทบจากขั้วฝ่ายอื่นๆตามมา โดยเฉพาะการโชว์หน้า โชว์ตาของผู้นำ ถูกล็อกเป้าถล่มจาก 2 ค่ายการเมืองใหญ่ เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์ เป็นที่เรียบร้อย

ดักคอ ดักทาง สกัดเส้นทางสู่ดวงดาว

ที่น่าสนใจกว่านั้น จับตาไปที่ “สูตรแก้” 2 พรรคจับมือต้าน “พรรคท็อปบูต”

ที่ถูกชูออกมาจากคนทั้ง 2 ค่ายใหญ่ นัยว่าอ่านสมการตัวเลขการเมืองแล้ว ยังยากที่พรรคการเมืองค่ายใหม่ จะโกยแต้มแซงสองขั้วได้

ฉะนั้นทางเดียวที่จะล้มแผน “นายกฯลุงตู่” คือพรรคเพื่อไทย–ประชาธิปัตย์ ต้องแพ็กกันให้แน่น
คว่ำบันไดขั้นสุดท้ายสู่เก้าอี้ “ผู้นำคนนอก”

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สูตรที่เดินตามตำรา “ศัตรูของศัตรู คือมิตร” จะเข้าล็อกแก้ทางท็อปบูตได้ฉมัง
แต่ถึงตรงนี้หลายฝ่ายก็ยังมองว่า โอกาสเป็นไปได้น้อย

นอกเหนือไปจากเหตุผลที่ว่า 2 พรรคใหญ่ค่ายเก่า เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ประเภท “ปลาคนละน้ำ” แบ่งข้างฟัดกันมากว่าทศวรรษ ถึงเวลาจะมาจูบปากจูนเครื่องกันก็คงเหนื่อย

และยังมีปัจจัยภายในแต่ละพรรค ตั้งเงื่อนตั้งแง่จนยากจะคลิกลงตัว

ทั้งชื่อคนในตระกูลชินฯของ “นายใหญ่” ทั้งเงื่อนไข

“หัวขบวน ปชป.” กับชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษา ปชป. ในปมใหญ่เรื่องการเปลี่ยนแปลง

จน “สูตรแก้ทาง” ชักจะเป็นได้แค่ “สูตรขู่” ท็อปบูต

สำหรับพรรคเพื่อไทย ของนายใหญ่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เจอเกมบี้จวนจนกระดาน แม่ทัพขุนพลที่เหลือก็มีชนักค้างใน ป.ป.ช. ทั้งปมจ่ายเงินเยียวยาผู้ชุมนุม นปช. เสนอกฎหมายล้างผิดสุดซอย ฯลฯ

จะหืออือไม่ได้มาก เพียงแต่ต้องหาช่องดิ้น ชูสูตร “2 ค่ายจับมือ” ชะลอคิวบี้ให้ลังเล

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่แตกต่างกัน นอกจากชนักคดีเกี่ยวโยงกับกลุ่ม กปปส. ปมสลายม็อบปี 2553 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ไปจนกระทั่งถูกใส่ “ยาฆ่าแมลง” บอนไซพรรค
มีสัญญาณแรง ขั้ว “อำนาจพิเศษ” ส่ง “ลุงกำนัน” มาไล่ช้อนลูกค่ายตัดแต้ม

สูตรหันไปญาติดี สมานฉันท์กับพรรคเพื่อไทย น่าจะลงล็อก อย่างน้อยก็ยันเกมรุกทอนกำลัง ปชป.
ฉะนั้นวันนี้เรียกว่าทั้ง 2 ค่าย ต่างฝ่ายต่างแค่ “ยืมมือ”

ส่วนจะเดินไปถึงขั้น “จับมือ” นั้น คงต้องคุยกันอีกยาว.

ทีมข่าวการเมือง