PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

จตุพร” ห่วงเลือกตั้งไม่เกิด “สุเทพ” ปลุกวาทกรรมขัดแย้ง โต้ข่าวซื้อลำดับปาร์ตี้ลิสต์ ชี้

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ที่ ห้องแถลงข่าวแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ในฐานะ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ แถลงข่าวกรณีการลาออกจากกรรมการบริหารพรรค ของ พตท.สมชาย เพศประเสริฐ ว่า ความไม่พอใจในลำดับบัญชีรายชื่อ ก็มีปัญหากันทุกพรรค พรรคอื่นๆก็มีปัญหาเรื่องนี้ พรรคที่ใหญ่สุดอาจได้บัญชีรายชื่อน้อยสุด พรรคกลางและพรรคเล็กอาจมากหรือน้อยตามลำดับ ทั้งนี้ตนกับ พตท.สมชาย ยังมีความนับถือกัน ไม่ได้มีปัญหากันเป็นการส่วนตัว จึงมองการลาออกนั้นเป็นสิทธิ เสรีภาพ

ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยว่า หากพรรคเพื่อชาติทำผิดกฎหมายจริง ก็ต้องรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นใบลาออกของพตท.สมชาย ก็สอดคล้องกับบุคคลที่ยื่นพิจารณายุบพรรคเพื่อชาติก่อนหน้านี้ ซึ่งบุคคลที่ยื่นก็เป็นคณะเดียวกันกับ พตท.สมชาย ในขั้นตอนเป็นเรื่อง พตท.สมชายที่ใช้สิทธิยื่นลาออกและมีการกล่าว หาพรรคไว้ ดังนั้นหากการดำเนินการใดๆของพรรค ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พตท.สมชายก็ยังคงเป็นจำเลยด้วยอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนเองไม่ได้ยุส่ง แต่สนับสนุนว่าเมื่อพตท.สมชาย เดินมาขนาดนี้ขอให้เดินหน้าอย่างเด็ดขาด หากมีข้อเท็จจริงก็เปิดเผยทั้งหมด หากพรรคเพื่อชาติเป็นตามที่ถูกกล่าวหา บัญชีรายชื่อก็เป็นโมฆะ พรรคถูกยุบ บุคคลในพรรคก็ต้องถูกดำเนินคดีทางอาญา ในส่วนพรรคเพื่อชาติขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.ยังไม่ได้ส่งข้อกล่าวหาที่มีคนไปร้อง เพื่อให้พรรคเพื่อชาติได้ไปแก้ข้อกล่าวหาซึ่งขั้นตอนนี้พรรคเพื่อชาติได้เตรียมการไว้แล้ว เมื่อ กกต. แจ้ง ผู้ถูกกล่าวหาก็มีสิทธิชี้แจง

ส่วนเรื่องการจ่ายเงินซื้อลำดับบัญชีรายชื่อ ตามกระแสข่าวที่ระบุว่า ถ้าอยู่ในลำดับเลขตัวเดียวต้องจ่ายเงิน 15 ล้านบาท นายจตุพรระบุว่า พรรคการเมืองใดถ้าเอาความเป็นพรรคไปเร่ขายเป็นความเลวทรามต่ำช้า ตนก็เห็นว่า หากพรรคขายตำแหน่ง ส.ส.ตามการกล่าวหาจากแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตน หากมีความจริงปรากฎ พรรคนี้ก็ไม่ควรอยู่ในสถานะพรรคการเมือง และต้องถูกดำเนินตามกฎหมาย

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า อยากให้ย้อนให้ดูรายชื่อลำดับต้นๆ ว่าสมควรจ่ายเงินให้พรรค 15 ล้าน หรือไม่ พร้อมแนะนำว่าให้ผู้สมัครบัญชีรายชื่อทั้ง 150 คน ก็จับไปสาบานที่ศาลหลักเมืองให้สิ้น ว่าใครจ่ายเงินซื้อขายตำแหน่งก็ขอให้ชิบหายโดยทั่วกัน ทั้งนี้การระดมทุนการเมืองกับขายตำแหน่งผู้แทน ต่างกัน ขณะที่ พปชร.ขายโต๊ะจีนได้ 600 กว่าล้าน พรรคนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือ รปช. ขายโต๊ะจีนได้ 280 กว่าล้านแต่พรรคนี้ดูรายชื่อแล้วใครจะขายใครกันแน่ ตนไม่รู้ว่าได้ ส.ส.ถึง 10 คนหรือไม่

ทั้งนี้มองว่า ในทางปฏิบัติขณะนี้พรรคเพื่อชาติ มีสถานะการเงินแย่มากเป็นเรื่องหน้าอับอาย ซึ่งช่องว่างนี้จึงทำให้มีคนปล่อยข่าว ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียงบอกผู้สมัครพรรคเสมอว่าอย่าแสวงหาหนี้สิน โดยไม่จำเป็นและตนพยายามช่วยหาเสียงอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อพรรคการเมืองเดินถึงจุดหนึ่ง ผู้สมัคร ส.ส. ที่คิดว่าพรรคจะมีงบประมาณ ซึ่งพรรคก็ไม่มีงบประมาณจนทำให้ผู้สมัครใช้จ่ายเกิน จนเป็นหนี้สิน จึงเตือนด้วยความเป็นห่วง เมื่อมองภาพภายนอกพรรคนี้เหมือนมีตัง แต่ไม่ใช่จึงขอให้ยอมรับความเป็นจริง ซึ่งหากไม่ยอมรับความจริงจะเดินต่อไม่ได้และตนเองต้องให้กำลังใจบรรดาผู้สมัครส่วนผู้สมัครที่มีศักยภาพมีสถานะทางเศรษฐกิจก็สู้ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดได้ และบางคนก็มีจิตใจเอื้อเฟื้ออนุเคราะห์ให้กับเพื่อนร่วมเขต ก็มีที่ประจักษ์อยู่ในหลายเขตด้วยกัน จากการลงพื้นที่หลายที่ เห็นว่าการหาเสียงบางครั้งไม่ต้องใช้เงิน เพียงแค่ใช้หัวใจที่เป็นประชาธิปไตยก็เดินถึงเส้นชัยแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีหัวใจที่แน่วแน่และมั่นคง

นายจตุพร ได้กล่าวอีกว่า จากการที่นายสุเทพ ปราศรัยและข้อมูลที่โพสกัน และการคารวะแผ่นดิน ทั่วประเทศ เห็นว่าประชาชนไม่ได้ต้อนรับอย่างที่คิด จึงมุ่งเป้าตลาดเดิมของตัวเอง ใช้วาทกรรมประกาศให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างประเทศไทยกับระบอบทักษิณ ตนอยากบอกนายสุเทพว่า เผด็จการจริงแน่นอนแต่ประชาธิปไตยอาจมีพวกซ่อนแอบเพื่อหนุนการสืบทอดอำนาจ เผด็จการเนื่อแท้ยังมีอยู่ และเห็นชัดคือ คสช. ที่เป็นเผด็จการ

แต่นายสุเทพก็รู้ว่าหากให้ประชาชนเลือกข้าง ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการระหว่างเอาพลเอกประยุทธ์กับไม่เอาพลเอกประยุทธ์ ฝ่ายไม่เอาพลเอกประยุทธ์จะชนะ จึงเป็นการใช้ลูกไม้ตื้นๆ ว่าจะเลือกข้างประเทศไทยหรือเลือกข้างระบอบทักษิณ นายสุเทพ รู้แล้วว่าการหาเสียงเหมือนเดิมไม่สัมฤทธิ์ผลท้ายสุดใช้วิธีการแยกข้างในการหาเสียง ถึงขั้นขึ้นเวทีประกาศว่าใครฆ่าใคร เหมือนเวที ชุมนุม กปปส.

ทั้งนี้ตนเตือนมาตั้งแต่ต้น ว่าการใช้วาทกรรมเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ตนไม่เคยกลัวเรื่องนี้เลย เพราะสามารถตอบโต้ได้ทุกกรณี และเรื่องนี้เคยหยิบยกมาใช้ในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 จนนายสุเทพแพ้ เมื่อแพ้ก็แถลงยอมรับว่าไม่ได้แพ้พรรคการเมือง แต่แพ้กระบวนการคนเสื้อแดง วันนี้นายสุเทพปลุกคนของตัวเองแล้ว ยังปลุกมวลชนของตนด้วย และมวลชนของตนมากกว่าและเคยอธิบายไว้ก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง ฝ่ายนายสุเทพไม่เคยชนะพวกตนเลย

ดังนั้นพอทีกับวาทกรรมหลอกลวงประชาชน หวังผลการเลือกตั้งแค่ข้ามคืน การปราศรัยแบบนี้ไม่น่ากลัวเลย ถ้านายสุเทพไม่หยุด นายจตุพรก็จะไม่หยุดบ้าง ซึ่งทางการเมืองนายสุเทพจะแพ้ เพราะตนไม่ได้ปลุกพวกมา และนายสุเทพปลุกพวกตนมาเอง

นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่วิเคราะห์การเลือกตั้งจะถึงหรือไม่ วันนี้ตนให้น้ำหนักการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพียง50 – 50 เหตุจากนายสุเทพ เดินดีๆทุกวันแต่ออกทะเลไปได้อย่างไร อีกทั้งที่มองว่าการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้น เพราะพปชร.จะแพ้ อย่างย่อยยับ ทั้งนี้มองว่า พรรคไหนชนะจะไม่มีอารมณ์เครียด ดังนั้นคนชนะจะไม่แสดงความก้าวร้าวแต่คนแพ้จะแสดงความก้าวร้าว


สัญญาณชีพ รวมพลังประชาชาติไทย ตระหนก กระแส ธนาธร อนาคตใหม่

ถามว่าเหตุใดระยะหลังพรรคอนาคตใหม่และโดยเฉพาะ นายธนา ธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงกลายเป็น”ตำบลกระสุนตก”ในทางการเมือง ไม่เพียงแต่ “คสช.”จ้องจะเล่นงาน

หากพรรครวมพลังประชาชาติไทยยังจัดรวมพรรคอนาคตใหม่ไปอยู่ในกลุ่มของ”อ้ายตัวร้าย”ในทางการเมือง โดยระบุว่าเป็น “อ้ายตัวร้ายใหม่”

อย่าได้แปลกใจหากบรรดาสาวกของ”นกหวีด”ต่างพุ่งปลาย หอกเข้าใส่พรรคอนาคตใหม่และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการ

ล่าสุดก็ถึงกับเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้องต่อกกต.ให้ยุบพรรคในข้อหาว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย

ยิ่งใกล้วันที่ 22 มีนาคม ยิ่งทวีความดุเดือด แหลมคม

 

หากดูจากรายงานล่าสุดของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ถึงจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ก็จะได้คำตอบ

จำนวนทั้งสิ้นมี 51,419,975 คน

แยกเป็นอายุระหว่าง 18-25 ปี 7,339,772 คน อายุระหว่าง 26-45 ปี 19,583,472 คน อายุระหว่าง 48-60 ปี 14,444,663 คน

อายุ 61 ปีขึ้นไป 10,052,068 คน

ประเด็นอยู่ที่อายุระหว่าง 18-25 ปีจำนวน 7,339,772 คนนั้นเป็นกลุ่มคนที่ใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก

ในเบื้องต้นแทบไม่มีพรรคการเมืองใดให้ความสนใจจริงจัง

ต่อเมื่อเกิดพรรคอนาคตใหม่และแสดงเจตจำนงที่จะเจาะทะ ลวงเข้าไปยังคนที่เพิ่งรับรู้รสของการเมือง รับรู้รสของการเลือกตั้งนั่นหรอก

จึงก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในสังคมการเมือง

ประเด็นอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่จุดติด ยิ่งกว่านั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้กลายเป็นความหวังของ “คนรุ่นใหม่”

จึงก่อให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวงขึ้น

 

ความตื่นตระหนกอันสะท้อนออกมาจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณชีพในทางการเมือง

เพราะเวลาเหลืออีกเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น เป็น 20

เป็น 20 วันที่ให้คำตอบกับพรรคอนาคตใหม่ มิได้ให้กับ พรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือพรรคเทพเทือก


ทับซ้อน” ภาวะร้อนฉ่า เอาเปรียบคู่แข่ง / ฉบับประจำวันที่ 1-7 มีนาคม 2562

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่มีภาพชายเจ้าชู้
จนเกิดกรณี “คบซ้อน” อย่างนักร้องดัง “ป๊อป” จนร้อนฉ่าโลกโซเชียลก็ตาม
แต่ภาวะที่ “ตัดขาด” ในสิ่งที่มีไม่ได้
ต้อง “คบซ้อน” หรือ “ทับซ้อน” ไว้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตกอยู่ในภาวะร้อนฉ่าเหมือนกัน
อย่างที่ทราบกัน พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในภาวะคบซ้อนถึง “3 คบซ้อน”
1) การดำรงตำแหน่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
2) นายกรัฐมนตรี
3) ผู้ได้รับการเสนอเชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ในนามพรรคพลังประชารัฐ
มีการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก โดยเฉพาะจากตำแหน่งที่ 1 และที่ 2
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ขานรับ
ยัง “คบซ้อน” ทั้ง 3 ตำแหน่ง เอาไว้เหนียวแน่น โดยอ้างว่ากระทำได้ไม่ผิดกฎหมาย
และเชื่อว่า ทั้ง 3 ตำแหน่งคือ “จุดแข็ง”
และเป็นความได้เปรียบทางการเมือง ที่จะ เบิกทางสู่การกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

แต่เอาเข้าจริง แล้วเหรียญ มี 2 ด้าน
ด้านหนึ่ง อาจเป็นจุดแข็งจริง
แต่อีกด้าน ปฏิเเสธไม่ได้ว่า ทั้ง 3 ตำแหน่งเป็นจุดอ่อนในขณะเดียวกันด้วย
เพราะกลายเป็นสิ่งถ่วงรั้งไม่ให้หาเสียง ไม่ให้ดีเบต และกลายเป็นตำบลกระสุนตก ถูกโจมตีและร้องเรียนว่า เอาเปรียบคู่แข่ง
และบางเรื่องทำให้เกิดการตีความหมิ่นเหม่ว่าจะหมิ่นเหม่ ต่อการทำผิดกฎหมายหรือไม่อีก

เหล่านี้ กลายเป็น “จุดอ่อน” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างหลีกเลี่ยงยาก
ต้องสู้แบบครึ่งๆ กลางๆ
ที่หวังจะ”รุก” กลับกลายต้องมารับ
ซึ่งจะโทษใครคงไม่ได้
เพราะเลือกที่จะ “คบซ้อน ซ่อนสาม” เอง

จตุพรซัดสุเทพปลุกเลือกข้าง เทือกโต้ฝ่ายสร้างปัญหาชาติ

หาเสียงเลือกตั้ง 24 วันสุดท้ายคึกคัก  "พปชร." ลุยโคราช "อนุชา" ลั่น 4 ปีทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากไม่ได้เลิกการเมืองตลอดชีวิต "มาร์ค" ไปร้อยเอ็ดย้ำ ปชป.โดนลอกนโยบาย "จตุพร" ซัด "สุเทพ" ชงเลือกข้างลูกไม้เก่าหวังปลุกกระแสสู้ "เทือก" โต้กลับไม่ให้ความสำคัญคนที่เคยอยู่ฝ่ายสร้างปัญหาให้ประเทศชาติ
    ช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนก่อนจะถึงวันลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ วันที่ 24 มี.ค.2562 พรรคการเมืองต่างๆ เร่งลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างคึกคักตลอดทั้งวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา
    โดยที่ จ.นครราชสีมา นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนางวลัยพร รัตนเศรษฐ และนายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์  กรรมการบริหารพรรค ลงพื้นที่ช่วยนายเกษม ศุภรานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 และนายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 หาเสียงกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งกราบสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) เพื่อความเป็นสิริมงคล 
    นายสุวิทย์กล่าวว่า วันนี้มาโคราชมีโอกาสมากราบสักการะท้าวสุรนารีหรือคุณย่าโมอีกครั้ง และทุกครั้งที่เข้าพื้นที่ จ.นครราชสีมา ก็จะมากราบขอกำลังใจให้ทำงานได้สำเร็จ เพราะ จ.นครราชสีมา เป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน พรรคจึงมีความตั้งใจอยากให้ประชาชนคนโคราชเลือกผู้สมัครของพรรคทั้ง 14  เขตเป็นตัวแทนเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้โคราชบ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคให้ดีกว่านี้ ยิ่งใหญ่กว่านี้ 

ลุงตู่เป็นคนโคราช เติบโตจนมาเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ลุงตู่ทำให้โคราชมากมาย เช่น สร้างระบบเครือข่ายคมนาคมโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง กทม.-โคราช-หนองคาย  รถไฟทางคู่มี 3 เส้นทาง คือ จากสระบุรี-โคราช, โคราช-ขอนแก่น, โคราช-อุบลราชธานี มีมอเตอร์เวย์ชลบุรี-แก่งคอย-โคราช และที่สำคัญจะมีท่าเรือบก ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งเป็นศูนย์ซ่อมและบำรุงรักษารถไฟที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย" นายสุวิทย์กล่าว 


    หาเสียงเลือกตั้ง 24 วันสุดท้ายคึกคัก  "พปชร." ลุยโคราช "อนุชา" ลั่น 4 ปีทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากไม่ได้เลิกการเมืองตลอดชีวิต "มาร์ค" ไปร้อยเอ็ดย้ำ ปชป.โดนลอกนโยบาย "จตุพร" ซัด "สุเทพ" ชงเลือกข้างลูกไม้เก่าหวังปลุกกระแสสู้ "เทือก" โต้กลับไม่ให้ความสำคัญคนที่เคยอยู่ฝ่ายสร้างปัญหาให้ประเทศชาติ
    ช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนก่อนจะถึงวันลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ วันที่ 24 มี.ค.2562 พรรคการเมืองต่างๆ เร่งลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างคึกคักตลอดทั้งวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา
    โดยที่ จ.นครราชสีมา นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนางวลัยพร รัตนเศรษฐ และนายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์  กรรมการบริหารพรรค ลงพื้นที่ช่วยนายเกษม ศุภรานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 และนายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 หาเสียงกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งกราบสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) เพื่อความเป็นสิริมงคล 
    นายสุวิทย์กล่าวว่า วันนี้มาโคราชมีโอกาสมากราบสักการะท้าวสุรนารีหรือคุณย่าโมอีกครั้ง และทุกครั้งที่เข้าพื้นที่ จ.นครราชสีมา ก็จะมากราบขอกำลังใจให้ทำงานได้สำเร็จ เพราะ จ.นครราชสีมา เป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน พรรคจึงมีความตั้งใจอยากให้ประชาชนคนโคราชเลือกผู้สมัครของพรรคทั้ง 14  เขตเป็นตัวแทนเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้โคราชบ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคให้ดีกว่านี้ ยิ่งใหญ่กว่านี้ 
    "ลุงตู่เป็นคนโคราช เติบโตจนมาเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ลุงตู่ทำให้โคราชมากมาย เช่น สร้างระบบเครือข่ายคมนาคมโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง กทม.-โคราช-หนองคาย  รถไฟทางคู่มี 3 เส้นทาง คือ จากสระบุรี-โคราช, โคราช-ขอนแก่น, โคราช-อุบลราชธานี มีมอเตอร์เวย์ชลบุรี-แก่งคอย-โคราช และที่สำคัญจะมีท่าเรือบก ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งเป็นศูนย์ซ่อมและบำรุงรักษารถไฟที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย" นายสุวิทย์กล่าว 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นายสุวิทย์ได้ชักมีดดาบอีกครั้งโดยให้หันคมดาบไปด้านหน้า เพื่อหมายจะต่อสู้เอาชนะฝ่ายตรงข้าม หลังจากครั้งที่ผ่านมาหันคมดาบผิดด้านเข้าหาตัวเอง จนเกิดกระแสวิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างกว้างขวาง
    ส่วนนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พรรค พปชร. พร้อมด้วยนายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคกลาง, นายวิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำภาคอีสาน และนายภิรมย์ พลวิเศษ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลงพื้นที่ช่วยนายประพิศ นวมโคกสูง ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา หาเสียง ที่ตลาดแม่สมบูรณ์ ต.จอหอ อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา โดยได้รับเสียงตอบรับจากประชาชน พ่อค้าแม่ค้าเป็นอย่างดี มีการมอบดอกไม้ให้กำลังใจและขอถ่ายรูปอย่างคึกคัก 
พปชร.ขายฝันเกษตรกร
    นายสุริยะกล่าวว่า พรรค พปชร.มีนโยบายพักหนี้กองทุนหมู่บ้านเป็นระยะเวลา 3 ปี และระหว่างนี้ก็ตั้งกองทุนใหม่ คือกองทุนประชารัฐ ให้พี่น้องประชาชนไปกู้เงินมาจับจ่ายใช้สอยดูแลลูกหลาน และทำมาค้าขาย ซึ่งหากพรรคได้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศก็จะมีทีมเศรษฐกิจ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้าไปทำงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศ เมื่อประเทศมีรายได้หนี้ที่พักไว้ก็จะยกเลิก นี่คือสิ่งที่พรรคตั้งใจทำ 
    ด้านนายอนุชากล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์พยายามสร้างความเจริญ ความมั่นคงและมั่งคั่งของประเทศ ดูแลคนยากจน รวมไปถึงเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อย่างกรณีเรื่องข้าว พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายช่วยเรื่องค่าเก็บเกี่ยว ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ และหลังจากนี้จะมีทีเด็ดในเรื่องของข้าวออกอีก จึงขอให้ชาวนาอดใจรอ 
    "หาก 4 ปี ยังทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากไม่ได้ จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เพราะมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐทำได้อย่างแน่นอน จึงขอเอาชีวิตการเมืองของผมเป็นเดิมพัน ว่าจะต้องสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร รวมไปถึงของคนไทย ที่ทำมาค้าขายให้มีเงินมีทองมาใช้หนี้ เพราะการเป็นหนี้มันเหนื่อย ดังนั้นหากอยากใช้หนี้ให้หมดไป ต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ" นายอนุชากล่าว
    นายวิรัตน์เชื่อมั่นว่าจะกวาด ส.ส.โคราช ได้เกิน 10 ที่นั่ง เพราะสงครามครั้งนี้แพ้ไม่ได้ หากแพ้ตนจะไม่อยู่โคราชและประเทศไทยแล้ว
    พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายอิสสระ สมชัย รองหัวหน้าพรรค พร้อมแกนนำภาคอีสาน ลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ดเขตต่างๆ หาเสียง โดยนายอภิสิทธิ์ขึ้นรถแห่รอบเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดไปยังศูนย์ประชุมสาเกตฮอลล์ เพื่อปราศรัยกับพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด และรณรงค์เชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.2562
    นายอภิสิทธิ์ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ขณะนี้มีการแข่งขันนโยบายของทุกพรรคการเมือง ดังนั้นประชาชนต้องแยกแยะให้ดีว่าพรรคไหนเป็นของจริง พรรคไหนเป็นของลอกเลียน หลายนโยบายประชาธิปัตย์เป็นผู้เริ่มต้นและเปิดตัวมาก่อน แต่มีหลายพรรคออกมาพูดทีหลังเหมือนประชาธิปัตย์พร้อมทั้งเกทับอีกด้วย จึงอยากจะบอกว่านโยบายจะทำได้จริงหรือไม่ ต้องดูที่มาของนโยบายนั้นให้ดี ไม่ใช่พอจะมีเลือกตั้งค่อยมานั่งคิดสนุกๆ เพื่อหวังคะแนนเสียงเท่านั้น
    "นโยบายของประชาธิปัตย์มาจากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนและการทำงานมาตลอด 5 ปี  แม้ไม่มีสภา ตนก็กำชับลูกพรรคทุกคนไม่ให้หยุดทำงาน ต้องลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด”หัวหน้าพรรค ปชป.กล่าว
    พรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) นายอารี ไกรนรา รองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรค และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรค ได้ลงพื้นที่ดินแดง ช่วย น.ส.สาวิตรี สาทสุทธิ ผู้สมัครส.ส.เขต 5 หาเสียงที่ตลาดดินแดง จากนั้นไปต่อที่ตลาดห้วยขวาง
    นายจตุพรกล่าวถึงกรณีกองทัพแถลงขอพรรคการเมืองอย่าใช้นโยบายเลิกการเกณฑ์ทหารในการหาเสียงว่า เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับอดีต ผบ.ทบ., ผบ.สส. ในประเด็นเกี่ยวกับการสร้างทหารอาสา หมายความว่าเราจะได้บุคคลที่มีความเต็มใจที่จะเป็นทหารรับใช้ชาติ และใช้หลักคิดว่าทุกอาชีพต่างก็รับใช้ชาติได้ มิใช่ว่าจะต้องไปเป็นทหารแค่อย่างเดียว ในวัย 21 ปีตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร เห็นว่าในวันนี้ประเทศไทยเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกณฑ์ทหาร เพราะในบางพื้นที่มีคนสมัครมากกว่าจำนวนที่เกณฑ์ และที่สำคัญก็คือว่าขณะนี้เรามิได้มีศึกสงคราม
ซัดสุเทพปลุกเลือกข้าง
    "การจะเป็นนักรบต้องมีความเต็มใจและมีความหมายมุ่ง การจะจับคนที่มีความถนัดอีกสาขาหนึ่งไปเป็นทหาร มันไม่สอดคล้องกัน เพราะชาติจะต้องประกอบด้วยประชาชนทุกฝ่าย ทหารต้องทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ เวลานี้เมื่อทหารมาบริหารชาติเห็นหรือไม่ เศรษฐกิจก็ทรุด ทหารถ้าไปอยู่ตามแนวชายแดนเป็นรั้วก็จะทำหน้าที่เป็นอย่างดี เพราะตรงกับอาชีพ แต่ทันทีที่ย้ายรั้วมาไว้ที่ห้องรับแขก เศรษฐกิจพังพินาศหมด เพราะการทำงานที่ผิดหน้าที่ ซึ่งเป็นการชัดเจนแล้วว่า 5 ปีนี้ งานที่ทหารไม่ถนัดก็คือการบริหารประเทศ ทหารฝึกเอาไว้รบ ไม่ใช่มาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และตนยังเชื่อว่าหากมีการบริหารจัดการ จัดระบบ จำนวนทหารอาสาที่กองทัพมีความต้องการก็จะเพียงพอกับปริมาณ จะไม่ตกหล่น ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหารอีกต่อไป" นายจตุพรกล่าว
    ถามถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ระบุการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกข้างประเทศไทยหรือระบอบทักษิณว่า นายสุเทพก็รู้ว่าหากให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ ระหว่างเอา พล.อ.ประยุทธ์ กับไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่ายไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์จะชนะ จึงเป็นการใช้ลูกไม้ตื้นๆ ว่าจะเลือกข้างประเทศไทยหรือเลือกข้างระบอบทักษิณ นายสุเทพรู้แล้วว่าการหาเสียงเหมือนเดิมไม่สัมฤทธิผล ท้ายสุดใช้วิธีการแยกข้างในการหาเสียง
    ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย ลงพื้นที่หาเสียงเป็นครั้งแรกในพื้นที่ กทม. ย่านสยามสแควร์ โดยมีประชาชนที่เคยชุมนุมร่วมกับกลุ่ม กปปส.เข้ามาทักทาย จากนั้นขึ้นรถไฟฟ้าต่อไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยให้สัมภาษณ์กรณีนายจตุพรออกมาวิจารณ์การปราศรัยของตนเหมือนเวที กปปส. ว่า "พูดแล้วอย่าโกรธกัน ผมไม่ให้ความสำคัญกับนายจตุพร นายจตุพรไม่ใช่คนที่เราจะต้องให้ความสำคัญ แม้จะท้าดีเบต ผมก็ไม่ให้คะแนนนายจตุพร เพราะนายจตุพรเคยอยู่ในฝ่ายที่สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ"
    นายสุเทพกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการตอบรับดีมาก ซึ่งจุดยืนที่แน่นอนของ รปช.คือไม่ร่วมกับระบอบทักษิณ ไม่ว่าพรรคนั้นจะชื่ออะไรก็ตาม เพราะเขาแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย เป็นหลายชื่อ แต่บริษัทเดียวกัน เราไม่เอาด้วยแน่นอน 
    พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคหาเสียงตั้งแต่ช่วงเช้า โดยแวะสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร และไหว้พระพุทธรูปประจำจังหวัด ซึ่งมีขบวนรถตุ๊กๆ จำนวน 10 คันมารอต้อนรับ
    น.ส.กัญจนากล่าวว่า ทางพรรค ชทพ.เล็งเห็นปัญหาหลักๆ ใน จ.สมุทรสาคร 2 ประเด็น คือปัญหาด้านการประมงและปัญหาการคมนาคม ซึ่งเราจะมีการทบทวนกฎหมายที่กระทบกับชาวประมง แต่ก็ต้องสอดคล้องกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีปัญหาแรงงานต่างด้าวต้องอยู่ในการประมงเท่านั้น ไม่ไปทำอาชีพอื่น ถ้าพรรคได้มีโอกาสเข้ามาดูแลจะเร่งแก้ไขปัญหาชาวประมงทันที 
    พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และทีมงาน ลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ช่วยนายภูวนาถ กาศสกุล ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 หาเสียงย่านตลาดเก่าพนัสนิคม ต่อด้วยตลาดทุ่งเหียง อ. พนัสนิคม ซึ่งตลอดทางเดินมีพ่อค้าแม่ขาย ประชาชนที่กำลังจ่ายตลาดเข้ามาพูดทักทาย มอบการ์ดให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ร่วมสะท้อนปัญหาด้านเศรษฐกิจให้หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้ฟังด้วย จากนั้นนายธนาธรพร้อมด้วย นายสมชาย เนื่องจำนงค์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ขึ้นขบวนรถแห่รอบตลาดบ้านบึง อ.บ้านบึง
    นายธนาธรกล่าวถึงคดีความ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ตอนนี้อยากมุ่งหน้าลงพื้นที่ต่อไป ซึ่งจะเน้นลงพื้นที่ในต่างจังหวัดให้ได้มากที่สุด
    พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรค ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงที่ย่านตลาดไท จ.ปทุมธานี โดยได้ลากเครื่องขยายเสียงทักทายกับพี่น้องประชาชน 
    นายสุวัจน์กล่าวถึงกรณีหลายผลโพลสำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีในดวงใจว่า ก็ต้องหาเสียงเยี่ยมเยียนประชาชน หยิบยกนโยบายทำให้ประชาชนเห็นว่าทำไมต้องเลือกพรรคชาติพัฒนา ซึ่งมีจุดแข็งอยู่ 2 เรื่องใหญ่ คือ การไม่มีปัญหากับใคร ไม่ขัดแย้งทางการเมือง และนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องยั่งยืน มั่นคง ดูแลเศรษฐกิจรากหญ้า ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ตัวเลือกแคนดิเดตนายกฯ เยอะ พรรคการเมืองก็เยอะ ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของประชาชน.

ไฟเขียวบิ๊กตู่หาเสียงได้


    "ประยุทธ์" เปลี่ยนสถานะจากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นบุคคลสาธารณะ ขณะที่ กกต.ไฟเขียวให้เดินช่วยผู้สมัคร พปชร.หาเสียงได แต่พึงระวังการใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นคุณเป็นโทษกับผู้สมัครและพรรคการเมือง “อุตตม” เฮ! กกต.ชี้มีคุณสมบัติครบถ้วน รับหากยุบ ทษช.บัตรเสียพุ่งแน่ เตือนบรรดาขาร้องดูข้อมูลให้ดี เพราะไร้มูลผิดหมิ่นประมาท-เช็กบิลภายหลัง “บุญถาวร” ยื่นยุบอนาคตใหม่ข้องใจทำภารกิจคณะราษฎรให้สำเร็จคืออะไร “พรรคเพื่อนไทย” ปลิวแล้วศาลฎีกาชี้ไม่มีการจัดตั้งสาขาและตัวแทนพรรคจริง ส่งผลผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 2 ระบบ 206 คนตายก่อนเลือกตั้ง 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ มีความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีกำหนดการภายนอกแต่อย่างใด แต่ในเวลา 13.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางออกจากทำเนียบฯ ซึ่งคนใกล้ชิดแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ไปทำภารกิจส่วนตัว
    ขณะเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเพจเฟซบุ๊กประยุทธ์ จันทร์โอชา prayut chan-o-cha ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปลี่ยนสถานะตัวเองจากเจ้าหน้าที่รัฐ มาเป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งคาดว่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาที่วิจารณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขาดคุณสมบัติการถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ตามที่นายเรืองไกรยื่นร้องต่อ กกต. ส่วนในอินสตาแกรมของ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ได้โพสต์ภาพสุนัขตัวโปรดพันธุ์บูลด็อก โดยระบุว่า “เสือมาส่ง” 
    ช่วงค่ำวันเดียวกัน มีรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหนังสือของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)​ที่สอบถาม กกต.ในประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะสามารถขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงได้หรือไม่ และ พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถเดินช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงได้หรือไม่ ซึ่ง กกต.ได้พิจารณาข้อกฎหมายแล้วมีมติว่าสามารถทำได้ โดยเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง แต่ขอให้พึงระมัดระวังในเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นคุณเป็นโทษกับผู้สมัครและพรรคการเมือง ซึ่งคาดว่า กกต.จะมีหนังสือตอบกลับไปยังพรรคพลังประชารัฐในสัปดาห์นี้
    ทั้งนี้ หนังสือหารือของพรรค พปชร.ก็ไม่มีการสอบถามในเรื่องว่า พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถขึ้นดีเบตในฐานผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคได้หรือไม่ด้วย
    ที่ จ.นครราชสีมา นายสุวิทย์  เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวระหว่างช่วยผู้สมัครหาเสียงตอนหนึ่งว่า พรรคพลังประชารัฐจะมาโคราชจนกว่าคนโคราชจะเลือกพรรคยกจังหวัด ที่สำคัญที่สุดหากท่าน พล.อ.ประยุทธ์สามารถปราศรัยได้ เราก็อยากเรียนเชิญท่านมาพบปะและปราศรัยให้พี่น้องชาวโคราชด้วยตัวเอง
    ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องการยุบพรรค พปชร. กรณีเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ และการจัดโต๊ะจีนระดมทุนของพรรค พปชร.ว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองใกล้จะเสนอต่อ กกต.พิจารณา ส่วนกรณีการระดมทุนนั้น ไม่ใช่การตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การยุบพรรค เป็นการตรวจสอบว่าเงินที่ได้รับจากการระดมทุนนั้นมีเอกสารครบถ้วนถูกต้อง และรับมาจากผู้บริจาคที่สามารถบริจาคได้ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ แต่เราจะไม่ไปตรวจสอบว่าผู้ที่แจ้งความประสงค์จะสนับสนุนแล้วไม่สนับสนุนเป็นเพราะเหตุใด เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติหรือไม่ จะตรวจสอบเฉพาะได้เงินสนับสนุนมาเท่าไหร่ มีเอกสารยืนยันถูกต้องหรือไม่เท่านั้น
ยุบ ทษช.บัตรเสียอื้อแน่
    “กรณีการร้องว่านายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค เนื่องจากเป็นหัวหน้าพรรคก่อนการสมัครเป็นสมาชิกพรรคขัดต่อข้อบังคับพรรค และกฎหมายพรรคการเมืองนั้น กกต.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฎหมายแล้ว มีมติว่านายอุตตมมีคุณสมบัติครบถ้วน และได้มีการแจ้งให้ผู้ร้องทราบแล้ว” พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าว
    เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ทษช. ในวันที่ 7 มี.ค. ว่าอาจส่งผลให้บัตรเสียเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในบัตรเลือกตั้งยังมีช่องกาให้พรรค ทษช.ในเขตที่ส่งผู้สมัครอยู่ หากประชาชนไปเลือกถือว่าเป็นบัตรเสีย ซึ่งถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ทษช. ก็ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่าถ้าหากเลือกกาผู้สมัครของพรรค ทษช. ถือว่าเป็นบัตรเสียทันที เช่นเดียวกับผู้สมัครของพรรคอื่นๆ ที่ขาดคุณสมบัติการเลือกตั้งด้วย
    เลขาธิการ กกต.กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มีผู้ร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งต้องสอบปากคำในเรื่องที่ร้อง โดยจะดูว่ามีมูลมากพอที่ตรวจสอบต่อไปได้หรือไม่ โดยอยากเตือนผู้ที่ร้องว่า ถ้าร้องในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ก็เข้าข่ายหมิ่นประมาทด้วยความเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุก และถ้าเรื่องที่มาร้องต่อ กกต.ไม่เป็นความจริงก็เข้าข่ายร้องเท็จอีก ซึ่งมีลักษณะนี้ทุกครั้งในการเลือกตั้ง กกต.ต้องดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นก่อนมาร้องก็ต้องพิจารณาให้ดี
    วันเดียวกัน ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 351/2562 คดีหมายเลขแดงที่ 204/2562 ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยคดีดังกล่าวนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ฟ้องคดี โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนมติของ กกต.ในการประชุมครั้งที่ 18/2562 เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2562 ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรค ทษช.
    โดยศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งมติในการประชุมครั้งที่ 18/2562 เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรค ทษช. เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 อันถือเป็นการใช้อำนาจทางปกครองก็ตาม แต่โดยที่ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ กกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมือง หากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 
7 มี.ค.สะเทือนการเมือง
    1.กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2.กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 20 วรรคสอง มาตรา 28 มาตรา 30 มาตรา 36 มาตรา 44 มาตรา 45 มาตรา 46 มาตรา 72 หรือมาตรา 74 และ 4.มีเหตุอันจะต้องยุบพรรคการเมืองตามที่มีกฎหมายกำหนด กรณีจึงถือว่าการพิจารณายุบพรรคการเมืองมีกฎหมายเฉพาะกำหนดให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลปกครองจึงไม่อาจรับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาได้ ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
    ขณะที่ความเคลื่อนไหวที่พรรค ทษช.ในช่วงเช้าพบว่าไม่มีแกนนำพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค เดินทางเข้ามายังที่ทำการพรรค มีเพียงผู้สมัคร ส.ส.ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เดินทางมายื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลงสมัครรับเลือกตั้งให้สำนักงานพรรค และยังแสดงเจตจำนงพร้อมลงเลือกตั้งต่อไป ส่วนกิจกรรมทางการเมืองของพรรคนั้นก็ยังดำเนินต่อไป โดยช่วงเย็นมีกำหนดการลงพื้นที่พบประชาชนที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นำโดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียง
    นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ กล่าวระหว่างลงพื้นที่หาเสียงที่ตลาดดินแดงและตลาดห้วยขวาง กทม. ว่าระยะเวลาถัดจากนี้ไป เราเหลือระยะเวลาอีกเพียงแค่ 24 วัน จะเป็น 24 วันที่ทรงคุณค่ามากที่สุด ณ วันนี้ประชาชนยังไม่มีคำตอบสุดท้าย เพราะสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่จะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจของประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบในวันที่ 7 มี.ค. เรื่องการยุบบางพรรคการเมือง ก็จะส่งผลทางการเมืองเช่นเดียวกัน 
    ที่สำนักงาน กกต. นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ทีมงานประชาชนและปกป้องรัฐธรรมนูญ ยื่นหนังสือขอให้ กกต.ดำเนินการพิจารณาส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เพราะมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ใช้วาทกรรมที่ส่อว่ามีเจตนาดังกล่าวหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2554 รวมไปถึงการประกาศยกเลิกมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และล่าสุดกับคำให้สัมภาษณ์ที่ระบุว่าจะสานต่อภารกิจของคณะราษฎรให้สำเร็จ ซึ่งต้องถามนายธนาธรว่าหมายถึงอะไร
    “การยื่นคำร้องครั้งนี้ดำเนินการในฐานะคนไทยที่รักประเทศ โดยใช้สิทธิตามตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ โดยได้เตรียมเอกสารประกอบคำร้องยาวกว่า 20 หน้า ให้ กกต.พิจารณาด้วย ซึ่งทั้งหมดคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และปรากฏตามสื่อมวลชน ไม่ได้ปรุงแต่งใดๆ และทราบว่าหลังจากนี้อีก 3 วัน จะมี 2 องค์กรเตรียมเข้ายื่นคำร้องให้ตรวจสอบพรรคอนาคตใหม่ในความผิดเดียวกัน โดยมีหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้” นายบุญถาวรกล่าว
    ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์สมาคมฯ เรื่องขอดเกล็ด 11 เหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เหมาะเป็นนายกฯ ว่า 1.เป็นผู้นำรัฐประหารซึ่งทั่วโลกไม่ยอมรับ 2.ไม่มีความเป็นผู้นำทั้งในและต่างประเทศ เป็นตัวตลกในเวทีโลก 3.ไม่กล้าตัดสินใจในผลประโยชน์ของชาติ เช่น กรณีเขมรรุกที่ทำกินในเขตแดนไทย 4.ทำจริง ทำได้ และทำให้เห็นมาแล้วคือการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ 5.ตัวจริงเสียงจริง ในการใช้คำสั่ง คสช.อย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงหลักประชาธิปไตย 6.เสียสละเพื่อชาติเกินไปทำให้ไทยมีหนี้สาธารณะเกือบ 7 ล้านล้านบาท 7.อ้างว่ารักประชาชน แต่นำเงินภาษีของประชาชนไปแจกคนจนหาเสียงล่วงหน้า 8.เป็นนายกฯ ที่สัมผัสไม่ได้ พึ่งไม่ได้ ทุกครั้งที่ลงพื้นที่หรือจัด ครม.สัญจร ลิ่วล้อจะกีดกันชาวบ้านไม่ให้มาร้องทุกข์ต่อหน้า ใครฝ่าฝืนก็ถูกแจ้งความผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ 9.ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่ปกป้องสมบัติชาติ 10.ทำลายฐานรากประชาธิปไตยด้วยการทำรัฐประหาร และ 11.มีความเป็นมนุษย์สูงเกินไป คือ หงุดหงิดง่าย ตวาดนักข่าวหรือผู้คน ใช้ถ้อยคำผรุสวาทเสมอๆ
"พรรคเพื่อนไทย"ปลิวว่อน
    “เหตุผลทั้ง 11 ข้อดังกล่าว คณะตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบภาคประชาชน นำโดยคุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์, คุณรสนา โตสิตระกูล, คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล, คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และผู้รู้ท่านอื่นๆ ได้ร่วมกันขอดเกล็ดนำเสนอบางประเด็นให้สาธารณชนทราบมาแล้วตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสรุปได้ตรงกันว่าผิดหวังกับ คสช. และผิดหวังต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำให้การรัฐประหารที่มีธงนำเรื่องการปฏิรูปนั้นเสียของ ทำให้ประเทศเสียเวลา เสียโอกาสในการพัฒนาอย่างน่าเสียดาย” นายศรีสุวรรณกล่าว
    ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำร้องในคดีที่นายอุมัธ หวังสาสุข ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อนไทย ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขอคืนสิทธิการเป็นผู้สมัครหลังไม่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตไม่ประกาศรายชื่อ โดยศาลเห็นว่า หนังสือแจ้งการแต่งตั้งตัวแทนประจำจังหวัดของพรรคเพื่อนไทยฉบับลงวันที่ 9 และ 28 ม.ค. ไม่ได้ลงนามโดยหัวหน้าพรรคเพื่อนไทย หรือโดยผู้ได้รับมอบอำนาจจากหัวหน้าพรรคไม่ชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 35 วรรคสอง ประกอบกับประกาศนายทะเบียนพรรคการเมืองเรื่องการจัดตั้งสาขาพรรค การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสาขาพรรค หรือคณะกรรมการสาขาพรรคและการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลงตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 2560 ข้อ 12 รวมทั้งนายทะเบียนพรรคการเมืองได้วินิจฉัยว่าการประชุมใหญ่พรรคเพื่อนไทยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2561 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และแจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบแล้ว คำวินิจฉัยดังกล่าวยังไม่ถูกเพิกถอน จึงมีผลใช้บังคับอยู่ 
    จากเหตุผลดังกล่าวจึงถือได้ว่าพรรคเพื่อนไทยไม่ได้จัดตั้งสาขาพรรคหรือแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จึงไม่สามารถส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทุกเขตเลือกตั้ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ดังนั้นที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 ฉะเชิงเทรา ไม่ประกาศรายนายอุมัธจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
    ทั้งนี้ จากคำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกา มีผลให้ผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตพรรคเพื่อนไทย ที่ส่งสมัครผู้สมัคร ส.ส.ทั้งสิ้น 154 เขตเลือกตั้งจะไม่ได้รับการคืนสิทธิให้เป็นผู้สมัคร ขณะเดียวกันในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 52 คน ที่ก่อนหน้านี้ กกต.ประกาศรับรองให้เป็นผู้สมัคร กกต.ก็ต้องประกาศถอนบัญชีผู้สมัครของพรรคเพื่อนไทยออก โดยพรรคเพื่อนไทยมีนายสิระ พิมพ์กลาง อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สกลนคร เป็นผู้ก่อตั้งพรรคและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ภายหลังมีความขัดแย้งกับนายอนุวัฒน์ วิกัยพัฒน์ ซึ่งอ้างตนเป็นหัวหน้าพรรคเช่นเดียวกัน จนไม่รู้ว่าใครคือหัวหน้าพรรคตัวจริงกันแน่.