PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การรถไฟฯมีคำสั่งรับ 6พนักงานประจำสาขาหาดใหญ่ที่ถูกไล่ออกจากกรณีออกมาชุมนุมเรียกร้องด้านความปลอดภัยการเดินรถไฟ เมื่อปี2552 กลับเข้าทำงานตามเดิม

ดีใจด้วยค่ะ
cr.ศูนย์ข่าวภาคใต้ โมเดิร์นไนน์ทีวี
การรถไฟฯมีคำสั่งรับ 6พนักงานประจำสาขาหาดใหญ่ที่ถูกไล่ออกจากกรณีออกมาชุมนุมเรียกร้องด้านความปลอดภัยการเดินรถไฟ เมื่อปี2552 กลับเข้าทำงานตามเดิม แล้ว
เนื่องจากเห็นว่าทั้ง6คนทำไปเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของการรถไฟฯพนักงานการรถไฟและเพื่อความปลอดภัยของขบวนรถมิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยให้เข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดิมเท่าเดิม
และให้ได้รับเงินเดือนในระหว่างที่ถูกไล่ออกจากงาน ขณะที่แกนนำภูมิใจที่ได้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องและได้รับความเป็นธรรมหลังต่อสู้มานาน4ปี7เดือน และสวมเครื่องแบบกลับเข้าทำงานเป็นวันแรกวันนี้โดยพนง.ทั้ง 6 คนประกอบด้วย
นายธวัชชัย บุญวิสูตร ช่างเครื่อง 5
นายสรวุฒิ พ่อทองคำ ช่างเครื่อง 5
นายสาโรจน์ รักจันทร์ ช่างเครื่อง 5
นายประชานิวัฒน์ บัวศรี พนักงานรถจักร 6
นายวิรุฬห์ สะแกคุ้ม พนักงานรถจักร 6
และ นายนิตินัย ไชยภูมิ นายสถานีบางกล่ำ

ศาลทหารให้ประกัน ‘จาตุรนต์’ เจอแจ้งผิดพรบ.คอมพ์เพิ่มรวม 3 ข้อหา โทษ 14 ปี

ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
ศาลทหารให้ประกัน ‘จาตุรนต์’ เจอแจ้งผิดพรบ.คอมพ์เพิ่มรวม 3 ข้อหา โทษ 14 ปี เจ้าตัวเตรียมทนายสู้เต็มที่
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 มิ.ย. ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ ที่ถูกพนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาไว้ 2 ข้อหา ได้แก่ 1. ขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ไปรายงานตัวระวางโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท และ 2. กระทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 กม. ยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่องและให้เกิดการทำผิดกฎหมายจากกรณีแถลงข่าวที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ระวางโทษจำคุก 7 ปี รวม 9 ปี ได้เดินทางมายังศาลทหาร เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและขออำนาจศาลฝากขังในผลัดที่ 3 อีก 12 วัน เมื่อระวางโทษไม่ถึง 10 ปี สามารถฝากขังได้ไม่เกิน 4 ผลัด ๆ ละ 12 วัน รวม 48 วัน หลังจากที่ได้รับการประกันตัวออกมา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ต่อมาเวลา 11.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 3 องค์คณะตุลาการศาลทหารนั่งบัลลังก์ พิจารณาคำร้องขอฝากขังนายจาตุรนต์ ผลัดสาม 12 วัน ระหว่างวันที่ 21 มิ.ย. - 2 ก.ค. โดยพนักงานสอบสวนยืนยันว่ามีความจำเป็นต้องฝากขัง เนื่องจากต้องมีการค้นประวัติอาชญากรรม ทั้งยังต้องสอบปากคำพยานบุคคลอีก 3 คน และมีการแจ้งข้อหาใหม่นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งกระทบและเป็นภัยต่อความมั่นคง
ด้านนายจาตุรนต์ คัดค้านคำขอของพนักงานสอบสวนว่า ตนเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาจึงไม่มีประวัติอาชญากรรมอยู่แล้ว ส่วนการสอบพยานบุคคลก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ซึ่งในส่วนนี้เป็นข้อกล่าวหาเดิมที่ตนเคยคัดค้านและได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวไปแล้ว แต่ในส่วนข้อกล่าวใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น เพิ่งมีการมาแจ้งให้ตนรับทราบก่อนการพิจารณาในวันนี้เพียง 30 นาที ซึ่งถือว่าน่าแปลกใจและสงสัยถึงความผิดปกตินี้เป็นอย่างมากว่า มีเจตนาเพื่อต้องการนำมาเป็นข้ออ้างว่าต้องการสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเพื่อขออำนาจศาลฝากขังตนในผลัดต่อไปใช่หรือไม่
จากนั้นศาลจึงพิจารณาอนุญาตตามคำขอของพนักงานสอบสวนให้ฝากขังผู้ต้องหาผลัดสาม 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. - 2 ก.ค. แต่เนื่องด้วยผู้ต้องหาได้ประกันตัวไปจากครั้งที่แล้ว จึงไม่ต้องถูกควบคุมตัว แต่ขอนัดหมายให้นายประกันมายื่นเอกสารเพิ่มเติม เมื่อครบกำหนดฝากขังในวันที่ 2 ก.ค. เวลา 09.00 น. ต่อไป นอกจากนี้ศาลก็ขอให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดดำเนินการสืบพยานหลักฐานด้วยเช่นกัน เพราะผู้ต้องหานำการสืบพยานที่ล่าช้ามาคัดค้านได้ทุกครั้ง
ต่อมานายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า วันนี้ตนมาขึ้นศาลทหารเพื่อพิจารณาการฝากขังและการประกันตัว โดยตนได้คัดค้านไปตามความเห็นโดยสุจริต ซึ่งศาลมีคำสั่งฝากขังอีกเป็นเวลา 12 วัน ดังนั้นขอขอบคุณที่ให้ประกันตัว ทั้งนี้ตนได้พบข้อมูลข้อเท็จจริงที่ตนไม่คิดมาก่อนว่า พนักงานสอบสวนได้มาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ก่อนฟังคำพิจารณาก่อนฟังว่า มีนายทหารมาร้องกล่าวโทษ การพูดและการกระทำของตนผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา14 (3) ที่เป็นความผิดต่อความมั่นคงหรือการก่อการร้าย โดยทราบคร่าวๆ ว่าเป็นการนำเอาคำแถลงต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศในวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา ข้อหาดังกล่าวมีระวางโทษ 5 ปี รวม 3 ข้อ เป็น 14 ปี จากกรณีไม่มารายงานตัวตามคำสั่งคสช.และการไปแถลงข่าวยุยงปลุกปั่นที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ
“ทั้งนี้เมื่อผมฟังข้อกล่าวของพนักงานสอบสวนอย่างกระชั้นชิดและไม่เป็นปกติ ผมก็ยังไม่ได้เซ็นชื่อรับทราบข้อกล่าวหา เพราะเห็นว่าเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่ผิดปกติ คือไม่มีหมายเรียกไปที่โรงพักเพื่อทราบข้อกล่าวหา และไม่ทราบว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นมูลเหตุนำเรื่องนี้ไปเป็นข้ออ้าง ในการเพิ่มพยานหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่ปกติและกะทันหัน เมื่อรวมแล้วต้องโทษถึง 14 ปี ต้องหารือกับทางทนายเพื่อเตรียมการสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเป็นพลเรือนขึ้นศาลทหาร กรณีความคิดที่แตกต่าง คดีแรกในรอบ 30 กว่าปี โดยผมจะหาทนายที่เข้าใจและมีประสบการณ์ ดังนั้นต้องหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วย และจะพยายามเตรียมการสู้คดีให้ถึงที่สุด และจะเตรียมข้อมูล เตรียมความรู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย การดำเนินการทุกอย่างของผม ที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความเป็นประชาธิปไตยและความปรองดอง จะเป็นไปตามเงื่อนไขหลักการประกันตัวของศาล คือทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎหมาย” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า การแสดงความเห็นต่างๆ โดยสุจริตใจ ที่บ้านเมืองต้องการ การปฎิรูปและการแก้รัฐธรรมนูญตามที่ทางคสช.และหลายฝ่ายได้เชิญ ดังนั้นการแสดงความคิดเห็นตนเชื่อว่าสามารถทำได้ โดยตนจะใช้เสรีภาพที่มีอยู่ เพื่อทำให้เป็นประโยชน์ ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ในส่วนข้อเสนอที่ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยนั้น กำลังคิดอยู่ พยายามอ่านหนังสือเพราะประชุมกับใครก็ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะนำเสนอต่อไป ในขั้นตอนนี้อยากให้ความเห็นว่า การทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย การปฏิรูปการปรองดอง จำเป็นต้องส่งเสริมให้หลายฝ่ายมีส่วนร่วม จะเป็นประโยชน์ที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า มีประชาชนกว่า 100 คน ที่มาให้กำลังใจตั้งแต่ช่วงเช้าได้นำดอกกุหลาบมามอบให้และทักทายให้กำลังใจและร่วมกันยืนปรบมือให้กำลังใจนายจาตุรนต์อย่างกึกก้องอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถยนต์ส่วนตัวออก

องค์กรเก็บขยะแผ่นดินจะทำการฝึกอบรมหลักสูตรค้นหาผู้กระทำความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทางสื่อสารสนเทศ รุ่นที่ 2


องค์กรเก็บขยะแผ่นดินจะทำการฝึกอบรมหลักสูตรค้นหาผู้กระทำความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทางสื่อสารสนเทศ รุ่นที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 22 มิ.ย.57 ตั้งแต่ 8.00 - 16.00 น. สำหรับท่านที่พลาดในรุ่นที่ 2 นี้ อย่าเพิ่งผิดหวัง เพราะเราได้จัดให้ทยอยเข้ารับการฝึกในรุ่นถัดๆไปโดยจะเปิดการฝึกอบรมเดือนละ 1 รุ่นๆละ 80 คนครับ
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

ชาวเน็ตพบ "แอพฯเว็บตำรวจ" แอบเก็บข้อมูลผู้ใช้เฟสบุ๊ก !

ชาวเน็ตพบ "แอพฯเว็บตำรวจ" แอบเก็บข้อมูลผู้ใช้เฟสบุ๊ก !
สืบเนื่องจากขณะนี้ ทางหน่วยงานรัฐได้มีมาตรการเข้มงวดกวดขัน ในการแผยแพร่ข้อมูลบนโลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีเว็บไซต์จำนวนหนึ่งถูกระงับการเข้าถึง (บล๊อก)จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท. หรือ TCSD) ซึ่งหากผู้ใช้งานท่านใด เข้าไปในหน้าเว็บไซต์ที่ถูกบล๊อก ก็จะปรากฎหน้าต่างของเว็บไซต์ ปอท. ขึ้นมาแทน (www.tcsd.info)
โดยในหน้าต่างดังกล่าวนั้นจะมีลิ้งค์ปุ่มให้กดปิด (close) อยู่บรเวณมุมขวาของหน้าต่าง ซึ่งเมื่องคลิกเข้าไป ก็จะมีหน้าต่างของเว็บไซต์เฟสบุ๊กปรากฎขึ้นมา ซึ่งในจุดนี้เอง ได้มีกลุ่มผู้ใช้เฟสบุ๊กจำนวนหนึ่ง ตั้งข้องสังเกตว่า
หน้าต่างของเว็บไซต์ ปอท. ที่ปรากฎขึ้นมานั้น เป็นช่องทางในการ "ขอสิทธิ์" สำหรับการเข้าถึงอีเมล์แอดเดรส (e-mail address) และข้อมูลส่วนตัวที่ต้ังค่าเป็นสาธารณะ (public profile)ของผู้ใช้งาน เฟสบุ๊ก ผ่านทางแอพพลิเคชั่น
ซึ่งถ้าหากผู้ใช้งานไม่ทันสังเกต แล้วกดปุ่ม "okey" เข้าไป ก็จะทำให้ "เจ้าของแอพลิเคชั่นดังกล่าว" สามารถเข้าถึงเข้ามูลบางส่วนของท่านได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีผู้อ้างว่า แอพลิเคชั่นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าถึง "เลขไอพีแอดเดรส (IP address)" ของผู้ใช้งานได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ข่าวลือนี้แพร่สะพัดออกไป เจ้าปุ่ม "close" ที่ปรากฎอยู่มุมบนขวาของหน้าต่างของเว็บไซต์ www.tcsd.info ก็ได้ถูกนำออกไปแล้ว !?
ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นผู้พัฒนาแอพลิเคชั่นดังกล่าวขึ้นมา แต่นี่อาจจะเป็นช่องทางหนึ่งในการโจรกรรมข้อมูลของท่าน ไปใช้ในทางมิชอบได้ โดยสำหรับใครที่เผลอกดปุ่ม"close" ไปแล้ว สามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูลของเราได้โดย..
*** เข้าไปในหน้าตั้งค่าของเฟสบุ๊ก แล้วลบหรือยกเลิกการเข้าถึงข้อมูลของแอพดังกล่าวนับจากนี้ แต่ทั้งนี้ สำหรับข้อมูลที่ถูกดึงไปแล้ว ก็คงจะไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นกลับมาได้ ***
หมายเหตุ : เหี้ยจริง ไรจริงนะเนี๊ยยย ..
by..@matichon

20 มิถุนายน “วันผู้ลี้ภัยโลก”

20 มิถุนายน “วันผู้ลี้ภัยโลก”
20 มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันผู้ลี้ภัยโลก” ปีนี้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องถึงสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อคุ้มครองพลเรือน และป้องกันไม่ให้บุคคลอีกหลายล้านคนต้องถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือน
การแก้ปัญหาที่ไม่เป็นผลหรือล่าช้าของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และของสำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติในบางกรณี เมื่อเกิดความขัดแย้งที่ยืดเยื้ออย่างกรณีซีเรีย ซูดานใต้ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และอิรัก เป็นเหตุให้ความรุนแรงลุกลามบานปลาย และชุมชนหลายแห่งต้องถูกทำลาย ทั้ง ๆ ที่สามารถป้องกันด้วยการปฏิบัติอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ ที่ขัดขวางปฏิบัติการอย่างจริงจังกรณีซีเรีย ก็มีส่วนร่วมทำให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยระดับโลกขึ้นมา ในขณะที่รัสเซียและจีนเป็นประเทศที่ไม่จัดสรรที่อยู่ให้กับผู้ลี้ภัยเลยสำหรับปี 2556
การบริจาคเงินของประเทศเหล่านี้สำหรับปฏิบัติการขององค์การสหประชาชาติเพื่อช่วยเหลือซีเรีย ซึ่งนับเป็นกองทุนใหญ่สุดอันดับสองของหน่วยงานนี้ เป็นเรื่องที่น่าเสียใจพอ ๆ กัน กล่าวคือ รัสเซียบริจาคเงินเพียง 0.3 % ของกองทุนในปี 2556 และ 0.1 % ในปี 2557 ในขณะที่จีนบริจาคเงินเพียง 0.1 % ของกองทุนในปี 2556 และ 0.4 % ในปี 2557
แม้ว่าประเทศกำลังพัฒนาประสบความเสียเปรียบด้านเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ในเวลาเดียวกันยังต้องมาแบกรับผลกระทบของวิกฤต เป็นเหตุให้ประเทศต่างๆ อย่าง อิหร่าน จอร์แดน ตุรกี และปากีสถานกลายเป็นประเทศที่ต้องรองรับผู้อพยพแห่งใหญ่สุดในโลก ในปี 2556 สามประเทศอย่างจอร์แดน เลบานอน และตุรกี ต้องรองรับผู้ลี้ภัย 1,524,979 คนเฉพาะที่มาจากซีเรีย
ในทางตรงข้าม สหรัฐฯ เองกลับจัดสรรที่อยู่ให้กับผู้ลี้ภัยจากซีเรียเพียง 36 คนในปี 2556 แม้จะจัดสรรที่อยู่ให้กับผู้ลี้ภัยจากประเทศอื่น ๆ อีกหลายพันคน 28 ประเทศของสหภาพยุโรปสัญญาว่าจะจัดสรรที่อยู่ให้กับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 30,498 คน โดยส่วนใหญ่หรือ 25,500 คนจะไปอยู่ในเยอรมนี
ในปี 2556 มีผู้แสวงหาที่พักพิงอย่างน้อย 435,000 คนในสหภาพยุโรป แต่มีเพียง 136,000 คนที่ได้รับอนุญาต
“ถึงเวลาที่รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วต้องหยุดคิดแบ่งแยกในแง่ ‘เรา’ และ ‘เขา’ ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงมักต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยากลำบาก พวกเขาควรได้รับการคุ้มครองและได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและมี ศักดิ์ศรี” เชรีฟ เอลซาเยด-อาลี รองผู้อำนวยการประเด็นปัญหาโลก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว
สำหรับในประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ตระหนักและห่วงใยต่อปัญหาผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้าเมืองมาโดยตลอด โดยได้มีการยื่นจดหมายถึงรัฐบาลชุดต่างๆ เพื่อเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการเคารพสิทธิมนุษยชนและเห็นคุณค่าของทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน และปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยข้อเรียกร้องที่ยื่นไปมีดังต่อไปนี้
• ให้เคารพต่อหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และประกันว่าจะไม่มีการขับไล่ ส่งกลับ หรือบังคับให้เดินทางกลับไปยังประเทศหรือดินแดนกรณีที่มีความเสี่ยงว่าต้องกลับไปเผชิญการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง โดยเฉพาะในประเทศพม่าหรือลาว
• ให้มีการสอบสวนกรณีการบังคับขับไล่ชาวโรฮิงญา และประกันว่ามีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และให้มีการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการบังคับขับไล่เช่นนี้อีกในอนาคต
• ให้เคารพต่อพันธกรณีที่ต้องอนุญาตให้ผู้แสวงหาที่พักพิงสามารถเข้าถึงกระบวนการแสวงหาที่พักพิงอย่างจริงจัง และให้ได้รับการติดต่อกับ UNHCR และประกันว่าบุคคลที่หลบหนีจากภัยคุกคามจะได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ
• ให้ยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยอย่างไม่มีเวลากำหนดและโดยพลการ และยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยในสภาพที่แออัดเป็นเวลานาน
• ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย 1951 และพิธีสาร 1967 (1951 Convention Relating to the Status of Refugees and its 1967 Protocol)
• ให้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับคนงานพลัดถิ่น เพื่อประกันว่าคนงานเหล่านี้ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมและได้รับผลตอบแทนที่เท่าเทียมจากการทำงาน มีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ มีโอกาสได้พักผ่อน ทำกิจกรรมสันทนาการ และมีการจำกัดชั่วโมงทำงานอย่างชอบด้วยเหตุผล
• ให้ยุติการละเมิดใด ๆ ที่กระทำต่อคนงานพลัดถิ่น ทั้งการค้ามนุษย์และการรีดไถ

ผบ.มทบ.11 :ภายใน1เดือนระบบมาเพียไม่มีในสุวรรณภูมิ

พล.ต.นิรันดร สมุทรสาคา ผบ.มทบ.11 กล่าว สนามบินสุวรรณภูมิ มีแท็กซี่ จำนวน ๗,๐๐๐คัน จำนวน ๓๙ กลุ่มหรือสหกรณ์ โดย ๗๐เปอร์เซนต์ เป็นรถส่วนตัว ที่เหลือเป็นรถเช่า

ได้ไปพูดคุยกับทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลุ่มต่างๆที่มารับงานที่สนามบินและบรรดาแท็กซี่แล้ว เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่คสช. ต้องให้ มทบ.๑๑ เข้ามาดูแลจัดระเบียบ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย คสช. คือ
๑. ลดความเดือดร้อนของประชาชน และคืนความสุขให้ประชาชน ผู้โดยสารรวมทั้งคนขับแท็กซี่ด้วย เราต้องการให้มีเรื่องร้องเรียนให้น้อยที่สุด หรือเมื่อมีแล้วต้องรีบแก้ไข
๒.แท็กซี่จะต้องเข้าสู่กรอบกติการะเบียบ ในการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการ พนัน ยาเสพติด หรือแม้แต่ค้าประเวณี เพราะในเวลาอยู่รวมกันหมู่มาก เพราะที่สุวรรณภูมิ มีรถแท็กซี่ทั้งหมด ๗ พันคัน แต่จะมีที่เข้ามารับผู้โดยสารประจำราว ๓,๐๐๐ คันเท่านั้น
พล.ต.นิรันดร กล่าวว่า ปัญหาสำคัญคือมีมาเฟียที่เข้ามาคุม และจัดระบบคิวรถให้แท็กซี่ ในการเลือกผู้โดยสารเพราะแท็กซี่ส่วนใหญ่ จะไม่อยากรับผู้โดยสารที่ไประยะใกล้ๆ เพราะไม่คุ้ม แต่ต้องการนักท่องเที่ยวที่ไปไกลๆเช่น พัทยาก็จะได้ ๒-๓ พันบาท แต่แท็กซี่ก็ต้องจ่ายหัวคิวให้มาเฟียที่คุมการจัดคิวรถ
“นับจากนี้แท็กซี่ที่สนามบินสุวรรณภูมิจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ลงทะเบียนประวัติ ลายนิ้วมือของแท็กซี่ที่มาจดทะเบียนกับสุวรรณภูมิทั้งหมด แล้วใข้ระบบ การ์ด และการรูดการ์ดเข้ามาแทน การใช้ระบบมาเฟีย หรือผู้มีอิทธิพลมาคุม โดยที่แท็กซี่ทุกคนก็ต้องยอมรับว่าแล้วแต่ดวง ว่าจะได้ลูกค้าไปที่ไหน ตามคิว ไม่มีการเลือกลูกค้าว่าจะไปใกล้หรือไกล โดยจะใช้รูดการ์ดตามคิว แต่ถ้าแท็กซี่ที่ได้ลูกค้าใกล้ๆ เราก็อาจจะให้เขาวนคิวเข้ามารับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก”
“ภายใน ๑ เดือนจะเห็นผล เพราะระบบมาเฟียจะหมดไปไม่ต้องมีคนมาเลือกลูกค้าให้ ผมใช้คำว่าขอความร่วมมือ แต่ถ้าไม่ยอมให้ความร่วมมือ ผมก็บอกขำๆว่าจะเอาทหารไปยืนกอดอกอยู่หลังเค้าท์เตอร์” พลตรี นิรันดร กล่าว...

"เพื่อไทย" ดอดถก "คสช." หารือปฏิรูปประเทศ - แนะรธน.ฉบับใหม่ต้องเป็นประชาธิปไตย

"เพื่อไทย" ดอดถก "คสช." หารือปฏิรูปประเทศ - แนะรธน.ฉบับใหม่ต้องเป็นประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาสมาชิกพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทยและตน เป็นตัวแทนของพรรค ไปร่วมหารือและให้คำปรึกษาด้านการปฏิรูปประเทศที่กระทรวงกลาโหม ตามคำเชิญของคณะทำงานด้านการปฏิรูปประเทศ คสช. ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยพร้อมให้ความร่วมมือที่จะสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ โดยทางพรรคให้ความสำคัญในประเด็นหลักๆ คือ เรื่องของรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ที่มาของสภาปฏิรูปซึ่งจะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในส่วนของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นขณะนี้ พรรคเพื่อไทยเสนอว่าต้องยึดหลักความยุติธรรม การใช้หลักธรรม คือการให้อภัย ซึ่งผู้มีอำนาจต้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ได้เสนอทาง คสช.ให้เร่งขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น  ซึ่งภาคประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลาย รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องดูแลอย่างเข้มข้น

“สำหรับปัญหาที่ คสช.ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยและ คสช.เห็นสอดคล้องต้องกัน คือการแก้ไขปัญหาขยะ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะทาง กฟผ.และ กฟภ.ควรนำขยะมาผลิตเป็นไฟฟ้า รวมทั้งการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงการปฏิรูประบบราชการทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค” นานยชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวอีกว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยแม้จะหยุดทำกิจกรรมทางการเมือง แต่เรายังให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ถูกดำเนินคดีและต้องขึ้นศาลทหาร ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือ ทั้งในแง่ข้อกฎหมายและการจัดหาทนายความ รวมทั้งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ขณะขึ้นศาลทหาร ขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ทอดทิ้งสมาชิกพรรคอย่างแน่นอน

'ฮอตไลน์พระ'สายไหม้!วันร้อง67เรื่อง

'ฮอตไลน์พระ'สายไหม้!วันร้อง67เรื่อง
'ฮอตไลน์พระ'สายไหม้! พศ.เผยเปิดศูนย์เพียง 5 วันปปช.แห่ร้องเรียน67 เรื่อง ทั้งเรี่ยไร เวียนเทียนบิณฑบาต นั่งร้านอาหารญี่ปุ่น อธิบดีกรมการศาสนาพาครู-นร.อบรมธรรม
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2557-ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการ พศ. กล่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ว่า ตนได้รายงานการจัดตั้งศูนย์ฮอตไลน์แจ้งภัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อรับเรื่องราวเกี่ยวกับภัยทางพระพุทธศาสนาต่อที่ประชุม มส. รับทราบโดยได้จัดทำคู่มือ แผนพับประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับภัยพระพุทธศาสนา พร้อมเปิดสายด่วน 0-2 441 6400 กด 2 ตลอด 24 ชั่วโมง และจัดทำระบบฐานข้อมูลพระที่กระทำผิดทางวินัย โดยเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างส่วนกลางและสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด
"ที่ผ่านมาพระภิกษุสามเณรบางรูปมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีนโยบายมอบให้ พศ. ดูแลเรื่องความประพฤติไม่เหมาะสม และเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา จะทำอย่างไรให้ภาพรวมของคณะสงฆ์ดี ไม่มีภาพที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงทางเจ้าคณะผู้ปกครองก็ทำหน้าที่เข้มงวดกวดขัน ไม่ละเลยให้พระในการปกครองมีพฤติกรรมในทางไม่ดี โดย พศ. ได้เริ่มเปิดศูนย์ฮอตไลน์มาตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา มีผู้ร้องเรียนเข้ามาแล้วถึง 67 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความประพฤติไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ อาทิ กลุ่มที่กระทำผิดอาจาระ ไม่สมควร ประพฤติแสดงออกไม่เหมาะสม เดินห้าง ใช้โทรศัพท์มือถือในที่สาธารณะเป็นการเปิดเผยเกินไป ล่าสุดได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลปลอมบวชในจ.พระนครศรีอยุธยา หากเจอกรณีเช่นนี้ให้รีบแจ้งศูนย์ฮอตไลน์ฯทันที เมื่อทาง พศ.รับเรื่องร้องเรียนแล้ว ได้กำหนดให้มีการแก้ไขปัญหาภายใน 15 วัน นอกจากนี้ยังได้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดแต่ละจังหวัดเปิดศูนย์ฮอตไลน์เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับส่วนกลางด้วย โดยจะมีการบันทึกและรายงานสถิติต่อที่ประชุม มส. ทุกเดือน”นายนพรัตน์ กล่าว
นายนพรัตน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในคู่มือแจ้งภัยทางพระพุทธศาสนาที่ พศ. ได้จัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายประชาชนนั้น ได้กำหนดลักษณะที่มีภัยต่อพุทธศาสนาไว้ ในกรณีของฆราวาสมีลักษณะของกลุ่มบุคคลที่แสดงหาผลประโยชน์และบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา 9 ข้อ ดังนี้ 1. ลักขโมยพุทธรูป ตัดเศียรไปขาย 2.นำเศียรพระหรือพระพุทธรูปไปเป็นเครื่องประดับ รวมทั้งวางขายตามตลาดใหญ่ๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น ตลาดนัดสวนจตุจักร ตลาดย่านถนนข้าวสาร 3.ถ่ายภาพที่ไม่เหมาะสมพร้อมกับพระพุทธรูป พิมพ์ภาพพระพุทธเจ้าไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้า 5.ทำการเรี่ยไรโดยนำรถบรรทุกลูกนิมิต ช่อฟ้า พระพุทธรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) รูปเหมือนหลวงปู่ทวดออกทำการเรี่ยไรตามตลาด ย่านชุมชน โดยมีพระภิกษุสามเณรทำการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ 6.ทำการเรี่ยไรโดยแจกซองผ้าป่า หรือขอวางถังผ้าป่าตามสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างร้าน บ้านเรือน 7.ดื่มสุรา เล่นการพนันภายในวัด 8. จัดการแสดงที่ไม่เหมาะสมภายในวัด เช่น แสดงโคโยตี้หรือการแสดงลามกอนาจาร และ9.ปลอมบวช คือ การแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ โดยนำผ้าเหลืองมาห่มเองโดยไม่ได้ทำการบวชอย่างถูกต้อง ออกเรี่ยไรหรือบิณฑบาตมุ่งรับเฉพาะปัจจัย
นายนพรัตน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับลักษณะที่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา กรณี พระภิกษุสามเณร มี 6 ข้อ ดังนี้ 1.การบิณฑบาตไม่ถูกต้อง อาทิ ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานประจำร้านค้าหรือตลาด นั่งเก้าอี้หรือรถเข็น สวมใส่รองเท้า สูบบุหรี่นั่งตามร้านกาแฟ ทิ้งดอกไม้ธูปเทียนไม่ยอมนำกลับ ถ่ายเทอาหารให้บุคคลเวียนขายต่อ 2.เรี่ยไรเงิน เดินแจกซองผ้าป่าตามตลาดและชุมชน เดินขอปัจจัยตามชุมชนโดยมีตู้บริจาคและโทรโข่งประกาศ เดินเที่ยวขอตั้งถังผ้าป่าตามบริษัทห้างร้านหรือบ้านเรือน 3.การปักกรด ปักกรดในที่ชุมชน ตามป่าละเมาะที่รกร้างว่างเปล่า ใกล้บ้านเรือนเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล 4.การพักค้างแรมตามบ้านเรือน เช่าบ้านอยู่อาศัยหรือพักอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องคนรู้จัก ติดต่อกันนานเกิดความจำเป็น 5.สถานที่ที่พระภิกษุสามเณรไม่ควรเข้าไป (อโคจร) อาทิ เดินเที่ยวซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า ร้านอาหารบางประเภทที่ไม่เหมาะกับพระภิกษุสงฆ์ เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น เป็นต้น 6. พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ อาทิ ดื่มสุรา เล่นการพนัน เสพยาเสพติด การทำเสน่ห์ยาแฝด การสักยันต์ การทรงเจ้าเข้าผี การบอกใบ้ให้หวย การสะพายกล้องถ่ายรูป การไปร่วมงานโดยไม่ได้รับกิจนิมนต์ เข้าไปซื้ออาหารฉันภายในห้างสรรพสินค้า เที่ยวดูการละเล่นมหรสพ ประกอบกิจการค้าขายเยี่ยงฆราวาส
อธิบดีกรมการศาสนาพาครู-นร.อบรมธรรม
ด้านนายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา เป็นพระธานในพิธีเปิดโครงการอบรมธรรมกับพระอาจารย์ พร้อมบรรยายพิเศษเกี่ยวกับแนวทางในการนำหลักธรรมต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันพัฒนาตนให้เป็นคนดีของสังคม โดยมีผู้บริหาร อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตพณิชยการ วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรบริหารธุรกิจ เข้าร่วมรับฟังในการบรรยาย ณ ห้องมัทนพาธา สโมสรหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน

สับเละ! หลังลือ สพฐ.เตรีมดึง “เบิร์ด-ใบเตย” ร้องเพลงรักชาติ

สับเละ! หลังลือ สพฐ.เตรีมดึง “เบิร์ด-ใบเตย” ร้องเพลงรักชาติ
แค่ลือยังรับไม่ได้...ชาวเน็ตวิจารณ์ยับหลังมีข่าว สพฐ. เตรียมดึง “เบิร์ด ธงไชย” จับคู่ “ใบเตย อาร์สยาม” ลั่นรับไม่ได้โดยเฉพาะในรายของลูกทุ่งสาวเจ้าขงฉายา “สั้นเสมอหู”
เป็นที่ฮือฮากันเป็นอย่างมากในโลกไซเบอร์อยู่ในตอนนี้สำหรับกระแสข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. มีแผนที่จะดึงนักร้องดัง “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” มาร้องเพลงปลุกใจรักชาติร่วมกับลูกทุ่งสาวค่ายอาสยามเจ้าของฉายาสั้นเสมอหู “ใบเตย สุธีวัน”
โดยในทวิตเตอร์ @NochPH ได้โพสต์ข้อความว่า...“ข่าว สพฐ เล็งเอา “ใบเตย” มาร้องเพลงปลุกใจสร้างสำนึกรักชาติ มาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ลงบทสัมภาษณ์ของเลขาธิการ สพฐ.”...“สพฐ. เอาพี่เบิร์ดมาร้องเพลงปลุกใจนี่ปกติดีรับได้ พี่เบิร์ดทำอยู่แล้ว แต่ ใบเตย คือ สพฐ. ทำการบ้านมาดีแล้วใช่ป่ะครับ”...“ข่าว สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเล็งดึงศิลปิน ร้องเพลงปลุกใจเพิ่มสำนึกรักชาติ โดยเล็ง พี่เบิร์ด ธงไชย และ ใบเตย อาร์สยาม”
ทั้งนี้ หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกลือออกมา บรรดาชาวโลกออนไลน์ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน โดยส่วนใหญ่นั้นต่างบอกไปในเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยเฉพาะในรายของลูกทุ่งสาวสั้นเสมอหู เนื่องจากที่ผ่านมานั้นเจ้าตัวตกเป็นข่าวฉาวมากมาย และภาพลักษณ์ของเธอนั้นก็ไม่น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับกระแสข่าวที่ว่านี้เมื่อผู้สื่อข่าวบันเทิง ออนไลน์ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยังเว็บไซต์ของโพสต์ทูเดย์พบว่าในเนื้อข่าว “สพฐ. ไม่รื้อหลักสูตรพลเมือง-ประวัติศาสตร์” นั้น ทาง นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้จริง เพียงแต่บอกว่าเป็นนักร้องวัยรุ่นไม่ได้มีการระบุชื่อว่าเป็นใครแต่อย่างใด

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ เขียนถึง อ.วรเจตน์ กับเหตุเกิดที่สามแยกไฟแดง

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ เขียนถึง อ.วรเจตน์ กับเหตุเกิดที่สามแยกไฟแดง
หมายเหตุ : อาจารย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ได้เขียนเฟซบุ๊คถึง อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เพื่อนนักวิชาการ ในมุมมองที่น่าสนใจ ภายหลังจากอาจารย์วรเจตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ถูกดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหา กรณีไม่ไปรายงานตัว ฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และต่อมาได้รับการพิจารณาประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา
---------------------
ช่วงนี้ข่าวของอาจารย์วรเจตน์อาจจะมีมากอยู่สักหน่อย อย่างน้อยในท้ายที่สุดอาจารย์วรเจตน์ก็ได้รับการประกันตัว และที่สำคัญก็คือสุขภาพของอาจารย์ก็จะได้รับการรักษาดูแลอย่างต่อเนื่อง
ผู้คนอาจจะรู้จักอาจารย์วรเจตน์ในฐานะนักวิชาการด้านกฏหมายที่ยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย บางคนอาจจะชื่นชม บางคนอาจจะไม่ชื่นชม
เรื่องที่ผมจะเขียนถึงอาจารย์วรเจตน์นี้ไม่ใช่เรื่องผลงานวิชาการของท่าน หรือ จุดยืนทางการเมืองบนเวทีประชาธิปไตย แต่ผมอยากเขียนถึงอาจารย์วรเจตน์ถึงเรื่องตอนที่ผมมีโอกาสนั่งรถที่อาจารย์ขับ แล้วเราไปติดอยู่ที่สามแยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ขณะที่เรามุ่งหน้าจะไปรับประทานอาหารเย็นกัน
เรื่องก็คือว่า ขณะที่รถของเราจอดอยู่ที่สามแยกไฟแดงแห่งนั้น เราก็เริ่มรู้สึกว่า เอทำไมไฟแดงนี้มันช่างยาวนานขนาดนั้น แล้วก็มีรถหลายคันที่แซงหน้าเราไปในลักษณะของการ "ฝ่าไฟแดง"
นั่งรอไปสักพัก เราก็เริ่มกระสับกระส่ายว่าเอ ทำไมใครๆ ก็ฝ่าไฟแดง ต่อมาเราก็เริ่มตั้งคำถามว่าเราอยู่ถูกเลนไหม (ในแง่ที่ว่าเราอาจจะอยู่ในเลนที่ตรงไปได้โดยไม่ต้องรอสัญญานไฟ) ต่อมาเราก็เริ่มมองว่า เออ ไอ้ฝั่งที่มันไฟเขียวรถมันก็หมดแล้ว ถนนก็ว่างเราควรไปไหม
สุดท้ายเราก็เริ่มสงสัยว่า ไฟแดงนั้นมันเสียหรือเปล่า
สรุปว่าทั้งหมดเราพยายามค้นหาหลักฐานและตีความเพื่อที่ให้เรา "ไปได้" ทั้งที่ "ไฟยังแดงอยู่"
ผม นั่งยิ้มๆ ดูอาจารย์วรเจตน์ ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยขณะที่อาจารย์และพวกเราซึ่งรวมทั้งสมาชิกอีกสองท่าน ที่นั่งอยู่เบาะหลังเริ่มตั้งคำถามโน่นนี่แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ท่ามกลางคำถามโน่นนี่ และข้อสมมุติฐานมากมายที่มีกันอยู่ในรถ คืออาจารย์วรเจตน์ไม่เคลื่อนรถออกไปจากไฟแดงแห่งนั้น แม้ว่าผู้คนในรถทั้งหมดจะเริ่มสงสัยว่าตกลงไฟแดงนี้มันเสียหรือเปล่า
อีกไม่นานไฟแดงข้ามศตวรรษที่เราเคยสงสัยว่ามันน่าจะเสีย มันก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียว และอาจารย์วรเจตน์ก็ขับรถออกไปด้วยความมั่นใจ ...

เด้ง ผกก.สน.วังทองหลาง เซ่นพิษบ่อนพนัน “นัมเบอร์วัน”

เด้ง ผกก.สน.วังทองหลาง เซ่นพิษบ่อนพนัน “นัมเบอร์วัน”
รรท.ผบช.น. เซ็นคำสั่งย้าย ผกก.สน.วังทองหลางเข้ากรุหลังปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนัน “นัมเบอร์วัน” ในพื้นที่รับผิดชอบแล้วไม่สามารถให้คำตอบได้ พร้อมโยก ผกก.สน.ธรรมศาลา มานั่งรักษาการแทน
วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผช.ผบ.ตร. รรท.ผบช.น. เปิดเผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าตรวจค้นจับกุมแหล่งลักลอบเล่นการพนัน ภายในอาคารสปอร์ตคลับของบริษัท นัมเบอร์วันไดร์ฟวิ่งเลนจ์ จำกัด ซึ่งเป็นสนามไดร์ฟกอล์ฟเก่าตั้งอยู่เลขที่ 19/7 หมู่ที่ 6 ซอยสหการประมูล แขวงและเขตวังทองหลาง เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า ได้ทำหนังสือเลขที่ 396/2557 ลงวันที่ 20 มิ.ย. 57 เรื่องให้ข้าราชการปฏิบัติราชการและรักษาราชการแทน โดยระบุว่ามีเหตุผลความจำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติราชการภายใน บช.น. เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่ให้เกิดความเสียหายต่อราชการ จึงต้องอาศัยอำนาจตามมาตรา 72 และ 74 ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการในฐานะเป็นอธิบดีหรือแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 และระเบียบ ตร. ว่าด้วยคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 จึงสั่งการดังนี้ ระบุว่า ให้ พ.ต.อ.สรรค์กิจ บำรุงสวัสดิ์ ผกก.สน.วังทองหลาง ไปปฏิบัติราชการ บช.น. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม และให้ พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผกก.สน.ธรรมศาลา รรท.ผกก.สน.วังทองหลาง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้ไปรายงานตัวที่ศูนย์ปฏิบัติราชการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายในวันที่ 20 มิ.ย. โดยในตำแหน่ง ผกก.สน.ธรรมศาลา ให้ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.น.7 พิจารณาสั่งข้าราชการตำรวจที่มีความรู้ความสามารถรักษาราชการแทนต่อไป.
พล.ต.ท.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า ที่ได้เซ็นคำสั่งให้ พ.ต.อ.สรรค์กิจ บำรุงสวัสดิ์ ผกก.สน.วังทองหลาง มาช่วยราชการ บช.น. นั้น เพราะมีความบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลยให้ในพื้นที่ สน.วังทองหลาง ให้มีบ่อนการพนันเกิดขึ้นขนาดใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล หรือเซเว่นอีเลฟเว่น แต่กลับให้คำตอบว่าไม่ทราบว่ามีบ่อนการพนันเกิดขึ้นในพื้นที่

ฟังเหตุผล“สุภิญญา” ตั้ง “จอน-นคร-ต่อพงศ์”เป็นที่ปรึกษา เงินเดือน 1.2 แสน

ฟังเหตุผล“สุภิญญา” ตั้ง “จอน-นคร-ต่อพงศ์”เป็นที่ปรึกษา เงินเดือน 1.2 แสน
“…ที่ปรึกษาคือหลักพิงให้เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องตรรกะที่หนักแน่น เหมือนเรามีหมอประจำตัว หรือมีคณะลูกขุนคอยให้ความเห็น เพราะการลงมติแต่ละครั้ง เป็นเรื่องที่มีผลเกี่ยวพันละเอียดอ่อน และซับซ้อน ดังนั้นการลงมติแต่ละครั้ง ก็จะปรึกษาที่ปรึกษาทั้ง 3 คน…”
“ตอนที่ถูกทักษิณฟ้อง อาจารย์จอนก็คอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือ ต่อมาก็โดนคดีด้วยกันตอนปีนสภาต้านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เราก็ถูกศาลตัดสินจำคุก รอลงอาญาด้วยกัน”
เป็นคำยืนยันของ “สุภิญญา กลางณรงค์” กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต่อกรณีการตั้งนายจอน อึ้งภากรณ์ เป็น 1 ใน 3 ที่ปรึกษา นอกเหนือจากนายนคร ชมพูชาติ และนายต่อพงศ์ เสลานนท์
ท่ามกลางคำครหาที่คณะกรรมการ กสทช. ตั้งบุคคล 31 รายเป็นที่ปรึกษาประจำตัว โดยจ่ายเงินค่าตอบแทนสูงถึง 100,000 – 120,000 บาท/เดือน
(อ่านประกอบ : รายชื่อ 31“ที่ปรึกษา”กสทช.รับค่าตอบแทน 100,000-120,000 บาท/เดือน)
http://www.isranews.org/component/content/article/58-isranews/isranews-scoop/30459-pyr.html
รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า นายจอน และนายนคร มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “สุภิญญา” จึงเป็นเหตุให้การตั้งที่ปรึกษาในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือไม่ ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีคำตอบจากบทสัมภาษณ์ “สุภิญญา” ชิ้นนี้
“เหตุผลที่เลือกนายจอนเป็นที่ปรึกษา เนื่องจากรู้จักกันมานานตั้งแต่เมื่อครั้งที่นายจอน เคยเป็นประธานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร ในส่วนพิจารณาร่างกฎหมาย รวมทั้งเคยเป็นอดีตกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส”
น.ส.สุภิญญา ย้อนความหลังครั้งรู้จักกับนายจอนใหม่ ๆ ก่อนเล่าเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกเป็นที่ปรึกษาตัวเองว่า ตอนสมัครกรรมการ กสทช. เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมส่งตัวเอง และนายจอน ลงสมัคร ทั้งคู่ได้รับเลือกเข้าไปถึงขั้นสุดท้ายที่วุฒิสภาต้องลงคะแนนเลือก ผลการตัดสินออกมาว่าตัวเองได้คะแนนสูงสุด จึงโทรไปเชิญนายจอนเพื่อมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว
“ตอนที่ถูกทักษิณฟ้อง อาจารย์จอนก็คอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือ ต่อมาก็โดนคดีด้วยกันตอนปีนสภาต้านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เราก็ถูกศาลตัดสินจำคุก รอลงอาญาด้วยกัน”
ส่วนการตั้งนายนครนั้น น.ส.สุภิญญา ระบุว่า ก่อนตั้งนายนครเป็นที่ปรึกษา ได้ตั้งนายประสาร มฤคพิทักษ์เป็นที่ปรึกษาอยู่ก่อนแล้ว เพราะเป็นส.ว.มาก่อน และมีจุดยืนหนักแน่นเรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่น และเคยผ่านร่างพิจารณากฎหมาย แต่ต่อมานายประสารได้รับเลือกกลับเป็นไปส.ว.อีก
“จากนั้นจึงมาทบทวนว่าเราต้องมีนักกฎหมาย เพราะเมื่อแสดงจุดยืน หรือหลักการ เรายังไม่หนักแน่นพอในข้อกฎหมาย จึงเชิญคุณนครมาเป็นที่ปรึกษา ที่ก่อนหน้านี้เป็นกรรมการบริหารไทยพีบีเอส ดังนั้นเมื่อคุณประสารไปเป็นส.ว. ก็พอดีกับคุณนครหมดวาระที่ไทยพีบีเอส จึงเชิญคุณนครมา โดยคุณนครเป็นทนายอาสาด้านสิทธิมนุษยชน และแม่นยำเรื่องกฎหมาย จึงช่วยเราได้ในการกลั่นกรอง และพิจารณาเรื่องกฎหมายต่าง ๆ
ก่อนจะเล่าย้อนไปว่า “รู้จักกับนายนครมานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นายนครเป็นทนายอาสาด้านสิทธิมนุษยชน ว่าความให้โดยไม่รับเงิน ในคดีที่ตัวเองถูกอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้อง”
ส่วนสาเหตุที่เชิญนายต่อพงศ์มาเป็นที่ปรึกษานั้น น.ส.สุภิญญา เล่าว่า ทำงานร่วมกันมานาน และที่เชิญมาเพื่อช่วยผลักดัน เจรจา เพื่อคนด้อยโอกาส และขับเคลื่อนสิทธิคนพิการ โดยงานหลักของนายต่อพงศ์คือช่วยดูกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และยังมีความสามารถในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่จะขับเคลื่อนอีกด้วย
น.ส.สุภิญญา อธิบายหน้าที่หลักของที่ปรึกษาแต่ละรายให้ฟังว่า นายจอน กับนายนคร จะคอยอ่านวาระการประชุม และทำข้อสรุปส่งมาให้ก่อนการประชุม รวมทั้งถูกส่งไปเป็นอนุกรรมการร่วมพิจารณาในเรื่องสำคัญ เช่น เป็นอนุกรรมการศึกษาความชอบธรรมของสัญญาสัมปทาน ศึกษาความจำเป็นในการใช้คลื่นความถี่ของหน่วยงานรัฐ เป็นอนุกรรมการด้านการกำกับเนื้อหารายการ เป็นต้น
ส่วนนายต่อพงศ์ ช่วยผลักดันเรื่องนโยบายคนพิการ โดยเป็นอนุกรรมการเรื่อง “ยูโซ่” ที่ผลักดันเกณฑ์และกติกาเพื่อบังคับใช้กับผู้ประกอบการให้มีรายการภาษามือ หรือออกเกณฑ์บังคับให้มาตรฐานกล่องเทคนิค และรีโมตจะมีวิธีใช้ที่เอื้อต่อคนพิการ รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องกองทุนคนพิการ
“ที่ปรึกษาคือหลักพิงให้เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องตรรกะที่หนักแน่น เหมือนเรามีหมอประจำตัว หรือมีคณะลูกขุนคอยให้ความเห็น เพราะการลงมติแต่ละครั้ง เป็นเรื่องที่มีผลเกี่ยวพันละเอียดอ่อน และซับซ้อน ดังนั้นการลงมติแต่ละครั้ง ก็จะปรึกษาที่ปรึกษาทั้ง 3 คน”
อ่านประกอบ :
“สุภิญญา” รับรู้สึกผิดที่ปรึกษาเงินเดือนสูง ยันเป็นกติกาภายในองค์กร
http://www.isranews.org/component/content/article/57-isranews/isranews-news/30583-supinya_02.html
พลิกปูม“จอน-นคร-ต่อพงศ์” ทำไม“สุภิญญา”ตั้งเป็นที่ปรึกษาประจำตัว?
http://www.isranews.org/component/content/article/58-isranews/isranews-scoop/30518-supinya_01_01.html

ญี่ปุ่นยินดีต้อนรับ'บัวแก้ว'เยือนก.ค.นี้

กต.เดินหน้าแจงญี่ปุ่น ยันการเมือง-เศรษฐกิจมั่นคง ด้าน ยุ่น ยินดีต้อนรับไทยเยือนก.ค.นี้ ระบุพร้อมสานต่อความสัมพันธ์
เมื่อเวลา 11.55 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ(กต.) นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า วันนี้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือนายชิเกะคะสุ ซะโต เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงสถานการณ์การเมืองล่าสุดของไทยและประเด็นที่เกี่ยวข้องระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นโดยรวม ซึ่งเราได้ชี้แจงทำความเข้าใจรวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นถือเป็นมิตรประเทศของไทยมายาวนานและยึดมั่นในค่านิยมประชาธิปไตย
นายเสข กล่าวว่า นายสีหศักดิ์ได้ใช้โอกาสนี้เล่าถึงพัฒนาการทางการเมืองไทย โดยเฉพาะการมีโรดแมพ 3 ระยะซึ่งนำไปสู่ประชาธิปไตย ส่งเสริมความปรองดองก่อนนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สร้างความเข้มแข็งให้กับไทย นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงด้านเศรษฐกิจด้วยว่า ขณะนนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้พิจารณางบประมาณปี 2557 ที่ยังคงเหลือยู่ และกำลังเตรียมพิจารณางบประมาณปี 2558 เพื่อใช้ในการลงทุนให้ทันเวลา เพราะถือว่าญี่ปุ่นลงทุนในไทยเป็นอันดับที่ 1 และมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเป็นอันดับต้นๆด้วย รวมทั้งได้ยืนยันว่าไทยจะให้ความปลอดภัยแก่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังถือโอกาสชี้แจงด้วยว่าได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ อาทิ การยกเลิกเคอร์ฟิวลง และสนับสนุนสิทธิมนุษยชน
เขาเผยว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้กล่าวขอบคุณประเทศไทยและจะรับเรื่องไปแจ้งต่อทางการรัฐบาลญี่ปุ่น โดยที่ญี่ปุ่นเห็นว่าความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นต้องเดินหน้าต่อไป รวมทั้งมีความยินดีที่จะต้อนรับนายสีหศักดิ์ปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีต่างประเทศ ในการเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนก.ค.นี้ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเวลานัดหมายของทั้งสองฝ่าย

ข่าวจากพรรคเพื่อไทย..

ข่าวจากพรรคเพื่อไทย..
สถานภาพปัจจุบันของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทำหน้ารักษาการตำแหน่งหัวหน้าพรรคนะครับ เพราะ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ส่งจดหมายยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านแล้ว. .
เมื่อหัวหน้าพรรคลาออก กรรมการบริหารพรรคทุกคน ก็ต้องหมดสถานภาพ กก.บริหารพรรคไปด้วย ตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทย พ.ศ. 2551 ข้อ 47 (2)
ตอนนี้..ยังไม่สามารถจัดประชุมพรรคเพื่อเลือก กก.บริหารพรรค และหัวหน้าพรรคได้ เพราะติดคำสั่ง ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิ.ย.กำหนดห้ามมิให้ พรรคการเมือง จัดประชุมหรือดำเนินกิจการใดทางการเมือง ..

ข้อเสนอแผนการปฏิรูปสำหรับ คสช. และรัฐบาลเฉพาะกาล

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. เวทีภาคีพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Forum:TD Forum) จัดประชุม “ข้อเสนอแผนการปฏิรูปสำหรับ คสช. และรัฐบาลเฉพาะกาล” เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนจัดทำข้อเสนอนโยบายสาธารณะให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง
นาย เธียรวิชญ์ วงศ์นรวีย์ จากกลุ่มอภิวัตน์ใหม่ กล่าวว่า การเมืองในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถแบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรม สส.ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน การเมืองกลายเป็นเรื่องไม่ดี คนดีๆจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว การเมืองภาคประชาชนจึงทำได้เพียงตรวจสอบ อธิปไตยถูกนายทุนยึด แม้จะไม่เลือกใครเลยก็ไม่สามารถหยุดยั้งคนไม่ดีได้ การแก้ปัญหานี้จึงวนกลับมาสู่คำถามว่าการเลือกตั้งแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่? จะทำให้อำนาจรัฐเป็นพื้นที่ของคนดีได้หรือไม่? ทำไมต้องยอมให้แค่นักการเมืองเท่านั้นที่ปกครองประเทศ
นายเธียรวิชญ์ กล่าวถึงข้อเสนอว่า ต้องปฏิรูปโครงสร้างอำนาจรัฐใหม่ ให้อำนาจกลับคืนสู่ประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนเป็นองค์อธิปัตย์ โดยให้มี “สภานโยบาย” ซึ่งมาจากตัวแทนประชาชนในแต่ละสาขาอาชีพ ทำหน้าที่วางแนวทางนโยบาย หรือเรียกง่ายๆว่าพิมพ์เขียวประเทศ ส่วนฝ่ายบริหารนั้น เสนอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองก็ได้ ในส่วนของ ครม.นี้ มีหน้าที่ต้องรับพิมพ์เขียวจากสภานโยบายไปปฏิบัติอย่างเดียว เปรียบเสมือนสภานโยบายเป็นคนทำพิมพ์เขียว แล้วครม.รับเหมาไปก่อสร้าง
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีสภานิติบัญญัติ ทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกับวุฒิสภา โดยมีที่มาที่จากการเลือกตั้ง และแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาทำหน้าที่ ขณะที่อำนาจตุลาการนั้นให้คงเดิมโดยไม่เข้าไปแตะต้องหรือเปลี่ยนแปลงอะไร
ขณะที่ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ จากกลุ่มธรรมศาสตร์อภิวัฒน์ อภิปรายในประเด็นการปฏิรูประบบตรวจสอบ ขจัดทุจริต โดยระบุว่า ที่ผ่านมามีปัญหาทุจริตรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การคอร์รัปชั่น เดิมแค่โกงเล็กน้อย แต่ตอนนี้เป็นการโกงชาติแบบใหม่จนอาจทำให้ชาติล่ม สร้างความเสียหายต่อปีไม่น้อยกว่า 3 แสนล้าน เฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ตัวเลขความเสียหาย 5 แสนล้าน
นายวสันต์ กล่าวถึงข้อเสนอการปฏิรูประบบตรวจสอบว่า ผู้นำที่ทำการปฏิรูปต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ องค์กรปราบปรามทุจริตต้องมีประสิทธิภาพ กล้าลงโทษคนใหญ่โต คนผิดต้องถูกลงโทษรวดเร็ว และกฎหมายต้องเด็ดขาด ควรมีการเพิ่มโทษและให้ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ไม่มีอายุความ ขณะเดียวกัน ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและไม่มีส่วนร่วมทำผิดเสียเอง ต้องมีการส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และแก้ทัศนคติของสังคมว่าคอร์รัปชั่นคือภัยร้ายแรง
นายวสันต์ กล่าวถึงข้อเสนอระยะเร่งด่วน 1.ขอให้การต่อสู้คอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ 2.จัดตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การต่อสู้คอรัปชัน 3.ตั้งกองทุนสนับสนุนการป้องกันและปราบปราบทุจริต สนับสนุนพลังทางสังคมให้มีส่วนร่วมแก้ปัญหา 4.ใช้มาตรการทางภาษี อาทิ ตรวจสอบภาษีย้อนหลัง 10 ปีควบคู่ไปกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบคดีภาษีอากร หากไม่สามารถชี้แจงได้ให้ยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน 5.เร่งดำเนินคดีการทุจริตเช่นโครงการจำนำข้าว เอาคนผิดมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง 6.ทบทวนโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบมหาศาล ศึกษาอย่างรอบด้านและดำเนินการโปร่งใส
นอกจากนี้ ในระยะถัดไป เสนอให้ 1.เพิ่มโทษผู้กระทำหรือเกี่ยวข้องให้ไม่มีอายุความ 2.จัดตั้งศาลคดีคอรัปชันเป็นการเฉพาะและเร่งรัดพิจารณาโดยไม่ชักช้า 3.ให้หน่วยงานป้องกันและปราบปรามทุจริต และภาคประชาชนเป็นโจทย์ยื่นฟ้องได้ 4.แก้ไขกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ประชาชนติดตามตรวจสอบได้ 5.รณรงค์ให้สังคมตระหนักปัญหาคอรัปชันและเข้ามามีส่วนแก้ไขในทุกๆระดับ