PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

8:1ยึดทรัพย์/'ฤทธิเทพ'ข้างน้อย

8:1ยึดทรัพย์/'ฤทธิเทพ'ข้างน้อย

เปิดมติศาลฎีกา 5 กรณีอำพรางหุ้น ใช้อำนาจเอื้อชินคอร์ป "ทักษิณ" ผิด 8 ต่อ 1 เสียงทั้ง 5 กรณีรวด "ม.ล.ฤทธิเทพ" เสียงข้างน้อย มติยึด-ไม่ยึด 8 ต่อ 1 เสียงข้างน้อยยังเป็นคนเดิม ส่วนมติสำคัญ ยึดหมด-ไม่หมด ออกมา 7 ต่อ 2 ให้ 4.6 ล้านตกเป็นของแผ่นดิน

หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งนับเป็นคดีแรกๆ ที่ศาลไม่ระบุถึงคะแนนเสียงในการลงมติ ซึ่งคาดการณ์ว่าเพื่อความสงบเรียบร้อยหากการลงมติออกมาในลักษณะที่ก้ำกึ่งกัน

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าการลงมติขององค์คณะในคดีนี้ไม่ได้ก้ำกึ่ง มติส่วนใหญ่ออกมา 8 ต่อ 1 ในทุกกรณี

การวินิจฉัยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท.ทักษิณ จำนวน 76,621,603,061 บาท พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดินใน 5 กรณี คือ

1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต โดยการออกพระราชกำหนดแปลงค่าสัมปทานโทรศัทพ์เคลื่อนที่เป็นภาษีสรรพสามิต

2.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Mobile Telephone) ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงิน

3.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Mobile Telephone) ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 7) ลงวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม เป็นประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ป และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส

4.กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยมิชอบหลายกรณี เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ป และบริษัท ชินแซท

5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) 4 พันล้านบาท เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของชินแซท

ทั้ง 5 ประเด็นนี้ แหล่งข่าวระดับสูงในศาลฎีการะบุว่า มติออกมา 8 ต่อ 1 ซึ่ง 1 เสียงที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิด คือ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล

ส่วนข้อวินิจฉัยว่าจะยึดทรัพย์หรือไม่นั้น มีการลงคะแนน 2 รอบ รอบแรกลงมติว่ายึดหรือไม่ยึด ผลการลงคะแนนยังคงออกมา 8 ต่อ 1 และเสียงข้างน้อย 1 เสียงยังคงเป็นคนเดิมคือ ม.ล.ฤทธิเทพ

จากนั้นองค์คณะจึงลงมติอีกครั้งว่า จะยึดทั้งหมดหรือยึดบางส่วน ผลการลงมติออกมา 7 ต่อ 2 ให้ยึดเฉพาะทรัพย์สินส่วนที่มีขึ้นหลังการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง ม.ล.ฤทธิเทพคือ 1 ใน 7 ที่ลงมติให้ยึดบางส่วน

ขณะที่ 1 ใน 2 องค์คณะที่ให้ยึดทั้งหมดคือ นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ที่เคยร่วมองค์คณะพิจารณาคดีหวยบนดิน และคดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า ซึ่งขณะนี้พักคดีชั่วคราว เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ระหว่างหลบหนี

คำพิพากษาจึงออกมาว่า ให้เงินปันผลและเงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผล นับแต่วันที่ธนาคารอายัด ตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับองค์คณะผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พิพากษาคดียึดทรัพย์ 9 คน ประกอบด้วย

1.นายไพโรจน์ วายุภาพ เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานศาลฎีกาเมื่อเดือน ต.ค.52 เคยเป็นองค์คณะพิจารณาคดีแปลงภาษีสรรพสามิตที่อัยการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพักคดี เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ระหว่างหลบหนี

2.นายอดิศักดิ์ ทิมมาตย์ ตำแหน่งประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ได้รับเลือกเป็นองค์คณะแทนนายปัญญารัตน์ วิระยะวานิช นอกจากคดีนี้ นายอดิศักดิ์ยังเป็นองค์คณะพิจารณาสำนวนคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยยื่นถอดถอน ป.ป.ช. กรณีชี้มูลความผิดการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกรณีที่มีมติไล่ตำรวจระดับนายพลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากราชการ

3.ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา

4.นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ที่เคยร่วมองค์คณะพิจารณาคดีหวยบนดิน และคดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า ซึ่งขณะนี้พักคดีชั่วคราว เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ระหว่างหลบหนี

5.นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็น 1 ในองค์คณะพิพากษาคดีแปลงภาษีสรรพสามิต

6.นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนและหัวหน้าทีมในคดีนี้ เคยเป็นองค์คณะคดีการเมืองสำคัญหลายคดี อาทิ คดีที่ดินรัชดาฯ, คดีคลองด่าน ซึ่งพิพากษาจำคุกนายวัฒนา อัศวเหม, คดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง

7.นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา เคยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทย แม้เป็นเสียงเอกฉันท์ 9-0 ให้ยุบ แต่เป็น 1 ใน 3 เสียงข้างน้อยไม่เห็นด้วยให้ตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร 5 ปี

8.นายพิทักษ์ คงจันทร์ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา และเป็นองค์คณะคดีถอดถอน ป.ป.ช. กรณีชี้มูลความผิดการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และที่มีมติไล่ตำรวจระดับนายพลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากราชการ

9.นายพงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เคยเป็นองค์คณะพิจารณาคดีหวยบนดิน.

สถานการณ์ข่าว4ธ.ค.57

เฝ้าในหลวง

“ในหลวง” เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 5 ธ.ค.

“ในหลวง - พระราชินี” เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 5 ธ.ค. พร้อม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา และพระบรมวงศานุวงศ์

พระราชกิจ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2557 วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2557 เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี

จากนั้นเวลา 10.30 น. รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่พระทวารเทเวศรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงยืนเฝ้าฯใกล้มุมเสาด้านซ้ายพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นแท่นประทับบนพระที่นั่งพุดจานกาญจนสิงหาสน์ หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร

(พร้อมแล้ว เจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัด)

เมื่อสิ้นสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯออกยังหน้าพระแท่นนพปฎล มหาเศวตฉัตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ (ต่อจากนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายพรเพรช วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัส จบ

(เจ้าพนักงานรัวกรับ และปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติถวายเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี)

เสด็จฯลงจากพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ออกจากพระที่อมรินทรวินิจฉัย

เสด็จฯ ประทับรถยนตร์พระที่นั่งที่พระทวารเทเวศรักษา พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

เสด็จพระราชดำเนินกลับ ...

----------------
หมอเผยในหลวงทรงแข็งแรง - ศิริราชเปิดให้พสกนิกรรอเฝ้ารับเสด็จ 5 ธ.ค.

ศ.คลินิก น.พ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระวรกายสมบูรณ์แข็งแรงดี คาดว่าหากไม่มีอะไร
เปลี่ยนแปลง ในวันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ จะเสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีมหามงคลที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย โดยจะเสด็จลงจากอาคารที่ประทับ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติในเวลา 10.30 น.

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกครั้ง ส่วนจะเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ จึงขอให้ประชาชนร่วมชื่นชมพระบารมี โดยทางโรงพยาบาลศิริราชก็ยังเปิดให้ประชาชนเฝ้ารับเสด็จได้ตามปกติ ซึ่งมีเพียงการงดลงนามถวายพระพรที่ศาลาศิริราช 100 ปี ของทางสำนักพระราชวังเท่านั้น
-------------------
ปชช.สวมเสื้อเหลืองร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติ ที่สนามหลวง คึกคัก 


  วันนี้ (4 ธ.ค) ที่ท้องสนามหลวง ต่างยังคงมีประชาชนสวมใสเสื้อสีเหลือ ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี เนื่องในวัน 5

ธันวามหาราช โดยเป็นการเฉลิมแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระชมพรรษาครบ 87 พรรษา และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

  โดยประชนที่เดินทางมา ต่างเข้าร่วมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่หน่วยงานต่างๆจัดขึ้น ทั้งกระทรวง ทะบวง และกรม พร้อมกันนี้ยัง

มีนิทรรศการและการจัดแสดงสินค้าประจำจังหวัดต่างๆ ทั้ง 77 จังหวัด

   ทั้งนี้ กองทัพบก ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเจษฎาเทคนิค มิวเซียม จัดกิจกรรม ไมโครคาร์พาเหรดเฉลิมพระเกียรติ 87 พรรษามหาราช โดยนำรถไมโครคาร์ หรือรถ

โบราณขนาดจิ๋ว ,รถโบราณชนิดอื่น ,และรถบัสลอนดอน ที่กลับจากการเดินทาง ในการท่องเที่ยวระหว่างไทย - สปป.ลาว รวมจำนวนกว่า 130 คัน เป็นขบวนพาเรดเฉลิมพระเกียรติ เนื่องใน

วโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ โดยพลโท ภาวณุวัชร  นาควงษ์ รองเสนาธิการทหารบก เป็นประธานปล่อยขบวน โดยเริ่มต้นที่ท้องสนามหลวง วิ่งผ่านถนนพระอาทิตย์ เข้าถนนสำราญราษฎร์ ผ่านวงเวียน  ไปยังซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ เพื่อร่วมกับขบวนย่อย เดินทางต่อผ่านถนนเยาวราช แยกวังบูรพา เข้าถนนราชดำเนินนอก อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ขึ้นสะพานพระรามแปด กลับสู่ลานจอดรถเจษฎาเทคนิคมิวเซียม ทางถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า

  อย่างไรก็ตาม การจัดการจิกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ที่ท้องสนามหลวงจะจัดต่อเนื่องไป จนถึงวันที่ 9 ธ.ค. สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมสามารถเดินทางมากได้ทุกวัน ตามวันเวลาดังกล่าว
-------------------
ประชาชนสวมเสื้อเหลืองร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติ ที่สนามหลวง คึกคัก โดยมีกิจกรรมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ จากหน่วยงานต่างๆ

วันนี้ (4 ธ.ค) ที่ท้องสนามหลวง ต่างยังคงมีประชาชนสวมใสเสื้อสีเหลือ ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี เนื่องในวัน 5 ธันวามหาราช โดยเป็นการเฉลิมแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระชมพรรษาครบ 87 พรรษา และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยประชาชนที่เดินทางมา ต่างเข้าร่วมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่หน่วยงานต่างๆจัดขึ้น ทั้งกระทรวง ทบวง และกรม พร้อมกันนี้ยังมีนิทรรศการและการจัดแสดงสินค้าประจำจังหวัดต่างๆ ทั้ง 77 จังหวัด

ทั้งนี้ กองทัพบก ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเจษฎาเทคนิค มิวเซียม จัดกิจกรรม ไมโครคาร์พาเหรดเฉลิมพระเกียรติ 87 พรรษามหาราช โดยนำรถไมโครคาร์ หรือรถโบราณขนาดจิ๋ว ,รถโบราณชนิดอื่น ,และรถบัสลอนดอน ที่กลับจากการเดินทาง ในการท่องเที่ยวระหว่างไทย - สปป.ลาว รวมจำนวนกว่า 130 คัน เป็นขบวนพาเหรดเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ โดยพลโท ภาณุวัชร นาควงษม์ รองเสนาธิการทหารบก เป็นประธานปล่อยขบวน โดยเริ่มต้นที่ท้องสนามหลวง วิ่งผ่านถนนพระอาทิตย์ เข้าถนนสำราญราษฎร์ ผ่านวงเวียน  ไปยังซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ เพื่อร่วมกับขบวนย่อย เดินทางต่อผ่านถนนเยาวราช แยกวังบูรพา เข้าถนนราชดำเนินนอก อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขึ้นสะพานพระรามแปด กลับสู่ลานจอดรถเจษฎาเทคนิคมิวเซียม ทางถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า

อย่างไรก็ตาม การจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ที่ท้องสนามหลวงจะจัดต่อเนื่องไป จนถึงวันที่ 9 ธ.ค. สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมสามารถเดินทางมากได้ทุกวัน ตามวันเวลาดังกล่าว
-----------------
ช่วงบ่ายวันนี้กิจกรรม 5 ธันวา ที่สนามหลวง ปชช. ร่วมนิทรรศการและกิจกรรมเทิดพระเกียรติ คึกคัก

บรรยากาศการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท้องสนามหลวง ยังเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยกิจกรรมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังได้รับความสนใจจากประชาชนเข้าร่วม ทั้งนี้ ด้านหน้าซุ้มนิทรรศการหน่วยงานต่างๆ ได้เปิดให้ประชาชนได้ร่วมลงนามถวายพระพร และถวายความจงรักภักดี อาทิ สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย โดยการลงนามบนถวายพระพรผ่านใบโพธิ์สีเหลืองทอง แล้วนำไปติดบนต้นโพธิ์ ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมให้ เพื่อเป็นศูนย์ร่วมใจเดียวกัน ถวายแด่พ่อหลวงของแผ่นดิน

พร้อมกันนี้ ภายในพื้นที่การจัดงานเทิดพระเกีรติ รักพ่อ 2557 ได้มีการตั้งโต๊ะ ให้ประชาชนได้ลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์

อย่างไรก็ตาม การจัดกิจกรรม ยังเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการเดินชมนิทรรศการแล้วสแตมป์จุดเข้าชม เมื่อครบ 22 ดวง รับฟรีเสื้อยืดรักพ่อ 1 ตัว
----------------
พสกนิกรสวมเสื้อเหลือง จองพื้นที่รอรับเสด็จในหลวง 5 ธ.ค. แน่นศิริราช

ที่โรงพยาบาลศิริราช มีพสกนิกรพร้อมใจกันสวมใสเสื้อสีเหลือง เดินทางมาจับจองพื้นที่เพื่อรอเฝ้ารับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ที่จะเสด็จพระราชดำเนินจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย  พระบรมมหาราชวัง ประกอบพระราชพิธีมหามงคลเนื่องในวันที่ 5 ธันวามหาราช

โดยจะเสด็จลงจากอาคารที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติในเวลา 10.30 น. แล้วเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่งไปยัง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ บนพระราชบรรลังก์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทรงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับยังโรงพยาบาลศิริราช

โดยพสกนิกรที่มารอเฝ้ารับเสด็จ ต่างทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมแสดงออกถึงความจงรักภักดี และพร้อมใจกันในการเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

/////////////
กมธ.ยกร่างฯ

"น.พ.กระแส" ทำหน้าที่ประธาน แทน "บวรศักดิ์" ประชุม กมธ.ยกร่าง รธน. พิจารณารายงานอนุกรรมาธิการ คณะที่ 4

นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นประธานแทน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดและไม่สามารถทำหน้าที่ในประธานประชุมดังกล่าวได้ โดยมีวาระพิจารณาผลดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 4 ซึ่งพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญในส่วนของภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมืองหมวด 5 การคลัง และงบประมาณของรัฐ

พร้อมกันนี้ ได้ดำเนินการจัดทำข้อสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง โดยจำแนกความเห็นของแต่ละพรรคตามกรอบโครงร่างพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมาธิการ ด้านสารัตถะ ทั้ง 10 คณะ คาดว่า วันนี้จะดำเนินการพิจารณากรอบเนื้อหาได้ทั้งหมด
----------------
กมธ.ปฏิรูปด้านบริหารราชการแผ่นดิน เสนอตั้ง คณะกรรมการจริยธรรมและธรรมาภิบาลแห่งชาติ พิจารณาหลักธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ 

นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน พร้อมด้วยทีมโฆษก กล่าวถึงข้อเสนอประเด็นปฏิรูป ว่า การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินมีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การปฏิรูปด้านอื่นสามารถดำเนินการบรรลุเป้าหมาย เสริมสร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชน เป็นภาพอนาคตของประเทศไทยใน 20 ปี ข้างหน้า โดยได้เสนอ 5 ประเด็นหลัก คือ เสนอให้มีการปฏิรูปการเสริมสร้างให้มีคนดีคนเก่งในระบบบริหารราชการแผ่นดิน โดยเสนอให้จัดตั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ชื่อว่า คณะกรรมการจริยธรรมและธรรมาภิบาลแห่งชาติ มีอำนาจในการพิจารณาหลักธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปฏิรูประบบงบประมาณ ให้มีการจัดระบบตามภารกิจ เพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศภายใต้กรอบทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การปฏิรูปด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของระบบราชการ โดยเห็นว่า ในระบบทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย รัฐไม่ควรเข้าไปแข่งขันกับเอกชนในการดำเนินงาน การปฏิรูปที่เกี่ยวกับการกำหนดขอบเขตภารกิจอำนาจหน้าที่และจัดดุลความสัมพันธ์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น
---------------
กมธ.ปฏิรูปปราบทุจิรตคอร์รัปชั่น เตรียมเสนอความเห็น 30 ประเด็น เน้นให้ ปชช. เลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ เลขานุการคณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงผลข้อเสนอแนะในการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะยื่นข้อเสนอ 30 ประเด็น อาทิ เสนอให้ประชาชนมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะเกี่ยวกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานรัฐ รวมทั้งสามารถติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ จากพรรคการเมือง รวมทั้งสามารถถอดถอนได้

นอกจากนี้ กล่าวถึงพรรคการเมือง ว่า จะต้องรับผิดชอบในการเสนอผู้สมัครรับเลือกตั้ง พร้อมให้มีบทลงโทษกรณีที่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขายและผู้เกี่ยวข้อง
-------------------
กมธ.ปราบทุจริต เสนอให้ความเห็นที่ผ่านการเห็นชอบ สปช. ถูกเขียนเป็นบทเฉพาะกาล ของ รธน. และต้องตราเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับ

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ เลขานุการคณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า จะเสนอให้รัฐมีหน้าที่จัดการปัญหาการทุจริต มีมาตรการในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งกำหนดมาตรฐานทางคุณธรรม จริยธรรม ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐยังคงให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต และมีอำนาจสอบสวนสั่งฟ้องคดีได้เอง ตลอดจนมีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินคดีโดยเร็ว

นอกจากนี้ นายวสันต์ ยังกล่าวอีกว่า กรรมาธิการยังเห็นควรให้เขียนข้อผูกพันไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ว่าข้อเสนอแนะที่ผ่านการรับรองของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติแล้ว และต้องตราเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับ แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินต่อให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี ละให้รัฐบาลที่ตั้งขึ้น ต้องดำเนินการต่อเนื่องตามวัตถุประสงค์อย่างน้อย 3 ปี
-------------
อนุ กมธ.ชุดที่ 4 เสนอบัญญัตินิยมคำว่าเงินแผ่นดินใหม่ แก้ปัญหาพบปัญหาหลักเรื่องงบประมาณ ครม. - ส่วนราชการก่อหนี้สาธารณะสูง 

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยถึงการประชุมว่า การพิจาณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการคณะที่ 4 เรื่องการคลังและการงบประมาณของรัฐ ที่มี นายจรัส สุวรรณมาลา เป็นประธานนั้น พบว่า มีสภาพปัญหาหลัก คือ คณะรัฐมนตรีและส่วนราชการต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีการก่อหนี้สาธารณะ ใช้จ่ายเงินแผ่นดินโดยไม่ผ่านระบบงบประมาณประจำปี ขาดวินัยทางการเงินการคลัง  ส.ส.หาผลประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณผ่านการแปรญัตติอย่างกว้างขวาง ทำให้การใช้จ่ายขาดทิศทาง ระบบบริหารการคลังในปัจจุบันไม่ตอบสนองการพัฒนาประเทศ

ขณะที่กฎหมายด้านการคลังที่ผ่านมามีเนื้อหาล้าหลัง มีช่องว่างในการใช้อำนาจทางการเงินที่ขาดความรับผิดชอบ

ทั้งนี้ แนวทางในการแก้ไขปัญหานั้น เสนอให้นิยามคำว่าเงินแผ่นดินใหม่ โดยให้เป็นเงินรายได้ที่นำส่งคลังทั้งมวล เพื่อให้ครอบคลุมและรัดกุมมากขึ้น เพราะกฎหมายที่ผ่านมาการใช้เงินแผ่นดินทำเป็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ไม่ได้กำหนดขอบเขตของเงินแผ่นดินไว้  ส่งผลให้มีการสร้างหนี้สินผูกพัน

//////////////////
สนช.

"พรเพชร" นัดสมาชิกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 10.00 น. เพื่อพิจารณาวาระเร่งด่วน 8 เรื่อง

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีคำสั่งนัดสมาชิกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในเวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาวาระเร่งด่วน 8 เรื่อง อาทิ ร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. .... ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม FATCA

ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... การให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน แทนตำแหน่งที่ว่าง พร้อมเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินมาแล้ว
-------------
สนช. เตรียมให้สมาชิกอภิปราย พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ยันพิจารณารอบคอบ ลดปัญหาโต้แย้ง

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เริ่มทยอยเตรียมตัวประชุมที่จะมีขึ้นในเวลา 10.00 น. แล้ว เพื่อพิจารณาวาระเร่งด่วน 8 เรื่อง โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติภาษีการ
รับมรดก พ.ศ. ....

วันนี้ ที่ประชุมจะเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีการถ่ายโอนทรัพย์สินทางมรดกในปัจจุบัน ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าทรัพย์สินจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด เพราะปัจจุบันเกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม จึงเห็นว่าควรจัดเก็บภาษีตามสมควร จาการรับมรดกที่มีมูลค่าจำนวนมาก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศและยกระดับการใข้ชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมี สมาชิก สนช. ให้ความสนใจ โดยบางส่วนเห็นว่า ควรยกเว้นการเสียภาษีสำหรับเกษตรกรที่รับมรดกที่ดินเพื่อใช้ในการเกษตรกรรม ซึ่งที่ประชุมจะพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่เกิดปัญหาโต้แย้งในภายหลัง
-------------------
"พีระศักดิ์" ระบุ สนช. ส่วนใหญ่มองหากจะมีกฎหมายนิรโทษ รบ. - คสช. ต้องเป็นผู้เสนอ เตรียมลงพื้นที่อีสาน วันนี้พิจารณาภาษีมรดก 

นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 เปิดเผยกับสำนักข่าว INN ถึงประเด็นมีการเสนอความเห็นเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ว่า ทางสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่ มองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเชิงนโยบาย ซึ่งความเกิดจากรัฐบาล หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้ริเริ่ม และเป็นผู้เสนอมายังสภา ซึ่ง สนช. พร้อมที่จะมีการพิจารณา แต่ถ้าจะให้ สนช. เป็นผู้ริเริ่มในการเสนอเอง คงเป็นไปไม่ได้ ส่วนประเด็นการเสนอความเห็นเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี ของอนุกรรมาธิการด้านการเมืองนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรวบรวมความเห็นเพื่อเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เป็นประธาน ส่วนตนเองนั้นจะรับผิดชอบในการรับฟังความเห็น ข้อร้องเรียนต่าง ๆ จากประชาชน ซึ่งได้กำหนดที่จะลงพื้นที่ จ.มุกดาหาร, บึงกาฬ, นครพนม และ หนองคาย ในระหว่างวันที่  27-29 ธ.ค. นี้ เพื่อรับฟังปัญหา ข้อคิดเห็น ในทุก ๆ ด้านจากประชาชน  

ทั้งนี้ ยังกล่าวด้วยว่าในการประชุม สนช.วันนี้ จะมีการพิจารณากฎหมายสำคัญคือภาษีมรดก, แก้ไขประมวลรัษฎากรเรื่องการให้ เพื่อให้สอดคล้องกับภาษีมรดก และ ร่าง MOU ไทยจีนเรื่องรถไฟ
ทางคู่เป็นต้น
---------------
รมว.คมนาคม แจงเหตุผล สนช. การขอความเห็นชอบร่างความตกลงไทย-จีน สร้างรถไฟรางคู่ 2 เส้นทาง

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด เข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558 - 2565 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ (ตามมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557)

โดย พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงหลักการเหตุผลว่า รัฐบาลไทยได้ตกลงให้รัฐบาลจีนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะโครงการรถไฟรางคู่ ขนาดมาตรฐาน เส้นทางหนองคาย-โคราช-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด ประมาณ 734 กม. และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ ประมาณ 133 กม.
-----------------
สมาชิก สนช. อภิปรายร่างความตกลงไทย-จีน ร่วมสร้างรถไฟทางคู่ โดย สนช. ขณะที่ "มณเฑียร" สนับสนุน ชี้ เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ประเทศ

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ล่าสุด สมาชิกยังอภิปรายร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558 - 2565 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ

โดย นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิก สนช. สนับสนุนร่างบันทึกความเข้าใจนี้ เพราะเป็นประโยชน์ของทั้งสองประเทศ และเป็นการลงทุนสู่อนาคต ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคม แต่ยอมรับว่าโครงการขนาดใหญ่ที่ผ่านมายังเป็นระบบที่ไม่ครอบคลุมประชาชนทุกชนชั้น จึงอยากให้รัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิด
--------------
สนช. เห็นชอบร่างความตกลงไทย-จีน ร่วมสร้างรถไฟทางคู่แล้ว ขณะ รัฐมนตรีคมนาคม ยืนยัน เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558 - 2565 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ด้วยคะแนน 187:0 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง

โดย พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า จะดำเนินโครงการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด และส่งผลสู่การพัฒนาพื้นที่ การขนส่งสินค้าที่สะดวก ทำให้

เศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งนี้ เมื่อร่างบันทึกความเข้าใจนี้ ผ่านความเห็นชอบจาก สนช. แล้ว รัฐบาลก็จะเดินทางไปจีนอีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามแผนงาน ซึ่งขณะนี้มีการตั้งคณะทำงานของไทยไว้แล้ว
-------------------
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เลื่อนพิจารณาร่างกฎหมายภาษีการรับมรดก 18 ธันวาคมนี้ ชี้ ต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม แจ้งต่อที่ประชุมขอเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. .... และร่าง

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นร่างที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอออกไปเป็นวันที่ 18 ธันวาคม 2557 เนื่องจากร่างกฎหมายมีรายละเอียดจำนวนมาก ต้องให้สมาชิกศึกษาเพิ่มเติมก่อน

จากนั้น พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ พ.ศ. .... โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เข้าชี้แจงหลักการและเหตุผลในการออกกฎหมายฉบับนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมมติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม FATCA ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 158 เสียง ไม่เห็นด้วย 7 เสียง งดออกเสียง 20 เสียง
----------------
สนช. มีมติรับหลักการ พ.ร.บ.ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการแต่งตั้งตามประกาศ คสช. พร้อมตั้งกรรมาธิการ 15 คน แปรญัตติ 7 วัน

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับหลักการวาระแรกในร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. พศ... แล้ว ด้วยคะแนน 180:0 เสียงงดออกเสียง 5 เสียง

โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจงหลัการและเหตุผล ว่าเป็นพระราชบัญญัติฉบับพิเศษ และแตกต่างจากพระราชบัญญัติฉบับอื่นที่เคยเสนอมา เพราะนอกจากจะประสงค์ในเรื่องของอำนาจแล้ว ยังมีเทคนิคพิเศษในการทำหน้าที่ของกรรมการที่ถูกแต่งตั้งขึ้น

ด้าน นายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะเลขานุการ วิป สนช. เสนอต่อที่ประชุมว่า หากไม่มีสมาชิกประสงค์จะอภิปราย แต่ควรตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษารายละเอียดในร่างกฎหมายดังกล่าว จำนวน 15 คน มีสัดส่วนจาก สนช. 10 คน วิป สนช. 2 คน และคณะรัฐมนตรี 3 คน พร้อมกำหนดกรอบระยะเวลาการขอแปรญัตติภายใน 7 วัน
--------------------
สนช. มีมติไม่เห็นชอบ แต่งตั้ง "ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล" เป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาวาระด่วนที่ 5 ซึ่งเป็นการเสนอที่ประชุมให้ความเห็นชอบ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ให้ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ประกอบกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 48/2557 แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยที่ประชุม ขอให้มีการประชุมลับ เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการสามัญทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงให้มีการลงคะแนนโดยลับ ก่อนจะมีมติไม่เห็นชอบให้ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน 86 เสียง เห็นด้วยเพียง 76 งดออกเสียง 20 เสียง
-------------------------
สนช. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ ให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ก่อนปิดประชุม

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มี นายพีระศักดิ์ พอจิต ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด ได้สั่งปิดการประชุมแล้ว โดยให้เลื่อนร่างกฎหมายที่คงค้างไปพิจารณาครั้งต่อไป โดยก่อนหน้านี้ ที่ประชุมลงมติเห็นชอบให้นำร่างพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ... (ความรับผิดทางอาญาของกรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล ตามมาตรา 76) กลับมาพิจารณาทบทวนด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 173 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาโดกรรมาธิการเต็มสภา และลงมติเห็นสมควรประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 170 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี งดออกเสียง 5 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง จากนั้นลงมติในวาระที่ 3 เห็นสมควรประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช 2482 พ.ศ. ... เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 170 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี งดออกเสียง 5 เสียง
--------------
สตช. สั่งจับตาการเคลื่อนไหวกลุ่มหนี้สินชาวนา และการค้าประเวณีเมืองแปดริ้ว -กำชับตำรวจนราธิวาสปฏิบัติหน้าที่อย่างระวัง

พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร ที่ปรึกษา (สบ 10) กำชับในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. ให้ตำรวจสันติบาลติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย หรือ คนท. อย่างใกล้ชิด กำชับผู้บังคับการจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้เร่งรัดสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา กรณีฝ่ายปกครองเข้าจับกุมสถานบริการค้าประเวณีใน พื้นที่ สภ.ฉะเชิงเทรา (อ.แปดริ้ว) รวมถึงตั้งข้อสังเกตให้พัฒนาปรับปรุงในเรื่องของการประสานงาน ความร่วมมือหรือบูรณาการงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัด โดยให้รายงานข้อเท็จจริงพร้อมบันทึกจับกุมรวมถึงผลการปฏิบัติการจับกุมในรอบปีที่ผ่านมา และให้ตรวจสอบสถานบริการต่าง ๆ ว่ายังมีการลักลอบการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวอีกหรือไม่

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ชัยยง ยังกำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและให้เร่งรัดสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุความไม่สงบเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมาด้วย

/////////////////
ปรองดอง

รองเสนาธิการทหารบก ระบุ ศปป. น้อมนำพระราชดำรัส “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มากำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ในโรดแมประยะที่ 2

พล.ท.พิสิทธิ สิทธิสาร รองเสนาธิการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสนามฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) แถลงข่าว ความคืบหน้าในการดำเนินการสร้างความปรองดอง ว่าการดำเนินงานของ ศปป.ตามโรดแมประยะที่ 2 นั้น ได้น้อมนำพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มากำหนดเป็นยุทธศาสตร์ และเป็นหลักคิด โดยมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ ให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีจิตสำนึกของความเป็นพลเมืองที่ดี มีความรัก หวงแหน รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามของไทย รวมทั้งจงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และดำเนินการรับทราบความคิดเห็นของประชาชน นิสิต และนักศึกษา นักวิชาการ ในสถาบันอุดมศึกษา และผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ จากทุกสาขาอาชีพ ในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ของ คสช. เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทย โดยปราศจากการใช้ความรุนแรง
----------------
ศปป. วาง 6 แผนงาน 9 โครงการภาคประชาชนมามีส่วนร่วมในการขจัดข้อขัดแย้ง เตรียมเปิดเวที ชื่อคนไทยหัวใจเดียวกัน ทั่วประเทศ

พล.ท.พิสิทธิ สิทธิสาร รองเสนาธิการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสนามฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.)  เปิดเผยว่าทาง ศปป. ได้กำหนดแผนงาน 6 แผนงาน และ 9 โครงการ ที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขจัดข้อขัดแย้ง และความเข้าใจของประชาชน โดยการเปิดเวทีความคิดเห็นจะเปิดพร้อมกันทั้ง 4,248 เวที ทั่วประเทศ โดยมีชื่อโครงการว่า “คนไทยหัวใจเดียวกัน” ซึ่งจะให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล นิสิต นักศึกษา รวมทั้งบุคลากรในสถาบันการศึกษา และบุคลากรในสาขาอาชีพต่าง ๆ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามกรอบการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน

นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานมหกรรมเอกลักษณ์ไทยหัวใจสี่ภาค เพื่อสร้างค่านิยม และจิตสำนึกของประชาชนทุกภาคส่วน โดยจะดำเนินการทั้งสิ้น 16 จังหวัด และในวันที่ 29 ธันวาคม ถึง 2 มกราคมนี้
จะเริ่มกิจกรรม 4 จังหวัด คือ ลพบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช
-------------------
ศปป. แจงขั้นตอนเปิดเวทีรับฟังความเห็น ปชช. ต้องขออนุญาตแม่ทัพภาค วอนคนเห็นต่างอย่าทำให้ส่วนรวมเสียหาย

พล.ท.พิสิทธิ สิทธิสาร รองเสนาธิการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสนามฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) เปิดเผยถึงการจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนว่า ในส่วนการเปิดเวทีตามพื้นที่ภาคต่าง ๆ ทางแม่ทัพภาคจะมีตำแหน่งเป็น ผอ.ศปป.ภาค  ต้องไปคุยกับแม่ทัพภาคนั้น ๆ หากขอเปิดเวที เพราะบางเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อนจะต้องชี้แจงให้แม่ทัพภาครับทราบก่อน

นอกจากนี้ สำหรับการประเมินกระแสต่อต้านนั้น มองว่าหากมหาวิทยาลัยใดพร้อม ก็ต้องไปคุยกับนักศึกษาแต่ละกลุ่มว่ามีความคิดเห็นแบบใด ขณะเดียวกันไม่กังวลว่าการเปิดพื้นที่พูดคุยอาจทำให้บางกลุ่มรวมตัวทางการเมืองเนื่องจากการพูดคุยอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้แล้ว พร้อมกันนี้ พล.ท.พิสิทธิ ยังกล่าวถึงการแสดงสัญลักษณ์ประท้วงในเวทีโดยขอร้องว่าอย่าทำให้ส่วนร่วมเสียหาย ซึ่งหากปรองดองกันได้การเลือกตั้งก็เป็นไปตามกรอบเวลาแน่นอน

ทั้งนี้ เวลาการทำงานของ ศปป. จะมีระยะเวลาทำงานถึงเดือนกันยายน 2558 ส่วนการสรุปความคิดเห็นเวทีทีต่าง ๆ จะอยู่ในช่วงมิถุนายน ถึงกรกฎาคม 2558 จากนั้น ศปป. จะนำเอาข้อคิดเห็นประชาชนทุกเวทีมาสรุปเพื่อส่งให้ คสช. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป
/////////

นายกฯ

นายกฯ เตรียมปาฐกถาพิเศษ "เศรษฐกิจดิจิตอล พลิกโฉมประเทศไทย" ก่อนเปิดงาน วันสิ่งแวดล้อมไทย

สำหรับวาระงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ ในช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเปิดงานสัมมนาโพสต์ทูเดย์ ฟอรั่ม และปาฐกถาพิเศษเรื่อง "เศรษฐกิจดิจิตอล พลิกโฉมประเทศไทย"  ที่ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ

หลังจากนั้น ในเวลาประมาณ 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปเป็นประธานเปิดงาน "เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทย และวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2557" ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี
-------------
นายกฯ ลั่น ขับเคลื่อน ศก.ดิจิตอล เพื่อผลประโยชน์ของชาติทุกมิติ เร่งเดินหน้าไม่ให้ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง บอกวิจารณ์ตนเองได้ ขอแบบสร้างสรรค์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาโพสต์ทูเดย์ ฟอรั่ม และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "เศรษฐกิจดิจิตอล พลิกโฉม
ประเทศไทย" ที่ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานในวันนี้อย่างคับคั่ง ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งในและรอบพื้นที่โดยมีการ
ตรวจสอบบุคคลรวมถึงกระเป๋าสัมภาระของผู้ที่จะเดินทางเข้าร่วมงานอย่างละเอียด

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาว่า ต้องมีการเดินหน้าประเทศไม่ให้ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งขณะนี้ ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจดิจิตอลให้มีความก้าวหน้าเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศในทุกมิติ เพราะหากเศรษฐกิจดิจิตอลมีความรวดเร็ว ก็จะทำให้เศรษฐกิจของชาติในด้านต่าง ๆ พัฒนาไปด้วย ซึ่งรัฐบาลจะมีการสนับสนุนในทุกมิติพร้อมแก้ปัญหาอุปสรคต่าง ๆ

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า สามารถวิจารณ์ตนเองได้ แต่ขอให้วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมา คสช. ใช้อำนาจอย่างสร้างสรรค์ ส่วนผู้ที่ยังมีความเห็นต่งก็ต้องสร้างความเข้าใจ โดยย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นพวกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และขออย่ากังวลเรื่องการปฏิรูป
----------------
นายกฯ หวังนำขยะไปผลิตไฟฟ้า ขอ ปชช. หยุดขัดแย้ง แนะละทิ้งขยะในจิตใจ ยันทหารไม่เคยแบ่งแยกสี อย่ากลัวเรื่อง รธน.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวเปิดงานวันสิ่งแวดล้อมและวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2557 ว่า อยากให้นำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้มีโรงงานกำจัดขยะทุกจังหวัดเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นการลดสัดส่วนการใช้พลังงานด้านอื่น ๆ เนื่องจากขนะนี้ยังไม่มีความยั่งยืนทางด้านพลังงาน จึงอยากขอให้ภาคประชาชนอย่าขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวและร่วมให้ข้อเสนอแนะร่วมมือในการจัดการปัญหาขยะกับรัฐบาลด้วย

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ประชาชนละทิ้งขยะภายในจิตใจ อาทิ ความขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก และยืนยันว่าส่วนตัวและทหารไม่เคยแบ่งแยกสีใด ๆ พร้อมย้ำว่าขออย่ากังวลเรื่องรัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้ง โดยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการ
---------------------
นายกฯ แจงเตรียมเปิดประมูล 4G ยืนยันไม่ยุบ CAT กับ TOT

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการเปิดประมูลคลื่น 4G ว่า อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมาตามกฎหมายใหม่ 2 ฉบับ แล้วเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ซึ่งจะคู่ขนานไปกับการดำเนินงานของคณะกรรมการ ที่ปรับโครงสร้างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ไปสู่กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจเและสังคม พร้อมยืนยันว่าไม่มีการยุบ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด หรือ CAT และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) แต่จะมีการจัดโครงสร้างใหม่ให้อยู่ภายใต้กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการจัดตั้งโรงงานกำจัดขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าว่าจะเริ่มในปีหน้า ประมาณ 2-3 โรงงาน ซึ่งขณะนี้ ทางกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งจะเริ่มที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นที่แรก
-----------------
ปลัด สธ. เผย เริ่มรณรงค์ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการของรัฐบาลให้เยาวชน ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ได้

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกิจกรรมรณรงค์และปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้เสนอแนวคิด ทักษะ ความสามารถ ผ่านผลงานอย่างสร้างสรรค์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยการประกวดผลงานแบ่งเป็นการประกวดและการประพันธ์บทเพลงค่านิยม 12 ประการที่จะเปิดกว้างให้กับนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และประชาชนได้ร่วมประกวด

ส่วนการประกวดภาพวาดระบายสีค่านิยม 12 ประการ จะเป็นนักเรียนในระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษา เพื่อชิงรางวัลโล่เกียรติยศจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นอกจากนี้ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ยังจะมีกิจกรรมการประกวดเรียงความและการประกวดคลิปวีดิโอค่านิยมหลัก 12 ประการ โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

//////////////
คดีพงศ์พัฒน์

คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเชิงลึก คดี "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์" นัดประชุมวางกรอบการทำงาน 

บรรยากาศที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงเช้าวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ขณะที่วันนี้มีกำหนดการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเชิงลึก กรณีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ครั้งแรก ซึ่งมี นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานคณะกรรมการ

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะดำเนินการตรวจสอบบัญชีทรัพย์และหนี้สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่าเข้าข่ายจงใจปกปิดบัญชี หรือ ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่
--------------------
โฆษก ตร. เผย ยังไม่คืบกรณีล่าตัวนพพรและเสี่ยโจ้ คาดหลบหนีนอก ยันเร่งล่าตัวโดยไว ออกหมายจับเครือข่ายพงศ์พัฒน์ เพิ่ม 1 ราย 

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในส่วนของการติดตามล่าตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือ นิค อายุ 43 ปี  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้จ้างวานผู้ต้องหาอุ้ม นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล นักธุรกิจเจ้าหนี้ ไปข่มขู่ บีบบังคับให้ประนอมหนี้ จาก 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท และในกรณีเรื่องของ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ นักธุรกิจที่มีอิทธิพลและหลบหนีคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีในคดีการปลอมแปลงเอกสารตราประทับ ที่คาดว่าน่าจะหลบหนีออกไปต่างประเทศทั้งคู่

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามเร่งล่า 2 ผู้ต้องหาเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกระบวนการกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังได้มีการออกหมายจับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เพิ่ม 1 ราย คือ นายเจี๊ยบ (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง)
ชายไทยตามสเกตช์ภาพ หมายจับเลขที่ 139/2557 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จ้างวานใช้ให้ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือยอมต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
---------------
ผกก.สน.พระโขนง เผย ยังเร่งติดตาม 2 ผู้ต้องหาเอี่ยว อดีต ผบช.ก. เชื่อ ยังอยู่ในประเทศ

พ.ต.อ.ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าการติดตามตัว นายปรีชา ดาราไตร เจ้าหนี้ และ นายไพเชษฐ์ เมธีอริยะพงศ์ เจ้าของบ้านที่อุ้มผู้เสียหายไปเจรจา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระโขนง หลังได้อนุมัติหมายจับตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เกี่ยวพันกับอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการติดต่อขอมอบตัวจากผู้ต้องหาทั้งสองแต่อย่างใด ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ทางเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบติดตามตัวผู้ต้องหาอยู่

โดย พ.ต.อ.ฤทธิกร ยังกล่าวอีกว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งสองยังอยู่ในประเทศ รวมทั้งยังไม่มีการออกหมายจับผู้ใดเพิ่มเติมแน่นอน
--------------------
ผบช.น. เผย ยังไม่มีการออกหมายจับใครเพิ่ม คดีเอี่ยว ผบช.ก. คาด 10 ธ.ค. สามารถส่งสำนวนทั้งหมด ด้าน นายนพพร ยังหลบหนีที่ ประเทศกัมพูชา

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีการติดตามตัวเครือข่าย อดีต ผบช.ก. หลังเมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.) ทางเจ้าหน้าที่ สน.พระโขนง ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับเพิ่ม 2

ราย คือ นายปรีชา ดาราไตร และ นายไพเชษฐ์ เมธีอริยะพงศ์ และช่วงเย็นของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับอีก 1 ราย ตามภาพสเก็ตช์ที่ผู้ต้องหาให้

ปากคำ คือ นายเจี๊ยบ (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล) ว่า ในวันนี้ยังไม่มีการออกหมายเพิ่มแต่อย่างใด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวนขยายผลเท่านั้น

สำหรับการทำสำนวนคดีนั้นไม่มีอะไรติดขัด หรือเป็นอุปสรรค ยันทำงานตรงไปตรงมา คาดจะสามารถส่งสำนวนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไม่เกินวันที่ 10 ธ.ค. นี้ และการนำสำนวนต่าง ๆ มา

รวมกันก็ต้องอยู่ที่ สำนักงานตำนวจแห่งชาติจะพิจารณาต่อไป

ด้านกระแสข่าวที่ว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ต้องหาว่าจ้างแก๊งข่มขู่ลดหนี้ที่ก่อเหตุในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร ได้นั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบ

ว่า นายนพพร ยังหลบหนีอยู่ในประเทศกัมพูชา ยังไม่ได้เดินทางไปประเทศที่สาม

โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการเรียกสอบปากคำพยานเพิ่มเติมนั้น ต้องทำการสอบสวนผู้ต้องหาให้ละเอียดก่อน ถ้าพบว่ายังมีเพื่อนร่วมกระบวนการเหลืออยู่ ก็จะทำการตรวจสอบ

เพิ่มเติมเพื่อติดตามจับกุม สำหรับพยานคนล่าสุดนั้นให้การเป็นประโยชน์
--------------------
ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ ผกก.สภ.ฉะเชิงเทรา ไปช่วยราชการที่ กอง บช.ภ.2 ไม่มีกำหนด พร้อมตั้งกรรมการสอบ กรณีปล่อยค้ากาม มีผลหลังสอบเสร็จ

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธนาวุฒิ จงจิระ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร

ฉะเชิงเทรา ไปปฏิบัติราชการที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ไม่มีกำหนด พร้อมให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีฝ่ายปกครองเข้าตรวจค้นสถานบริการในพื้นที่แล้วพบการกระทำ

ผิดลักษณะปล่อยให้มีการค้าประเวณี เมื่อกลางดึกวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา

โดยมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้นำกำลังเข้าตรวจค้นร้านอาหารลายอีสาน ในพื้นที่ สภ.ฉะเชิงเทรา สามารถยึดของกลางในการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ การค้าประเวณี และ

เป็นธุระจัดหา ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีหญิงสาวชาวลาวมากถึง 50 คน ทั้งถุงยางอนามัย และบัญชีรายชื่อของการขึ้นรอบระหว่างหญิงบริการในร้านกับแขกลูกค้าผู้มาเที่ยว และเงินสดอีกหลาย
หมื่นบาท

ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวให้มีผลทันที จนกว่าจะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ
---------------------------
โฆษก ตร. ออกหมายจับเพิ่ม 1 ราย เครือข่ายพงศ์พัฒน์ ระบุ เป็นคนประสานงาน - เสี่ยโจ้ และ นพพร ยังไร้เบาะแส 

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นายไตรสรณ์ ธีระตระกูล เสี่ยเจ้าของโรงน้ำแข็ง ตลาดไท เป็นผู้เสียหายรายที่ 3 ที่เข้ามาร้องเรียนกับตำรวจว่า ถูก นายชากานต์

ภาคภูมิ ผู้ต้องหาแก๊งอุ้มทวงและบังคับลดหนี้ เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มาขายตัดราคา ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2556

โดยแอบอ้างว่าเป็นธุรกิจของสถาบัน ขณะที่ ล่าสุด พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีการออกหมายจับเพิ่มอีก 1 ราย คือ นายเจี๊ยบ ไม่ทราบนามสกุล ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้อง

สูง ซึ่งตำรวจมีข้อมูลว่า เป็นคนประสานระหว่าง นายนพพร ศุภพิพัฒน์ กับกลุ่มทวงหนี้ ส่วนการติดตามตัว นายนพพร ยังไม่ยืนยันว่า อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแต่เชื่อว่า มีการหลบหนีออกนอก

ประเทศไปแล้ว

ส่วนความคืบหน้าการติดตามตัว นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินและลักลอบค้านำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ว่า ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสเพิ่มเติม ส่วนเบาะแสที่มีผู้แจ้งเข้ามาหลัง

จากที่มีการตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาทนั้น ตรวจสอบแล้วยังไม่พบแต่อย่างใด
----------------
ตร. ฝากขัง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. และพวก เป็นครั้งที่ 2 คัดค้านประกันตัว 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 2 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้ต้องหาคดี

ร่วมกันหมิ่นประมาท ดาบตำรวจสุรศักดิ์ จันทร์เงา ผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผล

ประโยชน์ฯ นางปิยพรรณ ชินนะประภา และ นายชอบ ชินนะประภา ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เนื่องจากต้องทำการสอบปากคำพยานสำคัญอีก 45 ปาก จึงขอศาล

ฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 6 คน เป็นครั้งที่ 2 มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 - 17 ธันวาคม 2557 ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน ขอคัดค้านขอปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี

หรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ พนักงานสอบสวน ยังยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 2 พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ และ พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีตผู้กำกับการ 4 บก.ปคบ. นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์

เดช และ นางสวงค์ หรือ สวงศ์ มุ่งเที่ยง อีกด้วย ศาลได้สอบถามจำเลยทั้ง 10 คน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง โดยไม่ต้องคุมตัวผู้

ต้องหาทั้งหมดมาศาลอาญา ผู้ต้องหาทั้ง 10 ไม่คัดค้านศาลอนุญาตให้ฝากขังได้

////////////////

อนุญาตฝากขัง'พงศ์พัฒน์'อีก12วัน

อนุญาตฝากขัง'พงศ์พัฒน์'อีก12วัน
ศาลอนุญาตฝากขัง ครั้งที่ 2 อีก 12 วัน 'พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ - เครือข่าย' รวม 10 คน เหตุรอสอบพยาน 45 ราย - รอผลตรวจสอบธุรกรรมการเงิน
4 ธ.ค. 57 เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 57 และที่ 644/2557 ลงวันที่ 26 พ.ย. 57 ได้ยื่นคำร้องฝากขัง ครั้งที่ 2 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีต ผบช.ก. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีต รอง ผบช.ก. สองผู้ต้องหา คดีร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ฯ , เจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ฯ , เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ฯ , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 , 149 และ 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ
พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อายุ 55 ปี อดีต ผบก.รน. ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157
พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี อดีต ผกก.4 บก.ปคบ. , ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา อายุ 50 ปี อดีตผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. และ ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี อดีตผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ผู้ต้องหา 3 คน เป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 , 149 และ 157
นางสวงค์ มุ่งเที่ยง อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 19 และ 47
โดยคำร้องฝากขัง ระบุว่า ตามคำร้องฝากขัง ครั้งที่ 1 ผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 57 ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. - 5 ธ.ค.นี้ ซึ่งวันที่ 5 ธ.ค. ตรงกับวันหยุดราชการนั้น ซึ่งการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานสำคัญ อีก 45 ปาก และรอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง , ผลการตรวจสอบประเมินราคาทรัพย์ที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ หรือเปรียบเทียบของกลางกับผู้ต้องหาจากกองพิสูจน์หลักฐาน ดังนั้นจึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย อีกเป็นครั้งที่ 2 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 - 17 ธ.ค.นี้ โดยขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งหมดด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง จึงเกรงว่าจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
นอกจากนี้ พ.ต.ท.สมเกียรติ พนักงานสอบสวน ยังได้ยื่นคำร้องฝากขัง ครั้งที่ 2 นางปิยพรรณ ชินนะประภา อายุ 56 ปี และนายชอบ ชินนะประภา อายุ 60 ปี สามีภรรยา ซึ่งเป็นน้องสาว และน้องเขยของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ผู้ต้องหาคดีร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (5) (9) และมาตรา 5 (1) (2) และมาตรา 60 อีกด้วย โดยคำร้องฝากขัง ระบุ เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานสำคัญ อีก 45 ปาก และรอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง , ผลการตรวจสอบประเมินราคาทรัพย์ที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ หรือเปรียบเทียบของกลางกับผู้ต้องหาจากกองพิสูจน์หลักฐาน ดังนั้นจึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย อีกเป็นครั้งที่ 2 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 7 - 18 ธ.ค.นี้ โดยขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งหมดด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง จึงเกรงว่าจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.วีระวุฒิ บำรุงสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 57 ก็ได้ยื่นคำร้องฝากขัง ครั้งที่ 2 นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาคดีครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 19 และ 47 โดยคำร้อง ระบุว่า เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยาน อีก 2 ปาก , รอผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และรอผลการตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ป่าคุ้มครองของกลาง จากผู้เชี่ยวชาญของกรมประมง และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มาประกอบสำนวนการสอบสวน ดังนั้นจึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย อีกเป็นครั้งที่ 2 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 8 - 19 ธ.ค.นี้
จากนั้นที่ห้องเวรชี้ เวลา 14.30 น. ศาลได้ดำเนินการฝากขัง ผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง ที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด โดยผู้ต้องหาไม่คัดค้านการฝากขัง
ศาลจึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา 10 คนได้ ตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ


“ในหลวง” เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 5 ธ.ค.

“ในหลวง” เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 5 ธ.ค.
“ในหลวง - พระราชินี” เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 5 ธ.ค. พร้อม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา และพระบรมวงศานุวงศ์
พระราชกิจ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2557 วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2557 เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
จากนั้นเวลา 10.30 น. รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่พระทวารเทเวศรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงยืนเฝ้าฯใกล้มุมเสาด้านซ้ายพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นแท่นประทับบนพระที่นั่งพุดจานกาญจนสิงหาสน์ หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร
(พร้อมแล้ว เจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัด)
เมื่อสิ้นสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯออกยังหน้าพระแท่นนพปฎล มหาเศวตฉัตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ (ต่อจากนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายพรเพรช วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัส จบ
(เจ้าพนักงานรัวกรับ และปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติถวายเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี)
เสด็จฯลงจากพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ออกจากพระที่อมรินทรวินิจฉัย
เสด็จฯ ประทับรถยนตร์พระที่นั่งที่พระทวารเทเวศรักษา พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
เสด็จพระราชดำเนินกลับ ...


ศาลฎีกาฯยึดทรัพย์ ‘ลูกสาว’ นายพลคนสนิท’บิ๊กจิ๋ว’

ศาลฎีกาฯยึดทรัพย์ ‘ลูกสาว’ นายพลคนสนิท’บิ๊กจิ๋ว’
Cr:mthai
ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ให้ยึดทรัพย์ น.ส.ณฐกมล นนทะโชติ บุตรสาวพล.อ.สัมฤทธิ์ นนทะโชติ คนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ร่ำรวยผิดปกติ
วันนี้(4ธ.ค.)สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษา คดีดำที่ อม.6/2557 มีอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้ร้อง น.ส.นฤมล หรือณัฐกมล หรือณฐกมล หรือ อินทร์ริตา นนทะโชติ หรือ นนทะวัชรศิริโชติ เป็นผู้ถูกกล่าวหา กรณีให้ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติเป็นของแผ่นดิน
โดยศาลฎีกาฯ มีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่า ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ พิพากษาให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 68,104,000 บาท ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งยึดหรืออายัดไว้ชั่วคราวตามคำสั่งที่ 8-11/2556 ลงวันที่ 15 มกราคม 2556 พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน
ให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งมอบทรัพย์สินหรือชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่กระทรวงการคลัง หากไม่ส่งมอบทรัพย์สินหรือไม่ชำระเงินให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหา แต่ต้องไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งมอบเอกสารสิทธิและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือเงิน 68,104,000 บาท แก่กระทรวงการคลัง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ณัฐกมล รวมถึงทนายความไม่ได้เข้าร่วมฟังคำพิพากษา และไม่ได้ระบุเหตุผลในการไม่เข้ารับฟังคำพิพากษาในคดีนี้แต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.ณฐกมล นนทะโชติ กรณีเข้ารับตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2546 กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2548 และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จากการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ฟังได้ว่า น.ส.ณฐกมล มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ รวม 3 กรณี ดังนี้
1.กรณีรับเงินมาจาก พล.อ.สัมฤทธิ์ นนทะโชติ (บิดา) ซึ่งเป็นเงินที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (อดีตนายกรัฐมนตรี) มอบให้ พล.อ.สัมฤทธิ์ ไว้ใช้จ่ายตามโครงการต่าง ๆ จำนวน 40 ล้านบาท โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้
2.กรณีขายบ้านเลขที่ 35/150-151 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 20470-20471 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จำนวน 16 ล้านบาท โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้
3.กรณีรับให้เงินจำนวน 12 ล้านบาทเศษ จาก พล.อ.ชวลิต โดยอ้างว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาจากเงินดังกล่าว รับฟังไม่ได้
จึงให้ส่งเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่พร้อมทั้งรายงานผลการตรวจสอบไปยัง อสส. เพื่อดำเนินคดีในศาลฎีกาฯ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของ น.ส.ณฐกมล ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 38 วรรคสอง
สำหรับ น.ส.ณฐกมล เป็นบุตรสาวของ พล.อ.สัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต


ออกหมายจับ ไอ้เจี๊ยบ มือประสานเครือข่ายพงศ์พัฒน์ ลุยชายแดนล่าเสี่ยนิค-เสี่ยโจ้

ออกหมายจับ ไอ้เจี๊ยบ มือประสานเครือข่ายพงศ์พัฒน์ ลุยชายแดนล่าเสี่ยนิค-เสี่ยโจ้
Cr:kapook
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2557 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ได้ออกหมายจับเครือข่าย พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เพิ่ม 1 ราย ชื่อ นายเจี๊ยบ (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) หมายจับเลขที่ 139/2557 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จ้างวานใช้ให้ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือยอมต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
เบื้องต้นทราบว่า นายเจี๊ยบ เป็นตัวกลางแนะนำให้ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือ "เสี่ยนิค" รู้จักกับนายชากานต์ ภาคภูมิ และเป็นผู้นำเงินสดจำนวนหลายแสนบาทมามอบเป็นค่าจ้างแก่นายชากานต์ให้ช่วยอุ้มตัวเจ้าหนี้มาบีบบีงคับให้ลดหนี้ โดยกลุ่มผู้ต้องหาเป็นผู้ซัดทอดถึงนายเจี๊ยบ ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหาย ก็ได้มีการพูดถึงนายเจี๊ยบเช่นกัน โดยขณะนี้ชุดสืบสวนกำลังเร่งติดตามตัว นายเจี๊ยบ เพื่อดำเนินคดีต่อไป
พล.ต.ท. ประวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องของการติดตามล่าตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน คือ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือ เสี่ยนิค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ฐานเป็นผู้จ้างวานผู้ต้องหาอุ้ม นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ไปข่มขู่ ให้ลดหนี้ จาก 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท ส่วนอีกรายคือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ เจ้าพ่อส่วยน้ำมันเถื่อน ที่หลบหนีคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีผู้แจ้งข้อมูลแบะแสเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ทางการข่าวก็ยังไม่ยืนยันว่าทั้งสองหนีไปกบดานที่ประเทศใด ทราบเพียงหนีไปกบดานอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยขณะนี้ได้มีการส่งชุดติดตามลงพื้นที่ตามแนวชายแดน เพื่อติดตามตัวทั้งสองมาดำเนินคดีแล้ว


แจ้งจับอีก แก๊งใต้ร่มพระบารมี อ้างเบื้องสูงตุ๋นฐานข้อมูลบรอดแบนด์

แจ้งจับอีก แก๊งใต้ร่มพระบารมี อ้างเบื้องสูงตุ๋นฐานข้อมูลบรอดแบนด์
Cr:ผู้จัดการ
ASTVผู้จัดการ - ผู้แทนบริษัทกู๊ดเน็ต แจ้งจับเลขาฯ สำนักงานใต้ร่มพระบารมี แอบอ้างเบื้องสูงและฉ้อโกง หลังนำฐานข้อมูลบริษัท กู๊ดเน็ตฯ ไปขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ดาต้ามีเดียเซ็นเตอร์ กับทางบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
วันนี้ (4 ธ.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 11.30 น. ดร.พะนารถ ตามประทีป รองประธานกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.) พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมด้วยโปรแกรมเมอร์ผู้แทนบริษัท กู๊ดเน็ต จำกัด และทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนายชัยรินทร์ นพเฉลิมโรจน์ หรือขาวคม เลขาธิการสำนักงานใต้ร่มพระบารมี กับพวก ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน
ผู้แทนบริษัท กู๊ดเน็ต จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อประมาณปลายปี 2556 ได้รู้จักกับนายชัยรินทร์ ซึ่งอ้างสำนักงานใต้ร่มพระบารมีว่าต้องการดำเนินการเรื่องการส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือ หรือเอสเอ็มเอส เพื่อถวายพระพรในหลวง ผ่านหมายเลข 4141999 เมื่อดำเนินการให้เพราะเข้าใจว่าเป็นความประสงค์ของสถาบันเบื้องสูง ทางนายชัยรินทร์ ยังได้นำฐานข้อมูลบริษัท กู๊ดเน็ตฯ ไปขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ดาต้ามีเดียเซ็นเตอร์ จำกัด กับทางบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท โดยมีที่ตั้งอยู่ที่บริษัท กสท.โทรคมนาคมฯ ชั้น 21 กรณีดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายเนื่องจากฐานข้อมูลของบริษัท กู๊ดเน็ต คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ และหากมีการดำเนินการด้านบรอดแบนด์ โดยลงทุนวางระบบไฟเบอร์ออปติกเสร็จสมบูรณ์ ก็จะทำให้บริษัท กสท.โทรคมนาคมฯ เสียหายไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ด้าน พ.ท.บุรินทร์กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นจะมีการตรวจสอบในประเด็นที่มีการแอบอ้างเบื้องสูงของสำนักงานใต้ร่มพระบารมีเพื่อใช้กระทำความผิด พบว่านายชัยรินทร์กับพวกได้แอบอ้างในอีกหลายกรณี ทั้งเรื่องโครงการจัดสร้างพระที่ จ.พิษณุโลก มีการออกหนังสือเชิญชวนให้ร่วมบริจาค โดยทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นโครงการของสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายชัยรินทร์นั้น ก่อนหน้านี้ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกับตำรวจ บก.ป.จับกุมตัวไว้เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามอำนาจ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พร้อมของกลางทองคำน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ที่ได้มาจากการขอสนับสนุนโดยอ้างสำนักงานใต้ร่มพระบารมี แต่นายชัยรินทร์อ้างถึงเหตุที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีเป็นเพราะเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในสำนักงานฯ ยืนยันว่าไม่เคยมีพฤติการณ์แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ยังอ้างว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องเข้ารับการรักษาตัว ทางพนักงานสอบสวนจึงอนุญาตให้เข้าพักรักษาตัวที่ รพ.กรุงเทพ


เปิดตัว ผอ.ศูนย์ปรองดองคนใหม่

เปิดตัว พลโทพิสิทธิ์ สิทธิสาร ผอ.ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป คนใหม่ พร้อมแล้วเวทีปฏิรูป 4,000 แห่งทั่วประเทศ เปิดเวทีรับฟังเพื่อปฏิรูปของนักศึกษา/นักวิชาการที่จะจัดเอง ให้ขอยังผอ.ศูนย์ปรองดองฯภาค เพื่อขอแม่ทัพภาค
/‪#‎cr‬. Prachaya_Ice:


ความรู้ภาษีมรดก

ความรู้เรื่องภาษีมรดกที่กำลังเอาเข้าไปพิจารณา ในสนช.




"บิ๊กตู่"รู้ดีสื่อรายไหนรับเงินมาด่า

'บิ๊กตู่'แฉรู้ดีสื่อไหนรับเงินมาเขียนด่า
Cr:เดลินิวส์
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า ในวงประชุมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เชิญผู้บริหารสื่อ 16 สำนัก เข้าหารือนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอธิบายถึงการทำงานและความตั้งใจในการแก้ปัญหาประเทศ แต่สิ่งที่มีการวิจารณ์ ถ้าเป็นสิ่งที่ตนไม่ได้ทำ แล้วมาเขียนก็เป็นเรื่องที่ต้องโกรธเป็นธรรมดา ถือเป็นลักษณะส่วนตัวของตน และการเข้ามารัฐประหาร ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำ แต่ในฐานะของคนที่รักษาความมั่นคงของประเทศ ในสถานการณ์เช่นนั้นจะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้เคยคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่าขอให้เอาให้อยู่ ถ้าทำไม่ได้ จะมาถึงตน ที่ดูแลความมั่นคง ที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำงาน จึงทำให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย ทั้งนี้การยึดอำนาจที่เกิดขึ้นไม่ได้คิดว่าจะยึดให้ใคร เพียงแต่อยากหยุด 2 ฝ่ายไม่ให้ตีกัน โดยถ้าจะจับก็ต้องจับหมดทุกฝ่าย แต่ที่สุดแล้วปัญหาจะไม่จบ และด้วยเหตุผลนี้จึงไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ขึ้นมา เพราะจะเป็นการทำลายเขา และเป็นการช่วยอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่า
"คนที่ยิงคนในวัดปทุมวนาราม เรามีหลักฐานโยงถึงคนยิงทุกคน และตอนนั้นตำรวจก็อยู่ในวัดปทุมฯ ทำไมถึงไม่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันเหตุร้าย และที่มีการถ่ายรูปทหารได้ ก็เป็นเพราะทหารคนนั้นไปยืนแอ๊คให้เขาถ่ายรูปเอง ผมทราบดีว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง กลุ่มใด หนังสือพิมพ์รับเงินจากใคร ให้มาเขียนด่าผม"รายงานข่าวระบุถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรี
รายงานข่าวยังอ้างถึงคำพูดพล.อ.ประยุทธ์อีกว่า เรื่องกติกาที่จะเกิดขึ้น ตนจะพยายามวางรากฐานภายใน 1 ปี แต่รัฐบาลใหม่จะมาทำหรือไม่ ไม่ทราบ โดยยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด เพราะไม่อยากให้สังคมเกิดความขัดแย้ง และอยากให้เป็นการปฏิรูปครั้งสุดท้าย โดยการร่างรัฐธรรมนูญต้องปล่อยให้นักวิชาการคิดกันไป รัฐบาล และคสช.ไม่เกี่ยวข้อง ทีแรกนึกว่าร่างรัฐธรรมนูญแล้วก็น่าจะจบ แต่กลับต้องยืดไป 3-6 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่าที่คิดไว้ เพราะเดิมเราไม่ได้คิดถึงปัญหาเรื่องของกฎหมายลูก โดยคิดว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ซึ่งก่อนการปฏิวัติได้เคยวางแผนไว้กับเพื่อน ๆ ว่าหลังเกษียณอายุราชการ จะไปเที่ยวด้วยกัน แต่เมื่อปฏิวัติแล้วก็ต้องทำต่อ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่าดีใจในช่วงการพบปะกับหอการค้าต่างประเทศ ไม่มีใครถามเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกเลย ถามแต่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ความจริงกฎอัยการศึก ยังจำเป็น ถ้าไม่มีก็ตีกันอีก และตำรวจก็จะไม่ทำหน้าที่อีก.
นอกจากนี้ ในวงประชุม พล.อ.ประยุทธ์ยังได้หยิบยกถึงการจับกุมพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ุ อดีต ผบช.ก.ว่า "ไม่เกี่ยวกับใคร เป็นเรื่องของการแอบอ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง จึงต้องได้รับโทษหนัก".