PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หมวยโหดทะเลาะที่จอดรถบีบอัณฑะเจ้าของร้านตายคามือ

วันจันทร์ ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556, 15.01 น.
วันนี้ 18 พ.ย.56 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานถึงเหตุการณ์สยองขวัญ เกิดขึ้นที่ประเทศจีน บริเวณเมืองไหโขว่ เมื่อพบผู้หญิงรายหนึ่งบีบอัณฑะผู้ชายอย่างหนักจนเสียชีวิต
รายงานแจ้งว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อหญิงชาวจีน วัย 41 ปี ขับรถจักรยานยนต์ เพื่อมารับลูกที่โรงเรียนประถม ก่อนจะแวะจอดรถบนบริเวณหน้าร้านขายของชำของนายเเซ่ล หลี่ วัย 42 ปี ผู้ตาย ซึ่งไม่พอใจอย่างมากที่เธอมาจอดรถขว้างหน้าร้าน แต่เรื่องราวเกิดบานปลายเมื่อทั้งคู่เริ่มถกเถียงกันอย่างหนัก จนกระทั่งหญิงสาวจัดการบีบอัณฑะของชายเจ้าของร้านอย่างรุนแรง ส่งผลให้ชายคนดังกล่าวล้มคว่ำลงไปสิ้นสติกับพื้น
ทั้งนี้แม้ทางเเพทย์จะพยายามอย่างหนักเพื่อพยายามยื้อชีวิตชายที่โดนบีบอัณฑะแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จผล โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการสืบสวนสอบสวนหญิงนักบีบรายนี้อยู่

ศาลรธน.ชี้ชะตาที่มาส.ว.ระเบิดเวลาการเมือง


วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2556, 01:13 น.

นับจากนี้อีก 3 วัน คือวันที่ 20 พ.ย.เวลา 11.00 น. มวลชนของทั้ง "ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล" และ "ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล" จะจับจ้องไปที่"ศาลรธน.


-ธวัชชัย อินทรประดิษฐ์

นับจากนี้อีก 3 วัน คือวันพุธที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 11.00 น. มวลชนของทั้ง "ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล" และ "ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล" จะจับจ้องไปที่"ศาลรัฐธรรรมนูญ"

เพราะจะเป็นวันชี้ชะตาว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นเกี่ยวกับ "ที่มาของส.ว." ขัด แย้ง หรือเป็นไปตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ 2550 หรือไม่

ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ก็รอให้มี "ประเด็นใหม่" เข้าทางของตนเอง เพื่อนำไปสู่การประกาศชัยชนะ และยกระดับกดดันรัฐบาล

ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ก็ประเมินแล้วว่า หากไม่เคลื่อนไหวอะไรเพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะ "เพลี้่ยงพล้ำ" จนส่งผลกระทบต่อสถานภาพของรัฐบาลได้

ดังนั้น แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำโดย ธิดา ถาวรเศรษฐ และ จตุพร พรหมพันธุ์ จึงได้ประกาศนัด "มวลชนคนเสื้่อแดง" ชุมนุมใหญ่ติดต่อกัน 3 วัน 18-20 พ.ย.นี้ ที่เมืองทองธานี เพื่อเกาะติดการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

แน่นอนการชุมนุมดังกล่าวย่อมถูกตีความได้ว่าเพื่อ "กดดันศาลรัฐธรรมนูญ" อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

กล่าวสำหรับคำร้องในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่งหรือไม่

มีสมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิยื่นตีความ หลังจากที่ประชุมรัฐสภาโหวตผ่านวาระ 3 เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเห็นชอบ 358 เสียง ไม่เห็นชอบ 2 เสียง งดออกเสียง 30 เสียง

คำร้องดังกล่าว "พรรคประชาธิปัตย์" และ"กลุ่ม 40 ส.ว." ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประกอบด้วยคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กับคณะ คำร้องของ รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กับคณะ คำร้องของ วิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และ คำร้องของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งรวมคำร้องทั้ง 4 ไว้เป็น 1 สำนวน โดยผู้ร้องนอกจากชี้ให้ศาลเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นนี้เป็นการได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จึงขอให้ศาลฯวินิจฉัยให้ร่างแก้ไขเป็นอันตกไปแล้ว ยังขอให้ศาลสั่งยุบพรรคเพื่อไทย และ 5 พรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงตัดสิทธิทางการเมือง ส.ส.และส.ว.รวม 312 คน ที่โหวตแก้ไข

โดยเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี จรูญ อินทจาร เป็นประธาน ได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง

มีพยานเข้าไต่สวนรวม 8 ปาก ประกอบด้วย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม, ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา, รสนา โตสิตระกูล และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย วิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ , รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม, นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง

ขณะที่ ปฏิพล อากาศ ทนายความรับมอบอำนาจจาก สุรเดช จิรัฐติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี ผู้ถูกร้องที่ 293 เข้าร่วมการไต่สวน ส่วนสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และสมาชิกรัฐสภาผู้ถูกร้องอีก 311 คน ปฎิเสธการเข้าร่วมไต่สวน

นอกจากนี้ ศาลฯ ยังได้เรียก สุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ อัจฉรา จูยืนยง ผู้อำนวยการกลุ่มงานโสตทัศนูปกรณ์ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นพยานของศาลเข้าไต่สวนด้วย

สำหรับพยานฝ่ายผู้ร้องทั้ง 7 ปากต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. ทั้งเนื้อหาและกระบวนการแก้ไขขัดต่อรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา

อาทิ การเสนอญัติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำมาให้สมาชิกรัฐสภาพิจารณาในวาระที่ 1 เป็นคนละฉบับกับร่างที่ อุดมเดช รัตนเสถียร ผู้เสนอร่างและคณะ ยื่นต่อสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปลอม

ส.ว.ผู้ที่ลงชื่อเสนอร่างแก้ไขเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับเนื้อหาสาระที่มีการแก้ไข, เนื้อหาที่แก้ไขเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ทำให้ผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้องค์กรวุฒิสภาเป็นองค์กรตรวจสอบ กลั่นกรอง การใช้อำนาจรัฐ

นอกจากนั้นยังตัดสิทธิการอภิปรายของผู้สงวนคำแปรญัตติ 57 คน, การพิจารณาไม่ได้เรียงเป็นรายมาตรา, มีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน, เป็นการลิดรอนอำนาจการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังมีพฤติกรรมบ่งชี้ว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันในการเสนอและลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่าง ส.ส. และ ส.ว.

วิรัตน์ กัลยาศิริ ชี้แจงตอนหนึ่งในการไต่สวนว่า การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวภาษาสภา เขาเรียกว่า “ผลัดกันเกาหลัง” คือมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันระหว่าง ส.ส. ส.ว. โดยให้ ส.ว.เสียงข้างมากเป็นผู้เสนอและให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เกี่ยวกับการกระทำใดที่เข้าข่ายเป็นสนธิสัญญาไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

ขณะเดียวกันเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ก็เสนอแก้ไขที่มาของ ส.ว. และสอดใส่เพิ่มมาตราที่เป็นการปลดล็อคให้ ส.ว. ที่กำลังจะหมดวาระในเดือน มี.ค.2557 สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ได้ทันทีโดยไม่ต้องเว้นวรรค รวมทั้งมีหลักฐานชัดเจนเป็นทั้งภาพและเสียงของการประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ก.ย. ที่พบว่ามีการเสียบบัตรลงมติแทนกันของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 

"ผมเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ผิดทั้งวิธีสารบัญญัติและสบัญญัติ และมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญชัดเจน" นายวิรัตน์ระบุ

ขณะที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ระบุว่า ร่างแก้ไขประเด็นที่มาส.ว. ที่เสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจาณาวาระ 1 เป็นคนละร่างกันกับที่ อุดมเดช รัตนเสถียร เสนอสำนักเลขาธิการสภาฯ จึงถือว่าร่างแก้ไขที่ผ่านมาความเห็นชอบของรัฐสภาเป็นร่างปลอม เพราะอนุกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตของวุฒิสภาเป็นประธาน ได้เรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม ก็ยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่มายื่นขอให้แก้ไขร่างเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนฯ แล้ว กับสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ในวันเสาร์ที่ 23 มี.ค.

และเป็นการเสนอร่างแก้ไขที่เป็นสาระสำคัญเพราะเป็นการเพิ่มขึ้นมาอีก 1 มาตรา โดยเป็นประเด็นเกี่ยวกับให้ผู้ที่เป็น ส.ว.อยู่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว.ได้ โดยไม่ต้องเว้นวรรค

"ตามหลักแล้วรัฐธรรมนูญกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำเป็นญัตติและเสนอโดยสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ดังนั้นถ้าจะแก้ไขก็ต้องทำเป็นญัติขอแก้ไขใหม่ ไม่ใช่มายื่นแก้ไขในลักษณะนี้" ไพบูลย์ ระบุ พร้อมตอกย้ำว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม คณะตุลาการฯ ได้ให้ความสนใจในประเด็น ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน และประเด็นการกล่าวหาว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ส่งให้วุฒิสภาพิจารณาเป็นคนละฉบับกับที่สภาผู้แทนฯ ให้ความเห็นชอบ เป็นพิเศษ

ถึงขนาดที่ตุลาการฯ ได้ซักถามอย่างละเอียด พร้อมกับให้ทางสำนักงานศาลฯ เปิดคลิปวีดีโอการประชุมรัฐสภา ที่มีการเสียบบัตรแทนกัน ประกอบการซักถามทุกแง่ทุกมุม โดยมี รังสิมา รอดรัศมี เจ้าของคลิป เป็นผู้อธิบายถึงการเสียบบัตรแทนกัน 

คดีนี้ยังไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ศาลฯ จะวินิจฉัยออก"หัว" หรือ "ก้อย"

หากศาลฯ วินิจฉัยให้เป็น "โมฆะ" ก็เข้าทาง "มวลชนต่อต้านรัฐบาล" ที่จะประกาศเป็นชัยชนะ และหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นถล่มรัฐบาล

ตรงกันข้ามหากวินิจฉัยเป็นคุณต่อฝ่ายรัฐบาล "มวลชนคนเสื้่อแดง"คงพอใจ และชื่นชมว่าศาลฯ มีความเป็นธรรม แต่หากชี้ขาดเป็นผลลบ ตุลาการฯ คงถูกถล่มเละแน่

แดงอีสานชุมนุมสนรมราชมังฯ

เสื้อแดงอีสานกว่า 3 หมื่นคนเตรียมมาชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถานรอฟังศาลรธน.วินิจฉัยที่มาสว.

นครราชสีมา วันนี้ (18 พ.ย. 56) ที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายอนุวัฒน์ ทินราช ประทาน นปช.ภาคอีสาน และประธาน นปช.นครราชสีมา กล่าวว่า ภายหลังจากที่แกนนำ นปช.ส่วนกลาง ได้นัดแนะกันว่าจะเข้าไปชุมนุมที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2556 โดยใช้สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน เป็นที่ชุมนุม เพื่อแสดงพลังปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้น

ขณะนี้ได้ประสานไปยังแกนนำ นปช.ภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดแล้ว เพื่อให้จัดรถยนต์อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะไปร่วมชุมนุม โดยนัดกันขึ้นรถในช่วงเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งคาดว่าครั้งนี้จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงไปร่วมชุมนุมไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคน

ส่วนกรณีวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสินคดีแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงต้องการไปรับฟังด้วย แต่จะไม่ไปก้าวก่าย หรือกดดันศาล เพราะทุกคนเคารพต่ออำนาจศาล

"ยืนยันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมโดยสงบเหมือนครั้งที่ผ่านมา จะไม่มีการออกไปนอกสนามกีฬาราชมังคลาฯ และจะไม่มีการไปเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแน่นอน" นายอนุวัฒน์ กล่าว.

จับตาวุฒิสภาคว่ำร่าง พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านของ กมธ.



นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ซึ่งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน กล่าวถึงกรณีที่วุฒิสภาจะพิจารณาร่างกฎหมายนี้ในวาระที่ 2 และ 3 ว่า เนื่องจากคณะกรรมาธิการที่พิจารณาร่างกฎหมายนี้ได้แก้ไขเนื้อหาที่เป็นหัวใจของร่างกฎหมายนี้ คือ การแก้ไขในมาตรา 6 ว่าเงินกู้ดังกล่าวนี้จะต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง จากร่างเดิมของสภาผู้แทนที่ไม่ต้องนำส่ง นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยังแก้ไขให้มีการกำหนดรายละเอียดของโครงการลงไปในร่างกฎหมายนี้ด้วย จากเดิมที่ไม่มี ซึ่งเป็นการแก้ไขไปเป็นแบบที่รัฐบาลไม่ต้องการ

"การแก้เฉพาะมาตรา 6 มาตราเดียว ทำให้กฎหมายเสียไปทั้งฉบับ ดังนั้นรัฐบาลจึงย่อมต้องการให้มีการแก้ไขให้กลับไปเป็นร่างของสภาผู้แทนแน่นอน" นายคำนูณกล่าว

นายคำนูณ กล่าวว่า ต้องจับตาดูการประชุมวุฒิสภาในวันพรุ่งนี้ ในช่วงวาระ 2 ที่เป็นการพิจารณารายมาตรา อาจจะมีการแก้ไขกลับไปเป็นร่างของสภาผู้แทน แต่ถ้าร่างของคณะกรรมาธิการยังชนะ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการคว่ำร่างกฎหมายนี้ในวาระที่ 3 ตอนนี้เสียงของวุฒิสภาก้ำกึ่งมาก ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะไปทางไหน ทุกเสียงมีความหมาย ถ้าขาดหายไปไม่กี่คน เช่นหายไปสัก 4-5 คน ก็มีผล

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า หากวุฒิสภาคว่ำร่างกฎหมายนี้ ก็จะยิ่งย่นระยะเวลาในการผ่านร่างกฎหมายนี้ รัฐบาลก็จะยิ่งสบาย เพราะหากร่างกฎหมายนี้ยังเป็นไปตามร่างของคณะกรรมาธิการ และส่งกลับมายังสภาผู้แทนฯ ก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมมาพิจารณาอีกครั้ง ก็จะเสียเวลาอีกเป็นเดือน แต่หากวุฒิสภาคว่ำร่างกฎหมายนี้ สภาผู้แทนฯสามารถหยิบร่างกฎหมายของสภาขึ้นมายืนยันได้ทันที เพราะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ไม่ต้องรอไว้ 180 วัน ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 147 ประกอบมาตรา 148