PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ผูัสมัครส.ส.กว่า500คนอ่วม!ถูกตัดสิทธิลงสมัคร - พรรคเพื่อนไทยหนักสุด



15 ก.พ.62 - นายอนุวัฒน์ วิกัยพัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อนไทย กล่าวหลังเดินทางเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ด้านกิจการพรรคการเมืองของสำนักงานคณะกรรมกทรการเลือกตั้ง (กกต.)​เพื่อยืนยันว่า ตนเองและกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันได้รับเลือกอย่างถูกต้องตามข้อบังคับพรรค หลังจากที่ได้รับหนังสือมอบอำนาจจากนายสิระ พิมพ์กลาง อดีตหัวหน้าพรรคคนเดิมแจ้งมอบอำนาจให้ตน ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคในขณะนั้นให้มีอำนาจทำการแทนทุกอย่าง ดังนั้นการจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดพรรคและการส่งผู้สมัครส.ส. 240 คนใน 39 จังหวัด และส.ส.บัญชีรายชื่อ 52 คน แคนดิเนตนายกรัฐมนตรี 3 คนจึงเป็นไปอย่างถูกต้อง ดังนั้นถ้าหากผู้สมัครของพรรคไม่ได้รับการประกาศชื่อจากผู้อำนวยการประจำเขตเลือกตั้ง และกกต. ก็จะฟ้องร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้คืนสิทธิดังกล่าวรวมทั้งหากท้ายที่สุดแล้วไม่สามารถกลับมาเป็นผู้สมัครได้ก็จะฟ้องเรียกค่าเสียหายกับกกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างรอพบเจ้าหน้าที่นายอนุวัฒน์ ได้พบกับนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการพรรค โดยได้พยายามชี้แจงเหตุผลต่างๆ โดยนายแสวงก็ได้ชี้แจงว่า ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าปัญหาของพรรคคือการประชุมกรรมการบริหารพรรคไม่ชอบ ซึ่งก็มีผลตามมาให้ข้อบังคับที่ออกมา และการเลือกสาขาและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดของพรรคไม่ชอบไปด้วย ถ้าหากพรรคมีหลักฐานยืนยันว่ากระทำการถูกต้องก็ไปสู้ในศาลฎีกา
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นวานนี้ ( 14ก.พ.) พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. ได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั่วประเทศ แจ้งข้อมูลล่าสุดเพื่อให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดใช้พิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.ระบบแบ่งเขตก่อนที่จะต้องประกาศรับรองรายชื่อผู้สมัครส.ส.ระบบเขตทั้ง 350 เขตในวันนี้ โดยข้อมูลที่ส่งเป็น ผลการตรวจสอบสถานภาพพรรคการเมืองที่ไม่มีสิทธิส่งสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ล่าสุดเนื่องจากไม่มีการจัดตั้งสาขาหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดให้ถูกต้อง โดยแยกเป็นรายจังหวัด ซึ่งพบว่ามี 7 พรรคการเมือง โดย พรรคเพื่อนไทย ไม่มีสิทธิที่ส่งสมัครส.ส.แบบแบ่งเขตใน 39 จังหวัด อำนาจเจริญ อุบลราชธานี อุทัยธานี อุดรธานี อ่างทอง หนองบัวลำภู หนองคาย สุรินทร์ สุพรรณบุรี สิงห์บุรี สระบุรี สระแก้ว สกลนคร ศรีสะเกษ เลย ลพบุรี ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร มหาสารคาม เพชรบูรณ์ เพชรบุรี พิจิตร อยุธยา ปราจีนบุรี ปทุมธานี บุรีรัมย์ บึงกาฬ นนทบุรี นครสวรรค์ นครราชสีมา นครพนม ชัยภูมิ ชัยนาท ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น กำแพงเพชร กาฬสินธุ์ กาญจนบุรี และกทม.
พรรคแทนคุณแผ่นดิน ไม่มีสิทธิส่งสมัครส.ส.เขตในจ. สระบุรี เชียงราย และกทม.
พรรคพลังไทสร้างชาติ ไม่มีสิทธิส่งสมัครส.ส.เขตในจ. อุตรดิตถ์ นครราชสีมา
พรรคประชาธิปไตยใหม่ ไม่มีสิทธิส่งสมัครในจ.หนองคาย พรรคคนงานไทย ไม่มีสิทธิส่งสมัครในจ.สงขลา ศรีสะเกษ
พรรคพลังคนกีฬา ไม่มีสิทธิส่งสมัครในจ.สกลนคร
พรรคพลังประชาธิปไตย ไม่มีสิทธิส่งสมัครในจ.พิษณุโลก จันทบุรี
นอกจากนี้ยังมีการรายงานผลการตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ไม่พบชื่อผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขตในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองและไม่เป็นผู้ร่วมจัดตั้งพรรคที่พ.ร.ป.ว่าด้วยเลือกตั้งส.ส.มาตรา 172 ให้สิทธินับการเป็นสมาชิกนับตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรค โดยเป็นข้อมูล ณ.วันที่ 14 ก.พ. ซึ่งพบว่ามีผู้สมัครส.ส.เขตที่เข้าข่ายดังกล่าวรวม 255 ราย และผลการตรวจสอบสมาชิกพรรคของผู้สมัครส.ส.ที่บันทึกเข้าระบบฐานข้อมูลพรรคกรณีพบว่า เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวไม่ครบ 90 วันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 96(3) ประกอบมาตรา 41( 3) และเป็นสมาชิกพรรคซ้ำซ้อน ลงวันที่ 14ก.พ.ซึ่งพบว่ามีผู้สมัครส.ส.เขตที่เข้าข่ายดังกล่าวรวม246 ราย 
อย่างไรก็ตามหลังการปิดรับสมัครเมื่อวันที่ 8 ก.พ.บรรดาพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครต่างก็ส่งผู้แทนพรรคมาแจ้งข้อมูลสมาชิกของพรรค การจัดตั้งสาขาและกรรมการบริหารพรรคอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์นี้ แม้กระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นสุดท้ายที่ผู้อำนวยการประจำเขตเลือกตั้งจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.ในระบบแบ่งเขตให้แล้วเสร็จและประกาศรับรองรายชื่อผู้ที่มีสิทธิลงสมัครในแต่ละเขตทั้ง 350 เขต ผู้แทนของพรรคการเมืองก็ยังเดินทางมาขอแก้ไขอัพเดทข้อมูลที่สำนักงานกกต.อยู่ตลอด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่ผู้สมัครรายใดถูกตัดสิทธิไม่ได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้สมัครจะไม่ได้รับเงินค่าสมัคร 1หมื่นบาทคือโดยเป็นไปตามมาตรา 45(3)พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 78(4) ทึ่กำหนดให้ค่าธรรมเนียมการรับสมัครเลือกตั้งตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งในกรณีของพรรคเพื่อนไทย เมื่อถูกตัดสิทธิไม่ได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้สมัครทั้งผู้สมัครส.ส.ระบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อรวม 292 คน เงินค่าสมัครจำนวน 2.92 ล้านก็จะไม่ได้รับคืนเช่นกัน

'วิษณุ'ชี้ช่อง ผู้ถูกตัดสิทธิ์สมัครส.ส. ร้องศาลฎีกาได้

'วิษณุ'ชี้ช่อง ผู้ถูกตัดสิทธิ์สมัครส.ส. ร้องศาลฎีกาได้

15 ก.พ.62 - ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง​ (กกต.) ประกาศว่ามีผู้สมัครส.ส.จากพรรคการเมืองต่างๆจำนวน 506 คน ขาดคุณสมบัติ ว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของ​ กกต. ใครที่ถูกประกาศว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วไม่พอใจ เจ้าตัวสามารถไปร้องต่อศาลฎีกา เพื่อยื่นหลักฐานให้พิจารณาได้ แต่ถ้าเป็นผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคจะเป็นผู้ดำเนินการ และเรื่องนี้จะพิจารณากันเร็วกว่าเรื่องอื่น เพราะตอนที่สมัคร เขาตรวจกันไม่ทัน ต้องได้ชื่อมาก่อน แล้วมาไล่ตรวจคุณสมบัติ ซึ่งบางคนเขามีคุณสมบัติครบ แต่ยื่นหลักฐานไม่ครบ
เมื่อถามถึงกรณีนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ ยื่นหนังสือถึงประธานกกต.ให้พิจารณาและวินิจฉัยส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายวิษณุกล่าวว่า “แล้วไง ผมไม่ทราบรายละเอียด ที่สำคัญ ยังไม่รู้ว่านายวิญญัติเขาอ้างอะไร การชี้แจงคงเป็นเรื่องของพรรค”

ถามถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องยื่นยุบพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) แกนนำพรรคต้องยุติการทำกิจกรรมหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เขายังทำกิจกรรมได้ แต่เขาก็เบรกกันเองแล้ว ซึ่งตนไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่ฝ่ายกฎหมายของเขาอาจมองเห็นจุดเสี่ยง เช่น การขึ้นเวทีพูดปราศรัยแล้วเบรกไม่อยู่ จนมีปัญหา เพราะเผลอพูดพลั้งพลาดอะไรไป จะเป็นคำพูดที่นำไปขยายต่อได้ เขาอาจกลัวว่าเวลาต่างคนต่างพูดแล้วไม่เหมือนกัน คดีก็อยู่ในศาล อาจจะกระทบได้

'ส.ศิวรักษ์'ชี้'ทักษิณ'อยู่เบื้องหลัง'เหตุมิบังควร'ฝันหวานตัวเองเหมือน'ปรีดี'แต่ทำสิ่งตรงข้ามนำหายนะสู่บ้านเมือง



15 ก.พ.62-สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์  "ปัญญาชนสยาม" และนักคิด นักประวัติศาสตร์  ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย ถึงปรากฏการณ์ 8 กุมภาฯว่า "ในแง่ของทูลกระหม่อมหญิงฯ ท่านก็ถือว่าท่านมีสิทธิเสรีภาพจะทำได้ เพราะท่านออกจากความเป็นเจ้าแล้ว แต่ทีนี้ในแง่ของพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านเห็นว่าถึงจะลาออกแล้วก็ตาม แต่ยังใกล้ชิดกับพระราชวงศ์อยู่  ท่านถึงได้มีประกาศพระราชโองการห้ามเด็ดขาดเลย
"พระเจ้าอยู่หัวมีความสามารถมาก ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเร็ว เพราะฉะนั้นก็ออกพระราชโองการมาทันทีทันใดเลย... เมื่อประกาศออกมาแล้ว ในสังคมไทย วัฒนธรรมไทย คำประกาศนั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถที่มีใครจะหลีกเลี่ยงได้" 
สุลักษณ์ กล่าวว่า โดยทฤษฎีพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เรียกว่าท่านผู้หญิง แต่เนื่องจากว่าพระองค์เคยทรงดำรงฐานันดรศักดิ์ แม้จะถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้ว แต่ด้วยขนบประเพณีของไทยที่มีมา ราษฎรก็เรียกพระองค์ท่านว่าทูลกระหม่อมฯ
"แม้จะทรงกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้วตามกฎมณเฑียรบาล โดยได้กราบบังคมทูลพระกรุณาเป็นลายลักษณ์อักษร หากยังทรงสถานะและดำรงพระองค์ในฐานะสมาชิกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์... การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
ขณะที่การนำเสนอพระนามทูลกระหม่อมฯ เป็นนายกฯ ในบัญชีของ ทษช. ถูกนักวิเคราะห์ต่างชาติบางส่วน ถอดรหัสออกมาว่ามีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร "อยู่เบื้องหลัง" และ "เป็นผู้ส่งสัญญาณ" นักคิดนักประวัติศาสตร์ผู้นี้มองว่า การอ่านสัญญาณที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณเข้าใจ เป็นการ "อ่านประวัติศาสตร์ไทยไม่ออก"
"เขามีความเป็นไทยน้อยมาก เขานึกอย่างเดียวว่าเขาฉลาด เก่ง และรวย ถ้าไม่เข้าใจวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งแล้วเนี่ย มันให้โทษมากกว่าให้คุณ" สุลักษณ์ กล่าว
"ทุกอย่างจะรวมตัวกันทักษิณจะกลับมา ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) จะกลับมา จะรอมชอม จะดี จะร่วมกันต่าง ๆ เขามีสิทธิที่จะมอง แต่มองผิด ในพระราชโองการชัดเจนเลย ในหลวงท่านไม่เล่นกับใครลับหลัง ท่านพูดตรงไปตรงมาเลย ไม่เอา เอาอย่างนี้ ตรงไปตรงมา นี่ผมว่าน่าจะดีใจนะที่ในหลวงท่านบอกว่า บ้านเมืองนี้ต้องเล่นซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา"
"ทักษิณเขาเป็นคนกล้ามาตลอดเวลา เขากล้าเสี่ยง... เขาเคยเปรียบเทียบว่าเขาเหมือนกับ อ.ปรีดี พนมยงค์ เขาต้องไปอยู่ต่างประเทศเหมือน อ.ปรีดี แต่ต่างกันเลย อ.ปรีดี ทำทั้งหมดเพื่อบ้านเมือง เพื่อราษฎร เพื่อความถูกต้องดีงาม ทักษิณทำตรงข้ามหมดเลย เขาฝันหวานว่าเป็นเหมือน อ.ปรีดี พนมยงค์ แต่เขาไม่ใช่วีรบุรุษ" สุลักษณ์ กล่าวกับบีบีซีไทย
"เขาคงจะกล้าเสี่ยงอีกเยอะ ๆ เขาเป็นคนเก่ง เป็นคนกล้า กล้าเสี่ยงกล้าทำ ส่วนมากจะนำความหายนะมาสู่บ้านเมือง"
บีบีซีไทยพยายามติดต่อนายทักษิณเพื่อขอความคิดเห็นต่อคำกล่าวข้างต้น แต่ไม่ได้รับการตอบรับ.

ให้เวลา7วันแก้ตัว

    "ศาลรัฐธรรมนูญ" มติเอกฉันท์รับคำร้อง กกต.ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ให้เวลา 7 วันส่งคำแก้ตัว 27 ก.พ.ถกนัดต่อไป แต่ยังไม่ตัดสิน “ทษช.” ส่อเค้าแพแตกก่อนศาลลงดาบ “จาตุรนต์” ควง “ณัฐวุฒิ” พร้อมคนเสื้อแดงตั้งโต๊ะแถลง โบ้ยรู้เรื่องหลังวันที่ 8 ก.พ. ตอกย้ำเรื่องละเอียดอ่อน ทีมรณรงค์หาเสียงส่วนกลางขอยุติภารกิจจนกว่าสะเด็ดน้ำ สวมบทพระเอกพร้อมช่วยเหลือทุกวิถีทาง แต่การชี้แจงต้องให้กรรมการบริหารพรรคทำ “ทนายถุงขนม” อัดจะโยนให้ กก.บห.อย่างเดียวไม่ได้ “ระเบียบรัตน์” เสียงสั่นทุกอย่างถูกลิขิตมาแล้ว
    เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (13) ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 แจ้งให้ผู้ร้องทราบ และส่งสำนวนคำร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา วิธีการส่งกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของศาลเป็นผู้ส่ง ณ ที่ทำการพรรคผู้ถูกร้อง หากไม่มีผู้รับให้ปิดหนังสือนำส่ง และสำเนาคำร้องไว้ ณ ที่ทำการพรรคผู้ถูกร้อง และให้ถือว่าได้ส่งโดยชอบตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาขอศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 5 ประกอบมาตรา 54 แล้ว 
    ศาลนัดพิจารณาครั้งต่อไปในวันพุธที่ 27 ก.พ.2562 เวลา 13.30 น.
    นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญอธิบายว่า วันที่ 27 ก.พ. ยังไม่ใช่วันตัดสิน ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล หากได้ข้อสรุปศาลจึงจะนัดลงมติอีกครั้ง ซึ่งในเอกสารข่าวไม่ได้สั่งห้ามพรรค ทษช.รณรงค์หาเสียง เพราะถือเป็นกิจการภายในของพรรค และศาลไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้
“ตอนนี้บางคนสับสนคิดว่า 27 ก.พ.เป็นวันตัดสิน ซึ่งไม่ใช่ ยังไม่ได้ตัดสิน ยังอยู่ในกระบวนการ”นายเชาวนะกล่าว
    และในเวลา 15.07 น. ที่พรรค ทษช. เจ้าหน้าที่จากศาลรัฐธรรมนูญได้เดินทางมายังพรรค ทษช.เพื่อนำสำเนาคำร้องของ กกต. ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคนำมาให้พรรค โดยมีนายมิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรค และนายสุรชัย ชินชัย ทนายความผู้ที่ได้รับอำนาจจากหัวหน้าพรรค รับสำเนาดังกล่าว
    โดยนายสุรชัยกล่าวว่า ขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่ให้โอกาสพรรค ทษช.ทำคำชี้แจง โดยเราจะนำสำนวนดังกล่าวไปวิเคราะห์ และทำคำชี้แจงยื่นต่อศาลในเวลาที่กำหนด เบื้องต้นจะทำในรูปแบบเอกสารยื่นต่อศาล ตามประเด็นที่ศาลตั้งเป็นข้อๆ โดยจะชี้แจงทั้งประเด็นและข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเพื่อยื่นต่อศาล ส่วนรายละเอียดพยานหลักฐานที่จะยื่นให้ศาลพิจารณานั้น เนื่องจากยังไม่เห็นสำเนาทั้งหมด จึงยังไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้
ขอทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย
    ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้า นายมิตติได้นำคณะแกนนำ ทษช.ลงพื้นที่เขตสวนหลวง บริเวณตลาดคลองตันและสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ มักกะสัน เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และจะยังคงลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นพรรคการเมืองของประชาชน เรายืนยันว่ามีเจตนาอันบริสุทธิ์ เราจึงขอทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย 
    ขณะที่เวลา 10.35 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรค ทษช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะทำงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรค ทษช., นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายเหวง โตจิราการ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเดินทางมาถึงที่ทำการพรรคพร้อมกัน โดยนายจาตุรนต์กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าขอปรึกษาหารือกันก่อน แล้วเดี๋ยวแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง     
    จากนั้นเวลา 11.20 น. ทั้งหมดได้ร่วมกันนั่งแถลงข่าว โดยนายจาตุรนต์กล่าวว่า เรามาในฐานะสมาชิกพรรค ทุกคนยังเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยังมีหน้าที่ต่างๆ อยู่ และที่ถามกันว่าวันนี้เข้ามาพรรคทำไมนั้น เมื่อพรรคกำลังเผชิญปัญหา เพราะเราต้องมาร่วมกันคิดเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถที่สุด เราได้ติดตามสถานการณ์โดยตลอดตั้งแต่มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในนามพรรคด้วยความห่วงใยมาตลอด 
    นายจาตุรนต์กล่าวว่า จากการรับฟังการแถลงของกรรมการบริหารหลายครั้งหลังวันที่ 8 ก.พ. เห็นว่าทุกคนมีเจตนาดี ทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นศาลจะวินิจฉัยยุบพรรค ทษช.หรือไม่นั้น และดูจากข้อกล่าวหาที่บอกเป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อเรื่องกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของศาล เราจึงต้องรอการพิจารณาของศาลก่อน ดังนั้นการรณรงค์หาเสียงและการปราศรัย รวมถึงการจัดกิจกรรมพบปะประชาชนจำนวนมาก จะงดกิจกรรมเหล่านี้ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ส่วนการดำเนินการในชั้นศาล หากเรามีช่องทางใดที่จะช่วยได้ยืนยันว่าเราพร้อมช่วยและเต็มใจร่วมแก้ปัญหาของพรรคไปถึงที่สุด และยังผูกพันกับพรรค 
    นายณัฐวุฒิขยายความว่า ผู้สมัคร ส.ส.กว่า 100 เขต ยังคงมีสถานะเป็นผู้สมัคร มีพันธะผูกพันต้องทำงานให้กับประชาชน ก็ต้องเดินหน้าพบปะประชาชนต่อไป เพียงแต่ทีมรณรงค์หาเสียงจากส่วนกลางจะยุติภารกิจเพื่อรอให้สถานการณ์เดินไปจนได้ข้อสรุปจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพราะเราอยากให้พรรคมีสมาธิในเรื่องคดีความ
    เมื่อถามว่า กรณีนี้นายณัฐวุฒิและนายจาตุรนต์จะยังอยู่ในตำแหน่งประธานรณรงค์หาเสียงและประธานยุทธศาสตร์พรรคอยู่ใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิตอบว่า เป็นสมาชิกพรรค ทษช.ที่เดินเข้ามาก็บอกกล่าวกับพี่น้องประชาชนว่าภารกิจคือนำพาบ้านเมืองกลับสู่ประชาธิปไตย และเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้ประชาชน ดังนั้น ภารกิจนี้ยังคงอยู่ไม่ว่าอยู่ในบทบาทหน้าที่ใดก็ตาม จะขอยืนหยัดอยู่กับพรรคจนกว่าสถานการณ์ได้ข้อยุติ ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม สถานะความเป็นความสมาชิกพรรค ไม่สามารถที่จะทิ้งไปได้
    เมื่อถามว่า การหยุดรณรงค์หาเสียงจะกระทบต่อความนิยมของพรรคหรือไม่ นายจาตุรนต์กล่าวว่า ขณะนี้เราดูเรื่องความเหมาะสมของสถานการณ์ ถ้าดูจากข้อกล่าวหาและประเด็นที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การดำเนินการในลักษณะที่ต้องปราศรัยพบกับคนจำนวนมากไม่น่าเป็นผลดี และเราน่าจะต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมการชี้แจงในกระบวนการ และขั้นตอนในศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าสิ่งที่พรรคชี้แจงและรณรงค์กับประชาชนตลอดช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะเป็นความเข้าใจต่อประชาชน การจะหยุดพักการจัดชุมนุมปราศรัยไม่น่าจะเสียหายอะไร การพูดคุยชี้แจงกับประชาชนจะเกิดขึ้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีข้อยุติตัดสินแล้ว เราจะไม่ใช้วิธีชี้แจงกับประชาชนระหว่างการพิจารณา
อ๋อยลั่นแจงแทน กก.บห.ไม่ได้
    เมื่อถามว่า เมื่อไม่ได้ไปร่วมยื่นชื่อแคนดิเดตนายกฯ กับพรรคในวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา จะไปช่วยชี้แจงเรื่องนี้อย่างไร นายจาตุรนต์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าจะไปในสถานะไหน รวมถึงการได้รับเชิญให้ไปชี้แจงด้วยหรือไม่ แต่จะชี้แจงเท่าที่ทำได้ให้เต็มความสามารถ เช่น การได้รับการหารือหรือพูดคุยกับกรรมการพรรคหลายท่านหลังวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ทราบว่าหลายท่านเจตนาดี มีความบริสุทธิ์ใจที่จะทำในสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ซึ่งตรงกันกับที่ กก.บห.พรรคได้ชี้แจงกับประชาชนไปแล้ว ส่วนอื่นๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะ เป็นอำนาจของคณะ กก.บห.พรรค ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่สามารถชี้แจงได้ การประกาศยุติการปราศรัยเวทีใหญ่นั้นไม่ใช่มติของพรรค แต่เป็นมติของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้
    ถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่เกิดเรื่อง นายจาตุรนต์และนายณัฐวุฒิหายตัวไปจากพรรคเลย สะท้อนถึงการเกิดรอยร้าวในพรรคหรือไม่ นายจาตุรนต์กล่าวว่า ไม่มีรอยร้าวอะไร เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเรามีการติดตามสถานการณ์ มีความห่วงใย การตัดสินใจต่างๆ หลังจากนั้นเข้าใจว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะ กก.บห.พรรคโดยตรง รวมถึงการหาทนาย และผู้ที่จะมาชี้แจง ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นหน้าที่ของคณะ กก.บห.พรรค มาถึงวันนี้มาเพื่อร่วมแก้ปัญหา สิ่งที่เราได้ชี้แจงไปคือการร่วมช่วยในการแก้ปัญหา และยืนยันว่าเราพร้อมร่วมแก้ปัญหาไปจนถึงที่สุด
    เมื่อถามว่าเสียใจหรือไม่ที่ตัดสินใจมาอยู่พรรค ทษช. นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สิ่งที่เดินหน้ามาวันนี้มีเจตนาเดียวคือนำพาบ้านเมืองกลับสู่แนวทางประชาธิปไตย สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะมีที่มาและเหตุผลของมันอยู่แล้ว
    ขณะที่นายจาตุรนต์กล่าวว่า สิ่งที่เราดำเนินการมาเป็นไปตามที่เราตั้งใจ และได้ประกาศไว้ทุกอย่าง อย่างเต็มความสามารถ และได้รับความเข้าใจจากประชาชนที่เห็นด้วย และเข้าร่วมกับเรา ไม่มีอะไรที่รู้สึกเสียดาย ทั้งนี้ เมื่อเรื่องไปถึงศาลแล้วเราจะไม่แสดงความคิดเห็นนอกศาล ส่วนการแสดงความคิดเห็นอื่นๆ ที่เห็นว่าจำเป็นจะยังดำเนินต่อไป
    เมื่อถามว่า เป็นการลอยแพพรรคหรือไม่ นายจาตุรนต์ตอบติดตลกว่า ไม่ได้เป็นการลอยแพ และไม่ใช่การมาพรรคครั้งสุดท้าย 
    ทั้งนี้ หลังจากการแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทุกคนที่ร่วมแถลงก็เดินทางออกจากพรรคทันที
    ในเวลา 16.10 น. นายพิชิต ชื่นบาน ประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรค ทษช. กล่าวในเรื่องนี้ว่า เราน้อมรับทุกอย่าง และให้ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้พิจารณาประมาณ 2-3 วัน เพราะมีเวลา 7 วัน ส่วนการหาเสียงของผู้สมัครนั้น ก็ถือเป็นดุลพินิจของผู้สมัครและฝ่ายอื่นๆ จะไปทิ้งน้ำหนักให้กรรมการบริหารเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ผู้สมัครแต่ละท่านต้องมีวุฒิภาวะว่าจะต้องหาเสียงต่อหรือไม่ เพราะขณะนี้เราเป็นคู่กรณี กกต.ก็ไม่ได้แถลงรายละเอียดใดออกมา ดังนั้น พรรคก็ไม่ควรไปแถลงอะไรแทน กกต.
    “ประเด็นต่างๆ ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมายพิจารณา และขอเวลาให้ฝ่ายกฎหมายทำงานก่อน เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด โดยยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราจะทำให้ดีที่สุด และพรรคเองก็น้อมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งฝ่ายกฎหมายทราบรายละเอียดคำร้องแล้ว เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมายที่จะไปคิด แล้วนำมานำเสนอในวันที่ 18 ก.พ.นี้” นายพิชิตกล่าว
ทุกอย่างถูกลิขิตมาแล้ว    
    ขณะเดียวกัน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะออกเอกสารข่าว นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรค ทษช. เข้ายื่นร้องต่อศาลรัธรรมนูญขอให้ไม่รับคำร้องของ กกต.ที่ให้วินิจฉัยสั่งยุบพรรค ทษช. โดยระบุว่า คำร้องของ กกต.อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากศาลรัฐธรรมนูญดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป กรณีย่อมอาจขัดต่อหลักนิติธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง กำหนดไว้
นอกจากนั้น กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นำโดยนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือฟอร์ด เส้นทางสีแดง และนายเอกชัย หงส์กังวาน รวมทั้งแนวร่วม เดินทางมาที่ศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมตะโกนคัดค้านการยุบพรรค และอ่านแถลงการณ์ รวมทั้งได้รวมตัวถือป้ายผ้าสีดำขนาดใหญ่ระบุข้อความโกงเลือกตั้ง เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วย
    ขณะที่ พ.ต.ท.กิตติฤทธิ์ พูนสวัสดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 จ.บุรีรัมย์ พรรค ทษช.พร้อมทีมงาน เข้าไหว้สักการะศาลหลักเมือง และพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 อธิษฐานขอให้พรรคผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยดี พร้อมเดินหน้าลงพื้นที่หาเสียง ทำความเข้าใจกับประชาชนครอบคลุมมากที่สุด 
ส่วนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช มารดา ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ทษช. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ใช้เฟซบุ๊ก "เสาวนิต การสุทธิ์" และ "Paul PK" ที่โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทโดยพาดพิงถึงตนเอง และ ร.ท.ปรีชาพล
    ทั้งนี้ นางระเบียบรัตน์ยังกล่าวตอบข้อถามกรณีหากศาลรัฐธรรมวินิจฉัยยุบพรรค ทษช. และตัดสิทธิการเมือง นางระเบียบรัตน์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ทุกอย่างมีลิขิตมาแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ครอบครัวดิฉันพร้อมยอมรับ แต่อยากขอความเมตตา เพราะเชื่อว่าลูกชายมีความรู้ความสามารถ ที่จะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็พร้อมทำงานเพื่อประเทศชาติ ดิฉันมีความภูมิใจในตัวลูกชายอย่างมาก.

506ผู้สมัครส่อถูกตัดสิทธิ์

ประยุทธ์" ควง "ผบ.ทบ." ชมฝึกบรรเทาสาธารณภัยในค่ายทหารรบพิเศษ สยบข่าวลือรัฐประหาร บอกสื่อ "มีอะไรถามแดงสิ เรื่องไร้สาระ" จับตา 15 ก.พ. "กกต." ประกาศชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตทั่ว ปท. ระทึก! 506 ผู้สมัครขาดคุณสมบัติส่อถูกตัดสิทธิ์ "ทนายวิญญัติ" เตรียมยื่นยุบพรรค พปชร.  "เพื่อไทย" จัดปราศรัยใหญ่ลานคนเมือง กทม.ศุกร์นี้ ขนขุนพลขึ้นเวทีพร้อมเพรียง "หมวดเจี๊ยบ" โวย "นายกฯ" ลงบางแคแฝงหาเสียง
    เมื่อวันที่ 14 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในการตรวจการฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ IDMEX 2019 พร้อมด้วยผู้ว่าราชการ 77 จังหวัด ณ สนามฝึกและสนาม MOUT กองพลรบพิเศษที่ 1 จังหวัดลพบุรี โดยมี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และนายทหารระดับสูงของเหล่าทัพ ร่วมชมการฝึกด้วย
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า การฝึกไม่ใช่ทำกันแค่วันเดียว ต้องมีการเตรียมการ เช่นเดียวกับสังคมโลก ขอให้พลเรือน ตำรวจ ทหาร รักกันให้มากๆ ทุกส่วนคือหลักของประเทศ ถ้าทุกคนเข้าใจบทบาทตัวเอง ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรที่ทำให้ประเทศเราอ่อนแอ คลอนแคลนต่อไปได้ พวกเราต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ในทุกโอกาส ขอให้ตระหนักว่าพวกเราทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร มีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง ขอให้ทำหน้าที่ของคนไทยอย่างสมศักดิ์ศรี
    "เราต้องเข้มแข็ง พิสูจน์ด้วยฝีมือของเรา ทั้งในอดีตที่ผ่านมา ในปัจจุบันและอนาคต เราต้องเข้มแข็งไปเรื่อยๆ ในทุกมิติ อย่าให้ใครมาบ่อนทำลายหรือทำให้เกิดความแตกแยกโดยเด็ดขาด ถ้าเราไม่รักกันเองแล้วใครจะรักเรา รัฐบาลทุกรัฐบาลมีหน้าที่ทำให้เกิดความสมดุล อย่าจับมาเป็นประเด็นการเมือง ฉะนั้นอย่ามาถามผมในเรื่องพวกนี้อีก" นายกฯ กล่าว
    ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะเดินทางไปยังพื้นที่ฝึกการรบในสิ่งปลูกสร้าง โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ชมการสาธิต การซักซ้อมบรรเทาสาธารณภัย อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายการซ้อมแผนบรรเทาสาธารณภัย ได้เกิดฝนตกหนักลมแรง
    พล.อ.ประยุทธ์ให้โอวาทท่ามกลางสายฝน โดยมีพล.อ.อภิรัชต์ยืนตากฝนอยู่ด้วย ตอนหนึ่งระบุว่า ขอให้ทุกคนภูมิใจในการน้อมนำพระราโชบายไปปฏิบัติ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยพสกนิกร และทรงต้องการให้พสกนิกรได้รับผลกระทบภัยพิบัติน้อยที่สุด สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การวางแผนปฏิบัติ จะต้องมีความพร้อม รวมถึงการกระจายข่าวสารและการแจ้งเตือนประชาชน 
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.อภิรัชต์ เดินเคียงกันพบปะทักทายจิตอาสาและกำลังพลที่มาฝึก บรรเทาสาธารณภัยฯ แบบบูรณาการตามพระราโชบายฯ โดย พล.อ.ประยุทธ์บอกผู้สื่อข่าวว่า "มีอะไร ถามแดงสิ เรื่องไร้สาระทั้งนั้น" พร้อมชี้นิ้วไปที่ พล.อ.อภิรัชต์ นอกจากนี้ ระหว่างเดินทางกลับ พล.อ.ประยุทธ์ได้เปิดกระจกรถทำมือสัญลักษณ์ไอเลิฟยูด้วย
    ที่โรงแรมเซ็นทรา น.ส.วิชชุดา เมฆานุวงศ์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.กทม.) เป็นประธานเปิดโครงการอบรมสร้างกลไกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งการเลือกตั้ง กิจกรรมการเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์ โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งใน 30 เขตเลือกตั้งของ กทม.เข้าร่วม 
    ทั้งนี้ น.ส.วิชชุดาได้ชี้แจงถึงวิธีการหาเสียงว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ สถานที่ปิดป้ายหาเสียง และขนาดของป้ายหาเสียงทั้ง 3 รูปแบบ โดยขอให้ผู้สมัครคำนึงถึงขนาดป้าย จำนวนป้าย และสถานที่ติดประกาศ ซึ่งกฎหมายตีความอย่างเคร่งครัด จึงขอให้ทุกพรรคหลีกเลี่ยงการกระทำผิดระเบียบ กกต. 
    "ขอแจ้งให้ผู้สมัครรับทราบถึงข้อกังวลของ กทม.ซึ่งประสานมายัง กกต.ให้ทุกพรรคระมัดระวังรักษาต้นไม้ในสถานที่สาธารณะ การตอกตะปูยึดป้ายกับต้นไม้ขอให้ใช้ความระวังด้วย และไม่ควรติดป้ายซ้อนทับกับป้ายของผู้สมัครพรรคการเมืองอื่น รวมทั้งการติดป้ายใกล้สะพานลอย ได้เกิดเหตุเด็กนักเรียนเดินชนศีรษะแตก ติดป้ายใกล้หน้าปากซอย ทำให้บดบังสายตา ขอให้เร่งแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดอคติกับเจ้าของป้าย" ผอ.กกต.กทม.ระบุ
    น.ส.วิชชุดากล่าวว่า ในวันที่ 15 ก.พ.นี้ กกต.กทม.จะประกาศรับรองรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของ กทม. เบื้องต้นพบว่ามีผู้สมัครหลายรายจากบางพรรคการเมืองขาดคุณสมบัติ เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วันตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นจำนวนผู้สมัครจะมีไม่ถึง 932 คน
506 ผู้สมัครส่อถูกตัดสิทธิ์
    มีรายงานจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า ในวันที่ 15 ก.พ. ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งทั้ง 350 เขต จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามผู้สมัคร ส.ส.เขต ที่มียอดการสมัครกว่า 1 หมื่นคน และต้องประกาศรับรองรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตตามที่กฎหมายกำหนด โดยขณะนี้สำนักงาน กกต. ได้แจ้งผลการตรวจสอบทั้งหมดไปยังผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั่วประเทศแล้ว
    สำหรับผลการตรวจสอบที่สำนักงาน กกต.แจ้งไปนั้น แยกเป็นผลการตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต ที่บันทึกเข้าระบบฐานข้อมูลพรรคการเมือง กรณีไม่พบว่ามีชื่ออยู่ในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง และไม่เป็นผู้ร่วมจัดตั้งพรรคที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 172 ให้สิทธินับการเป็นสมาชิกนับตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรค ลงวันที่ 11 ก.พ. ซึ่งพบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.เขตที่เข้าข่ายดังกล่าวรวม 253 ราย และผลการตรวจสอบสมาชิกพรรคของผู้สมัครส.ส.ที่บันทึกเข้าระบบฐานข้อมูลพรรค กรณีพบว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวไม่ครบ 90 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 96 (3) ประกอบมาตรา 41 (3) และเป็นสมาชิกพรรคซ้ำซ้อน ลงวันที่ 11 ก.พ. ซึ่งพบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.เขตที่เข้าข่ายดังกล่าวรวม 253 ราย รวม 2 กรณีมีทั้งสิ้น 506 ราย 
    "ตามข้อมูลที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตอาจถูกตัดสิทธิ์ไม่ได้รับการประกาศชื่อให้เป็นผู้สมัคร มีทั้งพรรคเก่าพรรคใหม่ อาทิ พรรคมหาชน ผู้สมัครไม่พบชื่อในระบบฐานข้อมูลมากถึง 133 คน, พรรคผึ้งหลวง 40 คน, พรรคประชาธรรมไทย 16 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน, พรรคอนาคตใหม่ 3 คน ส่วนสมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคการเมืองอื่น อาทิ พรรคเศรษฐกิจใหม่  27 คน, พรรคเพื่อชาติ 20 คน, พรรคประชาชาติ 18 คน, พรรคเสรีรวมไทย 6 คน, พรรคชาติพัฒนา 3 คน, พรรคภูมิใจไทย 2 คน, ผู้สมัครสังกัดการเมืองไม่ครบ 90 วัน อาทิ พรรคครูไทย 18 คน พรรครวมพลังประชาชาติไทย 7 คน เป็นต้น" แหล่งข่าวระบุ 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแจ้งผลการตรวจสอบของสำนักงาน กกต.ดังกล่าว ได้สร้างความสับสนวุ่นวายให้ ผอ.กกต.ประจำจังหวัดทั่วประเทศอย่างมาก เนื่องจากเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงาน กกต.เพิ่งจะได้มีบันทึกข้อความแจ้งเป็นการภายในว่า กรณีไม่ปรากฏชื่อผู้สมัคร ส.ส.ในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองยังไม่ได้นำเข้าข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง ให้ยึดหลักฐานการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่ผู้สมัครนำมาแสดง คือ สำเนาใบสมัครเป็นสมาชิกพรรค, สำเนาหลักฐานการชำระเงินค่าบำรุงพรรค และสำเนาหลักฐานการลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองอื่น เป็นหลักฐานในการพิจารณารับสมัคร ส่วนกรณีการนับระยะเวลาการเป็นสมาชิกพรรคของผู้สมัครที่เป็นผู้ร่วมกันจดแจ้งจัดตั้งนั้น ให้ยึดหลักฐานสำเนาใบคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง และสำเนาหลักฐานการรับทุนประเดิมของผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมือง เป็นหลักฐานในการพิจารณารับสมัคร 
    "ขณะนี้ในกรุ๊ปไลน์สำนักงาน กกต. ทาง ผอ.กกต.ประจำจังหวัดทั่วประเทศได้ติดต่อขอความชัดเจนว่าตกลงแล้วจะให้ยึดข้อมูลของสำนักงานที่แจ้งไปหรือหลักฐานที่ผู้สมัครนำมาแสดงเป็นหลักในการพิจารณาประกาศรับรองรายชื่อผู้สมัคร เพราะตามกฎหมายจะต้องประกาศรับรองรายชื่อผู้สมัครในวันที่ 15 ก.พ.แล้ว แต่ก็ยังไม่มีคำตอบจากทางสำนักงาน" แหล่งข่าวระบุ
    ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า วันศุกร์ที่ 15 ก.พ.62 เวลา 10.00 น. จะเข้าต่อยื่นหนังสือกล่าวโทษ ขอให้ กกต.ไต่สวนยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ต่อประธาน กกต. และเลขาธิการ กกต. ที่สำนักงาน กกต. กรณีการครอบงำพรรค พปชร. ของ พล.อ.ประยุทธ์ และเจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้สมัครและพรรคการเมือง และยินยอมให้มีการใช้ทรัพยากรของรัฐ รวมทั้งสมคบใช้นโยบายของรัฐเพื่อเป็นนโยบายพรรคการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ จูงใจในการหาเสียงเลือกตั้ง
'เจี๊ยบ'ข้องใจลุงตู่หาเสียง
    ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการหาเสียงของพรรคว่า ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐเริ่มที่จะขึ้นป้ายคู่กับ พล.อ.ประยุทธ์แล้วหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของ กกต. ที่สามารถขึ้นรูปคู่กับบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ได้ทยอยขึ้นรูป พล.อ.ประยุทธ์แล้ว
    "พรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร เราเป็นพรรคใหม่ที่เป็นของประชาชนทุกคน เป็นพรรคทางเลือกและทางหลักของพี่น้องประชาชนที่จะนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า นำประเทศไปสู่ความสงบและความอยู่ดีกินดี หากเราได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็จะเป็นนายกฯ อีกสมัย และจะมีผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาทำงานด้วย" รองโฆษกพรรค พปชร.กล่าว
    ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 15 ก.พ. เวลา 16.00-21.00 น. พรรคเพื่อไทยจัดการปราศรัยใหญ่เป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ ที่บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า และเป็นการปราศรัยใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปี โดยในครั้งนี้จะเน้นการนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศไทย รวมทั้งศูนย์กลางของประเทศกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองหลวงที่ติดอันดับความเจริญของโลกอีกครั้ง
    นายจิรายุกล่าวว่า ผู้ปราศรัยมีระดับแกนนำพรรค ทั้งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะขึ้นปราศรัยในเรื่องนโยบายทั้งหมดของพรรค, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เรื่องการเมืองที่คนไทยต้องรู้, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและทางออก, นายชัยเกษม นิติสิริ กระบวนการยุติธรรมที่ต้องได้รับการแก้ไข, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เรื่องอย่าปล่อยให้สินค้าการเกษตรต่ำไปกว่านี้, นายวัฒนา เมืองสุข เมื่อการเมืองแย่ เศรษฐกิจจะแย่ตาม เป็นต้น
    "เชื่อว่าประชาชนที่สนใจนโยบายของพรรคเพื่อไทยจะได้รับฟังแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ จะมีไม่น้อยกว่า 10,000 คน" รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว 
    ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊ก "Phumtham Wechayachai"
เรื่อง “ช่วยกันทำหน้าที่เพื่อนำประเทศเดินไปข้างหน้า” ระบุตอนหนึ่งว่า พรรคการเมืองต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศการเมืองสร้างสรรค์ ช่วยกันนำเสนอนโยบายให้ประชาชนได้ตัดสินใจ หลีกเลี่ยงการให้ร้ายป้ายสี สร้างความเกลียดชังระหว่างกัน กกต.ในฐานะองค์กรอิสระที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ต้องมีความเป็นอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง จัดการเลือกตั้งให้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ
    "รัฐบาลควรมีมารยาททางการเมือง แม้วันนี้จะไม่ได้อยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ แต่วันนี้ผู้นำรัฐบาลกลายเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองหนึ่ง ท่านคือหนึ่งในผู้เล่นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ดังนั้นควรอย่างยิ่งที่จะต้องเคร่งครัดกับการทำตามกติกา ไม่สร้างภาระให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยการอนุมัติงบประมาณก้อนใหญ่ โยกย้ายข้าราชการในภาวะที่ทุกฝ่ายกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และที่สำคัญที่สุดคือ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้การเลือกตั้งมีความยุติธรรม รวมทั้งการทำหน้าที่ที่สำคัญด้วยการออกมาใช้สิทธิ์ ในการเลือกตั้ง เพื่อตัดสินเลือกอนาคตเลือกทางเดินของประเทศด้วยตัวท่านเอง" เลขาฯ พรรคเพื่อไทยระบุ
    ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง ผู้สมัคร ส.ส.เขตลาดพร้าว วังทองหลาง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าจะไม่ใช้ตำแหน่งนายกฯ เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นในการหาเสียง แล้วทำไมตอนที่ไปลงพื้นที่บางแคและบางขุนเทียน จึงมีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ไปปรากฏตัวปะปนกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมาเตรียมการรอรับนายกฯ มีอภิสิทธิ์เหนือชาวบ้านทั่วไป เพราะมีบัตรติดหน้าอกเหมือนเป็นแขกวีไอพี ต่างจากประชาชนทั่วไป ที่ถูกกันให้ยืนรออยู่ในบริเวณที่กำหนด ทั้งๆ ที่ช่วงนี้มีการเพิ่มความเข้มงวดเรื่อง รปภ.คุ้มกันนายกฯ เป็นพิเศษ เพราะใกล้จะเลือกตั้ง แสดงว่าผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นเนื้อเดียวกันกับรัฐบาลหรืออย่างไร
    "พล.อ.ประยุทธ์ยังพูดเชียร์ผู้สมัคร ส.ส.อย่างออกหน้าออกตา จนสื่อมวลชนเอาไปเขียนเป็นข่าวใหญ่โต อย่างนี้ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง และเอาเปรียบคู่แข่งอยู่หรือไม่ อันที่จริง วิธีการแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการหาเสียงของพรรคการเมืองอื่นๆ เพียงแต่พรรคการเมืองต่างๆ เขาหาเสียงโดยเปิดเผย เขาไม่ได้ทำตัวเป็นอีแอบ และอยากรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะกล้าพูดเต็มปากหรือไม่ ว่าทุกวันนี้ท่านไม่ได้ใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วยหาเสียงให้พรรคพลังประชารัฐ ท่านคิดว่าประชาชนดูไม่ออกหรืออย่างไร" ร.ท.หญิงสุณิสากล่าว.    

เกมถนัดที่ไม่ถนัดแล้ว

ระทึกมาหลายช็อตแล้วก็ต้องระทึกต่อไป เป็นสถานการณ์ เป็นภาพจริง สำหรับพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)

หลังจากล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ “รับคำร้อง” ของ กกต. ที่ขอให้วินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2560 มาตรา 92

โดยศาลยึดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (13) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 โดยส่งสำนวนคำร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดพิจารณาครั้งต่อไปในวันพุธที่ 27 ก.พ.62 เวลา 13.30 น.

มีเวลา 7 วัน ทษช.ต้องต่อสู้ข้อกฎหมาย

นาทีนี้พรรคไทยรักษาชาติถูกจับ “ขึ้นเขียง” โดยสมบูรณ์

แล้วไงต่อ จบที่ตรงไหน ยุบพรรคหรือไม่ ยังเป็นคำถามต่อเนื่องตามมา

วันนี้หลายฝ่ายก็ต้องการหาคำตอบ สิ่งที่จะตามมาหลังศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคำร้องปมร้อน รวมทั้งบทสุดท้าย ที่เป็นบทจบของคดีกระหึ่มเมืองคดีนี้ โดยเฉพาะบทลงโทษที่คาดการณ์ทางร้ายกับ ทษช.

โดยเฉพาะในเรื่องการยุบพรรค และตัดสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ที่ว่าอาจโดนห้ามเล่นการเมือง “ตลอดชีวิต” โดนโทษประหารทางการเมือง

พาดหัวข่าวสื่อหลายสำนัก ก็มาจาก “มือร่างกฎกติกาบ้านเมือง” ทีมคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนายอุดม รัฐอมฤต คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อดีตโฆษก กรธ. ที่หยิบยกบทลงโทษในคำร้องนี้ หากถูกตัดสินยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “ไม่มีระยะเวลาระบุไว้”

ก็เท่ากับว่า ถ้ากรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะถูกตัดสิทธิตลอดชีวิต

สอดรับด้วยนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ อดีต กรธ. ชี้เปรี้ยง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคจะส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตทันที

“ประหารชีวิตทางการเมือง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (5) และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคท้าย

ขณะที่เรื่องเงื่อนเวลา บทจบของคดีร้อน อดีต กรธ.รายนี้แจงในหลายประตู คือกรณีเมื่อพรรคถูกยุบ ผู้ลงสมัคร ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อจะถือว่าไม่ได้ลงสมัคร

เท่ากับ ทษช.ต้องออกไปเป็นผู้ชม นอกสนามเลือกตั้ง

อีกกรณี ถ้าหากข่าวร้ายของ ทษช. มาหลังวันที่ 24 มี.ค. แต่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง คะแนนของผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคจะไม่ถูกนับสักคะแนน จะได้คะแนนเป็นศูนย์

และถ้ายุบหลัง กกต.รับรองผลแล้ว จะไม่ส่งผลต่อคะแนน แต่ ส.ส.ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน

มองข้ามช็อต คาดการณ์อนาคตคนค่าย ทษช.ทุกประตู

ทั้งหมดอาจไม่ใช่ “ทุกอย่างมีลิขิตมาแล้ว อะไรจะเกิด

ก็ต้องเกิด” อย่างที่นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช อดีต ส.ว.ขอนแก่น ให้คำตอบถึงอนาคตของ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ทษช. ที่เป็นบุตรชาย

แต่คิวนี้เป็นผลจาก “กรรม” หรือการกระทำ

เกมใหญ่ที่ว่ามาจากคนใหญ่แดนไกล ส่งผลถึงอนาคตการเมืองลูกข่ายที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ลูกทัพน้อยใหญ่ ทษช.ถูกลากขึ้นเขียง

ในห้วงหลังชนฝา “นายใหญ่” จะพลิกเล่นต่ออย่างไร กับคิวจ่อฟัน “ดาบแรก” และลุ้นระทึกต่อดาบ 2–3

ยิ่งคนที่เคยเอ่ยว่า “แพ้ไม่เป็น” เมื่อ “เกมเลือกตั้ง” ที่ถนัด ติดๆขัดๆ เดินไม่ถนัดอีกแล้ว ไม่แปลกที่กระแสข่าว “ล้มกระดาน” จะปลิวว่อนวงการในห้วงนี้

ในภาวะไร้การควบคุม ที่คาดได้ว่าน่าจะเข้าล็อกเข้าแผนขั้วฝ่ายที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ

แต่จังหวะทุกฝ่ายอ่านออกรู้ทาง ชนิด “ทันกัน” ทุกช็อต

เมื่อเลือกเล่นเกมใหญ่เกมยาก พลาดแล้ว การแก้เกมยิ่งยากกว่า.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน