PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว26/2/58

Jab26Feb15

กมธ.ยกร่าง

บวรศักดิ์โวยสื่อเรียก "ส.ว.ลากตั้ง"

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 เวลา 09.20 น.ก่อนจะเข้าสู่วาระการประชุมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้แถลงกับสื่อมวลชนถึงกรณีการ

บัญญัติที่มาของวุฒิสภาว่า โทรทัศน์บางแห่งได้ระบุว่าวุฒิสภาชุดใหม่เป็นวุฒิสภาจากการลากตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ารักและเป็นการนำเสนอข่าวไม่ครบถ้วน เนื่องจากวุฒิสภาชุดใหม่ที่คณะ

กมธ.ยกร่างฯได้ให้ความเห็นชอบไปนั้นจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยมาจากบุคคลที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะส.ว.ที่จะมาจากผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรมด้านการเมือง การบริหารราชการ

แผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงด้านสังคม ชาติพันธุ์ ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น บุคคลคนเหล่านี้จะมาเป็นส.ว.ได้นั้นจะมาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา เมื่อสรรหาเสร็จ

แล้ว จะต้องนำเสนอบัญชีรายชื่อให้สมัชชาพลเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่งเป็นบุคคลที่มาจากการเลือกของประชาชน มาทำการเลือกบุคคลที่จะมาเป็นส.ว. ดังนั้น การมากล่า

วหาว่าวุฒิสภาชุดใหม่เป็นส.ว.ลากตั้ง จึงไม่ถูกต้อง

นายบวรศักดิ์ระบุว่า ในต่างประเทศก็มีการใช้กระบวนการเลือก ส.ว.เช่นนี้ เช่น ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น การใช้เสรีภาพของสื่อ ผมไม่ได้มีปัญหา คอลัมนิสต์จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ถือว่าเป็น

เสรีภาพ แต่สำหรับการนำเสนอข่าวและมีการใช้การพาดหัวหรือการอ่านข่าวของนักอ่านข่าว จำเป็นอย่างยิ่งต้องนำเสนอให้ครบถ้วนรอบด้านและปราศจากอคติ มิเช่นนั้นแล้วประชาชนจะได้รับ

ข่าวสารเพียงด้านเดียว
-------------------
ดิเรกชี้สว.สรรหา ควรหั่นอำนาจให้เหลือแค่กรองกม.
เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตส.ว.นนทบุรี กล่าวถึงมติกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม จำนวน 200 คน มีวาระ 6 ปีว่า โดยหลักการแล้วถ้าส.ว.มา

จากการสรรหาก็ควรมีอำนาจเฉพาะการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายเพียงอย่างเดียว จึงจะถูกต้อง ไม่ควรมีอำนาจอื่นๆร่วมด้วย อาทิ การพิจารณาแต่งตั้ง หรือโยกย้ายข้าราชการ หรือบุคคลอื่นๆด้วย

ซึ่งไม่ใช่หลักการของส.ว. และส่วนตัวเห็นว่า ควรให้มีส.ว.เลือกตั้งอยู่ต่อไป เพราะถือเป็นตัวแทนที่มาจากประชาชนโดยตรง ซึ่งตัวแทนที่มาจากประชาชนสามารถมีอำนาจในการแต่งตั้ง หรือถอด

ถอนได้
-------------------
นิคมติงสว.เลือกตั้งโดยอ้อมอันตรายกว่าสภาฯผัวเมีย
       เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมจำนวนไม่เกิน 200 คนว่า

เรื่องนี้อันตราย เพราะเป็นการลดอำนาจประชาชน แต่เพิ่มอำนาจอดีตข้าราชการของรัฐเข้ามาในสัดส่วนของส.ว.สรรหาเพื่อให้มาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอีกทีหนึ่ง และยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก

หากมีการเพิ่มอำนาจให้ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เพราะจะยิ่งกลายเป็นพรรคการเมืองของข้าราชการขนาดใหญ่ อันตรายกว่าคำว่าสภาฯ ผัวเมียอย่างที่เคยว่ากันไว้แน่นอน เนื่องจากการ

ปฏิบัติงานจะพัวพันและถูกใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการ รวมถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะผู้ตรวจสอบกับผู้ถูกตรวจสอบนั้นมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน
               
       ทั้งนี้ หากถามว่าจะผ่านความเห็นชอบของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)หรือไม่นั้น คงไม่ต้องวิจารณ์ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่สปช.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันจะคัดค้าน อีกทั้งคน

เขียนรัฐธรรมนูญรอบนี้ก็เคยออกแบบหรือลองผิดลองถูกมาหลายครั้งแล้ว ย่อมทราบและรู้ดีว่าเขียนรัฐธรรมนูญแบบไหนแล้วจะเกิดผลแบบใด
///////////
ปปช.

ปปช.ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาอภิสิทธิ์-สุเทพสลายม็อบสัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 เวลา 11.30 น. ที่โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช. มี

มติแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กรณีสั่งการใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการ

พลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2553 ว่า สำหรับการเตรียมส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปยังนาย

อภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้นต้องรอการรับรองมติที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช. ก่อน คาดว่าสัปดาห์หน้าคงจะส่งไปยังผู้ถูกกล่าวหาได้ ซึ่งทราบว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเองก็พร้อมที่จะมาแก้ข้อ

กล่าวหาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ทั้ง 2 คนต้องมาดำเนินการแก้ข้อกล่าวหาและชี้แจงข้อกล่าวหาต่อป.ป.ช.ภายใน 15 วัน
               
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้ถูกกล่าวหาอ้างพยานจำนวนหลายบุคคล จะพิจารณาอย่างไร นายสรรเสริญ กล่าวว่า หากมีการกล่าวอ้างป.ป.ช.ก็ต้องมาพิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไรหรือไม่ ซึ่งเป็นไป

ตามหลักเกณฑ์ ลักษณะคดี ทุกคดีที่ป.ป.ช.ได้พิจารณามาโดยดูว่าพยานที่อ้างมานั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นคดีที่กำลังไต่สวนหรือไม่ หากเกี่ยวข้องในการไต่สวนก็อนุญาต เช่นเดียวกันหากเป็นพยาน

ที่ฟุ่มเฟือยหรือไม่เกี่ยวข้องโดยตรง กรรมการก็สามารถพิจารณาได้ว่าจะตัดหรือไม่ หรือหากเห็นว่าพยานที่อ้างมานั้นมีอยู่ในข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ไม่ต้องทำเพิ่มก็อาจจะไม่อนุญาตได้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาคงจะอ้างพยานจำนวนไม่มาก ส่วนรายชื่อต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์ได้ให้ข่าวไปนั้น ป.ป.ช.ก็ต้องดูก่อนว่า รายชื่อเหล่านั้นเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ หรือมีข้อมูลข้อเท็จ

จริงเกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งกรรมการป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาว่าพยานที่อ้างมานั้น มีความจำเป็นที่จะทำให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมนั้นครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ แต่หากไม่จำเป็นหรือมีข้อเท็จจริงครบถ้วนอยู่

แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอนุญาต ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป
                 
ต่อข้อถามว่า นายสุเทพ ซึ่งปัจจุบันบวชเป็นภิกษุอยู่ จะต้องเดินทางมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตัวเองหรือไม่ นายสรรเสริญ กล่าวว่า หากนายสุเทพจะทำหนังสือ หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นมารับทราบ

ข้อกล่าวหาแทนก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองได้
                       
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีชื่อถูกร้องเรียนด้วยนั้น ยังคงดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป ยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ดังนั้นหากถูกอ้างเป็น

พยาน ก็ต้องมาให้ถ้อยคำในฐานะพยาน ยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา เพราะป.ป.ช.ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาพล.อ.อนุพงษ์แต่อย่างใด
--------------------
ประยุทธ์พร้อมให้ความร่วมมือปปช.คดีสลายม็อบปี 53
เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 เวลา 10.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

ระบุว่าในช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 มีบุคคลทั้ง 3 คน ประกอบด้วย ตนเองในฐานะรอง ผบ.ทบ. ในขณะนั้น พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผบ.ทบ.และรองผอ.ศอฉ.

และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ซึ่งดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมเกี่ยวข้องด้วยว่า ถ้าจะให้ตนไปเป็นพยาน กระบวนการยุติธรรมว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมไปเป็นพยานใช่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า "ว่าตามนั้น ถ้าไปได้ก็ไป จะจำเป็นหรือไม่ตนยังไม่รู้ ยังไม่รู้เหมือนกัน กลไกเขาว่าอย่างไร ตอนนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีนะ"
 
เมื่อถามย้ำว่า ป.ป.ช.จะเชิญบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ไปให้ปากคำนั้น พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ตนพร้อมจะให้ข้อมูล ซึ่งการให้ข้อมูลบางครั้งก็ไม่ต้องไปเอง สามารถให้ข้อมูลเป็นเอกสารได้ อย่าให้

เป็นเรื่องใหญ่โตเลย "แล้วมันจะยังไง แล้วทำไมไม่สนใจว่าทำไมทำข้างนี้ ทำไมไม่พูดว่าทำทั้งสองฝ่าย ตั้งแต่ต้นทำไมมาบอกว่าไล่ล่าข้างเดียวกันอยู่ ยืนยันไม่ได้เป็นการไล่ล่าข้างเดียว ใครทำผิด

กฎหมายก็ว่ามา ใครที่แก้ข้อกล่าวหาได้ก็จบไปเท่านั้นเอง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม"
 
เมื่อถามต่อว่า จะเป็นโอกาสที่จะได้เคลียร์คดีนี้เลยใช่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ไม่ตอบคำถามดังกล่าวและได้เดินขึ้นไปยังตึกไทยคู่ฟ้าและหันมาตอบคำถามอีกครั้ง
 
เมื่อถามว่า คดีนี้จะเดือดร้อนไปถึงกองทัพหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า จะเดือดร้อนเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่เขาก็ทำงาน ที่ผ่านมาก็มีการรายงานการสอบสวนมาตลอดทุกครั้ง ผลการสอบ

สวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีหมด ตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อนๆ ได้มีการดำเนินการไปครั้งหนึ่งแล้ว รัฐบาลที่แล้วก็มีการปรับปรุงแก้ไขอีกส่วนจะได้หรือไม่อย่างไรก็ต้องไปดูในข้อเท็จจริง
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อพลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์มาถึงตรงนี้ได้หันกลับมายังกลุ่มผู้สื่อข่าว พร้อมตะโกนถามว่า "ขอถามข้อเท็จจริงว่ามีคนใช้อาวุธในประชาชนหรือเปล่า มีหรือเปล่าขอให้พูดดังๆ

มีชายชุดดำอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเปล่า และมีคนยิงใส่ทหารหรือเปล่า ถ้ามีก็จบ"
////////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

“นายกฯ” ชวนคนไทยทำความดีถวายเป็นพระราชกุศล
เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ร่วมกันเปิดตัวโครงการ

ปณิธานความดีปีมหามงคล ทำดี เริ่มได้ ที่ใจเรา พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ โครงการ ปณิธานความดีปีมหามงคล ทำดี เริ่มได้ ที่ใจเรา รัฐบาลได้ริเริ่มขึ้นเพื่อให้

ประชาชนมีโอกาสรวมใจถวายของขวัญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ในช่วงเวลาที่เป็นมงคลฤกษ์ระหว่างปี 58-60 ซึ่งเป็นช่วง

เวลาที่มีวาระอันเป็นมงคลเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี โดยในปี 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 88 พรรษา และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา

สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษาส่วนในปี 2559 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ ครบ 70 ปี และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ 7

รอบ 84 พรรษา และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเจริญพระชนมายุ 65 พรรษา ส่วนในปี 2560 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ 65 พรรษา และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ซึ่งผู้สนใจ

สามารถร่วมโครงการได้โดยการตั้งปณิธาน อาทิ จะอาสาสมัครทำความดี โดยแสดงการตั้งปณิธานผ่านเว็บไซต์ www.panithand.com และ www.facebook.com/panithand นอกจากนี้คณะกรรมการ

ขับเคลื่อนโครงการฯยังมีกิจกรรมมอบรางวัลให้แก่ผู้มีผลงานการดำเนินโครงการที่น่าสนใจด้วย
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานได้มีการแสดงภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เปรียบเทียบระหว่างคนสมชาย ที่ตื่นเพื่อทำงานแต่เข้าแล้วประสบความสำเร็จ และคนสมนึก ที่นอนดึกตื่นสายแล้วมีปัญหากับ

การทำงานให้ผู้ร่วมงานได้รับชม
 
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า คุณสมชาย คือชื่อย่อของ คสช. ดังนั้นก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี ตื่นเช้าทำประโยชน์คิดสิ่งดีงามแก้ไขปัญหาต่างๆของชาติ ตนก็ต้องทบทวนตัวเอง

เพื่อทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเช่นกัน เช่นรู้ตัวว่าโมโหเร็ว ก็จะทำตัวให้ดีขึ้นไม่ให้โมโหง่ายเพราะจะเสียเวลาในการทำงาน งานที่เราจัดขึ้นในครั้งนี้เพื่อสร้างความรักสามัคคีสร้างความปรองดองในสังคม

และปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีในสังคมทุกวัย โดยเริ่มจากการมุ่งมั่นคำความดี ให้สังคมเต็มไปด้วยคนที่มีคุณธรรม ซึ่งคนทั่วไปคงรับทราบในส่วนนี้ แต่คนที่ทำงานหนักไม่มีเวลาติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นใน

สังคมเราก็ต้องทำให้เขารับทราบในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน ความดีทุกคนสามารถทำได้ทุกวัน ถ้าเราเริ่มต้นทำความดี ครอบครัวและสังคมก็จะดีขึ้น เราจึงใช้โอกาสมหามงคลนี้เป็นจุดเริ่มตนในการทำ

ความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ประเทศชาติมีวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง อยากให้ใช้ตรงนี้เป็นโอกาสในการทำงานร่วมกัน ตนในฐานะรัฐบาลยืนยันว่าจะสนับสนุนการทำความดี

ทุกอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติและประชาชน และสิ่งที่เห็นในตอนนี้คือมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมาก ส่วนใหญ่เกิดจากความเห็นส่วนตัว หรือคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้าง แต่ก็มีตัว

ตนอยู่ในนั้นเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราจึงต้องตัดคำว่าตัวตนออกไป แล้วจะมองเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเพื่อแก้ปัญหาของประเทศอยู่ตรงไหน ถ้าทุกคนมองตรงนั้นออกก็จะไปแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและ

จะไม่เกิดความขัดแย้งในทุกเรื่องทุกสถานการณ์ วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อมวลชนต้องช่วยกันขยายการทำความดี อีกทั้งต้องตั้งมั่นว่าจะช่วยส่ง

เสริมรัฐบาลและประเทศชาติอย่างไรไม่ให้เกิดความขัดแย้งให้เกิดความปรองดองซึ่งกันและกัน ทุกคน ทุกกลุ่ม รวมถึงแม่น้ำทั้ง 5 สาย ก็ต้องช่วยกันทำความดี ต้องลด ละ เลิกสิ่งต่างๆให้ประเทศ

เดินหน้าให้ได้ ฝ่ายการเมืองหรือใครก็แล้วแต่ต้องร่วมด้วย
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนต้องทำความดีในสามส่วนด้วยกัน คือการแก้ไขตัวเอง สองคือเรื่องภายในครอบครัวและ สามคือรัฐบาล ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน ซึ่งแน่นอนว่า

ความขัดแย้งต้องเกิดขึ้น ในเมื่อสิ่งต่างๆบางครั้งไม่ได้รับการแก้ไข จึงต้องมีความขัดแย้ง แต่ความขัดแย้งต้องมีข้อยุติเพื่อเดินหน้าประเทศให้ได้ สิ่งที่ทำวันนี้คือการเอาทุกอย่างมาแก้ไข แต่ทำทันที

ไม่ได้เพราะไม่ได้แก้มาก่อน อีกทั้งตอนนี้โลกก็มีความเปลี่ยนแปลงมากมายมีกติกาต่างๆ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ถ้าอยู่ในโลกคนเดียวก็เชิญทะเลาะกันไม่เป็นไร แต่เมื่อเราอยู่ในสังคมโลก

ประเทศไทยจะถูกลบออกจากแผนที่ ดังนั้นไม่ได้อะไรที่ยังไม่ถึงก็อย่าเพิ่งทะเลาะกัน
 
“วันนี้ก็ไปถึงเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างต้องมีกติกา ทุกคนอยากให้ประเทศไทยดีขึ้น ก็ขอให้ไปบอกคนที่ออกมาสร้างความขัดแย้งอยู่ทุกวัน ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการ

วันนี้ต้องรบกับทั้งพระ ทั้งฆราวาส และคนในประเทศ วันนี้เราต้องแก้ปัญหาให้ถูกวิธี มีมาตรการที่รัดกุมซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน ทั้งคน ทั้งระบบ ทั้งกฎหมาย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันใน

การแก้ปัญหา ทุกองค์กรต้องมองว่าจะว่างตัวเองอย่างไรในสังคม การจะให้รัฐดูแลทุกอย่างคงไม่ไหวเพราะการทำงานต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา ต้องมีงบประมาณ และกฎกติกาอีกมากมายไม่ใช่

ว่ารัฐบาลดันทุรังหรือถอยกรู ใช่คำพูดพวกนี้กับพวกเราไม่ได้ อะไรที่สงสัยผมก็พร้อมเปิดโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและต้องฟังเหตุผลกันบ้าง ยืนยันว่าผมไม่ต้องการผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น

รวมถึงต้องใช้ความอดทนสูงในการทำงาน รัฐมนตรีคนอื่นก็เช่นกัน เพราะไม่ใช่นักการเมืองไม่ได้สมัครเข้ามา ผมเป็นคนเลือกเข้ามาคนที่ให้คะแนนก็คือผม ใครจะให้อย่างไรผมไม่ฟังหรอก เพราะ

ผมสั่งผมรู้ว่าทะไรทำได้แค่ไหน คนที่ออกมาให้คะแนนทำไมก่อนๆนี้ไม่ให้เขาละ คอยจับจ้องแต่คุณสมชายนี้ละ” นายกฯ กล่าว
///////////
ห้ามชุมนุม

สนช.รับหลักการร่างกม.ม็อบห้ามชุมนุมรัฐสภา-ทำเนียบ     
        เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ....ใน

วาระแรก ซึ่งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งการใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมในระหว่างการชุมนุมสาธารณะต้องอยู่ภายใต้

ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จ

เจ้าฟ้าขึ้นไป พระราชนิเวศน์ พระตำหนัก หรือจากที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ฯลฯ หรือสถานที่พำนักของพระราชคันตุกะ จะกระทำมิได้ นอกจากนี้การจัดการชุมนุมสาธารณะ

ภายในพื้นที่ของรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาลและศาลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีการจัดให้มีสถานที่เพื่อใช้ในการชุมนุมสาธารณะในพื้นที่นั้น โดยให้อำนาจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบ

หมายในการประกาศห้ามชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตรรอบสถานที่ดังกล่าวได้
             
        ส่วนผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องระบุวัตถุประสงค์ วัน ระยะเวลา และสถานที่ด้วย ในกรณีที่ผู้ชุมนุม

กระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นจนเกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งเลิกการ

ชุมนุม และในระหว่างการรอคำสั่งศาลให้เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้ผู้ชุมนุมยุติการกระทำนั้น หากมีการฝ่าฝืนให้ประกาศพื้นที่นั้นเป็นพื้นควบคุมและให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ภายในระยะเวลาที่

กำหนด สำหรับบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนได้กำหนดโทษไว้ 9 กรณี ซึ่งมีทั้งจำและปรับ โดยมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
               
        จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการในวาระ 1 ด้วยคะแนน 182 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 โดยให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 22 คน เพื่อดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน
---------------------
“กปปส.”จี้รัฐเยียวยาเหยื่อชุมนุมเทียบเท่ารบ.ยิ่งลักษณ์    
           
         นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลได้ส่งหนังสือถึงนายเอกนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูป

แห่งชาติ (สปช.) โดยเนื้อหาระบุว่า พระสุเทพ ปภากโร หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลให้ชดเชยเยียวยาแก่เหยื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ปี 56-

57 ว่า กปปส.ได้ทำหนังสือไปถึงรัฐบาลตั้งแต่ช่วงปลายปี 57 แล้ว โดยชี้แจงเหตุผลการชุมนุม หลักการเยียวยา พร้อมกับส่งข้อมูลผู้ที่เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุมไปให้ด้วย
         
         ยืนยันว่า เราชุมนุมด้วยความสงบตามรัฐธรรมนูญ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ ควรได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ ส่วนรัฐบาลจะเยียวยาเท่าไหร่นั้น รัฐบาลต้องพิจารณาตามความเหมาะสม

เพราะตามหลักเกณฑ์เดิมในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น มีการปรับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยในสมัยน.ส.

ยิ่งลักษณ์ มีการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตรายละ 7.75 ล้านบาท ดังนั้นผู้สูญเสียจึงสมควรได้รับการเยียวยาเหมือนในอดีต เพราะการเยียวยาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างความปรองดอง
---------------------
บิ๊กป็อกบอกไม่ห่วงสถานการณ์บ้านเมือง แต่ห่วงสื่อเขียนนิยาย           
     
           พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความเป็นห่วงในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันว่า “ผมไม่เป็นห่วง เป็นห่วงอย่างเดียวคือ เรื่องที่เกี่ยวกับสื่อ” พร้อมกับ

หัวเราะและกล่าวต่อว่า สื่อมวลชนชอบเขียนนิยายไปเรื่อย เรื่องดังกล่าว ยืนยันว่า ถ้าประชาชนคนไทยยังมีความรู้สึก บ้านเมืองต้องมีความสงบเรียบร้อย ถึงจะพัฒนากันต่อไปได้ แต่ถ้าต่างคนต่าง

ยังขัดแย้งกัน ถือโอกาสกันอยู่ มันก็แย่เราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนกันแล้ว.
------------------
ยังไม่ประชุมคกก.ร่วมสัมปทานฯรอบที่ 21 วันนี้
 
   
       เมื่อเวลา 11.00น.26 ก.พ.2558  หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ถึงความคืบหน้าในการประชุมคณะกรรมการร่วมกรณีเปิดสัมปทาน

ปิโตรเลียมรอบที่ 21 ว่า ในวันนี้(26ก.พ.) ไม่มีการนัดประชุมแต่อย่างใด และอยู่ในช่วงระหว่างของการกำหนดช่วงเวลาวัน -เวลาอยู่ว่าจะประชุมได้เมื่อไหร่
           
         ผู้สื่อข่าวถามว่าภาพรวมของคณะกรรมการฯชุดนี้ถือว่ามีความลงตัวแล้วใช่หรือไม่ เพราะเห็นว่าภาคประชาชนระบุว่ายังไม่เห็นหนังสือเป็นทางการจากรัฐบาล ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า โดย

ภาพรวมค่อนข้างชัดเจน ส่วนเรื่องหนังสือนั้นก็ได้ส่งไปให้ครบแล้ว ส่วนจะนัดประชุมกันเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งต้องรอให้ทั้งสองส่วนคือฝ่ายรัฐและภาคประชาชนเห็นตรงกัน ซึ่งสถาน

ที่นัดประชุมคือที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ(สปน.) เป็นฝ่ายเลขาฯของคณะกรรมการชุดนี้ที่จะทำหน้าที่เชิญและจัดประชุม
----------------------
“ดอน”ยืนยันสหรัฐส่งทูตมาไทยก่อนมีรัฐบาลจากเลือกตั้ง               
             
             
        นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เข้าพบนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง

ใหม่ว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติในฐานะเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ตนยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง สำหรับเรื่องการชี้แจงทำความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทยถือเป็นหน้าที่

ของสถานทูตทุกแห่งอยู่แล้ว แต่จะทำมากน้อยหรือบ่อยเพียงใดอยู่ที่โอกาสและประเด็นที่จะพูดคุยกัน ยกตัวอย่างเรื่องพัฒนาการในประเทศไทยและความคืบหน้าเรื่องการเดินตามโรดแม็พ หากเรา

ต้องการจะแจ้งให้ทราบทางทูตจะไปทำการนัดหมายเพื่อชี้แจง ถือเป็นกลไกหนึ่ง
         
         อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาพรวมเรื่องความเข้าใจของประเทศต่าง ๆ ที่มีต่อไทยดีขึ้น แต่ไม่ได้ห่วงมาก เพราะความสัมพันธ์ที่มีอยู่ถือว่าเป็นปกติ มีการติดต่อธุรกิจการค้าเหมือนเดิม แต่เราเองอย่า

ให้มีปัญหาภายในประเทศอย่างเรื่องการค้ามนุษย์ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศไหนยอมรับ ส่วนความคืบหน้าการส่งทูตมาประจำประเทศไทยของสหรัฐฯนั้น ยืนยันว่ามาแน่นอน และมาก่อนที่จะมี

รัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วย ขณะนี้กระบวนการกำลังเดินอยู่ เหตุที่ว่างเว้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มีหลายประเทศเหมือนกันที่ไทยยังไม่ได้ส่งเข้าไปทันทีเมื่อหมดวาระ เพราะมีกระบวนการภายใน

ประเทศต่าง ๆ อยู่ ดังนั้น จึงไม่ใช่กรณีสหรัฐฯ จำเพาะเจาะจงไม่ส่งทูตมาประจำประเทศไท
/////////////
คดีมั่นคง

โฆษกตำรวจยันคดีเพลิงไหม้ SCB ยังไม่ชัด
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ก.พ.2558  พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เปิดเผยถึงความคืบหน้าของคดีเพลิงไหม้ที่ชั้น 10 ตึก SCB ว่า คดีนี้จากการตรวจสอบมีการพบ

ความผิดปกติของระบบไฟฟ้า ภายในห้องเกิดเหตุเพลิงไหม้ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ซึ่งจุดดังกล่าว เป็นจุดที่ใกล้เคียงกับจุดต้นเพลิง ที่กองพิสูจน์หลักฐานพบ ซึ่งระบบไฟฟ้าในห้องดัง

กล่าว มีการเดินสายไฟใต้พื้น จึงทำให้ในช่วงเกิดเหตุครั้งแรก ไม่สามารถตรวจสอบพบ และยังไม่ยืนยันว่า กรณีนี้ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้หรือไม่ โดยต้องรอผลการตรวจสอบทางนิติ

วิทยาศาสตร์ยืนยันอีกครั้ง เช่นเดียวกับ กรณีเครื่องฉีดพ่นยุง ที่ตำรวจยังคงให้น้ำหนักในเรื่องนี้อยู่  เพราะจากการตรวจทดลอง ยืนยันว่า เครื่องฉีดพ่นยุง ทำให้เกิดประกายไฟได้ แต่ทั้งนี้ ยอมรับว่า

ยังไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ฉีดยุง เข้าไปในห้องเกิดเหตุจริงหรือไม่  โดยผลการตรวจวิเคราะห์ จากกองพิสูจน์หลักฐาน จะทราบผลทั้งหมดในสัปดาห์หน้า

พุทธอิสระ :ผู้นำกับเรื่องรุมเร้า

พักนี้เห็นท่านผู้นำออกมาบ่นถึงสารพัดปัญหาที่หลั่งไหลถาถมเข้ามารุมถล่มรัฐบาล แล้วบอกว่าเบื่อ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ฉันอยากบอกว่าคนในประเทศนี้เห็นท่านผู้นำและพวกคุณเป็นผู้ส่องแสงสว่างให้แก่แผ่นดิน พวกคุณคือความมุ่งหวังของคนทั้งชาติ ซึ่งก็เป็นธรรมชาติที่ต้องแบกรับทุกปัญหา ของทุกสังคม ทุกสี ทุกกลุ่ม การที่แต่ละสังคม แต่ละสี แต่ละกลุ่ม แสดงปัญหาที่ถูกปกปิด อำพราง จนสร้างความทุกข์ยากเดือดร้อน กัดกร่อนหลักการของศีลธรรม คุณธรรม ดุจดังสนิมร้ายที่กัดกินทองคำมาช้านาน ออกมาแสดงว่าวิธีแก้ปัญหา รักษาไข้ของคุณตรงจุด ตรงใจ พวกเราเลยวางใจ ไว้ใจ กล้าที่จะแสดงปัญหา ชี้จุดที่เกิดปัญหา ให้ท่านได้รับรู้และหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาเหล่านี้พึ่งจะมี แต่มันมีมาช้านาน ดุจดังสนิมร้ายที่คอยกัดกินทองคำ
อีกทั้งสนิมทองนี้ มันมิได้เพิ่งจะเกิด เพิ่งจะมี มันสะสมมายาวนานมากว่า ๘๒ ปี ของวิถีแห่งประชาธิปไตย ที่นำพาเอาสนิมมากัดกินทอง คือหัวใจของคนไทยที่เคารพยอมรับในจารีตวัฒนธรรม คุณธรรม ประเพณี ขนบธรรมเนียมอันดีงามของบรรพบุรุษไทยผู้มีจิตใจงดงาม แต่พอลัทธิประชาธิปไตยเข้ามาในเมืองไทย ก็ได้นำพาเอาคำว่าสิทธิและหน้าที่เข้ามาเผยแพร่ จนดอกไม้พิษสิทธิเสรีภาพพากันเบ่งบานทั้งแผ่นดิน แต่ดอกไม้แห่งหน้าที่กลับเหี่ยวเฉา ตายลง ตายลง แทบไม่หลงเหลือ
ด้วยคำว่าสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนในสังคมไขว่คว้า เรียกร้อง และมีอยู่ ทำให้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกสังคม ไม่เว้นแม้แต่สังคมนักบวช ต่างมีสิทธิที่จะพูด จะทำ จะคิด อย่างอิสระ ขาดการระลึกว่าได้ก้าวล่วงเส้นแบ่งของจารีต วัฒนธรรม คุณธรรม ประเพณีอันงดงาม ที่บรรพบุรุษไทยได้วางรากฐานให้ไว้เป็นหลักในการทำ พูด คิด ดำเนินชีวิตของลูกไทยผู้มีหัวใจรักชาติ
ทั้งนี้ก่อนที่ลัทธิประชาธิปไตยจะเข้ามา แผ่นดินไทย คนไทย แม้จะมีหลายเชื้อชาติ หลายชนเผ่า แต่แผ่นดินไทยเราล้วนมีประชาชนที่มีจิตใจงดงาม มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว มีศีลธรรมคุณธรรม สมดังคำที่ว่า แผ่นดินทอง แผ่นดินธรรม
เมื่อบ้านเมืองเกิดสนิมร้าย เกาะกุมกัดกร่อนมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อท่านผู้นำ คสช. รัฐบาล อาสาเข้ามาช่วยแก้ปัญหา กำจัดสนิมร้ายของบ้านเมือง ยิ่งลื้อ ยิ่งเจอ ยิ่งกำจัด ยิ่งโผล่
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลที่มาจากลัทธิประชาธิปไตย มิได้เข้ามากำจัดสนิมร้ายอย่างจริงจัง บางครั้งทำแค่นำแผ่นทองคำมาปิดไว้ และกลายร่างเป็นสนิมร้ายมากัดกร่อนแผ่นดินไทยเสียเองก็มี เหตุการณ์เช่นนี้ มันพอกพูนสะสมมายาวนาน จึงกลายเป็นว่า ยิ่งแก้ ยิ่งลื้อ ยิ่งเจอ
แต่คุณประยุทธ์ต้องเข้าใจด้วยว่า สนิมร้ายที่เกาะกัดกินแผ่นดินไทยและสังคมไทยในช่วงเวลาที่ท่านเข้ามาบริหารบ้านเมือง “มันมิได้เพิ่มขึ้น” มันมีแต่จะลดลง ขอเพียงคุณประยุทธ์อย่ายอมแพ้
เนื้อเพลง อย่ายอมแพ้
หากวันนี้เราล้มลง
ยังคงลุกขึ้นได้ใหม่
ถ้ายังคงมีหนทาง ถ้ายังมียิ้มสดใส
ก้าวไปอย่าหวั่นไหวหวาดกลัว
พร้อมทนทุกข์หมองหม่น
ผจญความมืดหมองมัว
ไม่กลัวจะฝันถึงวันใหม่
* หากวันใดอ่อนแอ ท้อแท้อย่าหวั่นไหว
ขอให้ใจไม่สิ้นหวัง
ปัญหาแม้จะหนัก ก็คงไม่เกินกำลัง
อย่าหยุดยั้งก้าวไป
** ขออย่ายอมแพ้
อย่าอ่อนแอแม้จะร้องไห้
จงลุกขึ้นสู้ไป
จุดหมายไม่ไกลเกินจริง
(ซ้ำ *, **, **)
ขออย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ แม้จะเหนื่อยหน่าย
พวกเราคนไทยทุกคนคอยช่วยเหลือ เป็นกำลังใจให้ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือที่จะช่วยคุณขุดคุ้ย ชี้จุดที่มีสนิมร้ายหลบซ่อนอยู่ สู้ สู้ นะจ๊ะ
พุทธะอิสระ