PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

หนุ่ย:เกาะนาคาน้อย

"หนุ่ย หิรัญพฤกษ์" เปิดความจริง 10 ข้อ !? "เกาะนาคาน้อย" ป่าที่กำลังถูกทำลายฟรีๆ จากผู้อ้างเอกสารสิทธิ์!?
Cr:ทีนิวส์
วันที่ 6 เม.ย. 59 บนโลกออนไลน์เฟซบุ๊กคุณ "Pongsuk Hiranprueck" หรือคุณ ( หนุ่ย ) พิธีกรชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความอ้างถึง ความจริงของ "เกาะนาคาน้อย" หลังมีผู้อ้างเอกสารสิทธิ์เตรียมเข้าถางป่าในพื้นที่ดินของเกาะ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายภูริ หิรัญพฤกษ์ นักแสดงชื่อดัง ได้ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานเข้าไปตรวจสอบการเข้าไปถางป่าดังกล่าวที่อ้างถือครองที่ดิน เนื่องจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนั้นไม่มีเอกสารสิทธิ์แต่อย่างใด

โดยมีข้อความระบุดังนี้

"ความจริงเกี่ยวกับเกาะนาคาน้อย และป่าที่กำลังถูกทำลายฟรีๆ

เรื่องราวถึงขั้นคอขาดบาดตายแล้วและผมต้องเขียนเรื่องราวแบบ ?#?สรุป? นี้เพื่อให้ทุกท่านที่มีความรักในผืนป่าและความยุติธรรมได้รับทราบและช่วยกันหยุดมัน
UPDATE : *****12.00น. ด้วยพลังการแชร์ของทุกๆท่านในที่นี้และน้ำใจการคัดลอกข้อความส่งไลน์ไปหาผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่รัฐหลายระดับชั้น ล่าสุด ผู้การฯสุรเชษฐ์ ติดต่อกลับมาและรับปากที่จะประสานนายชาญวิทย์ตัวแทนบริษัทภูเขาหกลูกเข้ามาพูดคุย เพราะ ณ เวลานี้นับเป็นจุดสุญญากาศทางกฎหมายที่ "ยังอยู่ในขั้นตอนเพิกถอน"เอกสารนส.3ก. ทำให้ผู้ถือเอกสารยังคงมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้กับผืนป่านี้ (ที่เขาคิดว่าเป็น"ที่ดิน") ซึ่งท่านผู้ชมชาวไทยที่เคารพสามารถพิจารณาได้จากภาพถ่ายทางอากาศได้ด้วยตัวเอง ขณะนี้รถแบ็กโฮตามการประกาศยังไม่ถึงเกาะนาคาน้อย สื่อมวลชนจำนวนมากกำลังติดต่อลงพื้นที่เพื่อทำข่าวสารไปยังพี่น้องประชาชน ขอกราบขอบพระคุณทุกๆพลังโซเชียลมา ณ โอกาสนี้ครับ*****

1. เกาะนาคาน้อยเป็นเกาะเล็กๆในจังหวัดภูเก็ต ห่างจากอ่าวปอไม่ไกลนักมองกันเห็นจากฝั่งแผ่นดิน เกาะนี้มีความเข้าใจกันมาแต่ยาวนานกว่า 40 ปีว่าเป็นเกาะของครอบครัวหิรัญพฤกษ์ บุกเบิกมาโดย ดร.สุจิต หิรัญพฤกษ์ ผู้เป็นบิดาของผมและเป็นปู่ของคุณภูริ

2. จริงๆครอบครัวเราไม่ได้เป็นเจ้าของทั้งเกาะเรามีที่ดินอยู่เพียง 53 ไร่ตามที่ระบุไว้ในเอกสารสิทธิ์ นส.3ก. ประกอบไปด้วยที่ดินหน้าหาดไปจนถึงบ้านพักและสวนมะพร้าวหลังบ้าน (ซึ่งปัจจุบันปล่อยไว้ให้เป็นป่า) โดยที่ดินส่วนที่เหลืออีก 60% ของเกาะเป็น "ป่าดิบชื้น" ที่สมบรูณ์เป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือก และไม่เคยถูกรุกรานเลยตั้งแต่อดีตจนถึง "เมื่อวานนี้" เอง (5เมษายน2559)

3. ที่ดินนอกเหนือจาก 53 ไร่ไม่เคยมีการทำรังวัดใดๆจากสำนักงานที่ดินภูเก็ตเลย ผู้ใหญ่บ้านและนายอำเภอยุค 40 ปีก่อนบอกดร.สุจิตบิดาของผมว่า "เป็นพื้นที่ป่าไม้" ของแผ่นดิน ไม่ให้ใครมารุกล้ำ

4. ดร.สุจิต เคารพกติกานี้อย่างดีจนถึงแก่กรรม ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ได้ประกอบกิจการฟาร์มหอยมุก เครื่องประดับที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเคยเสด็จประพาส พ่อผมเป็นผู้รับเสด็จด้วยความปลื้มปิติและพระองค์ท่านรับสั่งทำฟาร์มไข่มุกให้มีคุณภาพดีเป็นชื่อเสียงของประเทศ ฟาร์มแห่งนี้เคยผลิตมุกเม็ดใหญ่ติดอันดับโลกขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันพักกิจการไว้เนื่องจากผลผลิตไม่เฟื่องฟูและตลาดไม่มีความต้องการเหมือนก่อน

5. ครอบครัวรุ่นลูกรุ่นหลานได้บรูณะ "บ้านหิรัญพฤกษ์" บ้านพักชั้นเดียวของพ่อ ที่สร้างไว้พักแรมตั้งแต่แรกเริ่มให้กลับมามีสภาพใช้งานได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้ และเอาไว้ใช้พักผ่อน โดยไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆอีกเลย

6. วันดีคืนดี มีคนท้องถิ่นมาหาที่เกาะแล้วบอกว่า "มีเอกสาร สค.1หลังเกาะมาขายจ้า" เรายังไม่ทันเห็นเอกสารก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นพื้นที่ป่า เขายืนยันว่าพวกเขาออกเอกสารสิทธิ์กันมาได้และจะไปเปลี่ยนเป็นนส.3ก.ให้ได้โดยรู้จักดีกับข้าราชการภายในกรมที่ดิน จะคิด'ค่าทำงาน'เรา 4 ล้านบาท เราไล่ตะเพิดไปบอกไม่เอา เพราะมันไม่ถูกต้อง

7. สค.1 ที่ว่าคือเอกสารสิทธิ์ที่ออกไว้บนเกาะ'นาคาใหญ่' เกาะใกล้เคียงที่ใหญ่กว่าเรามาก แต่แก้ไขเอกสารจาก 7 ไร่ เพิ่มอีก 17 ไร่ (รวม 24 ไร่) แล้วนำมาอ้างสิทธิ์บนป่าของเกาะนาคาน้อย ไปๆมาๆพอเราไม่ยอมจ้างทำ พวกเค้าก็ไปทำเอง เปลี่ยนสค.1เป็นนส.3ก.แล้วไปเร่ขายคนอื่นๆ จนตกมาถึง "บริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด" ตามที่ระบุในข่าว บริษัทนี้เคลมมูลค่าที่ดินว่าสูงถึง 42 ล้านบาท

8. เราร้อง DSI ให้ตรวจสอบให้ที DSI ดีมาก ตามติดสอบสวนเจ้าหน้าที่รัฐจนสารภาพว่าเป็นการสร้างเอกสารปลอม (ปลอมโดยคนออกของแท้) เจ้าหน้าที่ให้สัมภาษณ์ไว้ชัดกับเนชั่นทีวี นับเป็นความฉ้อฉลอีกครั้งหนึ่งของข้าราชการกรมที่ดินที่เอาผืนป่ามาออกเอกสารสิทธิ์ (เวลาเราได้ยินคำว่า "นักการเมืองงาบป่า" ..เขาก็ทำกันในวิธีนี้แล) DSI สั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์นี้กับกรมที่ดิน ขณะนี้กรมที่ดินอยู่ระหว่างดำเนินการ

9. ไม่กี่วันมานี้ ตัวแทนบริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด ดอดมาเจรจากับครอบครัวเราขอให้ซื้อเอกสารนส.3ก.ของเขา เพราะเขาก็เดือดร้อนที่ไปซื้อต่อมาอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นจึงอยากให้ช่วยซื้อ 42 ล้านบาทเลย แน่นอนเราต้องด่าให้หายซ่า เขามีอาการรวนเล็กน้อยและอ้างบุคคลมีสีที่หนุนหลังอยู่ เอ่ยนามมาให้เค้าเสียหายด้วย เราไล่ตะเพิดไปบอกไม่กลัวใครทั้งนั้น ความถูกต้องคือความถูกต้อง เขาจากไปด้วยความโกรธพอสมควร

10. เช้าวันอังคารที่ 5 เมษายน กลุ่มชายนำกำลังขึ้นเกาะในฝั่งป่าไม้พร้อมอาวุธในมือ ยากต่อการเข้าพูดคุยเจรจา ทางกลุ่มประกาศว่าวันพุธที่ 6 เมษายนจะนำ "รถแบ็กโฮ" ข้ามทะเลมาถางป่าในที่ๆคิดว่าระบุไว้ 24 ไร่ (แต่ไม่มีการปักหมุดรังวัดใดๆไว้ จะไปถางถูกจุดได้อย่างไร?) เขาอ้างว่ากรมที่ดินยังอยู่ระหว่างการเพิกถอน ฉะนั้นตอนนี้เขามีสิทธิ์ในการจะ 'ทำอะไรก็ได้' กับที่ดินที่เขาคิดว่าเป็นของเขา

สมาชิกครอบครัวหิรัญพฤกษ์ที่อยู่รักษาเกาะอยู่ในเวลานี้ไม่มีอาวุธและไม่มีกำลังจะต่อกรกับกำลังคนพร้อมอาวุธอย่างแน่นอน
คำถามสำคัญคือ "เราจะยอมให้ป่าถูกถางในเช้าวันนี้จริงๆหรือ???" ป่าที่อยู่ของป่ามาดีๆตลอดมา แต่มาโดนออกเอกสารสิทธิ์จากความฉ้อฉนของข้าราชการคนที่ชั่ว (ที่ทำเรื่องย้ายตนเองและเกษียนอายุไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) เอกสารสิทธิ์นี้กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการถอนถอนตามคำสั่งของ DSI แต่ในเมื่อมันยังไม่ถูกเพิกถอนตอนนี้เขาเลยอ้างว่ามีสิทธิ์เต็มที่บนที่ดิน ... เราจะยอมให้ป่าถูกทำลายลงจริงๆหรือ? เพราะหากถอดถอนแล้วแต่ป่าหมดไป ใครจะปลูกใช้คืน??? นกเงือกทรัพยากรสัตว์หายากสุดๆของประเทศก็จะยิ่งสูญพันธุ์ลงอีก (เรื่องนี้อาจารย์ธรณ์ และเพื่อนธรณ์หลายๆคนคงเศร้า)

ลองคิดดูดีๆเพื่อช่วยกันพิทักษ์ผืนป่า พลังโซเชียลของพวกเราได้ผลเสมอเมื่อเราช่วยกันขบคิดดังๆและส่งเรื่องนี้ถึงทุกสำนักข่าว
ด้วยจิตคาราวะจากใจจริงพี่น้องครอบครัวหิรัญพฤกษ์"

สถานการณ์5-6เม.ย.59

สถานการณ์ข่าวห้วง 051800 - 060600 เม.ย.59

-5เม.ย. กองทัพซีเรียเผย บ.SU-22 ถูกกลุ่มกบฎยิงตกที่เมืองอเลปโป นักบินดีดตัวจากเครื่องได้ คาดว่ากลุ่มอัลกอ-
อิดะห์ ควบคุมตัวไว้.                                  -5เม.ย. เว็บไซต์ มิร์เรอร์ ออนไลน์ เผยแพร่คลิป VDO คำเตือนครั้งใหม่ ของกลุ่ม IS ซึ่งเผยแพร่โดย Alwa ad ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่ระบุว่ากรุงลอนดอนจะตกเป็นเป้าโจมตีต่อจากกรุงปารีส และกรุงบรัสเซลส์.                                             -5เม.ย. จนท.เกาหลีใต้เชื่อว่า เกาหลีเหนือสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ในขีปนาวุธพิสัยกลางได้แล้ว หลังจากรัฐบาลเปียงยางทดลองอาวะนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 เมื่อ ม.ค.59 ซึ่งสอดคล้องกับการที่ ปธน.คิม จอง อึน ออกมาประกาศว่า เปียงยางสามารถย่อส่วนหัวรบนิวเคลียร์ให้ติดตั้งบนชีปนาวุธได้/AFP.                                            -5เม.ย. อินโดนีเซียระเบิดเรือต่างชาติที่รุกล้ำน่านน้ำ เข้าไปทำประมงผิดกฎหมาย 23 ลำ เป็นเรือสัญชาติเวียดนาม 13 ลำ และมาเลเซีย 10 ลำ ที่ท่าเรือ 7 แห่ง ตั้งแต่เมืองทาราคันทางเหนือของเกาะบอร์เนียวจนถึงเมืองราไน ในหมู่เกาะนาทูนา ในทะเลจีนใต้/Reuters.                                        -5เม.ย. อองซาน ซูจี รมว.กต.เมียนมา เริ่มงานครั้งแรกด้วยการพบปะหารืออย่างเป็นทางการกับนายหวังอิ้ รมว.กต.จีนที่เนปิดอร์ โดยเรื่องพรมแดน และเรื่องการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เมียนมา/AFP.                                              -5เม.ย.  กลุ่ม NGOs  ด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ International Commission of Jurists (ICJ), Human Right Watch (HRW), Amnesty International (AI), Asian Forum for Human Rights and Development (FORUM-ASIA), International Federation for Human Rights (FIDH) และ Fortify Rights (FR) ประณามการออกคำสั่ง คสช. ที่ 13/2559 โดยระบุว่า การให้อำนาจการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มขึ้นแก่ทหาร (ค้น จับกุม สอบสวนและควบคุมตัว) จะยิ่งทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น รวมทั้งเป็นการขัดต่อกระบวนการและการดำเนินงานของผู้บังคับใช้กฎหมายตามระบบที่เป็นที่ยอมรับกันในสากล จึงควรยกเลิกคำสั่งนี้/เว็บไซต์ www.hrw.org

วิเคราะห์7ประเด็นรธน.

7 ประเด็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ

6 เม.ย. 2559 หลังจากเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่จะนำลงไปทำประชามติ กันเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งมีกำหนดการทำประชามติในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw ได้เลือกประเด็นที่น่าสนใจจากร่างรัฐธรรมนูญ มาสรุป วิเคราะห์ เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ และทำเป็นภาพ Info Graphic เพื่อเผยแพร่ 7 หัวข้อ ดังนี้

 

1. โรดแมปสู่การเลือกตั้ง สิ้นปี 60

ร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดขั้นตอนไปสู่การเลือกตั้งว่า หลังจากวันออกเสียงประชามติที่คาดว่าจะเป็น 7 สิงหาคม 2559 หากผล คือ เห็นชอบ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างรัฐธรรมนูญทูลเกล้าฯ ถวายภายใน 30 วัน เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้แล้ว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ (พรป.) ภายใน 240 วัน และส่งร่าง พรป. ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาภายใน 60 วัน และดำเนินการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ พรป. 4 ฉบับ มีผลบังคับใช้ 
 
รวม ความแล้ว หลังวันออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 30+240+60+150 = 480 วัน หรือ 16 เดือน กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง คาดว่าจะได้เลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรอย่างเร็วประมาณเดือนธันวาคม 2560
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4070]
 

2. ร่างรัฐธรรมนูญเปิดทาง "นายกฯ คนนอก"

ร่างรัฐธรรมนูญเปิดทางให้รัฐสภาตั้ง 'นายกฯ คนนอก' ได้ ในมาตรา 272 สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงครั้งเดียว และต้องอาศัย
 
1) ส.ส.ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 250 คน เสนอต่อประธานรัฐสภาว่าจะเลือกนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากรายชื่อที่พรรคการเองแจ้งไว้า
2) รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว.ทั้งหมด ลงมติด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 หรือ 500 คนจาก 750 คน อนุมัติ
3) ส.ส. เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 หรือ 50 คนเสนอชื่อบุคคลใดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 251 คน
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4068]
 

3. ให้คสช. มีอำนาจเลือก ส.ว. 250 คนแรก

บทเฉพาะกาล ของร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในวาระเริ่มแรกมี 250 คน มาจาการคัดลือกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกือบทั้งหมด และมี ส.ว.โดยตำแหน่งที่เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ อีก 6 คน ด้วยเหตุว่าจะเข้ามาประคับประคองประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ซึ่งเป็นการร่างแทบจะตามข้อเสนอที่ คสช. ขอมา
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4069
 

4. ไม่เขียน "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" แต่สั่งรัฐสนับสนุนเฉพาะพุทธเถรวาท

ร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เขียนให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ตัดหน้าที่ของรัฐที่จต้องเสริมสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาออก ตัดเรื่องห้ามลิดรอนสิทธิเพราะเหตุการนับถือศาสนาออก และเขียนนวัตกรรมใหม่ให้รัฐต้องส่งเสริมและเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพิ่มข้อยกเว้นเสรีภาพในการนับถือศาสนาต้อง "ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ"
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4080]
 

5. อำนาจใหม่ และที่มาใหม่ ของศาลรัฐธรรมนูญ

ร่างรัฐธรรมนูญห้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันเขียน "มาตรฐานทางจริยธรรม" ขึ้น ให้อำนาจวินิจฉัยให้ รมต. ที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงพ้นจากตำแหน่ง ให้อำนาจเรียกประชุมฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรอิสระเพื่อหาช่องทางแก้วิกฤติการเมือง และเปลี่ยนที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการ 2 คน
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4071
 

6. รีวิว ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม

ร่างรัฐธรรมนูญยังคงยืนในระบบเลือกตั้งที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ คือ ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม (MMA) ประชาชนจะกาบัตรใบเดียวเลือกได้ทั้งคน ได้ทั้งพรรค ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 350 คน ยังคงใช้ระบบเลือกตั้งเสียงข้างมาก หนึ่งคนหนึ่งเขต
 
ส่วน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ไม่เกิน 150 คน คิดคำนวนจาก นำคะแนนทั้งประเทศที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับจะ ไปคำนวณเพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. ที่พรรคนั้นควรจะมี และเมื่อได้จำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคควรจะมีแล้ว ก็นำมาหักลบกับจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต จะได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4079]
 

7. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยากขึ้นอีก

ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดตั้งแต่วาระแรกเลยว่า นอกจากจะต้องได้เสียงเห็นชอบเกินครึ่ง หนึ่งของทั้งสองสภาแล้ว ยังต้องมี ส.ว. เห็นชอบ ไม่น้อยกว่า 1 ใน  3 และในวาระ 3เพิ่มเงื่อนไขอีกว่า ต้องมี ส.ส. จากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี  ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน ซึ่งยากกว่าของเดิมที่แก้ไขยากมากอยู่แล้ว พร้อมกับเสียงส.ว. 1 ใน 3
 
หากจะแก้ไขเกี่ยวกับหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ให้จัดทำประชามติก่อน 
[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4076]

 

พุทธศาสนาในรธน.

ร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ฉบับลงประชามติ ไม่เขียนให้ #พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เขียนนวัตกรรมใหม่ให้รัฐต้องส่งเสริมและเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท และเพิ่มข้อยกเว้นเสรีภาพในการนับถือศาสนาว่าต้อง "ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ"

อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4080

สำหรับประเด็นการคุ้มครอง #เสรีภาพในการนับถือศาสนา และการรับรองสถานะของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อถกเถียงที่อ่อนไหวในสังคมไทยมานานหลายปีนั้น กรธ.เขียนสองประเด็นดังกล่าวไว้ดังนี้ 

"มาตรา 31 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน"

"มาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย"

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 แล้วจะพบข้อแตกต่างที่น่าสนใจมากมาย โดยเรื่องหน้าที่ของรัฐที่เพิ่มการส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาและเผยแร่พระพุทธศาสนาเถรวาท โดยไม่ได้กล่าวถึงศาสนาอื่น หรือพุทธศาสนานิกายอื่น และยังตัดหน้าที่ของรัฐที่ห้ามลิดรอดสิทธิบุคคลเพราะการนับถือศาสนาแตกต่างกัน และหน้าที่ของรัฐในการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนา

#ร่างรัฐธรรมนูญ #ศาสนา #พระพุทธศานา #มีชัย

องค์กรต่างชาติแถลงติงรบ.ไทยย้ายอำนาจตร.สู่ทหาร

องค์กรต่างชาติแถลงติงรบ.ไทยย้ายอำนาจตร.สู่ทหาร
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ.2559 18:01 น.

กลุ่มองค์กรต่างชาติ ตำหนิ รัฐบาลไทยทำลายความมั่นคงด้านสิทธิมนุษยชน กรณีย้ายอำนาจตำรวจสู่ทหาร
คำสั่งของรัฐบาลไทย ให้กวาดล้างอำนาจตำรวจ ย้ายไปสู่ทหาร เป็นส่วนหนึ่งของการทำลายความมั่นคงด้านสิทธิมนุษยชน ตามที่ผู้รณรงค์กล่าววันนี้ พร้อมเรียกร้องให้กลับสู่กฎหมาย โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย สั่งให้ทหารที่มียศร้อยโทหรือสูงกว่ามีอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่ออาชญากรรมได้ ตามโทษที่แตกต่างกัน โดยทหาร กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นผลมาจากนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล พร้อมบอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนตำหนิว่า อำนาจกฎหมายใหม่ที่รัฐบาลใช้ลงโทษผู้ที่ไม่เห็นด้วย นับตั้งแต่ยึดอำนาจมานาน 2 ปี 

ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการแถลงร่วมกันของกลุ่มองค์กร 6 กลุ่ม ที่รวมทั้งกลุ่มสิทธิมนุษยชน องค์กรนิรโทษกรรมสากลและคณะผู้พิพากษาสากล (ICJ) ที่ร่วมออกมาร่วมแสดงท่าทีตำหนิ 

โดย นา วิลเดอร์ เทย์เลอร์ เลขาธิการทั่วไปของ ICJ กล่าวว่า ICJ มีการสังเกตการทำลายการปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อปีวันที่ 22 พฤษภาคม 2014 และคำสั่งใหม่นี้ ชี้ให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งในเวลาเดียวกัน 

ด้าน นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์การมนุษยชนแห่งเอเชีย กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไทยขยายอำนาจของตัวเองให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งที่ต้องการ รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน แทนที่การกลับสู่แนวทางประชาธิปไตย

เบื้องหลังข่าวที่ดนพล.อ.ประยุทธ์

เบื้องหลังข่าวเจาะ“พล.อ.ประยุทธ์”ขายที่ดิน 9 แปลง 50 ไร่ 600 ล้านผ่านบริษัทหุ้นใหญ่ ตู้ ปณ.บนเกาะบริติชเวอร์จิ้น โยงใย 22 บริษัทลับ 7 หมื่นล้าน "เจ้าสัวเจริญ" บ่งชี้สัมพันธ์ บิ๊กทหาร-นักธุรกิจใหญ่

piccpayuuu1-1-15

ในรอบปี 2557 มีข่าวเจาะชิ้นหนึ่งที่เกี่ยวพันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยตรงคือ กรณีการขายที่ดิน 9 แปลงเนื้อที่ 50-3-08 ไร่ วงเงิน 600 ล้านบาทของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา บิดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

ข่าวชิ้นนี้ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายทหารใหญ่ในกองทัพกับนักธุรกิจแสนล้านที่หยั่งรากลึกมานาน “ชัดเจน”ขึ้นเมื่อพบว่า ผู้รับซื้อที่ดินแปลงนี้ตัวจริงคือนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดังและเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศนั่นเอง 
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงความเป็นมาดังนี้ 

ภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกฯ วันที่ 4 ก.ย.57 พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า พ.อ.ประ พัฒน์ จันทร์โอชา อายุ 89 ปี (บิดา) ได้มอบเงินจำนวน 540 ล้านบาทกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากเป็นบุตรชาย มีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการดูแลเงินจำนวนนี้ ให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องของผู้รับ

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แจ้งต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาซอยอารีสัมพันธ์ รับรองว่าได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 056-2-471xx-x ชื่อบัญชี พล.อ.ประยุทธ์ โดยโอนมาจากบัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 134-2-329xx-x ชื่อบัญชี พ.อ.ประพัฒน์ จำนวนเงิน 540 ล้านบาท ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 จริง

พล.อ.ประยุทธ์ได้แนบหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง พ.อ.ประพัฒน์ กับ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวนเงิน 600 ล้านบาท ต่อ ป.ป.ช.ด้วย

(อ่านประกอบ:เปิดหนังสือ“ประยุทธ์”รับเงินขายที่ดินพ่อ 9 โฉนด 540 ล้าน)

PIC-ทรพยสนบกต-4

PIC-ทรพยสนบกต-6

@ บ.69 พร็อพเพอร์ตี้ ถือหุ้นไขว้ซับซ้อน

จากกรณีดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา ได้ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 2 พ.ค.56 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 20/164 หมู่บ้านอิ่มอัมพร 2 หมู่ที่ 11 แขวงบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ หุ้นใหญ่ 4 รายคือ 

1.บริษัท ทรงวุฒิ บิสซิเนส จำกัด จำนวน 49,000 หุ้น 
2.นายไพโรจน์ จาตุรแสงไพโรจน์ จำนวน 30,000 หุ้น 
3.นายประมวล ศรีรัตนา 11,000 หุ้น และ 
4.นายศราวุธ เทียนสุวรรณ 10,000 หุ้น 

รวมทั้งสิ้น 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท นายศราวุธ เทียนสุวรรณ นายประมวล ศรีรัตนา และนายไพโรจน์ จาตุรแสงไพโรจน์ เป็นกรรมการผู้ขอจดทะเบียน

หลังจดทะเบียนราว 2 สัปดาห์ 16 พ.ค.56 บริษัท ทรงวุฒิ บิสซิเนส จำกัด (นายศราวุธ เทียนสุวรรณ ถือหุ้นใหญ่) ได้โอนหุ้นจำนวน 49,000 หุ้น ไปให้ วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ ทรัส (บี.วี.ไอ.) ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ แซมเบอร์ ซึ่งมีที่อยู่เป็นตู้ ป.ณ. เลขที่ 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทล่า , บริติชเวอร์จิน ไอร์แลนด์ 

21 มิ.ย.56 บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพิ่มทุนเป็น 200 ล้านบาท วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ได้เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 9,800,000 หุ้น จากทั้งหมด 10 ล้านหุ้น 

2 ธ.ค.56 บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 628 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 3 ราย 

บริษัท นครชื่น จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 62,799,998 หุ้น บริษัท ยอดกิจธุรกิจ จำกัด และ บริษัท พรนวภัณฑ์ จำกัด ถือรายละ 1 หุ้น รวมทั้งหมด 62,800,000 หุ้น 

จากการตรวจสอบพบว่า นายประมวล ศรีรัตนา นายศราวุธ เทียนสุวรรณ บริษัท นครชื่น จำกัด กรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด นั้น เป็นกรรมการบริษัทเครือข่ายของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่าผู้รับซื้อที่ดินดังกล่าวจากบิดา พล.อ.ประยุทธ์คือนายเจริญ สิริวัฒนภักดี

(อ่านประกอบ:บริษัทรับซื้อที่ดินพ่อ“ประยุทธ์”600 ล.“หุ้นใหญ่”ตั้งบนเกาะบริติชเวอร์จิน)

กระนั้น ประเด็นที่สำนักข่าวอิศราสงสัยก็คือ วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงและเกี่ยวพันกับนายเจริญอย่างไร? 

@สาวลึก บ.วินเทค ฯ ตู้ ปณ.เกาะบริติชเวอร์จิ้น

จากการตรวจสอบธุรกิจในเครือของนายเจริญที่มีนับร้อยบริษัทโดยเริ่มจากตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ณ วันที่ 28 มี.ค.49 มีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย 14 ราย ต่างด้าว 2 ราย รวม 16 ราย พบ วิน แอลไลต์ อินเตอรเนชั่นแนล อิงค์ สัญชาติ บี.วี.ไอ. (บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์) ที่อยู่ ทรีเด้นท์แชมเบอร์ส,ตู้ ปณ. 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทลา ,บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ ถือจำนวน 97 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นที่อยู่เดียวกับบริษัท วินเทค โปรฟิทฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 

นอกจากนี้ยังพบบริษัทที่จดทะเบียนในบริติชเวอร์จินไอร์แลนด์ อีกบริษัทหนึ่งคือ บลูสกาย โฮลดิ้ง กรุ๊ป อิงค์ ที่ตั้งอาคารเดอะเคร็ค ,ตู้ ปณ.116 โรดทาวน์,ทอร์โทลา ,บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ ร่วมถือหุ้น บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด 94.9 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 1650,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท

ต่อมา เม.ย.52 วิน แอลไลต์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ และ บลูสกาย โฮลดิ้ง กรุ๊ป อิงค์ หายไป ปรากฏว่ามี ทีซีซี แอ็ทเส็ทส์ ลิมิเต็ด บี.วี.ไอ. ซึ่งใช้ที่อยู่เดียวกัน คือ ทรีเด้นท์แชมเบอร์ส,ตู้ ปณ. 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทลา ,บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ เข้ามาแทนที่ โดยมีนายเจริญ สิริวัฒนภักดี และ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ร่วมถือหุ้นด้วย 

(อ่านประกอบ:สิ้นสงสัย!“หุ้นใหญ่”ซื้อที่ดินพ่อประยุทธ์ ที่อยู่เดียว“บ.เสี่ยเจริญ”บนบริติชเวอร์จิน)

@ลงพื้นที่พิสูจน์:ชาวบ้านบอกของ“เบียร์ช้าง”

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบสภาพที่ดิน 9 แปลงดังกล่าวพบว่าเป็น พื้นที่โล่ง ติดถนนบางบอน 3 ซึ่งมีขนาดฝั่งละ 2 เลน พื้นถนนเป็นปูนซิเมนต์ ถ้าหันหน้าเข้าพื้นที่จะพบว่าบริเวณด้านซ้ายติดกับคลองหนามแดง ภายในพื้นที่มีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมอยู่โดยทั่วบริเวณ และมีการนำป้ายประกาศซึ่งมีสภาพใหม่ มาติดไว้ทั่วบริเวณหน้าที่ดิน ระบุข้อความว่า

"ประกาศ ...ที่ดินบริเวณนี้ เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ห้ามบุกรุก ตกปลา หรือกระทำการใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง บริษัทฯ จำเป็นต้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด"

และจากการสอบถามคนในพื้นที่บอกว่า ที่ดินทั้ง 9 แปลงเป็นของเบียร์ช้าง

ty6

(อ่านประกอบ:เผยโฉมที่ดิน"พ่อประยุทธ์"ขาย 600 ล.ให้ บ.เครือข่ายเสี่ยเจริญ-ห้ามบุกรุก)

@ตู้ ปณ.ใบเดียว ที่ตั้ง 5 บริษัท

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ตู้ ปณ. 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทล่า , บริติชเวอร์จิน ไอซ์แลนด์ ใช้เป็นที่ตั้งถึง 5 บริษัท

1.ไชนิ เทร็ชเชอ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้น บริษัท สิริวนา จำกัด จำนวน 710,500,000 หุ้น (710.5 ล้านหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หรือเท่ากับ 7,105 ล้านบาท) ตั้งเดือน เม.ย.54 จนถึงปัจจุบัน 

2.ไรเซน มาร์ค เอ็นเตอร์ไพรส (Risen Mark Enterprise Ltd.,) ผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจน์ จำนวน 6,549,600,000 หุ้น (6,549.6 ล้านหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 1 บาท หรือเท่ากับ 6,549.6 ล้านบาท (ผู้ถือหุ้น ณ 30 ธ.ค.47-11 ก.ค.48)และลดลงเหลือ 5,537,600,000 หุ้น (5,537.6 ล้านหุ้น) ในช่วง27 มี.ค.49 เหลือ 2,359,815,000 หุ้น เมื่อ 3 ก.ค.49 กระทั่งหายไปหลังปี 51 

3. วิน แอลไลต์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ สัญชาติ บี.วี.ไอ. ถือหุ้น บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด จำนวน 97,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ในปี 2549 (มูลค่า 970 ล้านบาท) ต่อมาเพิ่มเป็น 797,000,000 หุ้น ณ 30 เม.ย.50 (มูลค่า 7,970 ล้านบาท) 

4. ทีซีซี แอ็ทเส็ทส์ ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด ช่วงปี 2550-2552 จำนวน 1,151,500,000 หุ้น (1,151.5 ล้านหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หรือ มูลค่า 11,515 ล้านบาท 

5. บริษัท แพลนทิออน อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (บี.วี.ไอ.) จำนวน 489,999,994 หุ้น มูลหุ้นละ 10 บาท (มูลค่า 4,899,999,940 บาท หรือประมาณ 4,899.9 ล้านบาท) 

รวมมูลค่าหุ้นทั้ง 5 บริษัท ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท 

@ พบบริษัทลับ 22 แห่ง 7 หมื่นล้าน

ต่อมาพบว่าธุรกิจของเจริญอย่างน้อย 9 บริษัท คือ บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด บริษัท สิริวนา จำกัด .บริษัท พรรณธิอร จำกัด ทีซีซีแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท แผ่นดินธรรม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท คริสตอลลา จำกัด และ บริษัท เครือ อาคเนย์ จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท ที.ซี.ซี.แคปปิตอล จำกัด) 

มีบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งบนเกาะ บริติชเวอร์จิน บี.วี.ไอ. อย่างน้อย 22 บริษัท รวมมูลค่าหุ้นตามทุนจดทะเบียน 70,807.2 ล้านบาท ได้แก่

1.วิน แอลไลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ทรีเด้นท์แชมเบอร์ (WIN ALLIED INTERNATION INC) ถือหุ้น 2 แห่งคือ บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 5,243,000,000 หุ้น (29 พ.ค.47) มูลค่าหุ้นละ 1 บาท และ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด 97,000,000 หุ้น (ปี 2549 ) เพิ่มเป็น 797,000,000 หุ้น (30 เม.ย.50) มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เท่ากับ 7,970 ล้านบาท รวมมูลค่า 2 บริษัท 13,213 ล้านบาท 

2.STRONG TREND VENTURE LTD. ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 1,048,600,000 หุ้น (29 พ.ค.47) หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 1,048.6 ล้านบาท

3.LANCENT ASSOCIATES LTD ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 1,048,600,000 หุ้น (29 พ.ค.47)หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 1,048.6 ล้านบาท

4.FORTUNE SCENE INVESTMENTS LTD. ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 1,048,600,000 หุ้น (29 พ.ค.47) หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 1,048.6 ล้านบาท

5.SOLID GAIN DEVELOPMENT LTD 1บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 1,048,600,000 หุ้น (29 พ.ค.47)หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 1,048.6 ล้านบาท

6. CONTINENTAL CONNECTION INC. ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 1,048,600,000 หุ้น (29 พ.ค.47) หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 1,048.6 ล้านบาท

7.ไรเซน มาร์ค เอ็นเตอร์ไพรส ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 6,549,600,000 หุ้น (30 ธ.ค.57) หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 6,549.6 ล้านบาท ต่อมาเหลือ 5,537,600,000 หุ้น ( 27 มี.ค.49) และ 2,359,815,000 หุ้น (3 ก.ค.49) กระทั่งหายไปหลังปี 51

8.Trinity Fortune Investment Ltd. ถือ บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 524,000,000 หุ้น (524 ล้านหุ้น) ณ 29 เม.ย.53 หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 524 ล้านบาท

9. MAXTOP MANAGEMENT CORP. ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 3,694,675,000 หุ้น ณ 29 เม.ย.53- 25 เมษายน 2556 หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 3,694,675,000 บาท

10. SPARKLE VIEW DEVELOPMENT LIMITED ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 1,042,543,572 หุ้น (29 เม.ย.54) หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 1,042,543,572 บาท

11. Kindest Place Groupa Limited ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 19,000,000 หุ้น (19 ล้านหุ้น) ณ 25 เม.ย.56 หุ้นละ 1 บาท มูลค่า 19 ล้านบาท

12.Nexus Power Investment Limited ถือหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจส์ 420,514,080 หุ้น ณ 25 เม.ย.57 มูลค่าหุ้นละ 1 บาท มูลค่า 420,514,080 บาท 

13. ไชนิ เทร็ชเชอ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ถือหุ้น บริษัท สิริวนา จำกัด (บริษัทส่วนตัวนายเจริญ) จำนวน 710,500,000 หุ้น (710.5 ล้านหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หรือเท่ากับ 7,105 ล้านบาท) ตั้งเดือน เม.ย.54 จนถึงปัจจุบัน 

14. ทีซีซี แอ็ทเส็ทส์ ลิมิเต็ด ถือหุ้น บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด จำนวน 1,151,500,000 หุ้น (1,151.5 ล้านหุ้น) ช่วงปี 2550-2553 มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หรือ มูลค่า 11,515 ล้านบาท 

15.บริษัท แพลนทิออน อินเตอร์เนชันแนล ถือหุ้น บริษัท พรรณธิอร จำกัด 489,999,994 หุ้น (ณ 29 เม.ย.52) มูลหุ้นละ 10 บาท (มูลค่า 4,899,999,940 บาท หรือประมาณ 4,899.9 ล้านบาท) มูลค่า 4,899,999,940 บาท

16.บลูสกาย โฮลดิ้ง กรุ๊ป อิงค์ ( บี.วี.ไอ.) ถือหุ้น บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด จำนวน 94,900,000 หุ้น (94.9 ล้านหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 10 บาท รวมมูลค่า 949 ล้านบาท 

17.บริษัท ทีซีซี กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด ถือหุ้น บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด จำนวน 1,151,499,000 หุ้น มูลค่าละ 10 บาท (ณ 29 เม.ย.56-30 เม.ย.57) หรือ มูลค่า 11,514,990,000 บาท 

และ บริษัท ทีซีซีแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ณ 26 เม.ย.56 จำนวน 97,999,800 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท มูลค่า 979,998,000 บาท รวมมูลค่า 12,494,988,000

18.วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด (บี.วี.ไอ.) ถือหุ้น บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 49,000 หุ้น ณ 16 พ.ค.56 ต่อมา เพิ่มเป็น 9,800,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หรือ 98 ล้านบาท 

19.สปริง คริสตัล แอสเซ็ทส์ จำกัด (บี.วี.ไอ.) ถือหุ้น บริษัท แผ่นดินธรรม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 9,900,001 หุ้น (9.9 ล้านหุ้น) มูลค่า หุ้นละ 10 บาท เท่ากับ 99 ล้านบาท (29 เม.ย.57)

20.คริสตอลลา อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมเต็ด (บี.วี.ไอ.) ถือหุ้น บริษัท คริสตอลลา จำกัด 5,880,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 588,000,000 บาท (30 ม.ค.56-30 ม.ค.57) 

21.บริษัท เพลนดิไวซ อินเวสต์เม้นต์ จำกัด (บี.วี.ไอ.) ถือหุ้น บริษัท เครือ อาคเนย์ จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท ที.ซี.ซี.แคปปิตอล จำกัด) จำนวน 117,600,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เท่ากับ 1,176 ล้านบาท (30 ธ.ค.51-30 เม.ย.52)

22.เดอะ เซาท์อีสท์ กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด (บี.วี.ไอ.) ถือหุ้น บริษัท เครือ อาคเนย์ จำกัด จำนวน 117,600,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เท่ากับ 1,176 ล้านบาท (26 มี.ค.53-30 เม.ย.57) 

ในจำนวนนี้พบว่า 8 บริษัทใช้ที่อยู่เดียวกันคือตู้ ปณ. 146 โรดทาวน์ เทอโทลา บริติชเวอร์จิน ไอสแลนด์ คือ วิน แอลไลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ,ไรเซน มาร์ค เอ็นเตอร์ไพรส ,MAXTOP MANAGEMENT CORP. ,ไชนิ เทร็ชเชอ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ดม ทีซีซี แอ็ทเส็ทส์ ลิมิเต็ด ,บริษัท แพลนทิออน อินเตอร์เนชันแนล ,บลูสกาย โฮลดิ้ง กรุ๊ป อิงค์ ( บี.วี.ไอ.) และ วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด 


@ สื่อซัก นายกฯไม่แจง บอกไม่ใช่เรื่องนักข่าว

ภายหลังจากตรวจสอบจนพบข้อเท็จจริง  วันที่ 18 พ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายกรัฐมนตรี ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล  กรณีขายที่ดิน 600 ล้าน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องของคุณเลยนะ เอ้า คนอื่นถามมา ไม่มีเรื่องอื่นที่ประเทืองปัญญากว่านี้หรือไง”

เมื่อผู้สื่อข่าวกล่าวว่าเนื่องจากพบว่า บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ ก่อตั้งบริษัทได้เพียง 7 วัน ก่อนมีการทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไปถามบริษัทเขาสิ”

(อ่านประกอบ: ไม่ประเทืองปัญญา"นายกฯซัดสื่อ หลังซักปมขายที่ดิน 600 ล.ให้ บ.เสี่ยเจริญ    )

และเมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบงบการเงิน บริษัท  69 พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ในรอบปี 2556 ระบุสินทรัพย์รวมประมาณ 625 ลัานบาท ซึ่งใกล้เคียงกับวงเงินซื้อขายที่ดินระหว่าง บิดานายกฯ กับบริษัทฯ จำนวน  600 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในหมายเหตุประกอบงบการเงินระบุว่า 15  ส.ค.56 บริษัทฯได้ซื้อสิทธิสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจำนวน 403.87 ล้านบาท จากบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อขายสิทธิให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน จำนวน 407 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ส.ค.56 ซึ่งเกิดกำไรจากการจำหน่าย 3.13 ล้านบาท เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามผู้สอบบัญชีบริษัทดังกล่าวแต่ไม่มีคำอธิบาย

prrr18-11-14

ทั้งหมดคือความเป็นมาของการทำหน้าที่ปกติในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำชี้แจงต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งมีเงื่อนปมที่ยังไม่กระจ่างหลายประการ โดยเฉพาะการเสียภาษีเงินได้จากตัวเลขรายได้ 600 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวพันกับผลประโยชน์สาธารณะ

มิใช่เรื่องส่วนตัว?

อ่านประกอบ:

22 บริษัทลับ 7 หมื่นล้าน“บริติชเวอร์จิน”ในเครือ“เสี่ยเจริญ”

 “แพลนทิออน”บริติชเวอร์จิน“ที่อยู่เดียว”ซื้อที่ดินพ่อนายกฯโผล่หุ้นเสี่ยเจริญ 4.9 พันล. 

ปริศนา!งบการเงิน บ.ซื้อที่ดินพ่อนายกฯมีกำไร 3 ล. จากซื้อสิทธิที่ดิน 403 ล.

"ไม่ประเทืองปัญญา"นายกฯซัดสื่อ หลังซักปมขายที่ดิน 600 ล.ให้ บ.เสี่ยเจริญ                                      

ตู้ ปณ.“บริติชเวอร์จิน”เลขที่เดียว ใช้เป็นที่ตั้ง บ.เครือเสี่ยเจริญ 4 แห่ง 3 หมื่นล.

เปิดหนังสือ“ประยุทธ์”รับเงินขายที่ดินพ่อ 9 โฉนด 540 ล้าน

บริษัทรับซื้อที่ดินพ่อ“ประยุทธ์”600 ล.“หุ้นใหญ่”ตั้งบนเกาะบริติชเวอร์จิน

ไขปมบริษัทลับ!บนเกาะบริติชเวอร์จิน “หุ้นใหญ่”ซื้อที่ดิน 600 ล. พ่อ“ประยุทธ์”

เผยโฉมที่ดิน"พ่อประยุทธ์"ขาย 600 ล.ให้ บ.เครือข่ายเสี่ยเจริญ-ห้ามบุกรุก

เปิดตัว"ศราวุธ"ตัวแทนซื้อที่ดิน“พ่อบิ๊กตู่”-"ที่อยู่"หุ้นใหญ่ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น

เจาะราคาประเมินที่ดิน"พ่อบิ๊กตู่"เครือข่ายเสี่ยเจริญลงทุน600ล.คุ้มค่าหรือไม่?

สิ้นสงสัย!“หุ้นใหญ่”ซื้อที่ดินพ่อประยุทธ์ ที่อยู่เดียว“บ.เสี่ยเจริญ”บนบริติชเวอร์จิน

พบ 8 บริษัทลับ!“บริติชเวอร์จิน”โผล่ถือหุ้นธุรกิจ“เสี่ยเจริญ”3 หมื่นล.

เส้นทางโยกหุ้น 2.3 หมื่นล. 3 บริษัทลับ“บริติชเวอร์จิน - เสี่ยเจริญ”

งานเข้า"ประยุทธ"ปานามาเปเปอร์โยงจนได้ปมที่ดิน500ล้าน

เปิดหลักฐานมัด!บ.ลับ“วินเทค โปรฟิท คอมปะนี”หุ้นใหญ่รับซื้อที่ดินพ่อ พล.อ.ประยุทธ์ 600ล. ใช้ตู้ ป.ณ.เลขที่เดียวกับ “ทีซีซี ลิมิเต็ด” บนเกาะบริติชเวอร์จิน ไอร์แลนด์ ถ่ายโอนหลายรอบก่อนร่วมหุ้น“เจ้าสัวเจริญ-คุณหญิงวรรณา”

rerervfvfvvfv7-11-14

วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ ทรัส (บี.วี.ไอ.) ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ แซมเบอร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งรับซื้อที่ดิน 9 แปลง เนื้อที่ 50-3-08 ไร่ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 9 พ.ค.56 วงเงิน 600 ล้านบาท (จำนวนเงินตามที่ระบุว่าในสัญญาซื้อขายและพล.อ.ประยุทธ์แจ้งต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ-ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 ก.ย.57)

แท้ที่จริงบริษัทที่จดทะเบียนในบริติชเวอร์จิน ไอร์แลนด์ แห่งนี้ ใช้ที่อยู่เลขที่เดียวกับ ทีซีซี แอสเส็ทส์ ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี มหาเศรษฐีแสนล้านนั่นเอง 

ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ณ วันที่ 28 มี.ค.49 มีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย 14 ราย ต่างด้าว 2 ราย รวม 16 ราย 

ผู้ถือหุ้นลำดับ 15 คือ วิน แอลไลต์ อินเตอรเนชั่นแนล อิงค์ สัญชาติ บี.วี.ไอ.(บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์) ที่อยู่ ทรีเด้นท์แชมเบอร์ส,ตู้ ปณ. 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทลา ,บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ ถือจำนวน 97 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท 

ผู้ถือหุ้นลำดับ 16 คือ บริษัท ทีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด สัญชาติไทย ถือ 1,458,099,933 หุ้น 

โดยมีบริษัทที่จดทะเบียนในบริติชเวอร์จิน ไอร์แลนด์ อีกบริษัทหนึ่งคือ บลูสกาย โฮลดิ้ง กรุ๊ป อิงค์ ที่ตั้งอาคารเดอะเคร็ค ,ตู้ ปณ.116 โรดทาวน์,ทอร์โทลา ,บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์  ร่วมถือหุ้นด้วย 94.9 ล้านหุ้น 

จากจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 1650,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท (ดูเอกสาร)

ppeddddd

28 เม.ย.52 วิน แอลไลต์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ และ บลูสกาย โฮลดิ้ง กรุ๊ป อิงค์ หายไป ปรากฏว่ามี ทีซีซี แอ็ทเส็ทส์ ลิมิเต็ด บี.วี.ไอ. ซึ่งใช้ที่อยู่เดียวกัน คือ ทรีเด้นท์แชมเบอร์ส,ตู้ ปณ. 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทลา ,บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ เข้ามาแทนที่ และถือหุ้นใหญ่ โดยมีนายเจริญ สิริวัฒนภักดี และ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ร่วมถือหุ้นด้วย (ดูเอกสาร)

pwsasasasasa

บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัดได้โอนหุ้นหลายครั้ง สุดท้าย 30 เม.ย.57 มีผู้ถือหุ้น 3 รายคือ ทีซีซี กรุ๊ป อินเตอร์นชั่นแนล ลิมิเต็ด สัญชาติ บริติช เวอร์จิน ไอร์แลนด์ แต่มีที่อยู่ในฮ่องกง ถือหุ้นใหญ่ นายเจริญ และคุณหญิงวรรณา 

สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า วิน แอลไลต์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ และ ทีซีซี แอ็ทเส็ทส์ ลิมิเต็ด บี.วี.ไอ. เป็นที่อยู่ตู้ ปณ.เลขที่เดียวกับ วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ ทรัส (บี.วี.ไอ.) ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ แซมเบอร์ ,ตู้ ป.ณ. 146 ,โรดทาวน์,ทอร์โทล่า , บริติชเวอร์จิน ไอร์แลนด์ ผู้ถือหุ้นบริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (รับโอนหุ้นมาจาก บริษัท ทรงวุฒิ บิสซิเนส จำกัด ก่อนเพิ่มทุนและโอนต่อไปให้บริษัท นครชื่นจำกัด ในเครือนายเจริญ)

10744970 10202250316972844 1407069152 n

บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ทุนปัจจุบัน 23,500 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ เงินลงทุนและให้กู้ยืม บริหารจัดการธุรกิจ ที่ตั้งเลขที่ 1 อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น 53-54 ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร และ 195 ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร

ธีรยุทธ:กม.การเมืองคนจนความเหลื่อมล้ำ

06042559  บทความฉบับเต็มของอ.ธีรยุทธ  บุญมี 
กฎหมาย การเมือง คนจน ความเหลื่อมล้ำและการพัฒนา ธีรยุทธ บุญมี
คนจนคือเบี้ยทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
 ปัญหาคนจนซึ่งก็คือปัญหาประชาชนไทยนั่นเอง การสำรวจสถิติทุกหนยืนยันว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนจน ปัญหาคนจนไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมจนเกิดบทสรุปว่า “คนจนติดคุก” “คนโกง คนรวยไม่ติดคุก” (เพราะหลุดคดีหรือหนีไปต่างประเทศ) และยังเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่ของประเทศอีกหลายด้าน เช่น กระบวนทัศน์ของชนชั้นมีอำนาจของไทยต่อชาวบ้านหรือคนจนซึ่งเป็นปัญหาสังคม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ของบ้านเรามายาวนาน อีกด้านซึ่งสำคัญอย่างยิ่งคือมิติการกำหนดแผนพัฒนานโยบายหลักของประเทศ หรือแผนการขับเคลื่อนประเทศทั้งหมดว่าทำไปเพื่อใคร ใครแสวงประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติหรือชาวบ้านทั่วไปหรือไม่
 โดยภาพรวมทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชาวบ้านไทยมีฐานะเป็นเพียงเบี้ยในกระดานพัฒนาเศรษฐกิจ กระดานสังคมและการเมือง ที่ถูกเสียละเพื่อให้เม็ด ม้า เรือ โคน อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น
 เบี้ยทางเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์มี 2 ช่วงใหญ่ ๆ ในช่วงแรกชาวบ้านส่วนหนึ่งมีบทบาทเป็นผู้หักร้างถางพงสร้างที่ทำกินทั่วประเทศเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ อีกส่วนเป็นกรรมกรโรงงาน และแรงงานตามไร่มัน ไร่ปอ ไร่อ้อย ซึ่งค่าแรงต่ำ จนมีศัพท์เรียกว่าแรงงานทาสหรือโรงงานนรกขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์ รัฐบาลยังจงใจกดรายได้ชาวนา กรรมกร ให้อยู่ในระดับต่ำ โดยนโยบายเก็บค่าพรีเมียมข้าวส่งออก เพื่อให้ราคาข้าวในประเทศต่ำ ผู้ได้ประโยชน์คือนายทุนและคนอื่นทั่วไปเพราะค่าครองชีพต่ำ ในช่วงปัจจุบันซึ่งเศรษฐกิจประเทศขยายตัวเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกเต็มที่ รัฐซึ่งผูกขาดการจัดการทรัพยากร เส้นทางคมนาคมขนส่ง การค้าขายปลีก-ส่ง ก็มุ่งที่การขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจ เปิดทางให้ทุนต่างประเทศ ทุนเอกชน และรัฐวิสาหกิจ (ซึ่งควบคุมโดยนักการเมือง เทคโนแครต และทุนการเมือง) เป็นผู้เสวยประโยชน์จากทรัพยากร พลังงาน แร่ธาตุ ประมง การสื่อสาร คมนาคม ค้าปลีก โดยชาวบ้านและท้องถิ่นได้ผลตอบแทนน้อยมาก สูญเสียทรัพยากรทำกิน แต่เสวยทุกข์จากมลภาวะ ร้านค้าย่อย อาชีพ และวิถีชีวิตชุมชนพังทลาย นอกจากนี้นโยบายเปิดกว้างแก่แรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ก็เป็นการจงใจให้ค่าแรงงานในประเทศต่ำ เพื่อโอบอุ้มอุตสาหกรรมในประเทศให้ไม่ต้องใช้ความพยายามในการแข่งขันหรือยกระดับตัวเอง คนไทยชั้นกลางชั้นสูงทั่วไปพอใจเพราะยังได้บริโภคของราคาไม่แพง มีแรงงานใช้ในบ้าน ส่วนชนชั้นล่างอยู่ในสภาพชีวิตที่เสื่อมโทรมเลวร้ายลงตลอดเวลา เช่น ต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานไกลขึ้นเรื่อย ๆ ทานอาหารที่มีสารพิษ สารเคมีตกค้างหรือผสม บริโภคของปลอม เช่น ลูกชิ้นเทียม ไส้กรอกเทียม เนื้อสัตว์ อาหารทะเลเทียม น้ำดื่มสะอาดเทียม ยาเทียม การศึกษาเทียม ฯลฯ
เบี้ยทางสังคมการเมือง การเป็นเบี้ยก็คือการขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สังคมประชาธิปไตยคือสังคมที่ทุกคนมีสิทธิ อำนาจ กล้าแสดงสิทธิและความรับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มที่ ทัดเทียมกัน ในความเป็นจริงของสังคมที่เป็นประชาธิปไตยทั่วโลกไม่ได้อยู่กับหลักการหรือตัวบทกฎหมาย
ลอย ๆ แต่อยู่ที่ความเข้มแข็งของทั้งกลไกรัฐ กลไกกฎหมาย กลไกสังคมและชุมชน ถ้ากลไกไม่ทำงาน เราเป็นบุคคลโดด ๆ ก็ไม่กล้าใช้สิทธิขอข้อมูลข่าวสารเพื่อตรวจสอบคอร์รัปชั่น เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ให้ความร่วมมือ เสียเวลาค่าใช้จ่าย ไม่กล้าฟ้องร้องเรื่องคอร์รัปชั่นเพราะกลัวอำนาจมืด ไม่กล้าว่ากล่าวรถตู้ วินมอเตอร์ไซค์ หาบเร่แผงลอยรุกล้ำเกินเลย ผู้มีอำนาจรุกป่า ชายหาด ชายน้ำ ลำคลอง ฯลฯ เพราะกลัวถูกรุมซ้อมหรือยิงทิ้ง ที่บ้านเรามีปัญหาชุมนุมประท้วงมาเกือบตลอด 30 ปี นับจากเหตุการณ์พฤษภาคม ก็เพราะสาเหตุที่กลไกต่าง ๆ ดังกล่าวไม่ทำงานและเสื่อมทรามเลวร้ายลงเรื่อย ๆ
การที่คนไทยไม่มีลักษณะเป็นปัจเจกบุคคลที่หวงแหนสิทธิ เคารพเสรีภาพ ก็เพราะการด้อยอำนาจ จึงมีคติหรือค่านิยมที่เป็นเบี้ยล่าง เป็นข้า เป็นบ่าว ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของเจ้านาย ดังคติ “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย” และ “ข้าคับแค้นแสนประดาษในชาตินี้ ไม่มีที่พึ่งพาอนาโถ ทั้งสิ้นทุนสูญขาดญาติโย เที่ยวเซโซบัดสีนี่กระไร” ต้องหาที่พึ่งพาผู้อุปถัมภ์เพื่อการอยู่รอดมาทุกยุคสมัย
การตกเป็นเบี้ยล่างในเครือข่ายอุปถัมภ์จึงทำให้ตัวตน วิถีชีวิตของชาวบ้าน เป็นเสมือนของเล่นเชิงนโยบายของรัฐไทยและผู้กำหนดนโยบายมาตลอด เช่นถูกมองเป็นที่มาของปัญหาของการซื้อเสียง เป็นสภาวะป่าเถื่อนล้าหลังต้องพัฒนา ต่อมาก็ถูกมองเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีชีวิตที่สมถะเรียบง่าย ประเพณีวัฒนธรรมที่มีค่า ฯลฯ ส่วนในทางการเมืองก็ถูกมองเป็นฐานเสียง เป็นตลาดของสินค้าประชานิยม
 ฉะนั้นการแก้ปัญหาคนจึงไม่ใช่การมาถกเถียงประเด็นกฎหมายอย่างเดียว เพราะถึงที่สุดแล้วก็คือการปฏิรูปการเมือง กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายและอื่น ๆ ของประเทศ ซึ่งสังคมไทยพูดกันจริงจังเกือบ 30 ปีแล้ว มีการชุมนุมใหญ่ ประท้วงใหญ่ จนถึงการปฏิวัติรัฐประหารหลายหน ครั้งแรกคือการเกิดพลังสีเขียวกดดันให้มีการลงมติทางรัฐสภาเพื่อให้มีการปฏิรูปและเกิดรัฐธรรมนูญปี 2540 ขึ้น ส่วนช่วงต่อมาเป็นการชุมนุมที่เริ่มยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับจนเกิดรัฐประหาร 2549 และรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้น การชุมนุมมวลมหาประชาชน 2-3 ล้านคน เกิดรัฐประหาร 2557 และกำลังร่างรัฐธรรมนูญ 2559 อยู่ในปัจจุบัน แต่ปัญหาก็ยังหนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

คสช. ยังไม่ได้ปฏิรูปประเทศ และมีแนวโน้มไม่สำเร็จ แต่ยังไม่สายสำหรับการเริ่มปฏิรูป
พลเอกประยุทธ์กล่าวแบบใช้สามัญสำนึกว่า การปฏิรูปมีหลายด้านมาก เป็นเรื่องยากต้องใช้เวลา 
10-20 ปี จึงจะสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องถูกต้อง กล่าวโดยสามัญสำนึกเช่นกันเราเห็นว่าการปฏิรูปใช้องค์ประกอบ 4 อย่างคือ (1) ความรู้เรื่องการปฏิรูป (2) บุคลากรที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูป (3) ความมุ่งมั่น เจตจำนง (political will) ที่จะทำการปฏิรูป (4) ศาสตร์และศิลป์ในการปฏิรูป
สองข้อแรกกล่าวได้ว่าเรามีพร้อม เพราะได้มีการเคลื่อนไหวชุมนุม มีการศึกษาหลายชุด เช่น ของ สกว. ในปี 2538 ของนายอานันท์ ปันยารชุน ปี 2553 สมัชชาเพื่อการปฏิรูปของ นพ. ประเวศ วะสี ปี 2553-2556 เป็นต้น ส่วนความมุ่งมั่นในการปฏิรูปอาจมีปัญหาโดยเฉพาะในส่วนผู้นำ เพราะรัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่เต็มใจทำ เพราะขัดผลประโยชน์ตัวเอง และอ้างว่าการเป็นรัฐบาลเลือกตั้งหรือรัฐบาลผสมอ่อนแอ ไม่สามารถทำภารกิจใหญ่คือการปฏิรูปได้ ส่วนผู้นำทางทหารนั้นแม้จะมีความพร้อมเรื่องอำนาจ ก็กระอักกระอ่วนที่จะนำพาการปฏิรูปเพราะ (ก) ทหารไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะตัดสินว่าควรจะปฏิรูปอะไร อย่างไร (ข) ไม่ได้เชื่อมโยงบุคลกรวงการต่าง ๆ กว้างขวางพอจะเลือกใช้ได้อย่างวางใจ (ค) มองว่าเป็นปัญหาใหญ่ ต้องใช้เวลายาวนานเกินกว่าที่ทหารจะรับผิดชอบได้ และ (ง) กองทัพก็อยู่ในระบบราชการที่จะถูกกระทบจากการปฏิรูปเช่นกัน แม้จะไม่ใช่ระดับเข้มข้นเท่าพรรคการเมืองหรือตำรวจ ในที่สุดทหารก็จะหมดกำลังใจที่จะทำการปฏิรูปได้
ส่วนในข้อวิธีการ ศาสตร์และศิลป์ของผู้นำในการปฏิรูป ผมเชื่อว่านักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทั่วไปบอกได้ว่าควรจะปฏิรูปอะไร แต่บอกไม่ได้ว่าจะปฏิรูปอย่างไร ศึกษาจากประวัติศาสตร์บอกเราว่า การปฏิรูปของทุกประเทศที่สำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากบุคคลธรรมดา แต่เกิดจากขบวนการของคนทั้งสังคม แต่ก็มักมีบุคคล คณะบุคคล ระดับประวัติศาสตร์หรือรัฐบุรุษเป็นผู้นำ เช่น คณะปฏิรูปเมจิของญี่ปุ่น การปฏิรูปด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต่อต้านคอร์รัปชั่น ต่อต้านการผูกขาด ฯลฯ ในยุคชุบทองของอเมริกา มีผู้นำหลายคน เช่น รูสเวลท์ นักธุรกิจอุตสาหกรรม เช่น ร็อกกี้เฟลเลอร์ คาร์เนกี นักปฏิรูปธุรกิจและสังคม เช่น มิแนรวา 
ทาร์เบลล์ กลุ่ม Muckraker ที่ขุดคุ้ยทุจริตนักการเมืองและกลุ่มธุรกิจ ฯลฯ 
ส่วนในบางประเทศเป็นผลงานของบุคคลที่เป็นผู้นำโดดเด่น ใช้ความมุ่งมั่น ความมีศิลปะในการใช้บุคลากร ทรัพยากร การเลือกวิธีการ เป้าหมาย และการใช้อำนาจที่ตนเองมีในแต่ละขั้นแต่ละตอน เช่น เดอโกลของฝรั่งเศส รัชกาลที่ 5 และจอมพลสฤษดิ์ (มิได้หมายถึงการยกย่องว่าจอมพลสฤษดิ์เป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรมที่ดี) ซึ่งศาสตร์และศิลป์ดังกล่าวทำให้ประชาชน ข้าราชการ นักธุรกิจ เชื่อมั่นคล้อยตาม ทำให้อุดมคติ ความคิด ค่านิยมที่รักชาติ รักประชาธิปไตย มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ปักหลัก เป็นการปฏิรูปที่ถาวรของประเทศได้ ปัญหาจึงอยู่ที่คณะ คสช. โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ ว่าจะคาดหวังบทบาทฐานะของตัวเองอย่างไร

ข้อเสนอการปฏิรูปในบางประเด็นที่เกี่ยวกับคนจน
 นักวิชาการเสนอประเด็นปฏิรูปได้ แต่เสนอว่าทำอย่างไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจ จึงไม่สามารถประเมินผล ไม่สามารถปรับเปลี่ยนผลักดันให้ถูกจุดได้ มีข้อเสนอคร่าว ๆ ไม่กี่ประเด็นดังต่อไปนี้
 1. ปัญหาภัยพิบัติของชาติ เช่น น้ำท่วมภัยแล้ง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดซ้ำซ้อนติดต่อกัน ทั้งที่เรามีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญและความรู้อยู่เต็มเปี่ยม มีคณะกรรมการระดับชาตอที่ดูแลเรื่องน้ำอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่จุดใด การใช้อำนาจผิด ๆ ของนักการเมือง การขาดประสิทธิภาพผูกขาดอำนาจของข้าราชการิการใช้ความรู้วิธีทำงานผิด ๆ ของนักวิชาการ? นายก ฯ ควรใช้อำนาจของตนตั้งกรรมการยุทธศาสตร์ระดับชาติที่นำเสนอข้อมูล คำแนะนำที่เป็นอิสระ โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง สอบถาม รับฟังความเห็นจากสาธารณะเป็นประจำ
 2. ปัญหาทรัพยากรสำคัญของประเทศ ตั้งแต่ พลังงาน น้ำ ไฟ ลม อากาศ บก ทะเล ซึ่งนับวันจะทวีคุณค่ามากขึ้น เรายังไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ หรือสังคมเกิดความเชื่อถือได้เลย เช่น การประมูลคลื่นความถี่
ของ กสทช. ที่ผ่านมา ได้ราคาประมูลสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีข้อกำชับจากศาลปกครอง และมีหน่วยงานอิสระ TDRI เข้าไปช่วยเสนอแง่คิดและวิธีการใหม่ ๆ จึงสร้างข้อแคลงใจว่าที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐทำชาติสูญเสียประโยชน์ไปมากน้อยเพียงไร มีการสมคบคิดเอื้อผลประโยชน์แก่เอกชนหรือไม่ ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายต่าง ๆ ก็เป็นกลไกรัฐที่มีความเฮงซวยเป็นลำดับสองของประเทศ เพราะคุมวงเงินรวมกันเกือบล้านล้านบาท แต่ไม่เคยมีงานวิจัยของตัวเองหรืองานวิจัยที่น่าเชื่อถือได้นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าท่านได้ปกปักรักษา หรือดำเนินงานเพื่อประโยชน์สูงสุดในทรัพยากรที่ท่านรับผิดชอบอยู่หรือไม่
 3. สิ่งที่เฮงซวยเป็นลำดับหนึ่งของประเทศ คือ ระบบคมนาคมขนส่งโดยรวมของประเทศ ซึ่งหลังจากวางรากฐานมาดีพอสมควรตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เมื่อเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจก็ผิดทิศผิดทางมาตลอด หัวใจของข้อผิดพลาดก็คือ ไม่ได้มุ่งรับใช้ภาคสาธารณะหรือประชาชน แต่รับใช้ความต้องการทางเศรษฐกิจของทุนอุตสาหกรรม มุ่งสร้างคนเพื่อสนองธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ นายทุนธุรกิจก่อสร้างของนักการเมือง อุตสาหกรรมรถยนต์ภายในและนอกประเทศ การขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟ รถเมล์ จึงถูกทอดทิ้ง จังหวัดส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีระบบรถเมล์หรือรถสาธารณะที่ดีหรือเพียงพอ เกือบไม่มีบริการขนส่งสาธารณะที่จะให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติ แหล่งประวัติศาสตร์ สวนสาธารณะ ในบ้านเราเลย ไม่มีการเชื่อมต่อแบบบูรณาการระหว่างรถไฟ รถเมล์ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน สนามบินกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด ที่มีมาตรฐานพอ งานด้านนี้ซูเปอร์บอร์ดที่ คสช. ตั้ง น่าจะรื้อแผนต่าง ๆ มาปรับปรุงได้ 
 4. ประเด็นสุดท้าย คือ ปัญหาความมั่นคงของประเทศไทยในสถานการณ์โลก ซึ่งจะทวีความเข้มข้นซับซ้อน ซึ่งผู้เขียนพิจารณาว่าจะเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของประเทศในอนาคต การปฏิรูปในมิตินี้โดยหลักคิดการระดมสรรพกำลัง ความรู้ความคิดที่เหมาะสมในระดับชาติ เพื่อศึกษาขบคิดแนวทาง นโยบาย ปัญหานี้ มากกว่าจะให้เป็นภาระผูกขาดของกระทรวงต่างประเทศหรือสภาความมั่นคงแห่งชาติแต่ฝ่ายเดียว
 หัวใจสำคัญที่สุดของการปฏิรูปก็คือการส่งเสริม สนับสนุน สร้างเครือข่ายกลไกอำนาจ และค่านิยมความรับผิดชอบของภาคสังคมและชุมชนขึ้นมา เพื่อถ่วงดุลกับการใช้อิทธิพลอำนาจเกินขอบเขตกติกาของทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มอิทธิพล การแก้ปัญหาหาบเร่แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ ได้อย่างยั่งยืนนั้น แก้ได้โดยอำนาจของชุมชนและการปกครองท้องถิ่น โดยไม่จำเป็นต้องใช้การรัฐประหารหรือมาตรา 44 แต่อย่างใด
 นอกจากนี้หัวใจของการปฏิรูปอื่น ๆ ก็ต้องเน้นการบริการชาวบ้านและภาคสาธารณะเป็นมิติที่ขาดไม่ได้