"อภิสิทธิ์"
ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตีความ ม.44 พรรค ชี้ขัดรธน.ละเมิดสิทธิปัดก่อปัญหา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค
และนายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ
นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในคำสั่งที่
53/2560 เรื่อง
การดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2560
โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ปลดล็อคทางการเมือง
แต่อนุญาตให้พรรคการเมืองใหม่หาสมาชิกพรรคได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 ทั้งนี้ แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 279 จะรองรับสถานะตามคำสั่ง คสช. แต่ในข้อเท็จริง คำสั่งนี้ ได้ละเมิดสิทธิของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ
ในมาตรา 26 มาตรา27 และมาตรา45 อีกทั้งไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 77
ที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในการออกกฎหมาย รวมถึงมาตรา 132(2) เรื่องการตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การร้องเรียนครั้งนี้
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างปัญหาทางการเมืองให้แก่ผู้ออกคำสั่งแต่อย่างใด
แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
เพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนและสมาชิกพรรคทุกคนที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้
ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมจากการตรากฎหมาย
@@
“มาร์ค”
เผยมีพรายกระซิบเรื่องมีคนอยากเลื่อนเลือกตั้งก่อน กมธ.ส.ส.เสนอ 2
สัปดาห์ แต่ไม่อยากพูดก่อน หวั่นกระทบการทำงาน
โวยปัญหาไม่ได้อยู่ที่ กม.ส.ส.-พรรคการเมือง แต่อยู่ที่คสช.ไม่ยอมปลดล็อก
ชี้ขยายเวลา 90 วัน พรรคใหม่ได้ประโยชน์ คสช.-สนช.อยู่นาน
(22ม.ค.61) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ให้สัมถาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วัน
หลังจากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า ตนทราบเรื่องนี้มาล่วงหน้า 2 สัปดาห์แล้ว เพราะมีคนมากระซิบบอกว่า
เขาอยากจะเลื่อนเลือกตั้งโดยวิธีดังกล่าว ตนจึงบอกคนที่มากระซิบข่าวนี้ว่า
เป็นไปไม่ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญบังคับใช้ให้มีผลใน 150 วัน
แต่พอมาเปิดรัฐธรรมนูญดูในภายหลังก็พบความจริงว่า
มีการระบุว่าให้นับจากวันบังคับใช้ ไม่ได้นับจากวันประกาศราชกิจจานุเบกษา
ตนจึงเชื่อคนที่มากระซิบบอกข่าวว่าเรื่องนี้คงจะจริง แต่ตนไม่กล้าจะพูดอะไรก่อน
เพียงแต่เข้าใจว่าฝ่ายที่อยากเลื่อนการเลือกตั้งออกไปคงจะหาช่องทาง แล้วเขาก็พบช่องทางนี้
“ถ้ามีคนถามว่าผมรู้ล่วงหน้ามา 2
สัปดาห์แล้วทำไมถึงไม่พูด ก็เพราะว่าไม่ได้มีใครมาถาม
ซึ่งผมจะไปพูดก่อนก็ไม่ได้
เดี๋ยวจะเป็นการกล่าวหาการทำงานของเขาทั้งที่ยังไม่มีมูล
แต่ผมยืนยันว่ามีพยานที่ฟังอยู่ด้วย และก็ไม่ทราบว่าคณะกรรมาธิการฯทราบมานานแค่ไหนว่ามีช่องทางนี้เพื่อเลื่อนเลือกตั้ง
เพราะที่ผ่านมาหากมีการพูดถึงการเลื่อนเลือกตั้งก็จะมองว่าอาจจะมีกฎคว่ำกฎหมายหรือไม่
ไม่เคยมีใครพูดถึงช่องทางนี้ แต่พอมีคนมากระซิบข่าวบอกผม
แล้วผมมาดูรัฐธรรมนูญก็พบว่ามีช่องทางนี้อยู่จริงๆ เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าขั้นตอนนี้ไม่น่าจะเป็นขั้นตอนตามปกติในการพิจารณากฎหมาย
ซึ่งพอมีข่าวเรื่องนี้มาก็มีคนออกมาปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามข่าวที่ออกมา
จึงมีขั้นตอนที่ผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติอยู่หลายอย่าง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า
ส่วนเหตุผลที่คณะกรรมาธิการฯให้มาจะเห็นได้ว่า ไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส.
แต่จะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
ในเรื่องของการไม่ปลดล็อกมากกว่าที่จะมาอ้างเรื่องการทำไพรมารีโหวตทันหรือไม่ทัน
ซึ่งความจริงถ้าห่วงพรรคการเมืองว่าจะทำไม่ทันจริงๆ ก็รีบปลดล็อกตั้งแต่ตอนนี้
ปัญหาขณะนี้ก็เพราะว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจยังไม่ปลดล็อก
ดังนั้นทั้งหมดจึงไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส. หรือ พ.ร.ป.พรรคการเมือง
แต่มันพัวพันอยู่กับการไม่ปลดล็อก ทั้งหมดเป็นเรื่องการตัดสินใจของ คสช.ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของ
สนช. แต่สำหรับ คสช.หากประสงค์อย่างใดก็สามารถแก้ไขและทำได้
เมื่อถามว่าการยืดเวลาออกไปอย่างน้อย 90 วัน ใครได้ประโยชน์
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนมองว่าเสียงร้องว่ามีปัญหามาจากผู้ที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่
ส่วนตัว คสช.และ สนช.ก็อยู่นานขึ้นซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ซึ่งการอยู่นานขึ้นจะดีขึ้นหรือเลวลงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารงาน อย่างไรก็ตาม
มีการมองว่าขณะนี้มีฝ่ายที่อาจจะทำให้การเมืองยังไม่สงบ คสช.จึงไม่ยอมปลดล็อก แต่
คสช.ก็ไม่เคยพูดออกมาให้ชัดว่าเป็นคนกลุ่มไหนอย่างไร
ซึ่งเท่าที่ตนมองนั้นไม่เห็นว่าการยืดเวลาออกไปจะเกิดประโยชน์หรือแก้ปัญหานี้ได้เลย
ในทางตรงข้ามการเลื่อนออกไปแบบไม่มีความชัดเจนกลับกลายเป็นว่าจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้มีความขัดแย้งวุ่นวาย
เพราะถ้าการเลื่อนเลือกตั้งครั้งนี้นำไปสู่ผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมือง
จะอันตรายมาก เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามจะขจัดออกไปโดยการปฏิรูป ดังนั้น
ถ้าไม่มีการให้ชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนว่าการเลื่อนเลือกตั้งจะมีผลประโยชน์กับส่วนรวมอย่างไรบ้าง
ก็จะมีคำถามจากสังคมอีกเป็นร้อยคำถาม
ส่วนที่คณะกรรมาธิการฯมีการแก้ไขให้มีการหาเสียงโดยใช้มหรสพได้นั้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนแปลกใจว่าทำไมถึงกลับมาแนวทางนี้อีก
ทั้งที่อยากให้ประชาชนทราบแนวคิดและนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งอย่างสุจริต
เที่ยงธรรม ทั้งนี้ การใช้มหรสพมีการห้ามมานานแล้ว เนื่องจากมีการจูงใจ
อาจกลายเป็นช่องทางในการซื้อเสียงอีกรูปแบบหนึ่ง การทำแบบนี้จะเกิดปัญหาตามมาอีกเยอะ
โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายที่ยุ่งยากในการตีมูลค่าพอสมควร
ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
เพราะเชื่อว่าเรามีหลายแนวทางที่จะกระตุ้นให้คนมีความสนใจในการเลือกตั้งมากกว่าการใช้มหรสพ
///
(22 ม.ค.)นายสมชัย ศรีสุทธิยากร
กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงข้อเสนอการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไปอีก
90 วัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง
ให้พรรคการเมืองมีความพร้อมมากขึ้น มีเวลาในการเตรียมการมากขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่องการประชุมใหญ่ การทำไพรมารีโหวตซึ่งต้องมีเวลาเพียงพอ ว่า
ตนเห็นว่าความจริงแล้วเป็นตรรกะที่แปลกมากว่าเพื่อประโยชน์พรรคการเมืองและเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม
จึงต้องขยายเวลาอีก 90 วันหากเพื่อให้พรรคการเมืองมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการกิจกรรมต่างๆ
สิ่งที่ง่ายกว่าการขยายเวลาบังคับใช้ในพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.คือ
การปลดล็อกพรรคการเมือง
ให้เขาสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่ว่าไปสัญญาลมๆแล้งๆว่าจะปลดล็อคในเดือนเม.ย.และกำหนดให้ทำกิจกรรมต่างๆอย่างเร่งรีบ
“ปลดล็อกเสียวันนี้ กว่าจะถึงเมษา
ก็ได้เวลาคืนมาเกือบ 3เดือน
และหากตรงไปตรงมาให้พรรคสามารถทำกิจกรรมได้ตั้งแต่
พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 8 ต.ค.ปีที่แล้ว
ก็คงไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากขนาดนี้”นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า หากต้องการทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม
สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างยิ่งคือ ไม่เข้าไปแทรกแซงในกระบวนการสรรหา
กกต.ใหม่ไม่ส่งคนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ใน กกต.ชุดใหม่
ไม่ออกกฎกติกาที่สร้างความได้เปรียบแก่คนของตนเองหรือพรรคที่ประกาศว่าจะสนับสนุนตน
สิ่งที่ดีที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ประกาศว่าพร้อมจะกลับมาใหม่หากประชาชนสนับสนุน
และเลิกทำตัวเป็นนักการเมือง เดินสายหาเสียง เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ
สัญญาณที่บ่งบอกว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยากที่จะบริสุทธิ์ยุติธรรมเพราะฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐและกลไกราชการสนับสนุนทำให้เกิดความได้เปรียบในการเลือกตั้ง
//
จากกรณีวันที่
24 มกราคมนี้ เป็นวันที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด
ได้เรียกผู้ต้องหาในสำนวนคดีพิเศษที่ 261/2556 หรือคดีร่วมกันเป็นกบฏในการชุมนุมของกลุ่ม
กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 53 คน
เป็นผู้ต้องหามาเพื่อรายงานตัวเเละฟังคำสั่งคดี โดยการนัดฟังคำสั่งดังกล่าว
ทางอัยการมีคำสั่งว่าตัวผู้ต้องหาทุกคนจะต้องเดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง
เนื่องจากวันดังนั้นทางอัยการจะมีคำสั่งเลยว่าจะฟ้องผู้ต้องหารายใดเเละข้อหาใดบ้าง
ซึ่งตัวผู้ต้องหาจะต้องมีการเตรียมหลักทรัพย์มาให้พร้อม เพราะหากมีคำสั่งฟ้อง
ทางอัยการจะนำตัวผู้ต้องหาที่มีความเห็นสั่งฟ้องไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาตามที่อัยการได้มีคำสั่ง
ซึ่งอัยการได้เเจ้งว่าหากมีการฟ้องคดีผู้ต้องหาต้องใช้หลักทรัพย์หากประสงค์ในการยื่นประกันตัวนั้น
เมื่อเวลา 16.00น.วันที่ 22 มกราคม
เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)กล่าวว่าในวันที่24มกราคมที่เป็นวันนัดฟังคำสั่งคดีอัยการมีความพร้อมที่จะสั่งคดีเเละไม่มีการเลื่อน
ถ้าผู้ต้องหาเดินทางมาตามที่อัยการนัดก็สามารถจะสั่งคดีได้ทุกคน
ในวันนั้นจะรู้ได้ว่าสั่งฟ้องใครหรือไม่ฟ้องใครในข้อหาใดบ้าง
เเละจะสามารถยื่นฟ้องต่อศาลอาญาได้เลยส่วนผู้ต้องหาที่มีการขอเลื่อนคดีในวันดังกล่าวก็จะมีการพิจารณาเป็นรายๆไปว่ามีเหตุสมควรเลื่อนหรือไม่
ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าในวันดังกล่าวจะสามารถยื่นฟ้องผู้ต้องหาได้เพียง9คนนั้น เป็นเพียงคำร้องของผู้ต้องหาระดับแกนนำ 9 คน
ที่ขอให้ยื่นฟ้องคดีไปก่อน ส่วนผู้ต้องหาคนอื่น
ถ้าไม่มารายงานตัวเราก็จะพิจารณาว่าไม่มาเพราะอะไรหรือถ้าขอเลื่อนมีสาเหตุอะไร มีเหตุผลสมควรพอฟังได้มั้ย
ถ้าไม่มีเหตุผล ทางอัยการก็อาจจะขอหมายจับ ดูเหตุผลเป็นรายๆไป
เเต่ในวันดังกล่าวถ้ามากี่คนเราก็จะฟ้องไปตามจำนวนคนที่มาก่อน

“ทางอัยการมีความพร้อมส่วนผู้ต้องหาจะไปคุยยังไงนั้นอัยการไม่รู้
มีการกำชับไปว่าต้องมาทุกคนเเละมาด้วยตนเอง ถ้าไม่มาต้องเเสดงหลักฐานอะไรมั่ง “แหล่งข่าวจากอสส.กล่าว
เมื่อถามว่าระดับเเกนนำเช่นนายสุเทพ
เทือกสุบรรณ ,นายถาวร
เสนเนียม จะโดนฟ้องข้อหากบฏในวันนั้นหรือไม่ เเหล่งข่าวกล่าวว่า ใช่
ผู้ต้องหาเเต่ละคนย่อมรู้พฤติการณ์อยู่เเล้วว่าโดนข้อหาอะไรบ้างเเละ
ได้ข่าวว่าเเกนนำที่กล่าวดังกล่าวได้ยื่นหนังสือเเจ้งว่าจะมาในวันรายงานตัว
ในวันดังกล่าว
ซึ่งมีรายงานว่าในข้อหากบฏนั้นผู้ต้องหาส่วนใหญ่จะโดนข้อหานี้เกือบทุกคน
เเต่อาจจะมีบางคนที่ไม่โดนเป็นตัวการเเต่เป็นผู้สนับสนุน