PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

“ดำรงค์ พิเดช” งัดประเด็นงาช้างถาม “อภิสิทธิ์”-เทียบนาฬิกา

“ดำรงค์ พิเดช” งัดประเด็นงาช้างถาม “อภิสิทธิ์”-เทียบนาฬิกา


แฟ้มภาพ
เมื่อวันที่ 22 ม.ค. นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ขณะนี้ว่า บ้านเมืองเราวันนี้มีความคิดเห็นของนักการเมืองต่างๆ มากมาย เพราะ คสช.ใจดี น่าสังเกตว่ามีพรรคการเมืองใหญ่ออกมาพูดจาอย่างน่าผิดสังเกต โดยเฉพาะเรื่อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กับนาฬิกาหรู ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของขบวนการมุ่งล้มบุคคล เรื่องนาฬิกานั้น ขอเปรียบเทียบให้เห็นว่า ในแวดวงคุณหญิงคุณนายมีการหยิบยืมตุ้มหูต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ในแวดวงข้าราชการมีการหยิบยืมรถราต่างๆ มาใช้ รถเบนซ์รถดีๆ ยืมกันเป็นธรรมดา ตนเองก็ยืมรถเพื่อนมาขับ เวลาที่รถส่วนตัวเสีย เป็นเรื่องธรรมดา จึงเห็นว่าการหยิบยืมกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เอามาตีเป็นประเด็นกัน ทำให้เกิดสับสน อ้างอิงมาตรฐานจรรยาบรรณสูง แต่ลืมดูตัวเองบางคน ยกตัวอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รู้สึกว่าจะรีบร้อนมากเกินไป ความจริงเรื่องการตรวจสอบ เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. อีกทั้งตามคำชี้แจง ก็ชัดว่าไม่ใช่คนให้มาหรือไปปล้นใครมา พล.อ.ประวิตรบอกว่าเป็นการยืม ยืมกันใช้เป็นปกติ
นายดำรงค์กล่าวต่อไปว่า การให้กับการยืมนั้นไม่เหมือนกัน การให้นั้น มีการรับมอบเป็นสมบัติส่วนตัว อยากย้อนเหตุการณ์โด่งดังของนายอภิสิทธิ์ กับกรณีงาช้างที่บุรีรัมย์ มีคนให้งาช้าง แล้วก็รับมาครอบครอง แล้วถึงนำกลับไปคืน ลองไปดูกฎหมาย ป.ป.ช.ว่าความผิดสำเร็จแล้วหรือไม่ เรื่องงาช้างเป็นการรับของมา คนระดับนายกฯไม่รู้หรือว่างาช้างกิโลกรัมละกี่บาท คู่ละกี่แแสน แค่งาเทียมคู่ละเกือบหมื่นบาท แต่คราวนั้นเป็นงาช้างแท้ มอบให้ต่อหน้าสาธารณชน อาจจะพูดได้ว่าไม่มีเจตนา แต่ในแง่กฎหมายทำอย่างนั้นไม่ได้ ตนจึงบอกว่าในเรื่องนาฬิกา นายอภิสิทธิ์รีบร้อนมากเกินไป ในแง่การเมืองคิดได้หลายแบบ แล้วแต่มุมมองของแต่ละพรรค แตกต่างกันไป แต่หัวหน้าประชาธิปัตย์รีบร้อนมากไป สมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็มีคดีร้องเรียนถึง ป.ป.ช.มากมาย เรื่องแป้งมัน เรื่องโรงพัก ก็ไม่เห็นว่านายอภิสิทธิ์จะลาออก แล้วที่ให้สัมภาษณ์ถึงลูกพรรคลาออก ก็เป็นการพูดเหมือนดูดี แต่พูดไม่หมด กรณีนั้นเป็นเรื่องทุจริต แต่เรื่องนาฬิกาเขาต่อสู้กันอยู่ว่าเรื่องยืม จึงยังต่างกันมาก
นายดำรงค์กล่าวอีกว่า กรณีนี้ พล.อ.ประวิตรได้ทำเรื่องตอบ ป.ป.ช.ไปแล้ว ชี้แจงไปแล้ว เพียงแต่ ป.ป.ช.ยังไม่สรุป ยังไม่เปิดออกมา ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อน ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ พล.อ.ประวิตรในวันนี้ แต่ในอดีตสมัยที่เป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ได้ทำงานร่วมกับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นประธานมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ตนเองทำงานเรื่องป่า ได้อาศัยกำลังทหารมาช่วยปราบปรามปกป้องป่า เลยได้รู้จักกับ พล.อ.ประวิตร เห็นในขณะนั้นว่าทำเพื่อประเทศชาติ รู้สึกชอบอกชอบใจกันในเรื่องปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เห็นว่ามีความตั้งใจดี แต่ขณะนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน เพียงแต่การเมืองวันนี้ ตนอยากให้สงบ เพื่อจะได้เลือกตั้ง พรรคทวงคืนผืนป่าของตนนั้น ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพล.อ.ประวิตรแต่อย่างใด พรรคนี้เป็นพรรคเล็ก ทำเรื่องทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียว ทำในเรื่องที่รู้อย่างเดียว คงไม่มีใครสนใจมาสนับสนุน

ขุดรากถอนโคน!ปปง.อายัดทรัพย์‘เสี่ยเปี๋ยง’เพิ่มอีก527ล.คดีโกงจีทูจี

ขุดรากถอนโคน!ปปง.อายัดทรัพย์‘เสี่ยเปี๋ยง’เพิ่มอีก527ล.คดีโกงจีทูจี
วันอังคาร ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561, 17.52 น.
ขุดรากถอนโคน! ปปง.อายัดทรัพย์สิน‘เสี่ยเปี๋ยง’เพิ่มอีกกว่า 527 ล้านบาท คดีโกงจีทูจี
23 ม.ค. 61 พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รองเลขาธิการ ปปง. ในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการปปง. เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสำนักงาน ปปง. ได้รับหนังสือจากคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่องร้องเรียน กรณีให้ตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตงบประมาณจำนำข้าว และหนังสือ จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน กรณีมีการทุจริตจากนโยบายการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จี ทู จี การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการทุจริต ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(5)
“คดีนี้ คณะกรรมการธุรกรรมและเลขาธิการ ปปง. ได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สิน นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง กับพวก ไปแล้ว จำนวน 10 คำสั่ง รวมทรัพย์สินที่อายัดไปแล้วทั้งสิ้น 2,323 รายการ รวมมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 23 ม.ค.61 ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินเพิ่มอีก 180 รายการ รวมมูลค่ากว่า 518,803,421 บาท พร้อมดอกผล ไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ” พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ กล่าว

กรณีศึกษา Public figure "ป้อม" นาฬิกายืมเพื่อน

กรณีศึกษา Public figure
"ป้อม" นาฬิกายืมเพื่อน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนระดับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือบิ๊กป้อมจะกล้าหาญถึงกับอธิบายเหตุผลที่มาของการครอบครองนาฬิกาหรูทั้ง 24 เรือน ที่เพจ ซีเอสไอแอลเอ ตรวจค้นพบว่า ล้วนเป็นนาฬิกาของเพื่อนทั้งสิ้น และได้คืนไปหมดแล้ว รวมทั้งปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนที่แสนดี ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่ผ่านมา

คล้ายจะบอกว่า เมื่อคืนนาฬิกาแล้ว ทุกเรื่องก็ควรจบ ป.ป.ช.ก็ไม่ต้องตรวจสอบอีก แต่คำถามคือ การอ้างเหตุผลเลื่อนลอยเช่นนั้น เพียงพอหรือไม่สำหรับ ป.ป.ช. และจะไม่มีการตรวจสอบต่อไปเลยหรือว่า บรรดาเพื่อนๆผู้ใจดีที่ให้นาฬิกาแพงๆ ให้เพื่อนใช้ มีตัวตนหรือไม่

มีหลักฐานการซื้อขายนาฬิกา ซึ่งปกติราคาระดับนี้ จะต้องมีเอกสารยืนยันการซื้อขายหรือไม่ บิ๊กป้อม ควรเข้าใจว่าชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบ เรื่องนี้เขาจะมองไม่ออกหรืออย่างไรว่า นาฬิกาที่แท้จริงเป็นของใคร

หากคำถามเรื่องอุทยานราชภักดิ์ จะมีส่วนในการที่พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ชื่อหล่นหายไปจากการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด

เรื่องราวของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวพัวพันกับบรรดาบุคคลที่อ้างชื่อเขาไปทำมาหากิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็สมควรได้รับการพิจารณาว่ายังมีความโปร่งใส ชัดเจน ซื่อตรง วางใจได้ที่จะยังคงอยู่ในตำแหน่งหรือไม่

นี่เป็นความน่าสงสัยว่า เหตุใดจึงมีแต่ชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปพัวพันกับเรื่องเช่นนั้น ในขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ตอบคำถามไม่ได้เช่นกันว่า เหตุใดชื่อของเขา จึงถูกบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นคนใกล้ชิดเอาไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ไม่หยุดหย่อน

เมื่อพฤติกรรมแวดล้อมมองเห็นเป็นสีเทาๆ ประกอบกับกระแสข่าวนาฬิการิชาร์ด มิลล์ จนกระทั่งถึงนาฬิกาอีก 24 เรือน และแหวนเพชรเม็ดงาม ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นการปกปิดทรัพย์สิน อันเข้าข่ายต้องถูกศาลฏีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาความเหมือนเช่นนักการเมืองหลายคนก่อนหน้านี้ จึงเป็นประเด็นสาธารณะที่ต้องตรวจสอบกันอย่างละเอียด ถี่ถ้วน

โดยเฉพาะเมื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างเหตุผลเลื่อนลอยว่า นาฬิกายืมเพื่อนมา ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่บรรดานักสืบออนไลน์สืบค้น เสาะแสวงหาข้อเท็จจริงมา พบภาพนาฬิกาเรือนริชาร์ด มิลล์ เรือนนี้ผูกไว้กับข้อมือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มายาวนาน อาจนานย้อนไปจนถึงวันที่เขา ดำรงตำแห่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

น่าสนใจว่า บุคคลผู้นี้ มีอำนาจ มีบารมี มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทุกฝ่าย แม้จะเป็นนักการเมืองต่างขั้ว
อีกทั้งในบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน ก็คงไม่มีใครเป็นรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ นับจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อำนาจบารมี ที่ทำให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ อยู่ยงคงกระพัน ตัดไม่ได้ ขายไม่ขาด แม้การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้าย กระแสการปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจากตำแหน่งก็แรงไม่น้อยไปกว่าการปรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เพื่อนรักพล.อ.ประยุทธ์ เลย

นอกจากเรื่องน้องเนย ที่พูดโดยไม่ผ่านสมองแล้ว ย้อนไปเมื่อ 29 กันยายน 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เสนอคำถามต่อสังคม โดยเขา พร้อมคณะกว่า 38 คน ได้เดินทางไปเมืองฮอนโนลูลู มลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมประชุม รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ หรือ ASEAN -US Defense Informal Meeting เพื่อพิจารณาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

และหารือด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางทะเลจีนใต้ พร้อมชมการสาธิตและภารกิจของกองกำลังสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสันติสุขในภูมิภาค โดยมีการเผยแพร่เอกสารการรับจ้างขนส่งคนโดยสารทางอากาศโดยเครื่องบินพาณิชย์ (เช่าเหมาลำ) ของคณะดังกล่าวที่มีค่าใช้จ่ายถึง 20 ล้านบาท

ในฐานะ “บุคคลสาธารณะ” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ควรได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นทั้งในหน้าที่การงาน ซึ่งพัวพันกับเรื่องส่วนตัว และความไม่โปร่งใสในกรณีนาฬิกายืมเพื่อน อีกทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สมควรเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของบุคคลสาธารณะ

ซึ่งหากข้ออ้างทั้งสองเรื่องไม่มีน้ำหนักเชื่อถือได้ ก็นับว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่รับราชการมาทั้งชีวิต ไม่มีกิจการค้าอันใดที่จะแสดงให้เห็นทรัพย์สินเงินทองในการซื้อของใช้ราคาแพงเพียงเพื่อประดับบารมี น่าจะมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ

และหากเขามีมาตรฐานทางจริยธรรมสูงพอ ทางเดียวที่จะทำให้ความเชื่อถือยังพอหลงเหลืออยู่ คือลาออกจากตำแหน่งเสีย ไม่ต้องอ้างเหตุผลให้ รอ ป.ป.ช.ตัดสินความ เพราะถึงเวลานั้น บิ๊กป้อมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผุยผงอยู่ที่ไหนแล้ว

"อภิสิทธิ์" ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตีความ ม.44 พรรค ชี้ขัดรธน.ละเมิดสิทธิปัดก่อปัญหา



"อภิสิทธิ์" ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตีความ ม.44 พรรค ชี้ขัดรธน.ละเมิดสิทธิปัดก่อปัญหา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค และนายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในคำสั่งที่ 53/2560 เรื่อง การดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2560 โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ปลดล็อคทางการเมือง แต่อนุญาตให้พรรคการเมืองใหม่หาสมาชิกพรรคได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 ทั้งนี้ แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 279 จะรองรับสถานะตามคำสั่ง คสช. แต่ในข้อเท็จริง คำสั่งนี้ ได้ละเมิดสิทธิของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 26 มาตรา27 และมาตรา45 อีกทั้งไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 77 ที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในการออกกฎหมาย รวมถึงมาตรา 132(2) เรื่องการตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การร้องเรียนครั้งนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างปัญหาทางการเมืองให้แก่ผู้ออกคำสั่งแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนและสมาชิกพรรคทุกคนที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมจากการตรากฎหมาย
@@
มาร์คเผยมีพรายกระซิบเรื่องมีคนอยากเลื่อนเลือกตั้งก่อน กมธ.ส.ส.เสนอ 2 สัปดาห์ แต่ไม่อยากพูดก่อน หวั่นกระทบการทำงาน โวยปัญหาไม่ได้อยู่ที่ กม.ส.ส.-พรรคการเมือง แต่อยู่ที่คสช.ไม่ยอมปลดล็อก ชี้ขยายเวลา 90 วัน พรรคใหม่ได้ประโยชน์ คสช.-สนช.อยู่นาน

(22ม.ค.61) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมถาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วัน หลังจากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า ตนทราบเรื่องนี้มาล่วงหน้า 2 สัปดาห์แล้ว เพราะมีคนมากระซิบบอกว่า เขาอยากจะเลื่อนเลือกตั้งโดยวิธีดังกล่าว ตนจึงบอกคนที่มากระซิบข่าวนี้ว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญบังคับใช้ให้มีผลใน 150 วัน แต่พอมาเปิดรัฐธรรมนูญดูในภายหลังก็พบความจริงว่า มีการระบุว่าให้นับจากวันบังคับใช้ ไม่ได้นับจากวันประกาศราชกิจจานุเบกษา ตนจึงเชื่อคนที่มากระซิบบอกข่าวว่าเรื่องนี้คงจะจริง แต่ตนไม่กล้าจะพูดอะไรก่อน เพียงแต่เข้าใจว่าฝ่ายที่อยากเลื่อนการเลือกตั้งออกไปคงจะหาช่องทาง แล้วเขาก็พบช่องทางนี้
ถ้ามีคนถามว่าผมรู้ล่วงหน้ามา 2 สัปดาห์แล้วทำไมถึงไม่พูด ก็เพราะว่าไม่ได้มีใครมาถาม ซึ่งผมจะไปพูดก่อนก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการกล่าวหาการทำงานของเขาทั้งที่ยังไม่มีมูล แต่ผมยืนยันว่ามีพยานที่ฟังอยู่ด้วย และก็ไม่ทราบว่าคณะกรรมาธิการฯทราบมานานแค่ไหนว่ามีช่องทางนี้เพื่อเลื่อนเลือกตั้ง เพราะที่ผ่านมาหากมีการพูดถึงการเลื่อนเลือกตั้งก็จะมองว่าอาจจะมีกฎคว่ำกฎหมายหรือไม่ ไม่เคยมีใครพูดถึงช่องทางนี้ แต่พอมีคนมากระซิบข่าวบอกผม แล้วผมมาดูรัฐธรรมนูญก็พบว่ามีช่องทางนี้อยู่จริงๆ เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าขั้นตอนนี้ไม่น่าจะเป็นขั้นตอนตามปกติในการพิจารณากฎหมาย ซึ่งพอมีข่าวเรื่องนี้มาก็มีคนออกมาปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามข่าวที่ออกมา จึงมีขั้นตอนที่ผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติอยู่หลายอย่างนายอภิสิทธิ์กล่าว
https://ads6.matichon.co.th/www/delivery/lg.php?bannerid=55&campaignid=56&zoneid=22&loc=https%3A%2F%2Fsakdaper.blogspot.com%2F&referer=https%3A%2F%2Fwww.blogger.com%2Fblogger.g%3FblogID%3D1800157612540760722&cb=455b62b6c9
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเหตุผลที่คณะกรรมาธิการฯให้มาจะเห็นได้ว่า ไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส. แต่จะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในเรื่องของการไม่ปลดล็อกมากกว่าที่จะมาอ้างเรื่องการทำไพรมารีโหวตทันหรือไม่ทัน ซึ่งความจริงถ้าห่วงพรรคการเมืองว่าจะทำไม่ทันจริงๆ ก็รีบปลดล็อกตั้งแต่ตอนนี้ ปัญหาขณะนี้ก็เพราะว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจยังไม่ปลดล็อก ดังนั้นทั้งหมดจึงไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส. หรือ พ.ร.ป.พรรคการเมือง แต่มันพัวพันอยู่กับการไม่ปลดล็อก ทั้งหมดเป็นเรื่องการตัดสินใจของ คสช.ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของ สนช. แต่สำหรับ คสช.หากประสงค์อย่างใดก็สามารถแก้ไขและทำได้
เมื่อถามว่าการยืดเวลาออกไปอย่างน้อย 90 วัน ใครได้ประโยชน์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนมองว่าเสียงร้องว่ามีปัญหามาจากผู้ที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ส่วนตัว คสช.และ สนช.ก็อยู่นานขึ้นซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งการอยู่นานขึ้นจะดีขึ้นหรือเลวลงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารงาน อย่างไรก็ตาม มีการมองว่าขณะนี้มีฝ่ายที่อาจจะทำให้การเมืองยังไม่สงบ คสช.จึงไม่ยอมปลดล็อก แต่ คสช.ก็ไม่เคยพูดออกมาให้ชัดว่าเป็นคนกลุ่มไหนอย่างไร ซึ่งเท่าที่ตนมองนั้นไม่เห็นว่าการยืดเวลาออกไปจะเกิดประโยชน์หรือแก้ปัญหานี้ได้เลย ในทางตรงข้ามการเลื่อนออกไปแบบไม่มีความชัดเจนกลับกลายเป็นว่าจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้มีความขัดแย้งวุ่นวาย เพราะถ้าการเลื่อนเลือกตั้งครั้งนี้นำไปสู่ผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมือง จะอันตรายมาก เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามจะขจัดออกไปโดยการปฏิรูป ดังนั้น ถ้าไม่มีการให้ชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนว่าการเลื่อนเลือกตั้งจะมีผลประโยชน์กับส่วนรวมอย่างไรบ้าง ก็จะมีคำถามจากสังคมอีกเป็นร้อยคำถาม
ส่วนที่คณะกรรมาธิการฯมีการแก้ไขให้มีการหาเสียงโดยใช้มหรสพได้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนแปลกใจว่าทำไมถึงกลับมาแนวทางนี้อีก ทั้งที่อยากให้ประชาชนทราบแนวคิดและนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งอย่างสุจริต เที่ยงธรรม ทั้งนี้ การใช้มหรสพมีการห้ามมานานแล้ว เนื่องจากมีการจูงใจ อาจกลายเป็นช่องทางในการซื้อเสียงอีกรูปแบบหนึ่ง การทำแบบนี้จะเกิดปัญหาตามมาอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายที่ยุ่งยากในการตีมูลค่าพอสมควร ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าเรามีหลายแนวทางที่จะกระตุ้นให้คนมีความสนใจในการเลือกตั้งมากกว่าการใช้มหรสพ
///
(22 ม.ค.)นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงข้อเสนอการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไปอีก 90 วัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง ให้พรรคการเมืองมีความพร้อมมากขึ้น มีเวลาในการเตรียมการมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการประชุมใหญ่ การทำไพรมารีโหวตซึ่งต้องมีเวลาเพียงพอ ว่า ตนเห็นว่าความจริงแล้วเป็นตรรกะที่แปลกมากว่าเพื่อประโยชน์พรรคการเมืองและเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม จึงต้องขยายเวลาอีก 90 วันหากเพื่อให้พรรคการเมืองมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการกิจกรรมต่างๆ สิ่งที่ง่ายกว่าการขยายเวลาบังคับใช้ในพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.คือ การปลดล็อกพรรคการเมือง ให้เขาสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่ว่าไปสัญญาลมๆแล้งๆว่าจะปลดล็อคในเดือนเม.ย.และกำหนดให้ทำกิจกรรมต่างๆอย่างเร่งรีบhttps://ads6.matichon.co.th/www/delivery/lg.php?bannerid=56&campaignid=1&zoneid=25&loc=https%3A%2F%2Fwww.khaosod.co.th%2Fpolitics%2Fnews_717812&referer=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2F&cb=0646aa72f4
ปลดล็อกเสียวันนี้ กว่าจะถึงเมษา ก็ได้เวลาคืนมาเกือบ 3เดือน และหากตรงไปตรงมาให้พรรคสามารถทำกิจกรรมได้ตั้งแต่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 8 ต.ค.ปีที่แล้ว ก็คงไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากขนาดนี้นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า หากต้องการทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างยิ่งคือ ไม่เข้าไปแทรกแซงในกระบวนการสรรหา กกต.ใหม่ไม่ส่งคนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ใน กกต.ชุดใหม่ ไม่ออกกฎกติกาที่สร้างความได้เปรียบแก่คนของตนเองหรือพรรคที่ประกาศว่าจะสนับสนุนตน สิ่งที่ดีที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ประกาศว่าพร้อมจะกลับมาใหม่หากประชาชนสนับสนุน และเลิกทำตัวเป็นนักการเมือง เดินสายหาเสียง เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ สัญญาณที่บ่งบอกว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยากที่จะบริสุทธิ์ยุติธรรมเพราะฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐและกลไกราชการสนับสนุนทำให้เกิดความได้เปรียบในการเลือกตั้ง
//
จากกรณีวันที่ 24 มกราคมนี้ เป็นวันที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เรียกผู้ต้องหาในสำนวนคดีพิเศษที่ 261/2556 หรือคดีร่วมกันเป็นกบฏในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 53 คน เป็นผู้ต้องหามาเพื่อรายงานตัวเเละฟังคำสั่งคดี โดยการนัดฟังคำสั่งดังกล่าว ทางอัยการมีคำสั่งว่าตัวผู้ต้องหาทุกคนจะต้องเดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง เนื่องจากวันดังนั้นทางอัยการจะมีคำสั่งเลยว่าจะฟ้องผู้ต้องหารายใดเเละข้อหาใดบ้าง ซึ่งตัวผู้ต้องหาจะต้องมีการเตรียมหลักทรัพย์มาให้พร้อม เพราะหากมีคำสั่งฟ้อง ทางอัยการจะนำตัวผู้ต้องหาที่มีความเห็นสั่งฟ้องไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาตามที่อัยการได้มีคำสั่ง ซึ่งอัยการได้เเจ้งว่าหากมีการฟ้องคดีผู้ต้องหาต้องใช้หลักทรัพย์หากประสงค์ในการยื่นประกันตัวนั้น

เมื่อเวลา 16.00น.วันที่ 22 มกราคม เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)กล่าวว่าในวันที่24มกราคมที่เป็นวันนัดฟังคำสั่งคดีอัยการมีความพร้อมที่จะสั่งคดีเเละไม่มีการเลื่อน ถ้าผู้ต้องหาเดินทางมาตามที่อัยการนัดก็สามารถจะสั่งคดีได้ทุกคน ในวันนั้นจะรู้ได้ว่าสั่งฟ้องใครหรือไม่ฟ้องใครในข้อหาใดบ้าง เเละจะสามารถยื่นฟ้องต่อศาลอาญาได้เลยส่วนผู้ต้องหาที่มีการขอเลื่อนคดีในวันดังกล่าวก็จะมีการพิจารณาเป็นรายๆไปว่ามีเหตุสมควรเลื่อนหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าในวันดังกล่าวจะสามารถยื่นฟ้องผู้ต้องหาได้เพียง9คนนั้น เป็นเพียงคำร้องของผู้ต้องหาระดับแกนนำ 9 คน ที่ขอให้ยื่นฟ้องคดีไปก่อน ส่วนผู้ต้องหาคนอื่น ถ้าไม่มารายงานตัวเราก็จะพิจารณาว่าไม่มาเพราะอะไรหรือถ้าขอเลื่อนมีสาเหตุอะไร มีเหตุผลสมควรพอฟังได้มั้ย ถ้าไม่มีเหตุผล ทางอัยการก็อาจจะขอหมายจับ ดูเหตุผลเป็นรายๆไป เเต่ในวันดังกล่าวถ้ามากี่คนเราก็จะฟ้องไปตามจำนวนคนที่มาก่อน 

https://ads6.matichon.co.th/www/delivery/lg.php?bannerid=55&campaignid=56&zoneid=22&loc=https%3A%2F%2Fsakdaper.blogspot.com%2F&referer=https%3A%2F%2Fwww.blogger.com%2Fblogger.g%3FblogID%3D1800157612540760722&cb=b4490dcef9


ทางอัยการมีความพร้อมส่วนผู้ต้องหาจะไปคุยยังไงนั้นอัยการไม่รู้ มีการกำชับไปว่าต้องมาทุกคนเเละมาด้วยตนเอง ถ้าไม่มาต้องเเสดงหลักฐานอะไรมั่ง แหล่งข่าวจากอสส.กล่าว

เมื่อถามว่าระดับเเกนนำเช่นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ,นายถาวร เสนเนียม จะโดนฟ้องข้อหากบฏในวันนั้นหรือไม่ เเหล่งข่าวกล่าวว่า ใช่ ผู้ต้องหาเเต่ละคนย่อมรู้พฤติการณ์อยู่เเล้วว่าโดนข้อหาอะไรบ้างเเละ ได้ข่าวว่าเเกนนำที่กล่าวดังกล่าวได้ยื่นหนังสือเเจ้งว่าจะมาในวันรายงานตัว ในวันดังกล่าว ซึ่งมีรายงานว่าในข้อหากบฏนั้นผู้ต้องหาส่วนใหญ่จะโดนข้อหานี้เกือบทุกคน เเต่อาจจะมีบางคนที่ไม่โดนเป็นตัวการเเต่เป็นผู้สนับสนุน

สถานะ “คสช.” สนิม เกิดแต่ “เนื้อใน” สินทรัพย์ เสื่อม

สถานะ “คสช.” สนิม เกิดแต่ “เนื้อใน” สินทรัพย์ เสื่อม


หากดูจากความอื้อฉาวในเรื่อง “นาฬิกา” หรู หากดูจากการขยับในเรื่องคำสั่งหัวหน้า คสช. และการสอดไส้ในร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

เด่นชัดว่าปัญหามิได้มาจาก “ภายนอก”

ตรงกันข้าม เรื่อง “นาฬิกา” หรูมาจากการยกแขนขึ้นบังแดดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก่อนถ่ายรูปหมู่ ครม. “ประยุทธ์ 5” หน้าตึกไทยคู่ฟ้า

มิใช่พรรคประชาธิปัตย์เสกสรรปั้นแต่งแล้วสร้างกระแส

ตรงกันข้าม เรื่องคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 53/2560 ก็มาจากความเดือดร้อนของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ นายไพบูลย์ นิติตะวัน

เช่นเดียวกับเรื่อง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ก็เป็นเรื่องบน “เรือแป๊ะ”

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่อง “ภายใน” เป็นเรื่องอย่างที่สำนวนไทยแท้แต่โบราณสรุปออกมาอย่างรวบรัดว่า “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน”

เป็นเรื่องของ “คสช.” เป็นเรื่องของ “รัฐบาล”

ถามว่า แล้วเมื่อเกิดเป็นปัญหาแล้วทำไมจึงไม่สามารถบริหารจัดการให้จบลงได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ตอบได้ว่า “ปัญหา” ก็มาจาก “คสช.” อีกนั่นแหละ

อรรถาธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรมจาก 2 กระบวนความคิด 1 ความคิดที่ต้องการสืบทอดอำนาจ และ 1 ความคิดที่หวาดกลัวต่อการเลือกตั้ง

จึงไม่อยาก “เลือกตั้ง”

ขณะเดียวกัน เมื่อไม่อยาก “เลือกตั้ง” แต่ต้องการเป็นอย่างที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ สรุปตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2558 ที่ว่า

“เขาอยากอยู่ยาว”

จึงพยายามออกทุกกระบวนท่าเพื่อยื้อและหน่วง “การเลือกตั้ง” ให้ทอดระยะออกไปจนแทบจะอยู่ในจุดอันเรียกได้ว่า “อินฟินิตี้”


กระทั่งลืมบทเพลงเราจะทำตาม “สัญญา” ขอ “เวลา” อีกไม่นาน

นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา ชาวบ้านจึงมองเห็นตัวตนของ “คสช.” อันสะท้อนผ่าน “รัฐบาล” ได้อย่างชนิดหมดจด ทุกริ้วรอย

1 ไม่ยอมยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 57/2557

ทั้งๆ ที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ประกาศและบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม ก็ไม่ยอมให้กฎหมายได้แสดงบทบาทและความศักดิ์สิทธิ์

1 ยังมีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 53/2560 ออกมาอีก

ตามคำเรียกร้องของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตามคำเรียกร้องของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ต้องการให้แก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560

ตรงนี้ “ชาวบ้าน” เริ่มมองเห็นเด่นชัดว่าต้องการอะไร

พลันที่ 1 มีการโยนหินถามทางออกมาผ่านคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ทุกคนก็ร้องอ๋อกันถ้วนหน้า

นี่ย่อมเป็น “ใบเสร็จ” นี่ย่อมเป็น “คำสารภาพ”

ทุกอย่างเป็นไปตามความเชื่อพื้นฐานที่ว่า คสช.หวาดกลัว “การเลือกตั้ง” แต่ “คสช.” ก็อยากอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ


ทั้งๆ ที่ “ชาวบ้าน” รู้อยู่เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองและนักการเมืองอ่าน “คสช.” และ “รัฐบาล” ทะลุลอดปลอดโล่งตั้งแต่หัวจรดตีน

แล้วทำไมจึงยินยอมให้ “คสช.” อยู่ต่อไป

ที่ให้อยู่โดยไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรนอกจาก “วิพากษ์วิจารณ์” ก็เพราะเห็นว่า “คสช.” ดำรงอยู่ในสภาพอันเรียกว่าเป็น “สินทรัพย์” ในทางการเมือง

เป็น “สินทรัพย์” ที่บั่นทอนตัวเองลงทุกวันและเป็นลำดับ

ถามคำเดียว

ถามคำเดียว


จับตา...อีก 3 วันจากนี้ไป

ที่ประชุม สนช.ของนายพรเพชร วิชิตชลชัย จะโหวต เห็นชอบให้แก้ไข พ.ร.บ. เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วัน

“แม่ลูกจันทร์” มั่นใจว่า สนช. ลากตั้งจะโหวตเห็นชอบ (ตามใบสั่ง) อย่างแหงแซะพันเปอร์เซ็นต์

ทำให้โรดแม็ป คสช.ซึ่งกำหนดว่าต้องจัดการเลือกตั้งใหญ่ภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ต้องยืดออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าอย่าง แน่นอน

แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซีคุณโยม

เพราะกว่าจะประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส. ระบบจัดสรรปันส่วนผสมอันพิลึกกึกกือ กว่าจะเปิดประชุมสภาฯจับขั้วตั้งรัฐบาล กว่าจะได้นายกฯคนกลาง กว่าจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี กว่ารัฐบาลใหม่จะแถลงนโยบายต่อสภา

ยังต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 3 เดือน!!

เท่ากับเพิ่มโอกาสให้รัฐบาลบิ๊กตู่ มีเวลาปั๊มผลงานให้เข้าตาประชาชนได้อีก 15 เดือน

และเมื่อถึงตอนนั้นรัฐบาล คสช.จะบริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จครบ 5 ปีพอดี

ส่วน สนช.ลากตั้งก็จะได้รับเงินเดือน จากภาษีประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 3 เดือนโดยทั่วหน้ากัน

สรุปว่า การแก้ไข พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. เพื่อกระเถิบการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วัน จึงเป็นผลดีต่อรัฐบาล และ สนช.ลากตั้งด้วยประการฉะนี้แล

“แม่ลูกจันทร์” มองอย่างกลางๆ การที่ สนช.ลุกลี้ลุกลนแก้ไข ก.ม.ลูกรัฐธรรมนูญ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก 3 เดือน

เป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร

เพราะทำให้โรดแม็ป คสช.ขยับเขยื้อนเลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอย

แม้เป็นเรื่องไม่ควรทำ แต่ก็ทำได้ ตราบใดที่ไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ!!

ไม่เหมือนกรณีที่ สนช.ลากตั้ง สมคบคิดจะเล่นท่ายากไปแก้ไข ก.ม.ลูกรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. เพื่อล้มกติกาที่ห้ามผู้สมัคร ส.ว.ในกลุ่มอาชีพเดียวกันลงคะแนนเลือกกันเอง

โดยให้ผู้สมัคร ส.ว.แต่ละกลุ่มลงคะแนนเลือกไขว้ข้ามกลุ่มกัน

เพื่อป้องกันบล็อกโหวต หรือผู้สมัคร ส.ว.ฮั้วกันเอง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า การที่ สนช. ลากตั้งคิดการใหญ่ถึงขั้นยกเลิกกติกาเลือกไขว้ระหว่างผู้สมัครแต่ละกลุ่มทิ้งไป

เพื่อให้ผู้สมัคร ส.ว.กลุ่มเดียวกันเลือกกันเองโดยตรง

เท่ากับเปิดช่องให้มีการฮั้วกันได้อย่างสบายแฮ

ถือเป็นการแก้ไข ก.ม.ลูกให้ขัดแย้งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่อย่างชัดเจน

มาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ได้เขียนย้ำว่าต้องเป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม
จึงห้ามผู้สมัคร ส.ว.กลุ่มเดียวกันลงคะแนนเลือกกันเอง

หรือ ถ้าจะมีการคัดกรองผู้สมัคร ส.ว.วิธีอื่นๆ ก็ต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

ดังนั้น การที่ สนช.ลากตั้งสมคบคิดจะแก้ไข ก.ม.ลูกให้ผู้สมัคร ส.ว.กลุ่ม เดียวกันลงคะแนนเลือกกันเองโดยตรง เท่ากับเปิดช่องโหว่ให้กระบวนการเลือก ส.ว. ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม

“แม่ลูกจันทร์” ถามคำเดียว... ในเมื่อกติกาเดิมดีอยู่แล้ว จะไปแก้ไขให้แย่กว่าเดิมทำไม??

“แม่ลูกจันทร์”

คะแนนตกก็ยังเป็นต่อ

คะแนนตกก็ยังเป็นต่อ


ว่ากันตามเนื้อผ้าสังเกตว่า ภาคธุรกิจ มุมเศรษฐกิจไม่ได้สะดุ้งสะเทือนสักเท่าไหร่

ชาวบ้านร้านตลาดก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร

มีแต่นักการเมืองอาชีพที่อาละวาดฟาดหาง กับนักวิชาการสายต้านทหารที่ตั้งท่าวิพากษ์วิจารณ์
ปรากฏการณ์ที่ตั้งชื่อเรียกขานกันว่า รายการ “สมคบคิด” ยื้อเลือกตั้ง

รัวเกราะเคาะไม้ ดักคอดักทาง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ระวังจะเป็น “โมฆะบุรุษ” พูดกลับไปกลับมาหมดความน่าเชื่อถือ

ประกาศเลือกตั้งล้มแล้วล้มอีก ไม่ทำตามพันธสัญญา

ซัดข้อหา “เหยียบตีน” เล่นรู้กันกับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการเปิดช่องให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน

ทำให้กำหนดการเลือกตั้งที่ล็อกไว้ปลายปี 2561 ต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อย 3 เดือน

ทั้งๆ ที่ว่ากันตามรูปการณ์ ก่อนหน้านี้ที่ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ รีบผลักดัน พ.ร.บ.พรรคการเมือง ให้มีผลบังคับใช้ก่อนกฎหมายลูกฉบับอื่น กลายเป็นกระตุกกระแส กระพือแรง
บีบแรงกดดันให้ “นายกฯลุงตู่” ปล่อยผีพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมตามเงื่อนไขสถานการณ์

ภาพก็คือซือแป๋กฎหมาย แต่ “หัวเหลี่ยมทางการเมือง” ทำ “ลุงตู่” โดนล้อมกรอบ

มันคือคำตอบระดับหนึ่งว่า “นายกฯลุงตู่” ไม่สามารถคุมเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งในมุมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงกระบวนการใน สนช.

นี่ก็พอจะอ้างอิงได้ ผู้นำ คสช.ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเลื่อนบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ออกไปอีก 90 วัน ซึ่งมันอาจเป็นเทคนิคทางข้อกฎหมายที่มองต่างมุม ตามธรรมชาติของพวกร้อนวิชา

หาเรื่องเอาห่วงผูกคอให้ “นายกฯลุงตู่” เหนื่อยได้เรื่อยๆ

นี่ยังไม่นับเงื่อนไขเกี่ยวกับปมเงื่อนเวลาที่ไม่มีใครกำหนดได้ สถานการณ์แบบที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งกระทรวงวัฒนธรรมให้เตรียมการพระราชพิธีสำคัญอีก 1 พิธี

กระบวนการห้วงเปลี่ยนผ่านแผ่นดินยังไม่แล้วเสร็จ การเลือกตั้งยังลงวันเวลาไม่ได้ ตามเงื่อนไขแปรผันตามปัจจัยสถานการณ์นอกเหนือเรื่องทางการเมือง

เรื่องของเรื่องก็อย่างที่เห็นๆกัน กระแสเลื่อนเลือกตั้งออกไปตามเงื่อนไขในการบังคับใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มันก็ไม่ได้ส่งผลให้นักธุรกิจสะดุ้ง ภาพรวมเศรษฐกิจสะเทือน

เหมือนจะพออกพอใจลึกๆกันด้วยซ้ำไป

นั่นก็เพราะภายใต้สถานการณ์ห้วงปัจจุบัน สัญญาณบวกเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามท้องเรื่องที่ “นายกฯลุงตู่” มอบธงให้ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ
ลุยเข็นครกขึ้นภูเขา วิ่งสู้ฟัดจนทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมติดลมบน

ขณะที่การอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก มาตรการกระตุ้นภาวะปากท้องของคนยากคนจนก็เดินหน้า

เนื้องานเริ่มออกมาให้เห็นเป็นเนื้อหนังสัมผัสได้

ในเมื่อรัฐบาล “นายกฯลุงตู่” ทำให้บ้านเมืองสงบ ไร้ม็อบป่วนเมือง ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข แถมภาวะเศรษฐกิจที่เป็นโจทย์ยากสุดก็กำลังผงกหัวฟื้นกลับคืนมา

มันก็ไม่มีเหตุอะไรที่นักธุรกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ จะไปเร่งเกมเลือกตั้ง

ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้อนาคต ไม่มีหลักประกันว่าหลังจากนั้นบ้านเมืองที่ยังแฝงไปด้วยเชื้อความขัดแย้งอยู่ทุกจุด จะกลับมาวุ่นวายพาคนไทยถอยหลังลงเหวอีกหรือไม่

เหนืออื่นใด นักการเมืองที่โวยวายโดนยื้อเลือกตั้ง ในเครื่องหมายคำถามพร้อมลงสนามแค่ไหน

มั่นใจจริงๆ หรือว่าจะพลิกเกมช่วงชิงอำนาจคืน สกัดเส้นทางไปต่อของผู้นำ คสช.ได้

โดยเฉพาะที่ตีปี๊บผลโพล เบิ้ลบลัฟ “นายกฯลุงตู่” คะแนนตก

แต่ลองเทียบกันให้ดีๆ ตามคะแนนใน “กรุงเทพโพลล์” โฟกัสตัวเลขคนหนุน “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี 36.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่หนุน “ลุงตู่” 34.8 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือร้อยละ 20 กว่าๆไม่แสดงความเห็น

“ลุงตู่” แข่งกับตัวเองก็ยังชนะอยู่เลย

แล้วถ้าคู่แข่งเปิดหน้าเปิดตัวออกมา แบบที่สมมติยี่ห้อประชาธิปัตย์ต้องเข็นรุ่นลายครามอย่าง
“ปรมาจารย์ชวน หลีกภัย” มาสู้ขัดตาทัพ ไม่ให้ค่ายแตก อีกฝั่ง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรืออดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แย่งธง “นอมินี” จาก “นายใหญ่” มานำทัพพรรคเพื่อไทย

ภาษาเซียนบอล ราคาต่อรอง “ลุงตู่” ไหลไปเกินกว่าลูกควบลูกครึ่ง.

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อนซี้ ออกโรง!!

เพื่อนซี้ ออกโรง!!
(22/1/61)"บิ๊กกี่" เพื่อนรัก โผล่ ชี้แจง แทน "บิ๊กป้อม"ยัน นาฬิกา"ปัฐวาท" เอามาให้ใส่ แล้วก็เปลี่ยน วนกลับไป มาตลอดหลายสิบปี เป็นเพื่อนตาย พี่น้อง วัดใจกันมาหลายครั้ง สายบุญด้วยกัน เผย บิ๊กป้อม พร้อมลาออก ถ้า ปปช. ชี้ว่า ผิด วอนปปช.ทำเต็มที่ ไม่ต้องมาเข้าข้าง /แต่เชื่อ มีขบวนการ โจมตี แยก "บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่"/ เผย นายกฯ ก็รู้จัก "ปัฐวาท" ดี เผย แนะ บิ๊กป้อม พักผ่อนหลังเลือกตั้ง เสร็จ สงสารเหนื่อยมาเยอะแล้ว
"บิ๊กกี่"พลเอกนพดล อินทปัญญา. สมาชิก สนช. และ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 6 ของ พลเอกประวิตร เปิดเผยว่า นาฬิกา ที่พลเอกประวิตร ใส่เป็นของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิทตั้งแต่ สมัยเรียนป.1 รร.เซนต์คาเบรียล ของ พลเอกประวิตร จริงๆ เพราะนายปัฐวาท มีฐานะ และเล่นนาฬิกา มีนาฬิกา น่าจะเป็น 100 เรือน
และมักจะมีเรือนใหม่ๆ มาโชว์เสมอๆ แล้วก็ให้ พลเอกประวิตร เอาไปใส่เสมอๆ เมื่อใส่แล้ว 2-3 เดือนเบื่อ. ก็เอาไปคืน แล้วก็เอาเรือนใหม่มาใส่อีก. จึงจะเห็น พลเอกประวิตร ใส่นาฬิกา ไม่ค่อยซ้ำกัน เป็นอย่างนี้มาตลอดหลาย สิบ ปีเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน
พลเอกนพดล กล่าวว่า พลเอกประวิตร และ นาย ปัฐวาท เป็นเสมือนพี่น้อง เพราะห่วงใยรักใคร่กันมาตลอดเวลา 50 -60 ปี
ครั้งหนึ่ง นายปัฐวาท มีปัญหาสุขภาพที่อเมริกา เรียกว่า เกือบตาย พลเอกประวิตร ก็บินไปรับกลับมา พาตัวไปรักษา ด้วยตัวเอง
ส่วนอีกครั้งหนึ่ง นาย ปัฐวาท มีปัญหาเรื่องขาเป็นแผล เป็นเบาหวาน จนเดินไม่ได้ และเกือบต้องตัดขา. พลเอกประวิตร ก็พาไปหาหมอเก่งๆ หลายคน หมอจีน หมอทุกแขนง เพื่อรักษา จนหายไม่ต้องตัดขาทิ้ง
"มันเป็นความรักความผูกพันของเพื่อนรักเพื่อนสนิท ที่เป็นเสมือนพี่น้องกันไปแล้ว หรือเรียกว่า เพื่อนตาย"
"ตอนที่ ปัฐวาท ตาย ป้อม เขา เสียใจมาก เขาไปงานศพ ทุกวันเลย เพราะผูกพัน กันมานาน"
พลเอกประวิตร และ นายปัฐวาท ชอบเหมือนกันคือ นาฬิกา และ ชอบไปทำบุญ เดืนสายไป ทุกที่ ยิ่งวัดยากจน ก็ไปช่วยกันบริจาค สร้างนั่นสร้างนี่ โดยเฉพาะ ที่นครพนม พระเจ้ารู้จักหมด
พลเอกนพดล กล่าวว่า แล้วแต่ปปช.ว่าจะพิจารณาว่า การนำนาฬิกาคนอื่นมาใส่แล้ว นำไปคืนแบบนี้ จะมีความผิดหรือไม่ ถ้าผิด พลเอกประวิตร ก็พร้อมลาออก
พลเอกนพดล กล่าวว่า นายปัฐวาท มีนาฬิกา จำนวนมาก และมีกลุ่มเพื่อน ที่จะวนกันใส่นาฬิกา เปลี่ยนไปตลอด
"ผมเองก็เคย เอานาฬิกาของ คุณปัฐวาทมาใส่แต่ 2 เดือนผมก็เอาไปคืน เพราะผมไม่ชอบ นาฬิกา ผมสะสมพระ มากกว่า"
พลเอกนพดล เผยว่า ในการชี้แจงกับปปช. คาดว่า ลูกสาว2 คนของ นายปัฐวาท จะนำนาฬิกาที่นายปัฐวาท มีอยู่ทั้งหมด มาให้ปปช. ดูด้วย
พลเอกนพดล กล่าวว่าพลเอกประวิตร เป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่ง อธิบายอะไรก็สั้นๅ พูดไปคนไม่เข้าใจ ก็มีแต่ถูกโจมตี
พลเอกนพดล ตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า มีขบวนการ จะโจมตี พลเอกประวิตร เพราะ การที่ เพจ สามารถไปหารูป มา 25 เรือน ทำกันเอง ไม่ได้หรอก ต้องมีคนไปหาข้อมูล ส่งมาให้ และต้องการ แยก พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์
"พลเอกประยุทธ์ ก็รู้จัก คุณปัฐวาท เป็นอย่างดี และเชื่อว่า รู้เริ่อง นาฬิกา จองคุณปัฐวาท ดี ท่านถึงไม่ได้ ใช้ ม.44 พักงาน พลเอกประวิตร เพราะ มันไม่ได้ผิด เพียงแต่ สังคมยอมรับ ได้หรือไม่ แค่นั้นเอง" พลเอกนพดล กล่าว
"เมื่อหมดหน้าที่ ในรัฐบาล คสช. มีเลือกตั้งแล้ว ผมบอกป้อม ว่า ให้พักผ่อน เราไปเที่ยวกันดีกว่า เหนื้อยมาเยอะแล้ว ป้อม เป็นคนทุ่มเท ทำงาน จริงจัง เห็นเขาทำงานแล้วก็สงสาร นอกจาก ประชุม เช้า บ่าย แล้ว ต้องโทรสั่งการตลอด นอนน้อย ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง อยากให้พักผ่อน"
พลเอกนพดล กล่าว
พลเอกนพดล กล่าวว่า อยากให้ปปช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเข้าข้างเพื่อพิสูจน์ให้สังคมเห็นการทำหน้าที่ของปปช. ทำอย่างตรงไปตรงมาให้เป็นบรรทัดฐานของสังคม

เครียด!!!!

เครียด ....ไม่เครียด ดู หน้า "นายกฯบิ๊กตู่" เช้านี้ ก่อนประชุม ครม.....
ทั้ง เลื่อนเลือกตั้ง เลื่อนโรดแมพ ...ที่ถูกนักการเมืองทุกพรรค ออกมาถล่ม ว่า เป็นใบสั่ง คสช. และถูกเตือนว่า เป็น "โมฆะบุรุษ" ถ้าไม่รักษาสัจจะสัญญา ....แถม มีการปล่อยข่าวว่า มี"เหตุผลที่อยู่เหนือการควบคุม"
แถมเรื่อง นาฬิกาของ บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร พี่ชาย อีก...
ใครๆก็ว่า เป็น "ขาลง" !!!

“พรุ่งนี้จะไม่ให้ ถามแล้ว”

"บิ๊กป้อม” โทษสื่อไทย โหมข่าว ปม “นาฬิกาหรู” ทำสื่อต่างชาติ เล่นข่าวตาม ยันไม่กังวล แต่บอก จะไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่ให้ถาม อีกแล้ว พรุ่งนี้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสื่อต่างชาติเสนอข่าวการครอบครองนาฬิกาหรูของตนเองว่า ก็เพราะสื่อไทยเสนอกันออกไป แต่ผม ไม่ได้กังวลอะไร
เมื่อผู้สื่อข่าว พยายามถามต่อ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า “พรุ่งนี้จะไม่ให้ ถามแล้ว”
พร้อมเดินขึ้นรถ ออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที โดย ทีมรปภ.กันสื่อพ้นทางเดิน

ความบกพร่อง ส่วนตัว !!

ความบกพร่อง ส่วนตัว !!
“บิ๊กตู่” ชี้ นาฬิกาหรู "เรื่องส่วนตัว"บิ๊กป้อม” แจงไม่ใช้ ม.44 เพราะ ปปช.ยังไม่เสนอมา ชี้ ไม่ใช่การใช้งบฯแผ่นดิน ออกตัวไม่ปิดบัง-ปกป้อง ถ้าผิดก็ต้อง ออกอยู่ดี ชี้เรื่องนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า เรื่องนี้ขอให้ฟังจากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ได้ข่าวว่าวันนี้ จะมีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าการดำเนินการไปถึงไหนอย่างไร ก็ขอแยกให้ออกว่ากรณีดังกล่าว เป็นเรื่องส่วนตัวของพล.อ.ประวิตร และเรื่องเหล่านี้ก็มีขั้นตอนและกระบวนการ
ส่วนกระบวนการ ว่าได้มาอย่างไร มาจากไหน หลายคนไปกล่าวอ้างว่า มาจากการทุจริตที่ไหน อย่างไร ก็ต้องมีการสอบสวนกันต่อ เพราะฉะนั้นต้องรอข้อยุติให้ได้ก่อนในกระบวนการเหล่านี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยากทำความเข้าใจว่าหลายท่านอยากให้ผมใช้คำสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่าที่ผ่านมา ผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทำก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต แจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้วและมีผลออกมาเช่นนี้เห็นควรให้เอาออกก่อน ผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน
กรณีนี้ก็เช่นกันก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทำไม ผมไม่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น
"ทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่า เรื่องนี้อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมายซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านำ2เรื่องมาปนกัน
ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทำให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจน ก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร สื่อต่างประเทศให้ความสนใจและนำไปเปรียบเทียบในเรื่องมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้นำหรือนักการเมืองในต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ขอชี้แจงกับคนไทย ก็แล้วกัน คงไม่ต้องชี้แจงกับต่างประเทศ เพราะทุกอย่างก็มาจากคนไทย ที่ขับเคลื่อนออกไป แต่ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเองไปแล้ว”
ทั่งนี้ เมื่อนายกฯ อ่านคำถามของผู้สื่อข่าวที่ถามย้ำเกี่ยวกับเรื่องนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร ได้กล่าวอย่างเบื่อหน่าย ว่า
“เรื่องนี้ผมไม่ตอบ ไม่มีคำตอบ ถามซ้ำกันอยู่เรื่องเดียวเรื่องของพล.อ.ประวิตร
ยืนยันเรื่องนี้ผมไม่ได้ปกป้อง ปิดบังอะไรเลย เป็นเรื่องของกระบวนการตรวจสอบก็ขอให้ฟังจากทาง ป.ป.ช.ก็แล้วกัน
ผมก็ได้แต่ทำความเข้าใจเท่านั้น ถ้าผิดก็คือผิด ท่านก็รับอยู่แล้วว่า ถ้าผิดก็ต้องออกอยู่ดีก็ไปว่ากันตามกฎหมาย แต่ขอให้แยกแยะให้ออกว่าอันไหนใช้งบประมาณของรัฐ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านก็ต้องไปแก้ไขในเรื่องส่วนตัวของท่านในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระให้ได้ เท่านี้ดีกว่า”
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร จะลาออกหรือไม่ เพราะเริ่มมีกระแสข่าวลือออกมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆว่า “ยังไม่มีการลาออก”

ทหารแจ้งความ 8 แกนนำ ‘people go network forum’ ฐานผิดคำสั่ง คสช.

12:00 ทหารแจ้งความ 8 แกนนำ ‘people go network forum’ ฐานผิดคำสั่ง คสช. เหตุชุมนุมมั่วสุมเกิน 5 คน
กรณีตัวแทนเครือข่าย people go network forum จำนวน 8 คน ที่จัดกิจกรรม “We Walk เดินมิตรภาพ” ประกอบด้วยนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ นายอนุสรณ์ อุณโณ นายนิมิตร์ เทียนอุดม นายสมชาย กระจ่างแสง น.ส.แสงศิริ ตรีมรรคา นางนุชนารถ แท่นทอง นายอุบล อยู่หว้า และนายจำนงค์ หนูพันธ์ โดยทางพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา หากยังไม่มาจะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 และหากยังไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งจะดำเนินการออกหมายจับทันที
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 10.00 น. ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน เป็นแกนนำการชุมนุมและผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมอีกประมาณ 150 คน ได้มีการมั่วสุมจัดการชุมนุมปราศรัยบิดเบือนโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยมีการผัดกันปราศรัยและแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน
pptvhd , matichon

“บิ๊กตู่” ยันแทน “บิ๊กป้อม ไม่ลาออก!” ลั่น! นาฬิกาหรูเป็น “เรื่องส่วนตัว”

“บิ๊กตู่” ยันแทน “บิ๊กป้อม ไม่ลาออก!” ลั่น! นาฬิกาหรูเป็น “เรื่องส่วนตัว”


เมื่อเวลา 13.20น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ตอบคำถามสื่อมวลชนภายหลังเป็นประธานการประชุม ครม.ถึงความคืบหน้าปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่า เรื่องนี้ขอให้ฟังจากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วกัน ได้ข่าวว่าวันนี้จะมีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าการดำเนินการไปถึงไหนอย่างไร ก็ขอให้แยกให้ออกว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของพล.อ.ประวิตร และเรื่องเหล่านี้ก็มีขั้นตอนและกระบวนการสวนกระบวนความว่าได้มาอย่างไร มาจากไหน หลายคนไปกล่าวอ้างว่ามาจากการทุจริตที่ไหน อย่างไร ก็ต้องมีการสอบสวนกันต่อ เพราะฉะนั้นต้องรอข้อยุติให้ได้ก่อนในกระบวนการเหล่านี้
“อยากทำความเข้าใจว่าหลายท่านอยากให้ผมใช้คำสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่าที่ผ่านมาผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทำก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้วและมีผลออกมาเช่นนี้เห็นควรให้เอาออกก่อนผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกันก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทำไมผมไม่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น อีกประการทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมายซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านำสองเรื่องมาปนกัน ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทำให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจนก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่งนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร สื่อต่างประเทศให้ความสนใจและนำไปเปรียบเทียบในเรื่องมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้นำหรือนักการเมืองในต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ เรื่องนี้ขอชี้แจงกับคนก็แล้วกัน คงไม่ต้องชี้แจงกับต่างประเทศ เพราะทุกอย่างก็มาจากคนไทยที่ขับเคลื่อนออกไป แต่ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเองไปแล้ว”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีอ่านคำถามของผู้สื่อข่าวที่ถามย้ำเกี่ยวกับเรื่องนาฬิกาของพล.อ.ประวิตร ได้กล่าวอย่างเบื่อหน่าย ว่า “เรื่องนี้ผมไม่ตอบ ไม่มีคำตอบ ถามซ้ำกันอยู่เรื่องเดียวเรื่องของพล.อ.ประวิตร ยืนยันเรื่องนี้ผมไม่ได้ปกป้อง ปิดบังอะไรเลย เป็นเรื่องของกระบวนการตรวจสอบก็ขอให้ฟังจากทาง ป.ป.ช.ก็แล้วกัน ผมก็ได้แต่ทำความเข้าใจเท่านั้น ถ้าผิดก็คือผิด ท่านก็รับอยู่แล้วว่าถ้าผิดก็ต้องออกอยู่ดีก็ไปว่ากันตามกฎหมาย แต่ขอให้แยกแยะให้ออกว่าอันไหนใช้งบประมาณของรัฐ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านก็ต้องไปแก้ไขในเรื่องส่วนตัวของท่านในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระให้ได้ เท่านี้ดีกว่า”
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประวิตร จะลาออกหรือไม่เพราะเริ่มมีกระแสข่าวลือออกมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆว่า “ ยังไม่มีการลาออก”