PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

'บิ๊กแดง'ยันเป็นทหารอาชีพ ลั่น!รัฐประหารมีอีกหรือไม่อยู่ที่นักการเมือง



17 ต.ค.61- พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษว่า สถานการณ์ในอนาคตข้างหน้า กองทัพบกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์หลายอย่างตามปฏิทินการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านั้น กองทัพบกเตรียมการทำความเข้าใจของกำลังพล ที่สำคัญที่สุดผู้บังคับหน่วยจะต้องแยกแยะภารกิจให้ออก เราในฐานะกองทัพบกและเป็นทหารของชาติทหารของประชาชน มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม นี่คือหน้าที่ของกองทัพ กองทัพต้องทำงานให้กับรัฐบาล เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีเกิดขึ้น ตนได้ประชุมผู้บังคับหน่วยและเน้นย้ำในส่วนที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)ได้ให้แนวทางว่าต้องใช้ความระมัดระวัง
"จากนี้ไปก็ต้องถูกจับตา จับจ้องจากนักการเมืองยอมรับว่า ทหารขาดประสบการณ์เรื่องการเมือง 
อาชีพทหาร เราอยู่ในกรม กอง โอกาสพบกับประชาชนมีน้อยมาก นอกจากออกไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเดือดร้อนและประสบภัยต่างๆเพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์ที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอกวิถีทางการเมืองลำบาก ผมจึงให้แนวทางของกองทัพ โดยเฉพาะ กกล.รส.เนื่องจาก เราสวมหมวก 2 ใบ คือ ในฐานะกองทัพบกและในฐานะที่เป็น คสช.จากการเดินต่อไปนี้ต้องระมัดระวัง ไม่ให้การเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์ จากการช่วยเหลือประชาชนยืนยันว่า กองทัพช่วยเหลือประชาชนเราไม่ได้หาเสียง" 
พล.อ.อภิรัชต์ ยืนยันว่า ทหารไม่มีความจำเป็นต้องหาเสียง เพราะไม่รู้จะหาเสียงไปเพื่ออะไร การช่วยเหลือประชาชนถือเป็นหน้าที่เป็นอาชีพของทหาร ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเพื่อให้ได้เสียงมา เราช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอดในทุกภารกิจ ในทุกครั้งที่ประชาชนเดือดร้อน นี่คือหน้าที่ของทหาร โดยอาชีพ โดยจิตสำนึก และจิตอาสา ในทางกลับกันตนอยากให้กำลังพลระมัดระวังการฉกฉวยโอกาสที่มองว่าการไปช่วยเหลือประชาชนของทหารนั้นเป็นการหาเสียง ขอย้ำว่าเราทำมานานแล้วและอยากให้ประชาชนได้รู้ว่าทหารช่วยเหลือประชาชนด้วยอาชีพด้วยใจ ไม่ได้หวังผลไม่ได้ต้องการ ให้มาเลือกคนที่ไปช่วยเหลือ แต่ช่วยเหลือตามแนวทางของรัฐบาล 
ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลใดเราก็ต้องดำเนินการตามแนวทางที่รัฐบาลที่ได้กำหนดไว้ เช่น ปัจจุบันรัฐบาลได้ต่อยอดโครงการประชารัฐเป็นโครงการไทยนิยมยั่งยืนซึ่งก็มี 3 หน่วยงานหลัก ตั้งแต่ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง โดยแบ่งเป็น 2 หมวดด้วยกันซึ่งก็คงทราบกันดีอยู่แล้วการสร้างความมั่นคงยั่งยืนเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ 10 ประการทั้งหมด ซึ่งทหารต้องสนับสนุนให้เดินควบคู่ไป เห็นว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้นเป็นโครงการที่รัฐบาลมีความตั้งใจจริงต้องการให้เกิดความมั่นคงสอดคล้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ซึ่งกรมการปกครองได้แจกจ่ายคู่มือมาให้กับกองทัพบก เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน
 "จากนี้ไปถูกจับตามองแน่ เพราะกองทัพและ คสช.ก็คือเนื้อเดียวกัน ขณะนี้รัฐบาลก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่าไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเราก็ต้องทำ ผมก็ต้องทำ ไม่ว่าใคร พรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาล ไม่ต้องห่วง ผมยืนยันและจุดยืนในการทำงานของผมในการกำหนดทิศทางๆให้กำลังพลในกองทัพบก ได้ดำเนินการ ผมทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์และเกินร้อยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครมาเป็นนายผม" ผบ.ทบ.กล่าวและว่า
ส่วนการวางตัวเป็นกลางในสถานการณ์ข้างหน้านั้นเราเป็นทหารอาชีพ และตนผ่านวิกฤตทางการเมืองและการทหารมาทุกยุคทุกสมัยประสบการณ์ที่ตนเก็บเกี่ยวตลอดระยะเวลาที่รับราชการมาตั้งแต่สมัยเด็กๆและมาจาก พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นคุณพ่อของตน จนมายืนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในทุกวันนี้ ความเป็นกลางนั้นขึ้นอยู่กับคนมอง บางครั้งเราทำเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นกลาง แต่มุมมองของคนอื่นมองว่าเราไม่เป็นกลางถามว่าจะเอาอะไรมาตัดสินหรือเป็นเครื่องวัดว่ากองทัพอยู่ตรงไหนแต่ขอให้มั่นใจว่า กองทัพเป็นกลางและอยู่เคียงข้างประชาชนจะดำเนินการทุกอย่างให้ประชาชน อยู่ดีกินดีช่วยเหลือประชาชนทุกโอกาส
ย้ำว่ากองทัพบกเป็นมืออาชีพ เป็นทหารอาชีพ คำว่าทหารอาชีพกับอาชีพทหารแตกต่างกัน ขอความเป็นธรรมด้วย ตั้งแต่เริ่มต้นว่า เรากองทัพบกจะวางตัวเป็นกลางเราในฐานะทหารอาชีพ ใครมาเป็นรัฐบาลต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล
เมื่อถามว่า อุปสรรคในการทำหน้าที่และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น มีอะไรน่าห่วงหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า อุปสรรคของกองทัพในขณะนี้ตนคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการที่ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของกองทัพ ว่ากองทัพออกไปช่วยเหลือประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจ และ การทำความเข้าใจกับกำลังพลในการลงไปปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกำลังพลนั้นบางครั้งมุมมองหรือการทำงานของเขา เป็นอุปสรรคในตัวเอง  ถามว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืน จะจบเมื่อไหร่ สมมุติว่าทหารเข้าไปแนะนำชาวบ้านตามคู่มือโครงการไทยนิยมยั่งยืน แต่โครงการไทยนิยมยั่งยืนอยู่ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะบอกว่าเราสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หรืออย่างไร ซึ่งถือเป็นเรื่องลำบากขอให้แยกแยะอยากให้ประชาชนได้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย
พล.อ.อภิรัชต์ ย้ำว่า อย่าลืมในช่วงสมัยรัฐบาลรักษาการเมื่อปี 2552 และ 2553 เกิดวิกฤติการณ์ก่อนการเลือกตั้ง ทหารก็ต้องดำเนินการตามรัฐบาลที่รักษาการเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นอุปสรรคก็คือการทำงานและความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ที่เราเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนการเตรียมการการเลือกตั้งนั้น
ในปัจจุบันให้หน่วยได้มีความเข้าใจตรงกันว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในปฏิทินการเลือกตั้งตามโรดแมปตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าลงพระปรมาภิไธยใน พรป.ประกอบการเลือกตั้ง ที่มาของ สส.และสว. ซึ่งตนได้แจกจ่ายรายละเอียดให้กับ ผบ.หน่วย เพื่อให้หน่วยมีความเข้าใจว่าจากนี้ไป 90 วันจะเกิดอะไรขึ้นอีก  150 วันและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากผู้บังคับหน่วยเข้าใจตรงกันไปในทางเดียวกัน เราก็จะมาดูในแต่ละเรื่องการทำงานกองทัพควรจะดำเนินการอย่างไร
เมื่อถามว่า สถานการณ์ในอนาคตเกิดวิกฤติกองทัพจะปฏิวัติอีกหรือไม่ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงเป็น ผบ.ทบ.ยืนยันมาตลอดไม่ปฏิวัติ แต่ก็ปฏิวัติ  พล.อ.อภิรัชต์ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สื่อได้มีการบันทึกภาพในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าให้เป็นเพียงแต่ภาพที่เกิดขึ้น ให้บันทึกอยู่ในสมองในความทรงจำ เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่เคยเห็นภาพต่างๆที่เคยเกิดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ทำอะไรก็ลำบาก ค้าขายก็ลำบาก ถนนถูกบล็อก คนไทยออกมาตีกัน ยิงกัน ฆ่ากัน  วันนั้น ทหารยืนอยู่ตรงไหน เราถูกรัฐบาลสั่งการให้ออกมาควบคุมความสงบเรียบร้อย เราทำด้วยหัวใจ ที่ไม่ได้คิดแบบนักการเมืองว่าเราจะเข้ามาบริหารประเทศ
"และผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้คิดอยากช่นเดียวกัน แต่ความที่ท่านต้องเสียสละ ถามว่าในวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจทำรัฐประหาร ยอมรับว่าผมมีความคุ้นเคยกับ พล.อ.ประยุทธ์แต่ไม่มีเรื่องส่วนตัวกับท่าน เพราะท่านใช้ผมทำงานมาโดยตลอด เดือนหนึ่งได้เจอกัน 5 ถึง 10 นาทีก็เต็มที่แล้ว ผมถึงบอกว่าความเป็นกลางก่อนผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมเจอท่านในเวลาสั้นๆถือว่าเก่งแล้วในชีวิตนี้เคยนั่งคุยกับท่านไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ได้เห็นความรัก ความรู้ ความทุ่มเทในการทำงานของท่าน ซึ่งเป็นแบบอย่างหนึ่งของผมในการดำเนินงานด้านราชการและถ้าวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจบ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ผมว่าการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่อยู่ที่ประชาชน " 
ผบ.ทบ.กล่าวว่าหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์รุนแรงในบ้านเมืองเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก ที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไม่เคยขนาดนี้ เพราะมีการแย่งแก่งแย่ง ชิงการเมือง การเอาชนะ ไม่รู้จักแพ้ไม่รู้จักชนะ แล้วคนที่แพ้ก็คือประเทศ ยืนยันว่ากองทัพไม่มีวันชนะประชาชน แต่ประชาชนที่ออกมาสร้างความเดือดร้อน ยั่วยุให้จุดไฟเผา มีการประกอบระเบิด นั่นคือท่านแพ้ ท่านเป็นประชาชนที่ทำให้ประเทศแพ้ แทนที่เราจะแข่งขันทางการค้า แล้วต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการยกเลิกการนำเข้าส่งออกของประเทศต่างประเทศเป็นเงินมหาศาลกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ใช้เวลาเท่าไร
"จุดไฟเผาในเมือง เกิดกลียุค ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้ แต่ในทางการค้าไม่ใช่ ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนต้องใช้เวลานานกว่านั่น แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ  ผมเชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ สิ่งที่สื่อถามว่าจะมีปฏิวัติหรือไม่ ผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเมืองอย่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอีก"
"ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจราจล ก็ไม่มีอะไร ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง แต่ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองดีหรือไม่ดี แต่เชื่อว่า นักการเมืองที่ดีก็มี และนักการเมืองที่ไม่ดีก็มี แต่ปัจจุบันคนไทยเป็นอย่างไร ผมเสียใจในหลายๆเรื่องที่เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด การตัดสินคดีในหลายคดีกับคนทำความผิด บอกว่าไม่เป็นธรรมและประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน อะไรเป็นกกลาง อะไรคือจุดยืนของประเทศ ในเมื่อบอกคนนี้ผิด ก็แย้งว่าไม่ผิดถูกแกล้ง แล้วจะอยู่อย่างไรตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันจะให้คนไทยอยู่กันอย่างไรโดยไม่มีกฎระเบียบวินัย"ผบ.ทบ.กล่าว
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ https://www.thaipost.net/main/detail/20101

ผบ.ทบ.สั่งให้ทหารพร้อมลต.ระวังเป็นเครื่องมือนักการเมือง

ทหาร พร้อมรับเลือกตั้ง !!
“บิ๊กแดง” เรียกประชุม ผบ.หน่วยขึ้นตรง ตั้งแต่ ผู้พัน ผู้การ ขึ้นมา แจกRoad Map. พร้อมรับมือเลือกตั้ง สั่งให้ทหารระวังตัว เป็นเครื่องมือนักการเมือง ชี้ทหารอ่อนด้อยประสบการณ์ ต้องแยกแยะหน้าที่
พลเอกอภิรัชต์ เผย แจก Road Map เลือกตั้ง ให้กับผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง ทบ. พร้อมรับการ เลือกตั้ง ในแต่ละช่วงเวลา เพราะเป็นหน้าที่ของกองทัพ ด้วย เพื่อให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน
รวมถึงการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนในช่วงเวลา ก่อนการเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้กำลังพล ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง นำไปหวังผลได้ เพราะทหารอ่อนด้อยประสบการณ์ทางการเมือง

ส่วนการเตรียมการการเลือกตั้งนั้น ในปัจจุบันให้หน่วยได้มีความเข้าใจตรงกันว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในปฏิทินการเลือกตั้งตามโรดแมพ ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าลงพระปรมาภิไธยใน พรป.ประกอบการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส.และ ส.ว.ซึ่งผมได้แจกจ่ายรายละเอียดให้กับ ผบ.หน่วย เพื่อให้หน่วยมีความเข้าใจว่า จากนี้ไป 90 วัน จะเกิดอะไรขึ้นอีก 150 วัน และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด

หากผู้บังคับหน่วยเข้าใจตรงกันไปในทางเดียวกัน เราก็จะมาดูในแต่ละเรื่องการทำงานกองทัพควรจะดำเนินการอย่างไร

พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า การให้ความรู้กับประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะระบบการเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้เป็นระบบกาเบอร์เดียว

ถามว่าเป็นหน้าที่ของกองทัพหรือไหม ซึ่งหาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือ ในฐานะหน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่ทหาร ต้องช่วยเหลือ

ถามว่าทหารเป็นกลางหรือไม่ หรือจะไม่ให้ทหารทำอะไรเลย ไม่ต้องทำหน้าที่ ไม่ต้องสนับสนุน ไม่ต้องช่วยเหลือประชาชน ก็ไม่ใช่ เพราะเรารับเงินเดือนภาษีอากรจากประชาชน

ดังนั้นเรื่องการเตรียมการเลือกตั้งเราพร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาก กกต.มาขอความช่วยเหลือในทุกๆด้าน ตั้งแต่การรักษาความปลอดภัยหรือการให้ความรู้กับประชาชน

ลีลา “บิ๊กแดง” ผบ.ทบ. ตอบเรื่อง ปฏิวัติรัฐประหาร ยังไง.....พริ้ววว! บอกเป็นนัย ยก”บิ๊กตู่” เป็น ต้นแบบ

ลีลา “บิ๊กแดง” ผบ.ทบ. ตอบเรื่อง ปฏิวัติรัฐประหาร ยังไง.....พริ้ววว! บอกเป็นนัย ยก”บิ๊กตู่” เป็น ต้นแบบ .....
ไม่รับประกัน ปฏิวัติ แต่หวังการเมือง จะไม่เป็นสาเหตุความขัดแย้ง จลาจล อีก ชี้เพราะแก่งแย่งกัน ไม่รู้แพ้รู้ชนะ บ่นคนไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม
พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. กล่าวถึง การให้ความมั่นใจในเริ่องการปฏิวัติรัฐประหาร หากเกิดสถสนการณ์วุ่นวาย ขึ้น ได้หรือไม่ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยสื่อมวลชน บันทึกภาพเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่อย่าให้เป็นเพียงภาพแต่ควรจะอยู่ในสมองในความทรงจำ ที่เราเคยเห็นภาพต่างๆทีเกิดขึ้นแล้ว ว่า ไปไหนก็ลำบาก ค้าขายก็ลำบาก ปิดถนน คนไทยมาตีกัน ยิงกันฆ่ากัน ภาพมากมายมหาศาล ถ้ามาสร้างเป็นหนังคงจะขายดี แต่ไม่มีใครอยากจะมาจดจำในสิ่งเหล่านี้

ในสมัยหนึ่ง ทหารเรา เมื่อ ถูกรัฐบาลสั่งการสั่งการให้ไปควบคุมความสงบเรียบร้อย เราทำด้วยหัวใจ เราไม่ได้คิดเรื่องทางการเมือง ว่าเราจะมาเข้ามาบริหารประเทศผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า พลเอกประยุทธ์ ก็ไม่ได้คิด เช่นเดียวกันแต่ความที่ต้องเสียสละ และณตอนนั้น ถ้าวันนั้น พลเอกประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจ อะไรจะเกิดขึ้น

ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ทุกคนก็รู้ว่า ผมไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวอะไรกับท่าน ท่าน ใช้ผมทำงานมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นผู้การกรม ผมเคยเจอท่าน คุยสัก 5 นาที 10 นาที ก็ ถือว่าเต็มที่แล้ว

ดังนั้น ที่ถามเรื่อง ความเป็นกลางของผมในการเป็นผู้บัญชาการทหารบก

ผมบอกได้เลยว่า เดือนหนึ่ง ได้คุย เจอสัก 5 นาที 10 นาทีถือว่าเก่งแล้ว ในชีวิตเคยนั่งคุยกับท่าน ไม่เกิน 1 ชั่วโมงแบบคุยต่อเนื่องนะ ส่วนเรื่องเจอและทักทาย ก็อีกเรื่อง

“ด้วยความรักและเคารพ. ผมเห็นในความ ทุ่มเทในการทำงาน ในการเป็นผู้บัญชาการทหารบก ท่านเป็น แบบอย่างของผม “

ถ้าวันนั้น พลเอกประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมว่าการตัดสินใจนั้น ไม่ได้อยู่ที่พลเอกประยุทธ์ แต่อยู่ที่ประชาชน

“บอกได้เลยว่า ผมคาดหวังอย่างยิ่งว่าหวังใจ อย่างยิ่ง ว่า เหตุการณ์รุนแรงในบ้านเรานี้ คงไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้อีกคนโน้นก็เผา คนนี้ก็เผา ตรงนั้นก็ยิง ตรงนี้ก็ยิง มันเหมือนในหนัง เหมือนในบางประเทศ สมัยก่อนเราไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาขนาดนี้ เพราะอะไร

เพราะยังคงมีการแย่งชิงทางการเมืองการเอาชนะกัน. รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ แต่ คนที่แพ้ก็คือประเทศชาติ ถามว่ากองทัพชนะ หรือ กองทัพไม่มีวันชนะประชาชนหรอก

แต่ประชาชนที่ออกมาสร้างความเดือดร้อน ที่มีการยุให้จุดไฟเผา พูดเรื่องการทำระเบิดอะไรก็ตาม นั่นคือ ท่านแพ้ท่านเป็นประชาชน ที่ทำให้ประเทศแพ้ยากที่จะฟื้นฟู การค้า ฟื้นฟูประเทศได้ ใช้เวลากี่ปี หลังจากเกิดเหตุการณ์ เมื่อ4 ปีที่แล้ว การยกเลิกออเดอร์การนำเข้าส่งออกจากต่างประเทศ เป็นเงินมหาศาล กว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ใช้เวลานานเท่าไหร่

ฝ่ายตรงข้ามที่ไม่พอใจ มองว่า ทำไมอยู่นาน ก็ปี 2 ปีทำอะไรไม่ได้ จึงต้องมีแผนยุทธศาสตร์ 20ปี

ท่านคิดว่า จุดไฟเผาในเมือง เกิดกลียุคในเมืองขนาดนั้น ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างอาจจะทำได้ แต่ในทางการค้าแล้ว ต้องใช้เวลา ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุน

แต่ ณ วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น มันอาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ นักการเมืองบางคน แต่ผมเชื่อว่ารัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ ไม่รีบ ผลีผลาม

ฉะนั้นสิ่งที่สื่อถามมา ผมหวังใจอย่างยิ่งว่าการเมือง อย่าเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอีก

เมื่อถามว่า แสดงว่า มั่นใจว่าจะไม่มีเกิดขึ้นในอนาคตแน่นอนใช่หรือไม่ พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่า ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมือง ไม่เป็นต้นเหตุการจลาจล ถ้ามันไม่เกิด มันก็ไม่มีอะไร

การปฏิวัติรัฐประหาร มี 10 กว่าครั้งก็จริง แต่มันไม่ใช่สมัยก่อนแล้ว สมัยหลังๆนี้ มันก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่ได้ว่านักการเมืองดี หรือไม่ดี ดีก็มี ไม่ดีก็มี

พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่าผมเสียใจในหลายๆเรื่องที่เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด การตัดสินคดีในหลายคดีกับคนทำความผิด บอกว่าไม่เป็นธรรม และประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน อะไรเป็นกกลาง อะไรคือจุดยืนของประเทศ ในเมื่อบอกคนนี้ผิด ก็แย้งว่าไม่ผิดถูกแกล้ง แล้วจะอยู่อย่างไรตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันจะให้คนไทยอยู่กันอย่างไรโดยไม่มีกฎระเบียบวินัย"

ผบ.ทบ.:ไม่รับปากจะไม่มีรัฐประหารอีก

“บิ๊กแดง” ฉะ นักการเมือง ยังแก่งแย่งชิง ทำบ้านเมืองวุ่นวาย ไม่รู้จักแพ้ ชนะ ...ชี้ รัฐประหาร หลังๆนี้ ...มันก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น....คาดหวังการเมือง อย่าเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอีก
“ผมคาดหวังอย่างยิ่งว่าหวังใจ อย่างยิ่ง ว่า เหตุการณ์รุนแรงในบ้านเรานี้ คงไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้อีก
คนโน้นก็เผา คนนี้ก็เผา ตรงนั้นก็ยิง ตรงนี้ก็ยิง มันเหมือนในหนัง เหมือนในบางประเทศ สมัยก่อนเราไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาขนาดนี้ เพราะอะไร
เพราะยังคงมีการแย่งชิงทางการเมืองการเอาชนะกัน. ไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ แต่ คนที่แพ้ ก็คือประเทศ ถามว่ากองทัพชนะ หรือ กองทัพไม่มีวันชนะประชาชนหรอก
ผมหวังใจอย่างยิ่งว่าการเมือง อย่าเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอีก
เมื่อถามว่า แสดงว่า มั่นใจว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประ หาร เกิดขึ้นในอนาคตแน่นอนใช่หรือไม่ พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่า ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมือง ไม่เป็นต้นเหตุการจลาจล ถ้ามันไม่เกิด มันก็ไม่มีอะไร
การปฏิวัติรัฐประหาร มี 10 กว่าครั้งก็จริง แต่มันไม่ใช่สมัยก่อนแล้ว สมัยหลังๆนี้ มันก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น
ดังนั้นผมไม่ได้ว่านักการเมืองดี หรือไม่ดี ดีก็มี ไม่ดีก็มี

ผบ.ทบ.ยันทหาร ไม่ต้องหาเสียง ไม่รู้จะหาไปเพื่ออะไร

ยันทหาร ไม่ต้องหาเสียง ไม่รู้จะหาไปเพื่ออะไร
“บิ๊กแดง” เตือน ทหาร จากนี้ถูกจับตา กองทัพ-คสช.เนื้อเดียวกัน. ติงผบ.หน่วย อย่าให้การเมือง เข้ามาใช้ประโยชน์ จากการช่วยเหลือประชาชน ยันทหารช่วยประชาชนด้วยอาชีพ ด้วยใจ ยัน ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเราก็ต้องทำ ชี้ ความเป็นกลาง ขึ้นอยู่กับคนมอง แจง พบ”บิ๊กตู่” ไม่ใช่ ไม่เป็นกลาง/ พร้อมช่วยเลือกตั้ง แจกคู่มือ ให้ ผบ.หน่วย
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. กล่าวว่า สถานการณ์ในอนาคตข้างหน้า กองทัพบกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์หลายอย่างตามปฏิทินการเลือกตั้ง Road map ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านั้น กองทัพบกเตรียมการทำความเข้าใจของกำลังพล
ที่สำคัญที่สุดผู้บังคับหน่วยจะต้องแยกแยะภารกิจให้ออก
“เราในฐานะกองทัพบกและ เป็นทหารของชาติทหารของประชาชน มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม”
นี่คือหน้าที่ของกองทัพ กองทัพต้องทำงานให้กับรัฐบาล เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีเกิดขึ้น
ผมเรียกประชุมผู้บังคับหน่วยและเน้นย้ำในส่วนที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)และ ให้แนวทางว่า ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะจากนี้ไปก็ต้องถูกจับตา จับจ้องจากนักการเมือง
“เรายอมรับว่า ทหารขาดประสบการณ์เรื่องการเมือง อาชีพทหาร เราอยู่ในกรม กอง โอกาสพบกับประชาชนมีน้อยมาก นอกจากออกไปช่วยเหลือประชาชน เมื่อเดือดร้อนและประสบภัยต่างๆเพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์ที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอกวิถีทางการเมืองลำบาก
ผมจึงให้แนวทางของกองทัพ โดยเฉพาะ กกล.รส.เนื่องจาก เราสวมหมวก 2 ใบ คือ ในฐานะกองทัพบกและในฐานะที่เป็น คสช.
จากการเดินต่อไปนี้ ต้องระมัดระวัง ไม่ให้การเมือง เข้ามาใช้ประโยชน์ จากการช่วยเหลือประชาชน
ยืนยันว่า กองทัพช่วยเหลือประชาชน เราไม่ได้หาเสียง" พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ผบ.ทบ. ยืนยันว่า ทหารไม่มีความจำเป็นต้องหาเสียง เพราะไม่รู้จะหาเสียงไปเพื่ออะไร
การช่วยเหลือประชาชนถือเป็นหน้าที่เป็นอาชีพของทหาร ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเพื่อให้ได้เสียงมา เราช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอดในทุกภารกิจ ในทุกครั้งที่ประชาชนเดือดร้อน นี่คือหน้าที่ของทหาร โดยอาชีพ โดยจิตสำนึก และจิตอาสา
ในทางกลับกันผมอยากให้กำลังพลระมัดระวังการฉกฉวยโอกาสที่มองว่าการไปช่วยเหลือประชาชนของทหารนั้นเป็นการหาเสียง
ขอย้ำว่าเราทำมานานแล้วและอยากให้ประชาชนได้รู้ว่าทหารช่วยเหลือประชาชนด้วยอาชีพ ด้วยใจ ไม่ได้หวังผลไม่ได้ต้องการ ให้มาเลือกคนที่ไปช่วยเหลือ แต่ช่วยเหลือตามแนวทางของรัฐบาล
พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลใด เราก็ต้องดำเนินการตามแนวทางที่รัฐบาลที่ได้กำหนดไว้ เช่น ปัจจุบันรัฐบาลได้ ต่อยอดโครงการประชารัฐเป็นโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งก็มี 3 หน่วยงานหลัก ตั้งแต่ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง
โดยแบ่งเป็น 2 หมวดด้วยกัน ซึ่งก็คงทราบกันดีอยู่แล้วการสร้างความมั่นคงยั่งยืนเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ 10 ประการทั้งหมด ซึ่งทหารต้องสนับสนุนให้เดินควบคู่ไป
เห็นว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้นเป็นโครงการที่รัฐบาลมีความตั้งใจจริงต้องการให้เกิดความมั่นคงสอดคล้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ซึ่งกรมการปกครองได้แจกจ่ายคู่มือbooklet มาให้กับกองทัพบก เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายมองว่า ทหารสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า เราต้องแยกแยะภารกิจให้ออก นี่คือจุดยืนของกองทัพ ซึ่งจะชี้แจงให้ผู้บังคับหน่วยรับทราบว่า เราต้องระมัดระวัง
"จากนี้ไปถูกจับตามองแน่ เพราะกองทัพและ คสช.ก็คือเนื้อเดียวกัน ขณะนี้รัฐบาลก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่า ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเราก็ต้องทำ ผมก็ต้องทำ ไม่ว่าใคร พรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาล ไม่ต้องห่วง
ผมยืนยันและจุดยืนในการทำงานของผมในการกำหนดทิศทางๆให้กำลังพลในกองทัพบก ได้ดำเนินการ ผมทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์และเกินร้อยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครมาเป็นนายผม"
ส่วนการวางตัวเป็นกลางในสถานการณ์ข้างหน้านั้นเราเป็นทหารอาชีพ และผมผ่านวิกฤตทางการเมืองและการทหารมาทุกยุคทุกสมัยประสบการณ์ที่ตนเก็บเกี่ยวตลอดระยะเวลาที่รับราชการมาตั้งแต่สมัยเด็กๆและมาจาก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นคุณพ่อของผม จนมายืนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในทุกวันนี้
ความเป็นกลางนั้นขึ้นอยู่กับคนมอง บางครั้งเราทำเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นกลาง แต่มุมมองของคนอื่นมองว่าเราไม่เป็นกลางถามว่าจะเอาอะไรมาตัดสินหรือเป็นเครื่องวัดว่ากองทัพอยู่ตรงไหน
แต่ขอให้มั่นใจว่า กองทัพเป็นกลางและอยู่เคียงข้างประชาชนจะดำเนินการทุกอย่างให้ประชาชน อยู่ดีกินดีช่วยเหลือประชาชนทุกโอกาส
เมื่อถามว่า กองทัพจะถูกจับตามองหลัง พล.อ ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. ประกาศลงสู่การเมือง จะแยกแยะ การทำหน้าที่กองทัพกับพลเอกประยุทธ์ อย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า อยู่ที่มุมมองของคน การที่ผม ไปพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วบอกว่า ผม ไม่เป็นกลาง ถามว่าใช่หรือไม่ ก็ไม่ใช่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาลในขณะนี้ การที่ ผบ.ทบ.ไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองอื่น ขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผม ก็ต้องไปพบ แล้วบอกว่า ผม เป็นกลางหรือไม่ ความเป็นกลางอยู่ที่คนมอง ขออย่าเพิ่งตัดสิน
และขอย้ำว่ากองทัพบกเป็นมืออาชีพ เป็นทหารอาชีพ คำว่าทหารอาชีพกับอาชีพทหารแตกต่างกัน ขอความเป็นธรรมด้วย ตั้งแต่เริ่มต้นว่า เรากองทัพบกจะวางตัวเป็นกลางเราในฐานะทหารอาชีพ ใครมาเป็นรัฐบาลต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล
เมื่อถามว่า อุปสรรคในการทำหน้าที่และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น มีอะไรน่าห่วงหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า อุปสรรคของกองทัพในขณะนี้ตนคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการที่ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของกองทัพ ว่ากองทัพออกไปช่วยเหลือประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจ และการทำความเข้าใจกับกำลังพลในการลงไปปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกำลังพลนั้นบางครั้งมุมมองหรือการทำงานของเขา เป็นอุปสรรคในตัวเอง
ถามว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืน จะจบเมื่อไหร่ สมมุติว่าทหารเข้าไปแนะนำชาวบ้านตามคู่มือโครงการไทยนิยมยั่งยืน แต่โครงการไทยนิยมยั่งยืนอยู่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะบอกว่าเราสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หรืออย่างไร ซึ่งถือเป็นเรื่องลำบากขอให้แยกแยะ อยากให้ประชาชนได้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย
พล.อ.อภิรัชต์ ย้ำว่า อย่าลืมในช่วงสมัยรัฐบาลรักษาการ เมื่อปี 2552 และ 2553 เกิดวิกฤติการณ์ก่อนการเลือกตั้ง ทหารก็ต้องดำเนินการตามรัฐบาลที่รักษาการเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นอุปสรรคก็คือการทำงานและความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ที่เราเข้าไปช่วยเหลือ
ส่วนการเตรียมการการเลือกตั้งนั้น ในปัจจุบันให้หน่วยได้มีความเข้าใจตรงกันว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในปฏิทินการเลือกตั้งตามโรดแมพ ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.ป.ประกอบการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส.และ ส.ว.ซึ่งผมได้แจกจ่ายรายละเอียดให้กับ ผบ.หน่วย เพื่อให้หน่วยมีความเข้าใจว่า จากนี้ไป 90 วัน จะเกิดอะไรขึ้นอีก 150 วัน และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากผู้บังคับหน่วยเข้าใจตรงกันไปในทางเดียวกัน เราก็จะมาดูในแต่ละเรื่องการทำงานกองทัพควรจะดำเนินการอย่างไร
พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า การให้ความรู้กับประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะระบบการเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้เป็นระบบกาเบอร์เดียว ถามว่าเป็นหน้าที่ของกองทัพหรือไหม ซึ่งหาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือ ในฐานะหน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่ทหาร ต้องช่วยเหลือ ถามว่าทหารเป็นกลางหรือไม่ หรือจะไม่ให้ทหารทำอะไรเลย ไม่ต้องทำหน้าที่ ไม่ต้องสนับสนุน ไม่ต้องช่วยเหลือประชาชน ก็ไม่ใช่ เพราะเรารับเงินเดือนภาษีอากรจากประชาชน ดังนั้นเรื่องการเตรียมการเลือกตั้งเราพร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาก กกต.มาขอความช่วยเหลือในทุกๆด้าน ตั้งแต่การรักษาความปลอดภัยหรือการให้ความรู้กับประชาชน

ผบ.ทบ.ไม่รับประกันรัฐประหาร

พันโทวิทวัส รชตะนันท์ ได้ทำการสำรวจทัศนคติของทหารต่อสาเหตุของการรัฐประหาร ซึ่งแบ่งเงื่อนไขของรัฐประหารเป็น 2 ประเด็นใหญ่คือ

1. ประเด็นที่ว่าทหารจะทำรัฐประหารเมื่อสภาพทางการเมืองภายในไร้เสถียรภาพ ได้แก่ 1.1 ผู้นำทางการเมืองขาดความชอบธรรม 1.2 ความเปราะบางของรัฐบาล 1.3 ความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตย 1.4 วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ 1.5สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกกระทบกระเทือน(ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกกระทบกระเทือนเป็นสาเหตุที่สำคัญของการรัฐประหารในความเห็นของนายทหารผู้ตอบ) 
2. ประเด็นที่ว่า สาเหตุของการรัฐประหารสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขเกี่ยวกับสถาบันทหารโดยตรง ได้แก่ 2.1 ผลประโยชน์ของทหารถูกกระทบกระเทือน 2.2 ความขัดแย้งระหว่างผู้นำทหาร
สาเหตุของการแทรกแซงทางการเมืองของทหารไทย (ประชา เทพเกษตรกุล,2535 :47-50)

ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นั้น สาเหตุประการหนึ่งเกิดจากการที่ผลประโยชน์ร่วมของสถาบันทหารถูกกระทบกระเทือน ทั้งนี้เนื่องจากในระยะก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปรากฏว่าเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและภาวะดังกล่าวส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย ทำให้มีการปลดข้าราชการออกจากประจำการเพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาล และในปี 2474 พระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้ลาออกเพื่อประท้วงการที่รัฐบาลไม่ยอมขึ้นเงินเดือนทหาร ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นทั่วไป 

แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้เกิดจากพลังของอุดมการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสมัยใหม่มากกว่า ผลกระทบจากการสูญเสียผลประโยชน์ เนื่องจากคณะผู้ก่อการเห็นว่าจำเป็นต้องปกครองประเทศกันในระบบประชาธิปไตยเพราะระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบที่ล้าสมัย ทั้งนี้โดยมีการกระทบกระเทือนด้านผลประโยชน์จากที่ไม่ได้รับการเพิ่มเงินเดือนเป็นตัวเร่งให้ฝ่ายทหารทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เกิดเร็วขึ้น

สำหรับในการรัฐประหาร 4 ครั้งต่อมา คือ ในปี 2490, 2500, 2514 และ 2519 การรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มเป็นสิ่งเร้าสำคัญ โดยในการรัฐประหาร 2490 นั้นสาเหตุมากจากการที่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บทบาทของทหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารบกตกต่ำลงมาก เพราะนอกจากจะเป็นช่วงที่รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจแล้ว ฝ่ายทหารยังถูกมองว่าเป็นผู้ร่วมทำสงครามกับญี่ปุ่น 

และเกียรติภูมิของฝ่ายทหารยิ่งตกต่ำไปมากยิ่งขึ้น เมื่อฝ่ายพลเรือนภายใต้การนำของเสรีไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นฝ่ายปลดปล่อยของประเทศให้รอดพ้นจากภาวะแพ้สงคราม ผลประโยชน์ของกลุ่มทหารที่ได้รับความกระทบกระเทือนอีกประการหนึ่งก็คือ การที่รัฐบาลปลดทหารประจำการซึ่งส่วนใหญ่ไปร่วมกับญี่ปุ่นในมณฑลพายับหรือสหรัฐไทยเดิม ออกเป็นทหารกองหนุนจำนวนมากอย่างกะทันหัน โดยมิได้มีการให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านการเดินทางกลับภูมิลำเนาและสวัสดิการอื่นๆ ตามสมควร 

ทั้งนี้เพราะรัฐบาลถูกบีบบังคับจากอังกฤษ ประกอบกับรัฐบาลเองก็ประสงค์ที่จะลดกำลังทหารเพื่อลดรายจ่ายและอำนาจทางทหารลง 

ยิ่งกว่านั้นตามรัฐธรรมนูญ 2489 ยังได้ห้ามทหารประจำการดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสมาชิกรัฐสภา หรือรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งทำให้อำนาจทางการเมืองตกอยู่กับนักการเมืองพลเรือนแต่ฝ่ายเดียว 

การกระทำของรัฐบาลดังกล่าวนอกจากจะทำให้ทหารมีความรู้สึกว่าความเป็นอิสระของกลุ่มถูกคุกคามและเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของทหารแล้ว ทำให้นายทหารประจำการที่เคยมีอำนาจทางการเมืองมาก่อนและนายทหารประจำการที่ต้องการมีอำนาจทางการเมืองเกิดความไม่พอใจ การขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำที่อยู่ในอำนาจกับชนชั้นนำที่ต้องการได้อำนาจจึงเกิดขึ้น และนำมาซึ่งการรัฐประหารเมื่อ 8 พ.ย. 2490

ข้อมูลเพิ่ม:http://wiki.kpi.ac.th/index.php…