PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

'ถาวร' หนุนระบบเลือกตั้งเยอรมัน ชง กาบัตร 2 ใบ


'ถาวร' หนุนระบบเลือกตั้งเยอรมัน ชง กาบัตร 2 ใบ
.
นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนตามแนวคิดของ กรธ.ว่า ส่วนตัวเห็นว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหาการซื้อเสียง เพราะหากยังไม่มีการคิดถึงแนวทางป้องกันที่จะชี้ให้เห็นพิษภัยการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ถ้ายังไม่ให้ประชาชนเป็นผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีได้ ก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งระบบเยอรมันที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คิดไว้ น่าจะเป็นเหตุผลมากกว่าแบบจัดสรรปันส่วนผสม เช่นเดียวกับการใช้บัตรควรมี 2 บัตร คือผู้สมัคร ส.ส.เขต และผู้สมัครบัญชีรายชื่อ น่าตอบคำถามได้มากกว่า จึงอยากให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.พิจารณาตรงนี้ให้รอบคอบ
.
ส่วนกรณีจำนวน ส.ส.ระบบเขต 350 นั้น นายถาวร กล่าวว่า น่าจะคำนวณที่ประชากร 1.7 แสนคน ต่อ 1 ส.ส.เขต จะดูแลประชาชนได้ทั่วถึง โดยใช้แบบ 6 ภาคทั่วประเทศ สำหรับ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน น่าจะใช้ระบบโอเพ่นลิสต์ เพราะไม่ได้ทำให้พรรคอ่อนแอ แต่จะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง และเป็นการให้ประชาชนสามารถเลือกคนที่ต้องการเอง และเป็นการขจัดนายทุน ดังนั้นคนที่มีความรู้ความสามารถจึงไม่ต้องกลัว
.
นอกจากนี้ นายถาวร ยังกล่าวถึงกรณี ที่ กรธ.จะเพิ่มจำนวน กกต.จาก 5 คน เป็น 7 คน และทำงานเป็นรูปคณะกรรมการมากกว่าการแบ่งงานเป็น 5 ด้าน ว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้องานจะเข้มข้นขึ้น ที่ผ่านมา กกต.ตั้งรับในการทำหน้าที่ คือรอให้คนมาร้องเรียนก่อนถึงจะทำงาน และตนยืนยันว่า กกต.จังหวัดบางแห่ง สามารถซื้อความถูกต้องได้ จึงจำเป็นที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการร้องเรียน หรือนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ จึงต้องบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ส่วนวาระน่าจะอยู่แค่ 5 ปี น่าจะพอ เพราะอาจสร้างอิทธิพลได้
.
นายถาวร กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการรวมศาลรัฐธรรมนูญไว้ในหมวดศาลนั้น เพราะได้บทเรียนจากการที่ นปช.และคนในระบอบทักษิณ ไม่ยอมรับในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาขัดขวางต่อต้าน เป็นเหตุให้กระบวนการของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่เขียนให้คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันต่อทุกองค์กรต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นการเอาศาลรัฐธรรมนูญมาอยู่ในหมวดศาล ถือเป็นเรื่องที่ดี จะเกิดประโยชน์ที่จะทำให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญศักดิ์สิทธิ์
(10 พ.ย. 2558)
.
ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
‪#‎DemocratTH‬#ประชาธิปัตย์

"บิ๊กติ๊ก"ปลัดฯกลาโหม เผย ได้หนังสือลาออก ของ พลตรี เพื่อนรัก "พันเอกคชาชาต" แล้ว



"บิ๊กติ๊ก"ปลัดฯกลาโหม เผย ได้หนังสือลาออก ของ พลตรี เพื่อนรัก "พันเอกคชาชาต" แล้ว ขณะเจ้าตัว เงียบหาย ข่าวลือตรึม /ระบุ "พันเอกคชาชาต" ออกนอกประเทศ โดยไม่ขออนุญาต ผบ.เหล่าทัพ -รมว.กห.ต้องถูกสอบสวนผิดวินัย เผยรอผลสอบฯ ขาดราชการ จากกองทัพภาค3 เล็งปลดออก หากหายไปเกิน15 วัน ภายใน17พย./กก.สอบสวน ทัพ3 ยัน ออกนอกประเทศ ด่านแม่สอด 06.35 น.31ตค.
บิ๊กติ๊ก พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่า พันเอกคชาชาต บุญดี ฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 ทำผิดวินัยของการขาดราชการ ตามระเบียบต้องมี การตั้งคณะกรรมการสอบวินัย เมื่อขาดราชการเกิน 7 วัน
อีกทั้ง ตามระเบียบข้าราชการทหาร หากจะเดินทางออกนอกประเทศ ต้องทำหนังสือขออนุญาต ถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ ต้นสังก้ด และรมว.กลาโหม เป็นการล่วงหน้า ด้วย
นอกจากนี้ พลเอกปรีชา ยังยอมรับว่า นายทหารยศพลตรี อีกคนที่ถูกพาดพิง และเป็นเพื่อนสนิท ของ พันเอกคชาชาต นั้น ได้ทำหนังสือลาออก และส่งมาถึงกระทรวงกลาโหมแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แล้ว และอยู่ระหวางการพิจารณา ของกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พลตรี คนดังกล่าว หายตัวไป ตั้งแต่ยื่นหนังสือลาออก ไม่มีใครติดต่อได้ จนเกิดข่าวลือหลายกระแส
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก ทบ. กล่าวว่า ตามระเบียบการขาดราชการ เกินกว่า 7 วัน จะต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย และหากขาดราชการเกิน 15 หน่วยงานต้นสังกัดจะต้องพิจารณาเรื่องการปลดออกจากราชการทหาร
แต่ต้องดูว่ากองทัพภาคที่ 3 พิจารณาในประเด็นใดว่าเป็นการขาดราชการเพราะติดต่อไม่ได้หรือขาดราชการเพราะหนีคดีอาญา
ทั้งนี้ พลโทสมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาค 3 ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยพันเอกคชาชาต หลังขาดราชการเกิน 7 วัน เนื่องจากไม่ได้มาทำงาน ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และไม่ได้ทำหนังสือขอลาราชการหรือแจ้งหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นการขาดงาน ซึ่งหากขาดราชการนาน ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน และหากถึงวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ โดยไม่มีการติดต่อกลับมาจะมีผลให้ต้องถูกปลดออกจากราชการ
โดยคณะกรรมการสอบสวน ของกองทัพภาคที่ 3 มี พลตรีคู่ชีพ เลิศหงิม รองแม่ทัพภาค 3 เป็นประธาน ได้ดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน
โดยคณะกรรมการสอบสวนฯได้ไปตรวจสอบข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สอด จ.ตาก เพื่อขอยืนยัน ทั้งหลักฐานว่า พันเอกคชาชาต ได้เดินทางออกนอกประเทศ ไปจริง เมื่อเช้าวันที่ 31 ตุลาคม เวลา06.35 น.
จากนั้นคณะกรรมการได้นำข้อมูลทั้งหมดรวบรวมแล้วส่งเรื่องทั้งหมดให้กับกองทัพบกเพื่อพิจารณา
ทั้งนี้ตามขั้นตอนของระเบียบราชการทหาร หากกำลังพลต้องคดีอาญา ความผิดในกฏหมายมาตราที่ร้ายแรง จะต้องถูกเสนอชื่อให้ปลดออกจากราชการ และเสนอถอดยศด้วย
ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่การเสนอเรื่องขึ้นมาจากต้นสังกัด เพื่อให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้พิจารณา

รามาฯแถลงการณ์ฉบับ2 ‘ปอ-ทฤษฎี’ ฟอกไตต่อเนื่อง ความดัน-ออกซิเจนต่ำ-ยังวิกฤต



วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 18:08 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 36180 คน
 เวลา 17.30 น. วันที่ 11 พ.ย. โรงพยาบาลรามาธิบดี ออกแถลงการณ์ เรื่อง ชี้แจงอาการป่วยของ นายทฤษฎี สหวงษ์ (ปอ) ฉบับที่ 2 โดยมีใจความว่า ความคืบหน้าอาการป่วยของนายทฤษฎี สหวงษ์ (ปอ) คณะแพทย์ขอแจ้งอาการป่วย นายทฤษฎี สหวงษ์ (ปอ) ดังนี้ อาการโดยทั่วไปสามารถควบคุมอาการเลือดออกได้ แต่ยังต้องได้รับเลือด และส่วนประกอบของเลือดอยู่เป็นระยะ ส่วนภาวะไตวายเฉียบพลันยังคงที่ และยังต้องใช้เครื่องฟอกไตอยู่อย่างต่อเนื่อง

 ในช่วงบ่ายของวันนี้ ผู้ป่วยยังคงมีความดันโลหิตต่ำเป็นระยะๆ ซึ่งต้องใช้ยากระตุ้นความดันโลหิตขนาดสูง และมีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ จำเป็นต้องใช้เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ (Extracorporeal Membrane Oxygenator: ECMO)

'สร้างกระแส' ชน 'สร้างประเทศ' เปลว สีเงิน


11112558 'สร้างกระแส' ชน 'สร้างประเทศ' เปลว สีเงิน
เห็นกรี๊ดกร๊าด ตีข่าวกันยกใหญ่ ว่ารัฐบาลจะยุบ "ขุมทรัพย์-น้ำเลี้ยง" ที่ทักษิณตั้งไว้ตามห้างให้บริวารในเครือข่ายไปนั่งกินเงินเดือนคนละหลายแสน
อะไรล่ะ...ก็ที่เจ้าที่ปรึกษาหูกระต่ายเคยใช้เป็นที่สถิต ตั้งชื่อไว้ซะหรู?
"สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้" หรือ OKMD ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ TCDC อุทยานการเรียนรู้ ทีเค-ปาร์ก และมิวเซียมสยาม นั่นแหละ
ผลประชุม ครม.เมื่อวาน (๑๐ พ.ย.๕๘) ยังไม่ยุบ!
นายกฯ ประยุทธ์บอก ให้ ก.พ.ร.ประเมินผลงานและบุคลากร ภายใน ๓-๖ เดือน ว่า...
"ใช้งบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่"?
ความจริง การตรวจสอบการใช้เงินหลวงตามองค์กรต่างๆ รัฐบาล คสช.ไล่ตรวจสอบมาเรื่อยๆ ทีละแห่ง-สองแห่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เป็นสิ่งควรทำด้วยซ้ำ
โครงการ "อีลิต การ์ด" อีกแห่ง เหมือน "ข้าวเน่า" คาโกดัง!
เป็นความเลวร้ายที่ทักษิณทิ้งไว้ ทุกรัฐบาลต้องแบกภาระจ่ายทุกเดือน ชนิดมีผลได้ -๐
ก็ไม่มีรัฐบาลไหนรู้สึก-รู้สา คงเพราะไม่ใช่เงินพ่อ-เงินแม่ของใคร หากแต่เป็นเงินหลวง เงินภาษีประชาชนจ่าย จะต้องทุกข์ร้อนไปทำไม ประมาณนั้น
ต่อจากเรื่องเรียนรู้-เรียนไม่รู้.......
หวังว่ารัฐบาล คสช.จะหยิบเรื่องอีลิต การ์ดมาตัดสินใจ จะจ่ายชดเชยกันยังไง ก็ไปหาทางให้จบ แล้วเลิกกันที
ดีกว่าคาปัญหาไว้ ผลาญเงินหลวงเปล่าทีละเดือนชนิดไม่มีจุดสิ้นสุด เหมือนค่าข้าวเน่า ที่ต้องจ่ายค่าเช่าโกดังทุกเดือน
การอ้างสังคมตั้งองค์กร-หน่วยงาน แล้วเอาเงินไปผลาญ-ไปสุมหัวกินกัน โดยไม่คุ้มประโยชน์ที่ได้ ถ้าสำรวจกันจริงๆ ทั้งหมด
ปีๆ ไม่เป็นแสนล้านหรือ?
แต่ดูเหมือนแตะองค์กร-หน่วยงานไหน จะมีองครักษ์พิทักษ์หม้อข้าว ออกมาสวมหน้ากากคนดีศรีสังคม ตีเกราะ-เคาะไม้ สร้างข่าว-สร้างประเด็น ผ่านสื่อต่างๆ ให้เห็นเป็นทิศทางว่า
นี่เสียงชาวบ้านนะ...นี่งานสร้างสรรค์สังคมนะ!
ความจริง แค่พวก "เรียนมาก-สูงเล่ห์" ที่สิงหากินอยู่กับงานฉาบฉวยนั้น ไม่กี่คน-กี่แก๊งหรอก
เพียงฉลาดในการใช้วิชาการแบบซับซ้อนด้วยเล่ห์ รู้ว่ายุคนี้เป็นยุค "สื่อสารครองโลก"
ก็ใช้ความฉลาดนั้นประดิษฐ์คำ-สรรค์ประเด็น-สร้างภาพ ใช้ระบบไอที สร้างกระแสเป็นร้อย-เป็นพัน ผ่านเว็บ ผ่านโซเชียล มีเดีย รับกันเป็นทอดๆ จนดูเหมือน
"สังคมเดือด"!
ชาวบ้านจริงๆ น่ะ นอนหลับไม่รู้-นอนคู้ไม่เห็นหรอก ให้ไปถามชาวบ้านร้อยคนว่า รู้จัก OKMD, TCDC, TK-PARK มั้ยว่ามันคืออะไร?
ทั้งร้อย อาจย้อนถาม...
"รถไถนายี่ห้อใหม่หรือ?"
ในความเห็นผม เจ้าหน่วยงานพัฒนาองค์ความรู้เหล่านี้ มันมีซ้ำๆ ซ้อนๆ อยู่แล้วในหลายที่ หลายหน่วยงาน
ถ้าต้องการสร้างความรู้ให้ประชาชนจริงๆ ไม่แอบจิตตั้ง หวังเอางบมากินกันแบบกระจัด-กระจายไปทั่วละก็
ผมว่า ไม่ต้องยุบหรอก.....!
ให้รัฐบาลเชิญเหล่าปัญญาชน มากด้วยอุดมคติเพื่อสังคมชาติที่ทำมาหากินอยู่กับองค์กรนั้น มาร่วมคิดด้วยกัน
คิด...ด้วยการรวบรวมงานที่ซ้ำซ้อนกัน ซึ่งมีกระจัดกระจายไปทั่ว มาจัดหมวดหมู่เข้าด้วยกัน
ดูซิว่า อะไรจะยุบรวมกับอะไร ตรงไหนดีอยู่แล้วควรสนับสนุนให้ดียิ่งขึ้น
และแต่ละแห่ง จะทำยังไงให้ประชาชนเข้าถึงได้จริง-ได้ง่าย มากกว่าระเห็จไปตั้งอยู่บนยอดห้าง เฉพาะค่าเช่าไม่ตกเดือนละเป็นล้านๆ หรือ?
ตัวนำแต่ละคน ฟาดเงินเดือนกันเป็นแสนๆ ถึง ๕ แสนก็คงมี!
แล้วตอบด้วยจิตวิญญูชนซิว่า........?
ตั้งแต่ทำมา มีคนเรียนรู้อะไรจากตรงนี้ วัดผลได้เป็นเนื้อเป็นหนัง มากกว่าให้พวกสังคมหรู "เสพติดห้าง" กลุ่มหนึ่ง......
เข้าไปนั่งตากแอร์ เมื่อเทียบกับงบประมาณก้อนโต ที่ต้องจ่ายไปแต่ละปี?
เนี่ย...ถ้าเจตนาเพื่อสังคมจริงละก็ มาช่วยกันระดมคิดตรงนี้ให้ตกผลึกก่อน
แล้วนำผลึกนั้นไปต่อยอดสังคมชาวบ้าน เพื่อชาวบ้านนำความรู้นั้นไปต่อยอดชีวิตเขาในการดำรงอยู่ได้บ้าง
ไม่ใช่เพื่อพวกที่สิงโครงการอยู่ มีกิน!?
เห็นข่าวแว็บๆ มีอดีตรัฐมนตรีหญิงยุคทักษิณที่เกี่ยวโครงการนี้ ออกมาจีบปากถาม "รัฐบาลต้องการพาประเทศไปทางไหนกันแน่?"
วุ้ย...คมจัง
รัฐบาลเขาคงพาประเทศให้หลุดจาก "ปลิงพันธุ์ทักษิณ" ที่ฝังเขี้ยวดูดเลือดประเทศกินหน้าด้านๆ นั่นกระมังจ๊ะ?
พอดีมีคนละเรื่องเดียวกัน โดยกัลยาณชนที่ชิดเชื้อกันทางใจ อีเมล์มาให้ผมเมื่อวาน ช่วยกันอ่านหน่อยนะ
เรียน คุณเปลว สีเงิน ที่นับถือ
ตามที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยบอกแก่ผู้สื่อข่าว ถึงคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า
ควรใช้กระบวนการทางคดีต่อศาลแพ่ง เพราะศาลฎีกาเคยบอกว่าใช้ได้ นั้น
ปัญหามีว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำละเมิด ฟ้องต่อศาลแพ่งได้หรือไม่
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลแขวงธนบุรี มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวง และคดีอื่นใด ที่มิใช่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น
พระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539 อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
การทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำให้รัฐต้องเสียหายกว่าห้าแสนล้านบาท ผู้เสียหาย (รัฐ) มีอำนาจฟ้องต่อศาลปกครอง เรียกค่าสินไหมทดแทนฐานทำละเมิด ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง
ศาลปกครอง เป็นศาลยุติธรรมอื่น ตามความในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19 ท้ายวรรคหนึ่ง
ผู้เสียหายฟ้องต่อศาลแพ่งตามที่นายชูศักดิ์บอกไม่ได้ ขัดต่อกฎหมาย
ด้วยความนับถือ
เฒ่า 72
อืมมมม...ขอบคุณท่าน "เฒ่า 72" ผมเองไม่กล้าสะเออะแย้งนายชูศักดิ์ ศิรินิล หรอก
เพราะนอกจากเขาเป็นถึงระดับ "รองศาสตราจารย์" ทางกฎหมายแล้ว ยังเป็นถึงหัวคณะกฎหมายพรรคที่ประกาศ
"ไม่ยอมรับอำนาจศาล"!
ไม่เพียงแค่นั้น ยังเคยเป็นถึงรัฐมนตรี เป็นเลขาฯ นายกฯ "ผัวเจ๊แดง" และเป็นถึงอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ๒ สมัยติด
คนระดับนี้........
จะถูกโมหะด้วยอามิสครอบงำ นำกฎหมายมาบิดพูด หรือนำข้อเท็จจริงทางกฎหมายมาพูดครึ่งเดียว ให้สังคมสับสน เพื่อฝ่ายตนได้ประโยชน์ อย่างนั้น จะได้อย่างไร?
ที่พูดอย่างนั้น.......
คงกำลังฝันว่าทักษิณยึดประเทศสถาปนาแดงทั้งแผ่นดินไปแล้ว อยากใช้กฎหมายแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ คงประมาณนั้น
เฮ้อ...วันนี้ ไม่เป็นโล้-เป็นพาย ไปก่อนละ.

ศาลอุทธรณ์ริบทรัพย์'สุพจน์'อดีตปลัดคมนาคม 64 ล้าน

ศาลอุทธรณ์ริบทรัพย์'สุพจน์'อดีตปลัดคมนาคม 64 ล้าน
Cr:ผู้จัดการ
MGR Online - “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดคมนาคม ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ริบทรัพย์เพิ่มเป็นจำนวนเงินกว่า 64 ล้านบาท รวมทั้งเงินฝาก 3 บัญชี และรถโฟล์ค ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ด้านทนายจำเลยเตรียมฎีกาสู้คดี
วันนี้ (11 พ.ย.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีริบทรัพย์ หมายเลขดำ ปช.1/2555 ที่อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน ก.พ. 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม ภรรยา, น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม บุตรสาว, น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม หรือปราบใหญ่ บุตรสาว, นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขย และผู้ใกล้ชิดรวม 7 ราย ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 และมาตรา 80 (2) ซึ่งทรัพย์สินมีทั้งสิ้น 19 รายการประกอบด้วย เงินสด 17,553,000 บาทซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของสน.วังทองหลาง, เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 9 บัญชี, ทองคำรูปพรรณ น้ำหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของ สน.วังทองหลาง, โฉนดที่ดินใน กทม.พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และใน จ.นครนายก รวม 6 แปลง, ห้องชุดคอนโดมิเนียมใน กทม.มูลค่า 1.5 ล้านบาท และรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E 230 และรุ่น C 220 มูลค่า 5.2 ล้านบาท โดยการยื่นคำร้องดังกล่าวสืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วหลังจากเกิดที่เหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย. 2554 ซึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้นได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านซึ่งนายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆได้ จึงชี้มูลความผิดว่า นายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
โดยนายสุพจน์ได้ยื่นคัดค้านคำร้องอ้างว่า ทรัพย์สินนั้นผู้คัดค้านได้มีมาแต่เดิมและได้มากว่า 10 ปี การขอให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดินเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้คัดค้านเคยยื่นบัญชีแสดงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้ว และ ป.ป.ช.ไม่แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างใด
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา วันที่ 31 ม.ค. 2557 เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของนายสุพจน์ เลื่อนลอย รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่าเข้ารับราชการตั้งแต่ เมื่อ พ.ศ. 2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์ จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่าร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ. 2545 มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ ศาลจึงพิพากษาให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,141,038.83 บาทของนายสุพจน์ และที่มีชื่อของภรรยา, บุตรสาว และบุตรเขยของนายสุพจน์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยให้นายสุพจน์ส่งมอบทรัพย์สินต่อกระทรวงการคลัง ต่อมานายสุพจน์และครอบครัวได้ยื่นอุทธรณ์ โดยนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ ฝ่ายของนายสุพจน์มีเพียงนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความผู้รับมอบอำนาจเดินทางมาศาล
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าและเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สินรวม 46,141,038 .83 บาท ตกเป็นของแผ่นดินโดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สิน ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดดังกล่าวแล้วก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วย ส่วนรถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาทแม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่ฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวรจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าวกับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท
ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาท รวมกับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ภายหลังนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของนายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้มีการพิจารณาเพิ่มทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดินซึ่งขณะนี้ได้ขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มเพื่อตรวจดูรายละเอียดที่จะพิจารณาประเด็นยื่นฎีกาต่อสู้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2555 ว่านายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินซึ่งไม่สามารถชี้แจงที่มาได้จำนวน 64,998,587.52 บาท จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน
สำหรับคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ อ.347/2555 นั้น ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2556 ให้จำคุก 12 ปี และปรับ 60 บาท นายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ ใจชมชื่น จำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธและยานพาหนะ ส่วนนายเสาร์แก้ว นามวงค์ กับ นายสมบูรณ์หรือบูรณ์ ริยะเทน จำเลยที่ 2-3 จำคุก 9 ปี และปรับ 45 บาท
นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน และนายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา จำเลยที่ 4 และ 6 ให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันรับของโจร ส่วนนายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน และนายชยธัช หรือเอก จันนะชัย จำเลยที่ 8 ให้จำคุก 8 ปี ฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ส่วนนายประพันธ์ เรียงเครือ จำเลยที่ 7 พิพากษายกฟ้อง โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเป็นคดีหมายเลขแดง ที่ อ.1119/2556

′เฮลมุต ชมิดต์′ อดีตนายกฯ เยอรมนีตะวันตกถึงแก่กรรมในวัย 96 ปี


http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14472293191447229336l.jpg

เทเลกราฟรายงานว่า อดีตนายกรัฐมนตรีเฮลมุต ชมิดต์ แห่งเยอรมนีตะวันตก ผู้นำประเทศนาน 8 ปี ในช่วงระหว่างสงครามเย็น ถึงแก่กรรมด้วยวัย 96 ปี ณ บ้านพักในเมืองฮัมบูร์ก โดยสื่อท้องถิ่นเผยว่านายชมิดต์มีอาการติดเชื้อหลังเข้ารับการผ่าตัดนำลิ่มเลือดออกจากขาเมื่อ 2 เดือนก่อน

อดีตนายกรัฐมนตรีชมิดต์ หนึ่งในผู้นำที่ได้รับความนิยมที่สุดในเยอรมนี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของเยอรมนีในยุคหลังสงครามโลก โดยระหว่างยุคสมัยของเขานั้น นายชมิดต์พยายามค้านอำนาจและประนีประนอมระหว่างรัฐบาลรัสเซียที่สนับสนุนเยอรมนีตะวันออกกับฝ่ายเยอรมนีตะวันตกที่ยืนข้างองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และยุโรป

นอกจากนี้ หนึ่งในสิ่งท้าทายภายในยุคการปกครองของเขานั้นคือการรับมือกองกำลังทหารแดง (RAF) ที่ก่อเหตุโจมตีสถาบันทางการเมืองและธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงก่อเหตุสังหารและจับตัวชาวเยอรมันหลายครั้ง

ยุคการปกครองของนายชมิดต์ตั้งแต่ปี 2517 – 2525 สิ้นสุดลงหลังรัฐบาลผสมแยกตัว โดยมีนายเฮลมุต โคห์ล ผู้นำสายอนุรักษ์นิยมขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจากเขา

นายมาร์ติน ชูลซ์ ประธานรัฐสภายุโรป ทวิตข้อความแสดงความเสียใจต่อการจากไปของอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ พร้อมยกย่องการทำงานของนายชมิดต์และชี้ว่าความตายของเขาถือเป็นความสูญเสียของเยอรมนีและยุโรป

ทุ่มไม่อั้น! 4G ทะลุ 4.65 หมื่นล้าน กสทช.พร้อมเปิดเคาะราคาถึง 3 ทุ่ม



ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า  หลังจากเริ่มประมูลคลื่น 1800 MHz ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตั้งแต่ 10.00 น. ขณะนี้ผู้เข้าประมูลทั้ง 4 ราย บริษัท แอดวานซ์ไวร์เลส  เน็ทเวอร์ค จำกัด บริษัทแจส โมบาย บรอดแบนด์  บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด  บริษัททรูมูฟเอช  ยูนิเวอร์แซล จำกัด ยังคงเสนอราคาต่อเนื่อง

ล่าสุดการประมูลรอบที่ยี่สิบเอ็ด เมื่อเวลา 16.40 น. ผลปรากฏว่า  มีผู้เสนอราคาสู้ใบอนุญาตแรก 1 ราย ทำให้ราคาขยับขึ้นไปที่  22,678  ล้านบาท เท่ากับ 114% ของมูลค่าคลื่น และเสนอราคาใบอนุญาตที่สองอีก 1 ราย  ทำให้ราคาขึ้นไปที่ 23,872 ล้านบาท หรือ 120% ของมูลค่าคลื่น

ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ได้เตรียมความพร้อมหากการประมูลจะยืดเยื้อไว้แล้ว โดยหากถึงเวลา 21.00 น. ของวันนี้(11 พ.ย. 2558) จะพักการประมูล ก่อนที่จะกลับมาเริ่มประมูลใหม่ในเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พ.ย. 2558

"ถือว่าการประมูลในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเพราะราคาเกินมูลค่าคลื่นแล้ว แต่คาดว่าการประมูลไม่น่าจะลากยาวไปถึง 21.00 น. เพราะเท่ากับว่าจะทำให้ราคาพุ่งสูงไปถึง ไลเซนส์ละกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าโอเปอเรเตอร์แต่ละรายได้ประเมินความเหมาะสมในการลงทุนไว้แล้ว"

สำหรับการประมูลรอบที่ยี่สิบสอง ในเวลา 17.00  น. การเคาะเสนอราคาเพื่อชิงใบอนุญาตใบแรกจะอยู่ที่ 23,076 ล้านบาท ใบอนุญาตที่สอง ต้องเสนอราคาที่  24,270 ล้านบาท

สรุปรายได้ของรัฐที่ได้จากการประมูลรอบที่ยี่สิบเอ็ด จะอยู่ที่ 46,550  ล้านบาท

สธ. ยันไม่มีไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่



 สธ. ยันไม่มีไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ ไทยระบาดแค่ 4 สายพันธุ์ สามารถเป็นซ้ำได้ 4 ครั้ง อาการจะรุนแรงขึ้น เผยสถานการณ์ป่วยพบกว่าแสนคนแล้ว แนะ ปชช. ร่วมกำจัดลูกน้ำยุงลาย 
       
        นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณี ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ดารานักแสดงป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก และมีกระแสว่าเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ ว่า โรคไข้เลือดออกที่พบในไทยเกิดจากไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีสายพันธุ์ใหม่ ส่วนการป้องกันโรคไข้เลือดออกนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด เพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก แต่จากการประเมินสถานการณ์สัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยแต่ละจังหวัดยังคงที่ มีบางพื้นที่ที่พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนการตรวจประเมินลูกน้ำยุงลาย ยังพบว่า ภาชนะที่มีขังน้ำตามบ้านเรือน วัด และโรงเรียน มีลูกน้ำยุงลายและเกิดเป็นตัวยุง ได้กำชับให้สถานบริการและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้ทุกหมู่บ้านร่วมกันกำจัดลูกน้ำยุงลายทุกสัปดาห์ และป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด 
       
        นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะมีอาการไข้สูงลอย คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด เบื่ออาหาร หน้าแดง มีจุดเลือดที่ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล มีเลือดออกตามไรฟัน ขอให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคและรักษา หากเป็นไข้เลือดออกแล้ว ช่วงระยะไข้ลดลงในวันที่ 3 - 4 ของการป่วย หากผู้ป่วยมีอาการซึมลง กินอาหารดื่มน้ำไม่ได้ อาจเข้าสู่ภาวะช็อก ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิต ทั้งนี้ การติดเชื้อครั้งแรกอาการจะไม่รุนแรงมาก แต่การติดเชื้อครั้งที่สองที่ต่างสายพันธุ์จะทำให้เกิดอาการรุนแรง
       
        นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดี คร. กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศตั้งแต่ ม.ค.- พ.ย. 2558 พบผู้ป่วยไข้เลือดออก 102,000 ราย เสียชีวิต  102 ราย ถือว่าไข้เลือดออกระบาดหนัก แต่ไม่รุนแรงเท่าปี 2556 แต่หากพิจารณาในช่วง ต.ค.-พ.ย. พบป่วยมากขึ้นกว่าปีก่อน แต่ถือว่าผู้ป่วยเริ่มชะลอตัวลง โดยพบผู้ป่วยรายใหม่ 3,000 - 4,000 รายต่อสัปดาห์ จากช่วงที่มีการระบาดสูงสุดใน ส.ค. มีผู้ป่วย 7,000 รายต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง หากมีผู้ป่วย 1,000 ราย จะเสียชีวิต 1 ราย จาก 2 สาเหตุ คือ 1.ภาวะเลือดออก และ 2. เลือดรั่วจากเส้นเลือดและเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้
       
       “ ที่น่าสังเกตคือปีนี้อากาศร้อนค่อนข้างมาก ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสเดงกี บวกกับฝนตก ๆ หยุด ๆ ทำให้ลูกน้ำยุงลายมีปริมาณมาก และเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เมื่อมีฝนตกมากคนอยู่รวมกันหนาแน่น โอกาสที่จะแพร่ระบาดก็เพิ่มมากขึ้น เช่น นครราชสีมา เชียงใหม่ กทม. ซึ่งการป้องกันที่สำคัญที่สุดต้องกำจัดลูกน้ำยุงลาย เพราะลูกน้ำที่เกิดจากยุงลายที่มีเชื่อไข้เลือดออกก็จะมีเชื้ออยู่ในตัวเลย แต่ปัญหาคือเจ้าของบ้านไม่กำจัดทุกสัปดาห์ และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่เข้าไปกำจัดให้ภายในบ้าน จึงทำได้แค่บริเวณท่อระบายน้ำ ซึ่งไม่ตรงจุด เพราะลูกน้ำตามท่อน้ำเป็นยุงรำคาญ ” นพ.โอภาส กล่าว
       
       นพ.โอภาส กล่าวว่า ขอย้ำว่าไม่มีสายพันธุ์ใหม่ และความรุนแรงของทั้ง 4 สายพันธุ์ไม่ต่างกันมาก โดยแต่ละปีจะพบทั้ง 4 สายพันธุ์แบบวนเวียนกันไป บางปีสายพันธุ์ 2 อาจจะระบาดมากในภาคใต้ สายพันธุ์ 3 อาจจะระบาดมากในภาคเหนือ เป็นต้น ดังนั้น คนหนึ่งคนจะสามารถเป็นไข้เลือดออกได้ 4 ครั้ง แต่จะไม่ได้เกิดจากสายพันธุ์เดิม เนื่องจากร่างกายจะมีภูมิต้านทาน ทั้งนี้ การป่วยไข้เลือดออกครั้งแรกจะไม่ค่อยรุนแรงมาก แต่หากเป็นครั้งที่ 2 จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น เลือดออก และช็อกได้ ส่วนการวินิจฉัยโรค ในช่วงแรกจะแยกจากอาการไข้ทั่วไปค่อนข้างยาก ต้องเจาะเลือดตรวจ ซึ่งหากป่วยเพียง 1-2 วัน การเจาะเลือดตรวจอาจจะไม่พบเชื้อ ต้องใช้เวลา 3 - 4 วัน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลด้วย การเจาะเลือดครั้งแรกจึงอาจไม่เจอเชื้อไข้เลือดออกก็ได้ ซึ่งการรักษายังไม่มียาเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคอง ส่วนวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนยา ทั้งนี้ จากการสำรวจคนไทยรู้จักไข้เลือดออกกว่า 80% แต่มีส่วนร่วมในการป้องกันโรค กำจัดลูกน้ำยุงลายเพียง 20%

กองทัพภาค3 เล็งปลดออก"เสธโจ้"


กก.สอบสวน ทัพภาค 3 เก็บข้อมูลหลักฐาน ยัน "พันเอกคชาชาต"ออกนอกประเทศ ผ่าน ด่านแม่สอด 06.35 น.31ตค.58/"บิ๊กติ๊ก"ปลัดฯกลาโหม ระบุ ออกนอกประเทศ โดยไม่ขออนุญาต ผบ.เหล่าทัพ -รมว.กห.ต้องถูกสอบสวนผิดวินัย เผยรอผลสอบฯ ขาดราชการ จากกองทัพภาค3 เล็งปลดออก หากหายไปเกิน15 วัน ภายใน17พย.

/ปลัดกห.เผย ได้หนังสือลาออก ของ พลตรี เพื่อนรัก "พันเอกคชาชาต" แล้ว ขณะเจ้าตัว เงียบหาย ข่าวลือตรึม
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก ทบ. กล่าวว่า ตามระเบียบการขาดราชการ หากเกินกว่า 7 วัน จะต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย และหากขาดราชการเกิน 15 หน่วยงานต้นสังกัดจะต้องพิจารณาเรื่องการปลดออกจากราชการทหาร
แต่ต้องดูว่ากองทัพภาคที่ 3 พิจารณาในประเด็นใดว่าเป็นการขาดราชการเพราะติดต่อไม่ได้หรือขาดราชการเพราะหนีคดีอาญา
ทั้งนี้ พลโทสมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาค 3 ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัย พันเอกคชาชาต บุญดี ฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 หลังขาดราชการเกิน 7 วัน เนื่องจากไม่ได้มาทำงาน ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และไม่ได้ทำหนังสือขอลาราชการหรือแจ้งหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นการขาดงาน ซึ่งหากขาดราชการนาน ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน และหากถึงวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ โดยไม่มีการติดต่อกลับมาจะมีผลให้ต้องถูกปลดออกจากราชการ
โดยคณะกรรมการสอบสวน ของกองทัพภาคที่ 3 มี พลตรีคู่ชีพ เลิศหงิม รองแม่ทัพภาค 3 เป็นประธาน ได้ดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน
โดยคณะกรรมการสอบสวนฯได้ไปตรวจสอบข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สอด จ.ตาก เพื่อขอยืนยัน ทั้งหลักฐานว่า พันเอกคชาชาต ได้เดินทางออกนอกประเทศ ไปจริง เมื่อเช้าวันที่ 31 ตุลาคม เวลา06.35 น.
จากนั้นคณะกรรมการได้นำข้อมูลทั้งหมดรวบรวมแล้วส่งเรื่องทั้งหมดให้กับกองทัพบกเพื่อพิจารณา
ทั้งนี้ตามขั้นตอนของระเบียบราชการทหาร หากกำลังพลต้องคดีอาญา ความผิดในกฏหมายมาตราที่ร้ายแรง จะต้องถูกเสนอชื่อให้ปลดออกจากราชการ และเสนอถอดยศด้วย
ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่การเสนอเรื่องขึ้นมาจากต้นสังกัด เพื่อให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้พิจารณา
บิ๊กติ๊ก พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่า พันเอกคชาชาต บุญดี ทำผิดวินัยของการขาดราชการ ตามระเบียบต้องมี การตั้งคณะกรรมการสอบวินัย เมื่อขาดราชการเกิน 7 วัน
อีกทั้ง ตามระเบียบข้าราชการทหาร หากจะเดินทางออกนอกประเทศ ต้องทำหนังสือขออนุญาต ถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ ต้นสังก้ด และรมว.กลาโหม เป็นการล่วงหน้า ด้วย
นอกจากนี้ พลเอกปรีชา ยังยอมรับว่า นายทหารยศพลตรี อีกคนที่ถูกพาดพิง และเป็นเพื่อนสนิท ของ พันเอกคชาชาต นั้น ได้ทำหนังสือลาออก และส่งมาถึงกระทรวงกลาโหมแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แล้ว และอยู่ระหวางการพิจารณา ของกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พลตรี คนดังกล่าว หายตัวไป ตั้งแต่ยื่นหนังสือลาออก ไม่มีใครติดต่อได้ จนเกิดข่าวลือหลายกระแส

‘บิ๊กโด่ง’รับเรื่องจริง งาบหัวคิว!


‘บิ๊กโด่ง’รับเรื่องจริง
งาบหัวคิว!
สร้างอุทยานราชภักดิ์
แต่เคลียร์จบทางที่ดีแล้ว
บิ๊กตู่ไม่อยากให้ใครตาย
เล็งเปิดคุกเชิญสื่อเข้าดู
คดีม.112ส่งอัยการ12พย.
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม อดีต ผบ.ทบ.และประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวถึงการตรวจสอบความผิดปกติในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า เจตนาในการดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ต้นเป็นเจตนาบริสุทธิ์ มีความตั้งใจดี เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป การดำเนินการเป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการเพราะเป็นโครงการใหญ่ มีคณะกรรมการ มีคณะอำนวยการที่มี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน มีการตั้งคณะอนุกรรมการซึ่งทำงานแตกต่างกันออกไป
บิ๊กโด่งบริสุทธิ์ใจพร้อมแจง
พล.อ.อุดมเดช ยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์จริงๆ แต่อาจจะมีบางเรื่องราวที่มีปัญหา แต่คณะทำงานได้พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์หมดแล้ว การดำเนินการต่างๆ จนถึงขณะนี้คณะกรรมการและคณะทำงานทุกชุดพร้อมที่จะชี้แจง หากมีการสอบถามมาจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็มีความพร้อมที่จะชี้แจง ซึ่งความจริงการชี้แจงเป็นสิ่งที่ดีที่ประชาชนจะได้ทราบในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ข่าวที่ออกมาเท่าที่ตนดูมันออกมาเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีท่อนจบว่าออกมาด้วยดีอย่างไร
ชี้ตั้งมูลนิธิฯเพื่อแบ่งเบาภาระ
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า การดำเนินการในเรื่องนี้สมัยที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของกองทัพบกที่เข้ามาดำเนินการและแต่งตั้งลงไป แต่ในส่วนของมูลนิธิฯได้มาจัดตั้งภายหลังในช่วงท้ายของปีงบประมาณ ซึ่งการจัดตั้งมูลนิธิฯเพื่อแบ่งเบาภาระของกองทัพบก ไม่ให้การทำงานอุทยานฯไปเกี่ยวข้องกับงานอื่นแบบทาบทับกัน จึงจำเป็นต้องตั้งมูลนิธิฯ ขึ้นมา โดยมูลนิธิฯนี้ ผบ.ทบ.เป็นประธานโดยตำแหน่ง ในช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งเปลี่ยนผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วจะต้องมอบหมายให้ผบ.ทบ.คนปัจุบันและคนอื่นๆ ในอนาคตต่อไปเข้ามาเป็นประธานมูลนิธิฯโดยไม่จบสิ้น และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมารับผิดชอบ ถือเป็นการแบ่งเบาภาระ ยกตัวอย่างเรื่องงบประมาณที่เกิดขึ้นก็ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยว ควรจะแยกเป็นการเฉพาะสำหรับมูลนิธิฯขึ้นมา และย้ำว่าสิ่งต่างๆ ได้เกิดจากความตั้งใจดี สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสมบัติของชาติ ส่วนเรื่องเงินบริจาคทั้งหมดเรามีเจ้ากรมการเงินทหารบกเป็นผู้รับผิดชอบในการทำหลักฐานและรายละเอียดต่างๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าเงินเข้า–ออกจำนวนเท่าไร ใครเป็นคนบริจาค
ยอมรับมีหักหัวคิวโรงหล่อ
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่า มีเซียนพระคนหนึ่งไปไล่เก็บหัวคิวจากโรงหล่อ ตรงนี้ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า เรื่องนี้มีส่วนความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตนคิดว่าทุกวงการก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่พอเราทราบว่าน่าจะมี เราก็เข้าไปดำเนินการ โรงหล่อต่างๆ ก็มีความเข้าใจ คนที่สอดแทรกมาก็เป็นการแอบอ้าง แต่ทุกอย่างยุติลงด้วยดี สิ่งที่โรงหล่อต่างๆ อาจจะถูกหลอก โรงหล่อต่างๆ เองก็ไม่อยากให้เกิดอะไรเสียหาย เขาจึงมีการบริจาคโดยสมัครใจส่วนหนึ่ง อีกบางส่วนโรงหล่อก็นำไปใช้ในการทำองค์พระให้สมบูรณ์ ทุกอย่างจบเสร็จด้วยความเรียบร้อย สะอาด บริสุทธิ์ทุกขั้นตอน
โฆษกทบ.ย้ำชี้แจงสังคมได้
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงว่า เรื่องของอุทยานราชภักดิ์ เป็นการดำเนินการโดยมีคณะกรรมการแต่ละส่วนมาบริหารจัดการ มีลักษณะเป็นนิติบุคคลภายใต้มูลนิธิฯ โดยมี พล.อ.อุดมเดช เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างฯ และประธานมูลนิธิฯ ซึ่งกรณีมีข้อสงสัยหรือข้อกังวลในเรื่องเกี่ยวข้อง เชื่อว่าทางคณะกรรมการที่รับผิดชอบดำเนินงานในแต่ละส่วนจะมีข้อมูล และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่สามารถชี้แจงกับสังคมได้
วอนอย่าแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ชัด
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า หากกรณีเกิดข้อกังวลสงสัย ในพฤติกรรมใด ๆ ของกำลังพลในสังกัด จะด้วยพฤติกรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการทำงานส่วนตัวในหน้าที่อื่นๆ ทั่วไป สามารถประสาน หรือร้องมาอย่างเป็นทางการได้ที่กองทัพบก มั่นใจว่าถ้าพบพฤติกรรมใดเป็นเรื่องไม่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อระเบียบของกองทัพ ทางผู้บังคับบัญชาจะมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง และดำเนินการให้ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับอย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนหรือบุคคลใดๆ หลีกเลี่ยงการนำข้อมูลที่ยังไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์ตามขั้นตอนที่สมบูรณ์ หรือมีข้อมูลไม่ครบถ้วนไปเผยแพร่ เพราะอาจทำให้สังคมสับสน และมีผลต่อภาพลักษณ์ของบุคคลหรือองค์กรได้
บิ๊กป้อมโบ้ยถามบิ๊กโด่งปมทุจริต
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี มีการทุจริตในการสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า ตนได้พูดคุยกับ พล.อ.อุดมเดช มานานแล้ว ท่านก็บอกว่าทำทุกอย่างตามขั้นตอนในเรื่องของการใช้งบประมาณในการสร้าง ไม่ใช่เพิ่งคุยกัน เมื่อถามว่า มีความเชื่อมโยงกับ พ.อ.คชาชาต หรือเสธ.โจ้ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเกี่ยวกันยังไง ต้องให้ทาง พล.อ.อุดมเดช เป็นคนออกมาชี้แจงเอง เพราะเขาเป็นคนดูแลเรื่องนี้ทั้งหมด ส่วนการสืบสวนเป็นเรื่องของตำรวจ ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปตามขั้นตอน ถ้าเรื่องของกฎหมายก็เป็นส่วนของกฎหมาย แต่เรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบกองทัพก็ว่ามา ทุกอย่างต้องไม่มีบิดพลิ้วและต้องชี้แจงให้เกิดความชัดเจน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับสถาบันฯ
ฉุนถูกถามประเด็น“หมอหยอง”
เมื่อถามถึงกรณีของ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด พล.อ.ประวิตรตอบทันทีว่า “ผมไม่เกี่ยว ทำไมชอบถามยังงี้ ไม่ชอบดูโทรทัศน์หรือ เขาออกมาชี้แจงอย่างละเอียดกันหมดแล้ว แล้วยังมาถามอีก”
สั่งราชทัณฑ์ดูแลผู้ต้องหาม.112
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีการเสียชีวิตของนายสุริยัน หรือหมอหยอง ว่า ได้รายงานให้ นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว และตนได้กำชับให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ดูแล ตรวจสุขภาพของผู้ต้องหาคนอื่นๆ ในคดีดังกล่าวด้วย เพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ยอมรับว่าผู้ต้องขังทั้งประเทศที่มีประมาณ 300,000-400,000 คน อาจมีคนที่คิดฆ่าตัวตายหรือป่วยตายบ้าง อย่างไรก็ตาม จากการที่คดีดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชน และเกิดการเสียชีวิตของผู้ต้องหาในคดีนี้ติดต่อกัน 2 คน ทำให้สังคมมีการตั้งคำถาม แต่ถึงอย่างไร แม้ต้องหาถูกควบคุมตัวในพื้นที่ทหาร แต่ความรับผิดชอบต้องอยู่ที่กรมราชทัณฑ์เช่นเดิม
เล็งเปิดคุกให้สื่อเข้าตรวจสอบ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการเปิดเรือนจำให้สื่อเข้าไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่เพื่อตอบข้อสงสัยในประเด็นการคุมขังนั้น เป็นแนวคิดที่ดีแต่ต้องสอบถามอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่
บิ๊กตู่ลั่นไม่มีใครอยากให้ใครตาย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการเสียชีวิตของนายสุริยัน หรือหมอหยอง ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ตามขั้นตอนการพิสูจน์ และการชันสูตรศพของแพทย์ ซึ่งมีการแถลงว่าอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีใครอยากให้ใครตายอยู่แล้ว ซึ่งทุกเรื่องเป็นไปตามขั้นตอน ญาติพี่น้องไม่ติดใจสงสัยอะไร
จ่อทบทวนมาตรการดูแลนักโทษ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่โดยรวมสามารถรองรับนักโทษได้ทั้งประเทศ ประมาณ 1 แสนกว่าคน แต่นักโทษมีประมาณ 3-4 แสนคน โดยไม่มีการแยกว่าใครเป็นคดีหนักหรือเบา ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เสนอมาตรการเพิ่มเติมการควบคุมดูแลนักโทษในคดีลหุโทษ และนักโทษที่ประพฤติดีหรือใกล้ออกจากเรือนจำ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณพอสมควร รวมทั้งพิจารณาถึงการใช้เครื่องมือสำหรับนักโทษที่ใกล้จะพ้นโทษ โดยหลักการ เราไม่ได้ต้องการให้สร้างเรือนจำเพิ่มหรือขยายใหญ่ขึ้น แต่จะต้องทำอย่างไรให้ลดจำนวนนักโทษ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการอบรมอย่างมีคุณภาพเพื่อกลับคืนสู่สังคม ตนเชื่อว่าหากดูแลดี นักโทษจะกลับมาเป็นคนดีได้ โดยตนจะนำไปพิจารณาเข้าที่ประชุม ครม. ต่อไป
คดีม.112ส่งอัยการ12พ.ย.
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เปิดเผยหลังประชุมชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีหมิ่นสถาบัน เบื้องสูง ม.112 ว่า สำนวนคดี 13คดี ที่มี พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด,นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ตกเป็นผู้ต้องหา มีความคืบหน้าเกือบ100 % พนักงานสอบสวนเตรียมสรุปสำนวนพร้อมความเห็นส่งพนักงานอัยการในวันที่ 12พฤศจิกายนนี้ ตามที่เคยระบุว่าจะทำสำนวนให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่ สารวัตรเอี๊ยดและหมอหยอง เสียชีวิต ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำสำนวนคดีเพราะได้สอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว และขณะนี้ ยังไม่มีการออกหมายจับเพิ่มเติม
เร่งประสานตามตัวเสธ.โจ้
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวต่อไปว่า สำหรับคดีที่ พ.อ.คชาชาต ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นเบื้องสูงเพิ่มเติมนั้นเป็นคนละสำนวน และเพิ่งถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ส่วนจะมีผู้ใดถูกดำเนินคดีอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวว่าจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 4 คน ส่วนการติดตามจับกุม พ.อ.คชาชาต ที่มีข่าวว่าหลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น อยู่ระหว่างการประสานงานตามขั้นตอนและชุดสืบสวนซึ่งมี พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.เป็นหัวหน้าชุด กำลังดำเนินการอยู่
ทภ.3ชงปลด”คชาชาต”แล้ว
รายงานจากกองทัพบกแจ้งถึงความคืบหน้าภายหลังที่ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนกรณี พ.อ.คชาชาต ซึ่งขาดราชการตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาว่า ทางกองทัพภาคที่ 3 ดำเนินการตามขั้นตอนโดยมีคณะกรรมการสอบสวนที่มี พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานฯ แต่ในขณะนี้ทางศาลทหารกรุงเทพได้ออกหมายจับ พ.อ.คชาชาต ในฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องรอให้ครบกำหนดการขาดราชการ 15 วันตามระเบียบราชการทหาร ทางคณะกรรมการฯจะเสนอเรื่องให้ปลด พ.อ.คชาชาต ออกจากราชการให้กองทัพภาคที่ 3 เพื่อเสนอต่อ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ จากนั้นจะดำเนินการเสนอถอดยศตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้การกระทำความผิดมาตรา 112 นั้น เกิดขึ้นก่อนที่ พ.อ.คชาชาตจะถูกปรับย้ายมาอยู่กองทัพภาคที่ 3
ปัดข่าวเพื่อนบ้านจับตัวเสธ.โจ้
รายงานข่าวจากกองทัพบกแจ้งต่อว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าทางประเทศเพื่อนบ้านได้ควบคุมตัว พ.อ.คชาชาต ได้แล้วนั้น ทางกองทัพยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากล่าสุดทางประเทศเพื่อนบ้านประสานมาว่ายังไม่พบตัว แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ประสานและตรวจสอบตามช่องทางอยู่ว่า พ.อ.คชาชาต ยังอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ เพื่อติดตามตัวกลับมาดำเนินคดีต่อไป

กสทช. พอใจภาพรวมการประมูล 4จี



(11 พ.ย.58) พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กล่าวถึงภาพรวมการประมูล 4G คลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ว่า มีการดำเนินการด้วยความเรียบร้อย เป็นผลจากการเตรียมการประมูลที่ดีของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. ร่วมกับสำนักงาน กสทช. สำหรับมูลค่าคลื่นที่กำลังประมูลขณะนี้ สูงกว่า 4 หมื่นล้านบาท มากกว่าราคาประเมินมูลค่าเต็มของคลื่น ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จากการประมูลครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติต่อไป

ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า การประมูลในครั้งนี้ มีผลลัพธ์น่าพอใจ เนื่องจากราคาที่ผู้ประมูลเสนอสูงกว่ามูลค่าของคลื่นที่ได้ประเมินไว้แล้ว และขณะนี้การประมูลยังไม่เสร็จสิ้น ราคาประมูลยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก ทั้งนี้ ราคาคลื่นที่ประมูลออกมาสะท้อนว่าการประมูลโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีการฮั้วประมูล

สำหรับขั้นตอนหลังจากได้ผู้ชนะการประมูล สำนักงาน กสทช. จะเสนอ กทค. เพื่อรับรองผลการประมูลภายใน 7 วัน หลังจากนั้นบริษัทที่ชนะการประมูลจะต้องนำเงินมาชำระงวดแรกร้อยละ 50 ของราคาประมูล และรับใบอนุญาตใช้งานภายใน 90 วัน ส่วนงวดที่ 2 และ 3 จะชำระร้อยละ 25 ของราคาประมูล เมื่อครบกำหนด 2 และ 3 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุญาตตามลำดับ

นายฐากรกล่าวอีกว่า แม้ว่าใบอนุญาตจะถูกประมูลในราคาสูงเท่าใดก็ตาม แต่ผู้ให้บริการจะต้องให้บริการในราคาที่ถูกกว่าการให้บริการในระบบ 3G ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้อย่างแน่นอน

กกต.เมียนมาแถลงพรรค NLD ของ"ซูจี" ครองที่นั่งในสภา90%



updated: 11 พ.ย. 2558 เวลา 14:32:41 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า กกต.เมียนมา แถลงในวันนี้ (11 พ.ย. 58) ว่าพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย  หรือ พรรคเอ็นแอลดีครองที่นั่งในสภาเกือบ 90% แล้ว โดยได้ที่นั่งจำนวน 163 ที่นั่ง จาก 182 ที่นั่ง

ก่อนหน้านี้ นางออง ซาน ซู จี ให้สัมภาษณ์บีบีซีว่า เชื่อมั่นว่าพรรคเอ็นแอลดี จะได้ที่นั่งประมาณ 75% ซึ่งถือว่ามากกว่าจำนวนเสียงข้างมาก 67% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมดที่เป็นตัวเลขขั้นต่ำที่จะทำให้พรรคสามารถตั้งรัฐบาลเองได้

ทั้งนี้ รูปแบบสภาของเมียนมาจะมีทหารได้โควต้าที่นั่งในสภาจำนวนร้อยละ 25 โดย วุฒิสภาของเมียนมา มีทั้งหมดจำนวน 224 ที่นั่ง เป็นโควต้าทหารจำนวน 56 ที่นั่ง ส่วนสภาผู้แทนราษฎร มีทั้งหมดจำนวน 440 ที่นั่ง  เป็นโควต้าทหารจำนวน 110 ที่นั่ง 

150 ปี ศรีสุริยวงศ์ กับเศรษฐกิจสยาม หลังสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 

โดย พรรณราย เรือนอินทร์


สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
เป็นอีกหนึ่งประเด็นน่าจับตา สำหรับโครงการเสนอชื่อ "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)"ให้เป็น "บุคคลสำคัญของโลก" ซึ่งจะมีการยื่นต่อสหประชาชาติในปี 2561 หรืออีกราว 3 ปีข้างหน้า โดยระหว่างนี้ฝ่ายแม่งานอย่าง ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และคณะทำงาน จะทำการรวบรวมข้อมูลและเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมีการเบิกโรงไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาในสัปดาห์ของงานวันคล้ายวันพิราลัย เมื่อเดือนมกราคม 

นัยว่าเป็นการเปิดตัวโครงการดังกล่าวแก่สาธารณะ โดยมีกิมมิกคือวาระครบรอบ 150 ปีของการเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสยามในรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ 

สมเด็จช่วงฯ ถือเป็นขุนนางที่มีบทบาทสูงยิ่ง โดยเป็นสมเด็จเจ้าพระยาเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์สยาม มีชีวิตอยู่ในช่วง "เปลี่ยนผ่าน" ของบ้านเมืองในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 นั่นก็คือการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง อันส่งแรงกระเพื่อมหลายระลอกในสยาม ทั้งยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นและรากฐานสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน 

ล่าสุดจึงเกิดกิจกรรม "ตามรอย 150 ปีศรีสุริยวงศ์" ในหัวข้อ "สังคมและเศรษฐกิจหลังสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง" ซึ่งพาไปเยี่ยมชมประจักษ์พยานแห่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในห้วงเวลาดังกล่าว

พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ นักประวัติศาสตร์ ผู้รับหน้าที่เป็นวิทยากร เล่าว่า สมเด็จช่วงฯสืบทอดงานด้านการคลังตามอย่างบรรพบุรุษ "เฉกอะหมัด" ขุนนาง "กรมท่าขวา" สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งช่ำชองในการค้ากับนานาอารยประเทศ ที่สำคัญท่านยังเป็นผู้มีบทบาทอย่างสูงในการเจรจากับเซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง ขุนนางอังกฤษ ในการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ของสยามประเทศ 

"หลังการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของกรมเจ้าท่าที่มีมาแต่สมัยอยุธยาให้รองรับปริมาณการค้ากับต่างชาติที่มีเพิ่มมากขึ้นยกเลิกวิธีการค้าแบบพระคลังสินค้า ให้มีการค้าอย่างเสรี ไม่มีการผูกขาด และหนึ่งในสาระสำคัญของสัญญาก็ส่งผลให้สยามตั้งโรงภาษีหรือศุลกากร เพื่อตรวจสินค้าต่างๆ ที่นำขึ้นจากเรือและลงเรือเพื่อเก็บภาษีขาเข้าหรือขาออกด้วย"

นี่คือต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมงดงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น "โรงภาษี" หรือ "ศุลกสถาน" ตามข้อตกลงที่ว่า สยามต้องปลูกโรงภาษีใกล้ท่าจอดเรือ 

สถาปนิกผู้ออกแบบคือ มิสเตอร์โจอาคิม กราซี ชาวออสเตรีย ซึ่งเคยรังสรรค์พระที่นั่งวโรภาษพิมานอันโอ่โถงเป็นศรีสง่าแห่งพระราชวังบางปะอิน รวมถึงอาคารกรมแผนที่ทหารและกระทรวงกลาโหมเดิมอีกด้วย 

http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14472119421447212275l.jpghttp://www.matichon.co.th/online/2015/11/14472119421447212281l.jpg
"ศุลกสถาน" หรือ "โรงภาษีร้อยชักสาม"

"อาคารหลังนี้มี 3 ชั้น ใช้เป็นที่ทำการของศุลาการในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่คลองเตย เป็นงานแบบนีโอคลาสสิก บางคนเรียกว่านีโอปาเลเดียน ซึ่งมีลักษณะสมมาตรคือ มีจั่วลาด และปีกอาคาร 2 ฝั่งเท่ากัน ชั้น 3 มีห้องโถง สมัยก่อนใช้เป็นห้องเต้นรำ มีนาฬิกาขนาดใหญ่ด้านบน ถือเป็นอาคารที่ทันสมัยมากของกรุงเทพฯในยุคนั้น ซึ่งมีเรือสินค้าเข้ามาจอดทอดสมอ ติดต่อธุรกิจการค้า" จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา วิทยากรที่เชี่ยวชาญด้านศิลปกรรม อธิบายอย่างเห็นภาพ 

อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่อาจกล่าวข้ามไปสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงนั้น ก็คือการถือกำเนิดขึ้นของธนาคารแห่งแรกในสยาม ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดตั้งธนาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในนาม "แบงค์สยามกัมมาจล" หรือธนาคารไทยพาณิชย์ในทุกวันนี้ 

http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14472119421447212286l.jpg
ธนาคารแห่งแรกในสยาม "แบงค์สยามกัมมาจล"

ปิดท้ายด้วยก้าวย่างสำคัญของเศรษฐกิจสยาม คือการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มีบริษัทต่างชาติตบเท้าเข้ามาขอเปิดที่ทำการอย่างมากมายในบางกอก หนึ่งในนั้นคือ แอนเดอร์เซ่น แอนด์ โก ซึ่งส่งออกไม้สักเป็นธุรกิจหลัก ต่อมารู้จักกันในชื่อบริษัท อีสต์เอเชียติ๊ก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง

ปัจจุบันโกดังหลังเก่าอายุกว่า 100 ปี กลายเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวสุดชิคที่ตั้งชื่อตามบริษัทว่า "เอเชียทีค"

ผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติแวะเวียนมาเยี่ยมชมและช้อปปิ้งสินค้าหลากหลาย

ภาพของความรุ่งเรืองทางธุรกิจในอดีตกับการเป็นแหล่งการค้าอันคึกคักในวันนี้ ถูกซ้อนทับกันอย่างมีความหมาย

เช่นเดียวกับสมเด็จช่วงฯ ซึ่งไม่เพียงเป็นขุนนางคนสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หากแต่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย

เพราะทุกการตัดสินใจของท่านในวันนั้น ได้ส่งผลเกี่ยวพันมาถึงระบบเศรษฐกิจไทยในวันนี้ 

http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14472119421447212270l.jpg
โกดังสินค้าของ "บริษัท อีสต์เอเชียติ๊ก"

ที่มา :http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447211942

"ยิ่งลักษณ์"ทำจม.เปิดผนึกถึงนายกฯ จำนำข้าว

จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 448/2558 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 3 เมษายน 2558 อันเนื่องมาจาก ป.ป.ช. ได้ส่งความเห็นให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ดิฉันหรือผู้ที่เกี่ยวข้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อให้ได้ความว่ามีการกระทำละเมิดเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ และต้องรับผิดในผลละเมิดดังกล่าวหรือไม่ เป็นเงินจำนวนเท่าใด ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 120 วัน ขยายระยะเวลาดำเนินการได้ตามความจำเป็นครั้งละไม่เกิน 30 วัน นั้น
คดีนี้มีความสำคัญเพราะดิฉันในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลอันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มีพยานบุคคลและพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องตลอดจนวัตถุพยานได้แก่ข้าวจำนวนหลายล้านตันที่เก็บรักษาในโกดังตั้งอยู่ทั่วราชอาณาจักร ระยะเวลาที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเพียง 120 วัน แม้จะต่ออายุได้ครั้งละ 30 วันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้การตรวจสอบมีความรอบคอบและเป็นธรรมกับดิฉันผู้ถูกกล่าวหา
ความเร่งรีบดังกล่าวดิฉันเชื่อว่าน่าจะมาจากท่านนายกได้รับรายงานข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อน 2 เรื่องสำคัญคือ (1) อายุความที่จะดำเนินคดีในทางแพ่งที่เข้าใจกันว่ามีอายุความ 1 ปี หากจะฟ้องร้องทางแพ่ง หรือ 2 ปี หากใช้วิธีเรียกให้รับผิดตาม พ.ร.บ. ความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และ (2) เรื่องนี้ดำเนินการได้ทางเดียวคือออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้ดิฉันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ดิฉันขอเรียนชี้แจง ดังนี้
1. กรณีอายุความทางแพ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีความผิดทางละเมิด 1 ปี หรือ 2 ปี ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ต้องตั้งคำถามว่าเริ่มต้นนับอายุความเมื่อใด โดยหลักแล้วจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่รู้ตัวผู้ที่จะต้องรับผิดและรู้ถึงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้นแม้ทุกวันนี้อายุความก็ยังไม่เริ่มนับจนกว่าจะมีข้อยุติจากหน่วยงานรับผิดชอบในสองประการที่กล่าวมา ซึ่งหมายความว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ข้อยุติและมีความถูกต้อง เป็นธรรม ตราบใดที่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็ยังไม่เริ่มนับอายุความ นอกจากนั้นในคดีนี้ อัยการสูงสุดได้ฟ้องดิฉันในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ อม. 22/2558 อายุความที่จะเรียกร้องให้ดิฉันรับผิดในทางแพ่ง จึงถือตามอายุความทางอาญาที่ยาวกว่า ตามมาตรา 448 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติว่า "แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดที่มีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมาไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ" จึงไม่ได้มีอายุความเพียง 1 หรือ 2 ปี ตามที่ท่านนายกได้รับรายงานจนต้องมีการเร่งรัดดังกล่าว (กรณีฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อายุความคือ 15 ปี)
2. เท่าที่ดิฉันติดตามความเห็นในทางกฎหมาย การเรียกร้องให้ดิฉันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่ง อาจดำเนินการได้สองวิธีคือ
(1) โดยการฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องให้รับผิดในมูลละเมิดดังกล่าวแล้ว หรือ
(2) ใช้คำสั่งทางปกครองเรียกให้ชดใช้ตามมาตรา 8 และ 10 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งดิฉันมีข้อสังเกตว่า กรณีนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาไม่น่าจะอยู่ในบังคับของกฎหมายนี้ อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่ารัฐ มีสิทธิที่จะเลือกดำเนินการในทางใดทางหนึ่งก็ได้ไม่ใช่บทบังคับให้หน่วยงานของรัฐต้องออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้ดิฉันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2548 ระหว่าง เทศบาลนครพิษณุโลก โจทก์ นางสาวสุภาวดี พิบูลสมบัติ จำเลย
3. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับดิฉันซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาและให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องมีเวลาอย่างเพียงพอที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเรียกร้องในมูลละเมิดทางแพ่ง ดิฉันเรียนเสนอให้ท่านนายกตรวจสอบข้อกฎหมายตามที่ได้นำเรียนมาทั้งสองประเด็นข้างต้นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล หากเป็นไปตามที่ดิฉันนำเรียนคือ มิได้มีปัญหาในประเด็นอายุความและสามารถฟ้องเป็นคดีแพ่งก็ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะมีเวลาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ตลอดจนรับฟังพยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญอย่างเพียงพอไม่ต้องเร่งรีบรวบรัดจนเสียความเป็นธรรมเพราะฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาคือดิฉันไม่มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
4. นอกจากเจ้าหน้าที่จะมีเวลาดำเนินการได้อย่างเพียงพอทำให้เกิดความรอบคอบและเป็นธรรมกับฝ่ายที่ถูกกล่าวหาแล้ว หากรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังจะใช้สิทธิฟ้องเรียกร้องให้ดิฉันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดต่อศาลแพ่ง ก็จะทำให้ความกังวลของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการตรวจสอบและดำเนินคดีทางแพ่งหมดไป หมดความจำเป็นต้องออกคำสั่งหัวหน้า คสช ที่ 39/2558 ที่มีปัญหาข้อกฎหมายว่าเป็นคำสั่งที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและเป็นการเลือกปฏิบัติ ส่วนประเด็นข้ออ้างเรื่องค่าธรรมเนียมศาลนั้น หากดิฉันเป็นฝ่ายแพ้คดีก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่รัฐบาลต้องใช้ไปในการดำเนินคดีอยู่แล้ว
สิ่งที่ดิฉันเรียกร้องมาโดยตลอดคือความเป็นธรรม ด้วยการให้ศาลที่เป็นคนกลางเป็นผู้พิสูจน์ความเสียหายอันจะมีความสง่างามและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากกว่า เนื่องจากฝ่ายบริหารเป็นผู้มีส่วนได้เสียเพราะเป็นคู่กรณีโดยตรงกับดิฉัน แต่กลับมาออกคำสั่งทางปกครองแทนศาลเรียกร้องให้ดิฉันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงไม่เป็นธรรม
5. ดิฉันขอเรียนยืนยันว่าดิฉันเป็นผู้บริสุทธิ์และพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่กระบวนการที่เร่งรีบคือการไม่เปิดโอกาสให้ดิฉันได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ซึ่งขัดกับสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
ดังนั้น สิ่งที่ดิฉันเรียกร้องต่อท่านอีกครั้งในวันนี้จึงเป็นเพียงการขอโอกาสให้ดิฉันในการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ว่าดิฉันมิได้ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย เนื่องจากยังมีระยะเวลาเพียงพอที่จะทำให้เกิดความรอบคอบและเป็นธรรมกับดิฉันได้
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
11 พฤศจิกายน 2558

กกต.พม่ารับรองผล 'ออง ซาน ซูจี' ชนะเลือกตั้ง ส.ส. - NLD ได้ 163 ที่นั่ง ส.ส.-ส.ว.

กกต.พม่ารับรองผล 'ออง ซาน ซูจี' ชนะเลือกตั้ง ส.ส. - NLD ได้ 163 ที่นั่ง ส.ส.-ส.ว.

กกต.พม่าประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส. เพิ่ม 61 เขต พรรคเอ็นแอลดีได้เพิ่ม 56 ที่นั่ง รวมทั้ง 'ออง ซาน ซูจี' ชนะเลือกตั้งที่กอหมู่ ชานนครย่างกุ้งด้วย ทำให้ขณะนี้มีที่นั่ง ส.ส. และ ส.ว. ของพรรคเอ็นแอลดีคือ 163 ที่นั่ง พรรครัฐบาลยูเอสดีพีได้ 10 ที่นั่ง พรรคไทใหญ่ SNLD ได้ 4 ที่นั่ง
ผู้สนับสนุนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งหน้าที่ทำการพรรคเมื่อ 8 พ.ย. 2558 ล่าสุดวันนี้ (11 พ.ย.) กกต.พม่า รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. เขตก่อหมู่ โดยผลการเลือกตั้งผู้ชนะ ส.ส. เขตนี้คือ ออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี (ที่มา: แฟ้มภาพ/ประชาไท)

11 พ.ย. 2558 - เมื่อเวลา 10.08 น. ตามเวลาท้องถิ่น คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ (UEC) หรือ กกต.พม่า ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งครั้งที่ 10 โดยเป็นการรับรองผลที่นั่งในสภาประชาชน (Phithu Hluttaw) หรือ ส.ส. 61 เขต โดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ได้ ส.ส. เพิ่ม 56 ที่นั่ง ในจำนวนนี้มีเขตเลือกตั้งอำเภอกอหมู่ (Kawmhu) เมืองชนบทอยู่ทางทิศใต้ของนครย่างกุ้ง โดยออง ซาน ซูจี ประธานพรรคเอ็นแอลดี ชนะเลือกตั้งที่เขตนี้
นอกนั้นเป็นของพรรครัฐบาล พรรคสหภาพเพื่อความสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDP ได้ ส.ส. เพิ่ม 3 ที่นั่ง จากอำเภอมะชันผ่อ รัฐคะฉิ่น อำเภอเมืองสาด รัฐฉาน และอำเภอยอบวย ภาคมัณฑะเลย์
ด้านพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยรัฐฉาน หรือ SNLD ได้ ส.ส. เพิ่ม 2 ที่นั่ง ในอำเภอจ็อกเม และอำเภอหมู่เจ่ รัฐฉาน
ทำให้ล่าสุด การประกาศผลการเลือกตั้งทั้ง 3 ระดับ คือ สมาชิกสภาประชาชน (Phithu Hluttaw) หรือ ส.ส. สมาชิกสภาชนชาติ (Amyotha Hluttaw) หรือ ส.ว. และ สภาท้องถิ่นแห่งภาคหรือรัฐ (State/Region Parliament) มีการประกาศผลแล้ว 415 ที่นั่ง จากที่มีการเลือกตั้ง 1,171 ที่นั่ง
โดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้ ส.ส. 134 ที่นั่ง ส.ว. 29 ที่นั่ง รวม 163 ที่นั่ง
พรรคสหภาพเพื่อความสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ได้ ส.ส. 8 ที่นั่ง ส.ว. 2 ที่นั่ง รวม 10 ที่นั่ง พรรคสันนิบาตแห่งชาติรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตย (SNLD) ได้ ส.ส. 4 ที่นั่ง ยังไม่ได้ ส.ว.
พรรคคองเกรสโซมีเพื่อประชาธิปไตย (Zomi Congress for Democracy Party - ZCD) ได้ ส.ส. 1 ที่นั่ง และ ส.ว. 1 ที่นั่ง รวม 2 ที่นั่ง
พรรคประชาธิปไตยว้า (Wa Democracy Party หรือ WDP) ได้ ส.ส. 1 ที่นั่ง พรรคประชาธิปไตยรัฐคะฉิ่น (Kachin State Democratic Party หรือ KSDP) ได้ ส.ส. 1 ที่นั่ง และมีผู้สมัครอิสระได้ ส.ว. 1 ที่นั่ง
ส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาประจำภาค 7 สภา และสภาประจำรัฐ 7 สภา รวม 14 สภา ขณะนี้ประกาศผลแล้ว 212 ที่นั่ง จากทั้งหมดที่มีการแข่งขัน 679 ที่นั่งใน 7 สภาประจำภาค และ 7 สภาประจำรัฐ ขณะนี้พรรค NLD ได้ที่นั่งในสภาท้องถิ่น 182 ที่นั่ง พรรค USDP ได้ 19 ที่นั่ง พรรคสันนิบาตแห่งชาติรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตย SNLD ได้ 4 ที่นั่ง พรรคประชาธิปไตยว้า WDP ได้ 2 ที่นั่ง พรรคประชาธิปไตยรัฐคะฉิ่น KSDP ได้ 2 ที่นั่ง พรรคชาติมอญ (Mon National Party - MNP) ได้ 1 ที่นั่ง พรรคประชาชนกะเหรี่ยง (Kayin People's Party) ได้ 1 ที่นั่ง