โดย พรรณราย เรือนอินทร์
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) |
นัยว่าเป็นการเปิดตัวโครงการดังกล่าวแก่สาธารณะ โดยมีกิมมิกคือวาระครบรอบ 150 ปีของการเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสยามในรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์
สมเด็จช่วงฯ ถือเป็นขุนนางที่มีบทบาทสูงยิ่ง โดยเป็นสมเด็จเจ้าพระยาเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์สยาม มีชีวิตอยู่ในช่วง "เปลี่ยนผ่าน" ของบ้านเมืองในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 นั่นก็คือการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง อันส่งแรงกระเพื่อมหลายระลอกในสยาม ทั้งยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นและรากฐานสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน
ล่าสุดจึงเกิดกิจกรรม "ตามรอย 150 ปีศรีสุริยวงศ์" ในหัวข้อ "สังคมและเศรษฐกิจหลังสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง" ซึ่งพาไปเยี่ยมชมประจักษ์พยานแห่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในห้วงเวลาดังกล่าว
พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ นักประวัติศาสตร์ ผู้รับหน้าที่เป็นวิทยากร เล่าว่า สมเด็จช่วงฯสืบทอดงานด้านการคลังตามอย่างบรรพบุรุษ "เฉกอะหมัด" ขุนนาง "กรมท่าขวา" สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งช่ำชองในการค้ากับนานาอารยประเทศ ที่สำคัญท่านยังเป็นผู้มีบทบาทอย่างสูงในการเจรจากับเซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง ขุนนางอังกฤษ ในการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ของสยามประเทศ
"หลังการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของกรมเจ้าท่าที่มีมาแต่สมัยอยุธยาให้รองรับปริมาณการค้ากับต่างชาติที่มีเพิ่มมากขึ้นยกเลิกวิธีการค้าแบบพระคลังสินค้า ให้มีการค้าอย่างเสรี ไม่มีการผูกขาด และหนึ่งในสาระสำคัญของสัญญาก็ส่งผลให้สยามตั้งโรงภาษีหรือศุลกากร เพื่อตรวจสินค้าต่างๆ ที่นำขึ้นจากเรือและลงเรือเพื่อเก็บภาษีขาเข้าหรือขาออกด้วย"
นี่คือต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมงดงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น "โรงภาษี" หรือ "ศุลกสถาน" ตามข้อตกลงที่ว่า สยามต้องปลูกโรงภาษีใกล้ท่าจอดเรือ
สถาปนิกผู้ออกแบบคือ มิสเตอร์โจอาคิม กราซี ชาวออสเตรีย ซึ่งเคยรังสรรค์พระที่นั่งวโรภาษพิมานอันโอ่โถงเป็นศรีสง่าแห่งพระราชวังบางปะอิน รวมถึงอาคารกรมแผนที่ทหารและกระทรวงกลาโหมเดิมอีกด้วย
"ศุลกสถาน" หรือ "โรงภาษีร้อยชักสาม"
"อาคารหลังนี้มี 3 ชั้น ใช้เป็นที่ทำการของศุลาการในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่คลองเตย เป็นงานแบบนีโอคลาสสิก บางคนเรียกว่านีโอปาเลเดียน ซึ่งมีลักษณะสมมาตรคือ มีจั่วลาด และปีกอาคาร 2 ฝั่งเท่ากัน ชั้น 3 มีห้องโถง สมัยก่อนใช้เป็นห้องเต้นรำ มีนาฬิกาขนาดใหญ่ด้านบน ถือเป็นอาคารที่ทันสมัยมากของกรุงเทพฯในยุคนั้น ซึ่งมีเรือสินค้าเข้ามาจอดทอดสมอ ติดต่อธุรกิจการค้า" จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา วิทยากรที่เชี่ยวชาญด้านศิลปกรรม อธิบายอย่างเห็นภาพ
อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่อาจกล่าวข้ามไปสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงนั้น ก็คือการถือกำเนิดขึ้นของธนาคารแห่งแรกในสยาม ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดตั้งธนาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในนาม "แบงค์สยามกัมมาจล" หรือธนาคารไทยพาณิชย์ในทุกวันนี้
ธนาคารแห่งแรกในสยาม "แบงค์สยามกัมมาจล"
ปิดท้ายด้วยก้าวย่างสำคัญของเศรษฐกิจสยาม คือการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มีบริษัทต่างชาติตบเท้าเข้ามาขอเปิดที่ทำการอย่างมากมายในบางกอก หนึ่งในนั้นคือ แอนเดอร์เซ่น แอนด์ โก ซึ่งส่งออกไม้สักเป็นธุรกิจหลัก ต่อมารู้จักกันในชื่อบริษัท อีสต์เอเชียติ๊ก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง
ปัจจุบันโกดังหลังเก่าอายุกว่า 100 ปี กลายเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวสุดชิคที่ตั้งชื่อตามบริษัทว่า "เอเชียทีค"
ผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติแวะเวียนมาเยี่ยมชมและช้อปปิ้งสินค้าหลากหลาย
ภาพของความรุ่งเรืองทางธุรกิจในอดีตกับการเป็นแหล่งการค้าอันคึกคักในวันนี้ ถูกซ้อนทับกันอย่างมีความหมาย
เช่นเดียวกับสมเด็จช่วงฯ ซึ่งไม่เพียงเป็นขุนนางคนสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หากแต่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เพราะทุกการตัดสินใจของท่านในวันนั้น ได้ส่งผลเกี่ยวพันมาถึงระบบเศรษฐกิจไทยในวันนี้
โกดังสินค้าของ "บริษัท อีสต์เอเชียติ๊ก"
ที่มา :http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447211942
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น