PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปิดขุมข่ายธุรกิจ"ม่วงนวล"

ขุมธุรกิจ“อัครพงศ์ปรีชา-ม่วงนวล”คดี“พงศ์พัฒน์” 

เขียนวันที่ 
วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา 20:15 น.
เขียนโดย
isranews

เปิดขุมข่ายธุรกิจ สุดาทิพย์ - ณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา – พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผู้ถูกกล่าวหาคดีอ้างสถาบันเบื้องสูงแสวงหา ปย. -บุกรุกแผ้วถางป่า เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เจ้าของร้านอาหาร – รีสอร์ต 

PIC-akrapongpreecha-27-11-57 1

กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลในข้อหาแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เชื่อมโยงกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีต ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เพิ่มอีก 5 ราย วันที่ 26 พ.ย.57 ได้แก่ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ ตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้

(อ่านประกอบ :พลิกปูมหลังลึก 5 ผู้ต้องหา คดีอ้างสถาบันเบื้องสูงเครือข่าย“พงศ์พัฒน์” )

ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล (นามสกุลเดิมอัครพงศ์ปรีชา) พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล สามี ผู้ต้องหาคดีบุกรุกแผ้วถางป่า เป็นเจ้าของธุรกิจอย่างน้อย 2 แห่ง คือ 

1.บริษัท ศิรินทิพย์ จำกัด จดทะเบียนชื่อ บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด วันที่ 23 มี.ค.49 ทุน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ที่ตั้งเลขที่ 999 ชั้น 4 คอนคอร์ส เอฟ หมู่ที่ 1 ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ. สมุทรปราการ ผู้ถือหุ้น 7 คน 3 ใน 7 คน คือ นางสุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา 899 หุ้น นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 300 หุ้น นายโกวิท ม่วงนวล (ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น มิได้ใส่ยศตำรวจ) และ บุคคลในครอบครัวคนใกล้ชิดอีก 4 คน รวม 2,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท 
แจ้งผลประกอบการปี 2556 มีรายได้ 27,272,433 บาท กำไรสุทธิ 565,455 บาท ปี 2555 รายได้ 26,058,858 บาท กำไรสุทธิ 360,919 บาท 

และได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด เมื่อ 25 ส.ค.57 

PIC-อครพงศปรชา-1

ก่อนหน้านี้วันที่ 18 ก.พ.52 สื่อมวลชนฉบับหนึ่งรายงานว่า พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ให้สัมภาษณ์ว่าครอบครัวเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านอนันตธารา ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ร้านดังกล่าวตั้งชื่อตามคำนำหน้าของพี่น้องของภรรยา โดยเป็นการร่วมหุ้นระหว่าง ครอบครัวของภรรยาคือ ปณิดา ณรงค์ และ สุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา 

2.ธุรกิจรีสอร์ตในพื้นที่ หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ. สวนผึ้ง จ. ราชบุรี 

จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อ 5 ก.ย.57 เว็บไซต์สื่อมวลชน แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร http://btknewsonline.blogspot.com/2014/09/thank-you-party.html) ได้รายงานว่า เมื่อ 4 ก.ย.57 มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์และ เกษียณอายุราชการของ ร.ต.ท.ธรรมรัตน์ อภิพัฒน์ธนาโชติ รอง สว.( ป ) ส.ทล. 1 กก.2 นฐ. ที่รีสอร์ตแห่งนี้ มี นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ นายก อบจ.สมุทรสาคร พ ต.อ. โกวิท ม่วงนวล พร้อมภรรยา นาง สุดาทิพย์ ม่วงนวล ร่วมงาน โดยระบุข้อความว่า พ ต.อ. โกวิท ม่วงนวล เอื้อเฟื้อสถานที่ (ดูภาพประกอบ) 

PIC-ธรกจอครพงศปรชา-1 2

PIC-ธรกจอครพงศปรชา-2

PIC-ธรกจอครพงศปรชา-3 1

นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า นางสุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา เคยลงประกาศเปิดรับสมัคร พนักงานต้อนรับ/การตลาด/บัญชี จำนวน 5 ตำแหน่ง ผ่านเว็บไซต์แห่งหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.โกวิท และ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนให้ประกันตัวไปแล้วโดยให้เหตุผลว่าข้อกล่าวหาของบุคคลทั้งสองมีโทษสถานเบา 

สำหรับ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา และ นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา ยังไม่พบชื่อถือหุ้นธุรกิจ 

เท่ากับจนถึงขณะนี้มีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ จำนวน 17 ราย แบ่งเป็น 

ครั้งแรก ออกหมายจับเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 57 จำนวน 10 ราย 1.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 2.พล.ต.ท.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. 3.พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน 4.พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ 5.พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล 6.ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา 7.ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง 8.นางสวงค์ มุ่งเที่ยง 9.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช 10.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล

ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 57 อีก 2 ราย คือ นายชอบ ชินนะประภา และนางปิยพรรณ ชินนะประภา และครั้งที่สาม ล่าสุด 26 พ.ย.57 จำนวน 5 ราย 

บิ๊กอ๊อดยังมีคนเกี่ยวข้องคดีอีกมาก

ฟีดข่าติดตาม

บิ๊กอ๊อด’โชว์บัญชีส่วย จ่อถอดยศ‘พงศ์พัฒน์’ เด้ง3พตอ.ของบก.รน.


“สมยศ” แถลงโชว์บัญชีส่วยน้ำมันเถื่อน “เสี่ยโจ้” พัวพัน ตำรวจน้ำกับเจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วย แย้มมีบันทึกรายการ “รองโส-ผู้กำกับโยะ” เกี่ยวข้อง มียอดสูง 12 ล้านบาท “ประวุฒิ” สั่งเด้งเข้ากรุทันที 3 พ.ต.อ. สังกัด บก.รน. จ่อถอดยศ “พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” กับพวกหมิ่นสถาบันอย่างน้อย 7 คน นครบาลออกหมายจับเพิ่มแก๊งทวงหนี้อีก 5 คน พฤติกรรมอุ้มข่มขู่เจ้าหนี้ลดยอดหลายสิบล้านบาท บังคับพาเข้าบ้านย่านทวีวัฒนา อ้างเป็น “พระอนุชา” เจรจาทวงหนี้ กรมศิลปากรรับของกลางวัตถุโบราณกว่า 20,000 ชิ้นไปตรวจสอบแล้ว ขอเวลา 2 เดือน ชี้ชัดเป็นของจริงหรือของปลอม คะเนบางชิ้นเก่าแก่อายุราว 1,200 ปี


การขยายผลเครือข่ายร่วมกระทำความผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.รวมถึงขบวนการใช้ตำแหน่งหน้าที่แอบอ้างสถาบันงาบผลประโยชน์กองมหาศาลจากส่วยของธุรกิจผิดกฎหมาย ซื้อขายเก้าอี้แต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่ถูกมองว่า สามารถสร้างมูลค่าขุมทรัพย์นับพันล้านบาทแก่อดีตผู้นำสอบสวนกลาง ยังเป็นที่จับตาของสังคมอย่างต่อเนื่อง


@@ผบ.ตร.เผยโพยส่วย “เสี่ยโจ้”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 28 พ.ย. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แถลงความคืบหน้า เกี่ยวกับส่วยน้ำมันเถื่อนที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.กับพวกว่า ได้รับ ข้อมูลบัญชีส่วย และบัญชีที่มีการจดบันทึกของผู้ต้องหาที่หลบหนีว่า มีการจ่ายเงินให้ใครบ้าง บัญชีเหล่านี้เป็นบัญชีที่ฝ่ายความมั่นคงตรวจยึดมาได้จากบ้าน “เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว มีรายละเอียดในการใช้จ่ายเงินทอง มีหลายหน่วยงานเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ มีการบันทึกถึงผู้การอะไร ผู้กำกับอะไร มีที่เป็นชื่อเล่นอย่างรายการของรองโส รายการของผู้กำกับโยะ และยังรวมถึงหน่วยงานอื่น เช่น ผอ.ปราบปรามทางทะเลหลายหน่วยเข้ามาเอี่ยว

พล.ต.อ.สมยศเผยว่า ทำให้เห็นหลายหน่วยงานเข้ามามีผลประโยชน์และเกี่ยวข้องกับขบวนการน้ำมันเถื่อน ขอเรียนว่า ตนจะรับผิดชอบในส่วนของตำรวจที่ปรากฏชื่ออยู่ในบัญชีนี้ สำหรับชื่อเล่นที่เอ่ยชื่อมา เชื่อว่าใน บก.รน.คงจะทราบดีว่าเป็นใคร ดังนั้น ขอยืนยันว่า ตนมีบัญชีรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องของการค้าน้ำมันเถื่อนจริงไม่ใช่การอุปโลกน์ขึ้นมา แต่รายละเอียดไม่สามารถให้สื่อมวลชนดูได้ ตนจะดำเนินการทำขึ้นมาอีก 2 ชุดส่งมอบให้พนักงานสอบสวนในคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ คือ บก.ป.ที่ดำเนินการด้านสืบสวน และ บช.น.ที่ดำเนินการด้านสอบสวน ใครก็แล้วแต่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องรับผลประโยชน์เกี่ยวกับขบวนการผิดกฎหมาย สมควรที่จะได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย


@@ยอดเงินสูงถึง 12 ล้านบาท

ผบ.ตร.เผยอีกว่า จากการตรวจสอบพบยอดเงินสูงที่สุดอยู่ที่ 12 ล้านบาท มีบันทึกครั้งละ 2 ล้านบาท ถึง 5 ล้านบาท ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาบางบันทึกไม่ทราบว่า เป็นของหน่วยงานไหน เช่น คจช. ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายจากการหาข่าวในหน่วยงานต่างๆ เช่น ค่าส่งข่าวในศาล ค่าตั๋วเครื่องบิน อั่งเปา เห็นได้ว่า มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้ หรือที่มีชายฝั่งติดทะเล ทุกอย่างต้องมีการดำเนินการสอบสวนต่อไป ถ้าหน่วยงานไหนมีการร้องขอมาจะดำเนินการส่งบัญชีเหล่านี้ไปให้ ตนยังได้รับการประสานจากทาง ปปง.ให้เร่งรัดคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการน้ำมันเถื่อน แต่ที่ผ่านมาปรากฏว่าหยุดนิ่ง ไม่มีการดำเนินการต่อ ทำให้ ปปง.ไม่สามารถทำงานได้ต่อ ตนจึงได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบสวนดำเนินการเร่งรัดโดยเร็ว และรายงานให้ทราบทุก 15 วัน ตรงนี้ตนไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมเรื่องถึงไม่เดิน ไม่มีความคืบหน้า ผู้ที่รับผิดชอบจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ถ้ายังอยู่เฉยๆ ตนก็ต้องทำอะไรสักอย่าง


@@“ประวุฒิ” ติวเข้มลูกน้อง

ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.ผบช.ก. เป็นประธานประชุมมอบนโยบายแก่ตำรวจในสังกัด บช.ก. ที่ห้องประชุมชั้น 4 บช.ก. ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการพูดคุยในกระบวนการทำงานในสังกัด บช.ก. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการจับผิดใคร ว่ากันตามพยานหลักฐาน ต้องการให้ทุกคนตั้งใจทำงานกอบกู้ภาพลักษณ์ของ บช.ก. จากนี้จะเน้นการปราบปรามกลุ่มมือปืนรับจ้าง บุคคลที่ถูกออกหมายจับ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ป่าไม้ และแก๊งชาวต่างประเทศที่เข้ามากระทำความผิดใน ประเทศไทย โดยจะมีการประเมินผลงานของแต่ละ บก.ในสังกัดในรอบ 1 เดือนว่า มีผลงานเป็นอย่างไร และการประเมินจะมีผลต่อการดำรงตำแหน่งของ ผบก. แต่ละหน่วยงานด้วย พร้อมยกเลิกชุดเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด


@@เด้ง 3 พ.ต.อ.ตำรวจน้ำ

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผกก. 5 บก.รน. พ.ต.อ.ธนชาติ ศุภวุฒิ ผกก.7 บก.รน. และ พ.ต.อ.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้บังคับการเรือ (สบ 4) กลุ่มงานเรือตรวจการณ์ฯ บก.รน.มาปฏิบัติราชการที่ศปก.บช.ก. เนื่องจากการสอบสวนเบื้องต้น พบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ และเพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใส


@@จ่อถอดยศ “พงศ์พัฒน์” กับพวก

“ขณะเดียวกันยังเตรียมพิจารณาถอดยศ พล.ต.ท.พงศพัฒน์และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับข้อหาหมิ่นสถาบัน และข้อหาอื่นๆ อย่างน้อย 7 คน แต่ต้องรอพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมจะออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง และมีพฤติการณ์ทวงหนี้อีกอย่างน้อย 3 คน ทั้งหมดมีพฤติกรรมควบคุมตัวผู้เสียหายไปไว้ย่านพุทธมณฑล สำหรับทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์พบมีการนำเงินสดบางส่วนออกนอกประเทศไปร่วมลงทุน เจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามเส้นทางการเงิน และตรวจสอบทรัพย์สินที่ยังอยู่ภายในประเทศอีกจำนวนมาก ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะเร่งสรุปสำนวนภายใน 30 วัน เพื่อส่ง ป.ป.ช. แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการโอนย้ายไปเป็นคดีพิเศษ” รรท.ผบช.ก.กล่าวพร้อมยืนยันว่า ตำรวจสอบสวนกลางยังมีขวัญกำลังใจที่ดี และจะกลับมาทำงานเพื่อประชาชนกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา


@@“ศรีวราห์” แจงคดีแก๊งทวงหนี้

ที่ บช.น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. แถลงถึงความคืบหน้าคดีจับกุมนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ กลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบันเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ทวงหนี้หน่วงเหนี่ยวกักขังและกรรโชกทรัพย์ โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า หลังจากสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดแล้วเรียบร้อยแล้ว พนักงาน สอบสวนมีการแจ้งดำเนินคดีเพิ่มเติม ข้อหาตามมาตรา 112 ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ และคดีพกพาอาวุธปืน จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาทุกข้อหา


@@มีหมายจับเพิ่มล่าอีก 5 คน

พล.ต.ท.ศรีวราห์อธิบายต่อว่า พฤติกรรมผู้ต้องหาเป็นอย่างไร มีการแอบอ้างสถาบันหรือไม่ และมีความเชื่อมโยง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์อย่างไร ตนเปิดเผยไม่ได้ เพราะอยู่ในสำนวนคดี แต่สั่งการทุก สน.ในสังกัดนครบาลตรวจสอบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเคยก่อคดีมาแล้วอีกหรือไม่ ถ้าพบก็ให้รายงานให้ทราบโดยด่วน จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในท้องที่ สน.วัดพระยาไกร มี 8 คน นำโดย นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และนายชากานต์ ภาคภูมิ ร่วมกับพวกอีก 5 คน พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 5 คนที่ยังหลบหนีแล้วอยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี


@@อุ้มขู่เจ้าหนี้ให้ลดยอด

ด้าน พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา 2 คดี ท้องที่ สน.พระโขนง และท้องที่ สน.วัดพระยาไกร โดยมีนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และนายชากานต์ ภาคภูมิ ร่วมก่อเหตุทั้ง 2 คดี รายละเอียดของคดีท้องที่ สน.วัดพระยาไกร เหตุเกิดเดือน มิ.ย.57 ผู้เสียหายเป็นเจ้าหนี้มูลค่า 100 กว่าล้านบาท กลุ่มผู้ต้องหาไปเจรจาและข่มขู่ผู้เสียหายบังคับให้ลดหนี้ลงเหลือประมาณ 20 ล้านบาท ก่อนพยายามจะไปอุ้มผู้เสียหาย แต่เหยื่อขัดขืน ส่วนคดีท้องที่ สน.พระโขนง กลุ่มผู้ต้องหาไปทวงหนี้ผู้เสียหายมูลค่า 30 ล้านบาทข่มขู่และกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย มีพฤติกรรมรับจ้างทวงหนี้ และบังคับให้ลดหนี้ จากนั้นหักรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะร้อยละ 20-30 ส่วนมีข้าราชการไปเกี่ยวข้องหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบให้ชัดเจน


@@พาค้นบ้านก่อนส่งฝากขัง

ต่อมาเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน และฝ่ายสืบสวน ควบคุมตัวนายชากานต์ ภาคภูมิ ไปค้นบ้านย่านท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. หาหลักฐานเพิ่มเติม จากนั้นควบคุมตัวกลับมาที่ บช.น. ทำแผนประกอบคำรับสารภาพชี้ยืนยันของกลาง ปืน 9 มม. พร้อมกระสุนปืนลูกซองและรถตู้โตโยต้าอัลพาร์ดในการก่อเหตุ ก่อนนำตัวส่งศาลจังหวัดพระโขนงเพื่อฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา กับพวก 3 คน ในข้อหากรรโชกทรัพย์ทวงหนี้, ข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธและทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย หรือเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ร่วมกันมีอาวุธปืน และพาอาวุธปืนไปในเมือง โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง


@@อ้างพระอนุชาออกโรงเจรจา

วันเดียวกัน ศาลจังหวัดพระโขนงได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยระบุคำร้องพนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2557 เวลา 07.30 น. นายชากานต์ ผู้ต้องหาที่ 5 พร้อมกับพวกรวม 5 คน มาดักรอนายวิทยา ปัญญาทวีกูล ผู้เสียหาย ที่หน้าบ้านพักเลขที่ 869/8 ซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม. ใช้ปืนขู่บังคับไปที่บ้านหลังหนึ่งย่านพุทธมณฑลสาย 3 แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม. พบกับนายณัฐพล ผู้ต้องหาที่ 1 แนะนำตัวเองเป็นพระอนุชาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ แล้วบังคับให้ติดต่อบุคคลที่รู้จักไปเจรจาเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่กับนาย ป. ผู้เสียหายพยายามติดต่อบุคคลผู้ใกล้ชิดให้ไปพบพวกผู้ต้องหาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใกล้วัดศรีเอี่ยม ถนนบางนา-ตราด แต่บุคคลนั้นไม่ยอมออกมาพบผู้ต้องหา จึงควบคุมตัวนายวิทยาไว้ กระทั่งวันที่ 21 มี.ค.57 เวลา 01.05 น. ได้พานายวิทยาออกจากบ้านแล้วปล่อยตัวไป


@@มีสิบเอกทหารร่วมทีม

ระหว่างนั้น พวกผู้ต้องหาลักเอาบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ รวมทั้งเงินสดประมาณ 2,000 บาท ที่เป็นทรัพย์สินของนายวิทยาไปด้วย ภายหลังนายวิทยาเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง กระทั่งขอศาลจังหวัดพระโขนงออกหมายจับผู้ต้องหา ชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้การรับสารภาพ ส่วนผู้ต้องหาที่ 4-5 ให้การปฏิเสธชั้นจับกุม แต่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนที่ออกหมายจับเพิ่มเติม ประกอบด้วย นายชลัช โพธิราช นายวิทยา เทศขุนทด ส.อ.ณธกร ยาศรี ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี และนายณัฐนันท์ ทานะเวชล่าสุดทหารบางคนถูกต้นสังกัดควบคุมตัวไว้แล้ว


@@ปลุกขวัญ บก.ป.อย่าวิตก

ที่ บก.ป.เวลา 14.00 น. พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. มอบหมายให้ พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป.ประชุมข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรของกองปราบทุกนายกว่า 200 คน เพื่อสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนการทำงาน พ.ต.อ.กรไชย กล่าวในที่ประชุมว่า ขอให้ตำรวจทุกนายตั้งใจทำงาน อย่าไปพะวงกับกระแสข่าวที่ออกมาว่าจะมีรายชื่อเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือจะวิตกว่าจะมีการโยกย้ายล้างบาง ขอให้ทุกคนทำงานไปตามหน้าที่ ผู้บังคับบัญชาเข้าใจปัญหา เมื่อมีการสั่งการมอบหมายให้ทำงานอะไร ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องทำตาม เพราะเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ แต่ถ้าทำแล้วเกินเลยไปเป็นอีกเรื่อง ใครทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจ อย่าไปท้อแท้ หมดกำลังใจ ถ้าหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงจริง ให้คิดว่าเราไม่เหมาะจะทำงานที่นี่ แต่อาจจะเหมาะกับการทำงานที่อื่นมากกว่า


@@รมว.ยธ.รับดีเอสไอพัวพัน

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยธ. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบบุคคลและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เชื่อมโยงในการกระทำผิดร่วมกับกลุ่มอดีต ผบช.ก.ในส่วนการรับสินบนน้ำมันเถื่อนว่า ได้รับรายชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เกี่ยวข้องกับนายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ เจียรเสริมสิน นักธุรกิจภาคใต้แล้ว เบื้องต้นให้อธิบดีดีเอสไอตรวจสอบตามขั้นตอน แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะนี้ ดีเอสไอได้ข้อมูลการติดต่อทางโทรศัพท์ของเสี่ยโจ้แล้ว มีรายชื่อบุคคลที่ติดต่อเยอะ มีความหนาพอสมควร มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และพลเรือน ตนจะนัดหมายพบ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. นำรายชื่อมาเปรียบเทียบกันว่า มีชื่อใดที่ตรงกันบ้าง พร้อมประสานให้ ปปง.ติดตามเส้นทางทรัพย์สินเพิ่มเติมด้วย


@@กรมศิลป์ตรวจวัตถุโบราณ

ที่หอสมุดแห่งชาติ นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร แถลงข่าวการตรวจสอบโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และของมีค่า ของกลางที่ยึดจากเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ว่า ในชั้นแรกพบมีของกลางทั้งส่วนที่เป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ แยกตามวัสดุ มีทั้ง ไม้ หิน โลหะ ภาพวาด และเครื่องถ้วยอีกจำนวนหนึ่ง ทำบัญชีเบื้องต้นไว้ 20,000 กว่าชิ้น ขั้นตอนต่อไปจะส่งเจ้าหน้าที่ไปคัดแยกสิ่งของให้ชัดเจนว่า อะไรเป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เพราะมีกฎหมายควบคุมที่แตกต่างกัน จากนั้นจะจัดทำบัญชี ทะเบียนแต่ละชิ้น โดยจะเริ่มคัดแยกวันที่ 1 ธ.ค.นี้ เน้นตรวจพิสูจน์ ชิ้นหลักๆ ของสำคัญชิ้นใหญ่ก่อน และประเมินมูลค่าภายหลัง


@@ขอเวลา 2 เดือนชี้ชัด

อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า เนื่องจากมีของมีค่าจำนวนมาก ต้องใช้คณะกรรมการตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ รวมถึงบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมทำงาน ใช้ความชำนาญ ประสบการณ์ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาแยกแยะบ่งชี้ว่า ชิ้นไหนเป็นของจริง หรือของปลอม ต้องขอเวลาในการพิสูจน์ความชัดเจน ส่งเรื่องให้ตำรวจไปขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้หากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วจะนำโบราณวัตถุไปจัดเก็บรักษาเป็นสมบัติแผ่นดิน ที่คลังโบราณวัตถุกลาง อ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ส่วนศิลปวัตถุจะขอให้ตำรวจเก็บไว้ก่อน เพราะมีจำนวนมากเป็นของล้ำค่า


@@คะเนบางชิ้นอายุ 1,200 ปี

“โบราณวัตถุบางชิ้นที่คนทั่วไปไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ และควรอยู่ในศาสนสถาน เช่น เทวรูปหินทราย สันนิษฐานว่า เป็นศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ 12 อายุประมาณ 1,200 ปี และพระพุทธรูปไม้ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ส่วนเทวรูปหินทรายที่มีโค้งยึด หากเป็นของจริงจะเป็นมรดกที่มีความเก่าแก่มาก มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 ต้องอยู่ในเทวสถาน หรือปราสาทหินแน่นอน มีทั้ง ในเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปราสาทหิน เมืองไทย ไม่มีการนำของจริงมาไว้จะเก็บในพิพิธ-ภัณฑสถานแห่งชาติ และจากการตรวจสอบก็ไม่พบว่าสูญหาย ดังนั้นคาดว่าจะมาจากที่อื่น จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องให้ผู้ครอบครองมาชี้แจง” นายบวรเวทกล่าว


@@บุกโกดังยึดไม้จำนวนมาก

เย็นวันเดียวกัน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.สำราญ ยินดีอารมณ์ ผบก.ภ.จ.นนทบุรี และนายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ป้องกันรักษาป่าและป้องกันไฟป่า กรมป่าไม้ นำกำลังหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นโกดัง เลขที่ 16/21 หมู่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สถานที่ซุกซ่อนไม้แปรรูปที่ตามแนวการสืบสวนพัวพัน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.นำมาเก็บไว้จำนวนมาก พบไม้สักไม้ประดู่ และไม้มะค่า 4,500 แผ่น อยู่ในโกดัง และตู้คอนเทนเนอร์ รวมมูลค่า 7,700,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีไม้แกะสลักเทวรูปถูกฝังดินอีกหลายชิ้น พล.ต.ท.ศรีวราห์เปิดเผยว่า ตรวจยึดไม้ทั้งหมดไว้ตรวจสอบหาแหล่งที่มาว่าได้มาอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากไม้ทั้งหมดเป็นไม้แปรรูปแผ่นใหญ่หายาก มีราคาแพง เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเป็นผู้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง


อะไรคือเรื่องจริงกรณีจับกำนันเป๊าะของพงษ์พัฒน์

ฟีดข่าว

ติดตาม

เฮ้อ.. มาย้อนดู คดีจับกำนันเป๊าะ ...นี่มันปาหี่ชัดๆ ทุกวันนี้ กำนันเป๊าะ ยังไม่ติดคุกเลย
.....
‘จับกำนันเป๊าะ รวบอำนาจภาคตะวันออก’ อะไรคือเรื่องจริง..


แม้กำนันเป๊าะจะโดนจับเรียบร้อย แต่เรื่องราวของจริงคงไม่ราบเรียบหรือจบง่ายอย่างที่เห็นแน่ๆ ระดับพ่อของรัฐมนตรีในครม.ที่ถือว่าทรงอำนาจในปัจจุบัน ตำรวจใหญ่มาจากไหน คงต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องตามติดกันต่อไปว่า หากนี่คือมาตรฐานตำรวจไทย...คดีอื่นล่ะ! ไปถึงไหน

ใครสั่งจับ “เป๊าะ” เพราะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา จึงไม่แปลกที่จะมีคนสงสัย จนวิพากษ์วิจารณ์ออกมาถึง 3 แนวทางที่คนละเรื่องกันเลย ของเบื้องหลังคดีนี้

ทางที่ 1 เชื่อว่ามีใบสั่งจากฝ่ายการเมืองซีกชินวัตร ให้ดำเนินการบีบสนธยา ตีหัวเข้าพรรคเพื่อไทย แบบเมื่อครั้งปี 2547 ตอนเริ่มคดีกำนันเป๊าะและก็สำเร็จโดยสนธยานำกลุ่มชลบุรีออกจากพรรคชาติไทยมาเข้าบ้านไทยรักไทย ลงสมัครในนามทรท.แม้ชนะเลือกตั้ง ในรัฐบาลทักษิณ 2 ก็ยินดีไม่รับตำแหน่งใดๆ ในครม.แบบเจี๋ยมเจี้ยม เหตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดเช่นเดียวกับนายวัฒนา อัศวเหม เมื่อครั้งขึ้นศาลคดีคลองด่าน พยานซีกนายวัฒนาโอดครวญเผยความจริงที่วัฒนาถูกบีบจากทักษิณให้เข้าร่วมพรรคไทยรักไทย โดยเครื่องมือใช้บีบคือ คดีคลองด่าน รอบนี้ก็ดันเห็นกลิ่นแปลกๆแล้วจากหนังสือพิมพ์หัวแดงจัดทั้งสองเล่มที่วิจารณ์ทำนองได้เวลาปรับครม.เอาเก้าอี้คืนจากพลังชล และชาติไทยพัฒนา แบบรู้งาน หรือเตี๊ยมกันมายังไงยังงั้น

ทางที่ 2 เชื่อว่าเป็นการปูทางสู่การฟอกความผิดให้จบกระบวนการในขณะที่ลูกชายยังมีอำนาจในรัฐบาลที่เห็นกฎหมายเป็นแค่อุปกรณ์ทำงาน กลุ่มที่คิดเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำลงไปอีก เมื่อหลังถูกจับกุมก็เข้าไปพักตัวต่อที่รพ. แทนที่จะเป็นห้องขัง ล่าสุดมีการส่งตัวกำนันเป๊าะไปขังที่เรือนจำกลางชลบุรีบ้านเกิด ที่มีอิทธิพลตระกูลคุณปลื้มแทรกทุกอณูในจังหวัด ด้วยข้ออ้างว่า เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง ย้ำเพิ่มด้วยการเตรียมขอพระราชทานอภัยโทษ ให้ลดโทษจากจำคุก 30 ปีมาเหลือน้อยที่สุด ทางนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงแต่ต้องดูกันต่อไปถึงกระบวนการช่วยเหลือของคนในรัฐบาล และถ้าทำเช่นนี้ได้ อีกไม่นานคงจะพบการฟอกความผิดให้บรรดานักโทษเสื้อแดงทั้งหลายในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ขณะนี้หลบนี้อยู่ตามของชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

ทางที่ 3 เชื่อว่าเป็นความห่ามโดยส่วนตัวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) แกนนำชุดจับกุม โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีประวัติกล้าไม่กลัว และเนื่องจากเป็นคนนอกสายตาผบ.ตร. และร.ต.อ.เฉลิม รองนายกฯ ในทำนองไม่มีอะไรจะเสีย แต่ครั้นจะบอกว่าเหตุใดจึงไม่มีการระแคะระคายไปถึงผู้ใหญ่ให้รู้มาก่อนเลยหรือ ก็ยังฟังดูขัดหูอยู่ หากแนวทางนี้เป็นจริง น่าจะมีปมซ้อนสำคัญอีกปมก็คือ การขัดแย้งภายในระดับผู้ใหญ่ในสตช.เป็นแน่ โดยเฉพาะ รองเฉลิมฯ กับผบ.ตร. จึงทำให้เกิดช่องพลาดขึ้นมาเช่นนี้

หากแต่ไม่ว่าแนวทางใดใน 3 ทางคือเรื่องจริง และไม่ว่าคุณทักษิณจะเป็นคนวางแผนหรือไม่ แต่หลังจากนี้ คุณทักษิณคงนอนหลับไม่สนิทแน่นอน เพราะจบงานนี้ ฝ่ายภาคประชาชนที่จับตาการทำงานของตำรวจ คงเตรียมเช็คบิลตำรวจไทยเรื่องสองมาตรฐานกับคดีวีไอพีสำคัญคดีอื่นแน่นอน

แน่นอนว่ากำนันเป๊าะเป็นนักโทษที่มีความผิด ควรได้รับการลงโทษและต้องชื่นชมนายตำรวจใจกล้าผู้นี้ หากแต่ ผบ.ตร.หรือ
นายตำรวจที่มีอำนาจทั้งหลาย เลือกใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อจัดการตามใจชอบ เลือกปฏิบัติเช่นนี้ หรือไม่ ต้องออกมาตอบคำถามประชาชนและใช้ฝีมือความสามารถจับนักโทษวีไอพีมาลงโทษให้ได้ เพื่อยืนยันความชื่อสัตย์ต่อประเทศชาติของตนเอง โดยเฉพาะพล.ต.ท.คำรณวิทย์ธูปกระจ่าง ผบช.น.เหตุใดจึงไม่จับกุมตัว!คุณทักษิณ ทั้งที่ออกมายอมรับว่าได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายครั้ง กลับได้รับการตอบแทนจากผู้บังคับบัญชาให้ขึ้นเป็นผบช.น จนแต่งตั้งแล้วก็ออกมายืนยันอีกว่า เดินทางไปพบทักษิณอีกเพื่อให้ประดับยศให้

จับนักการเมืองยากแต่ก็จับได้ ถ้าเป็นสมัยยุคก่อนปฏิรูปการเมือง คือก่อน พ.ศ.2535 พฤษภาทมิฬ นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยและจะมีได้ก็ต่อเมื่อนักการเมืองคนนั้นหมดอำนาจไปแล้ว ซึ่งก็เป็นความผิดที่ตัดสินเพียงแค่ยึดทรัพย์บางส่วน สาเหตุที่นักการเมืองขณะดำรงตำแหน่งมักรอดพ้นจากคดีทุจริตต่างๆ นอกจากความใกล้ชิดและสัมพันธ์ในเชิงต่อรองกับฝ่ายอำนาจต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่จับกุมของรัฐอย่างตำรวจหรืออัยการ ที่ทั้งสองส่วนนี้อยู่ภายใต้อำนาจนักการเมือง เหลือเพียงศาลเท่านั้นที่เป็นอิสระ อีกประการก็คือ นักการเมืองอยู่ในสถานะผู้เขียนกฎหมาย อันรวมถึงกฎหมายทุจริตด้วย จึงไม่เคยปรากฏกฎหมายเอาความผิดจากนักการเมืองโดยตรงที่มีลักษณะพิเศษต่างจากข้าราชการจนมาถึงยุครัฐธรรมนูญ 2550 ที่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และเชื่อว่าหาก รธน.ฉบับนี้เขียนโดยนักการเมืองย่อมไม่มีบทบัญญัติทำนองนี้แน่นอน นั่นคือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กระนั้นก็ตาม หากเรื่องทุจริตใครไปถึงชั้นศาลได้ก็นับว่าพลาดจริงๆ อย่างเช่น คดีของเสธ.หนั่น ในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน แม้จะเป็นที่ฮือฮาแต่โทษก็เพียงการพักหรือเว้นว่างทางการเมือง 5 ปี และคดีประเภทนี้ ดูจะลดความศักดิ์สิทธิ์ลงเมื่อตอนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ โดนคดีนี้เช่นเดียวกัน แต่รอด ด้วยวาทะเด็ดว่าบกพร่องโดยสุจริต ส่วนคดีของนักการเมืองอันรวมถึงกลุ่มทุน ที่เป็นคดีทุจริตจริงๆและถือว่าพลาดให้โดนดำเนินคดี แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม

กลุ่ม 1 คดีที่ผู้ต้องหาหนีคดีตั้งแต่ต้น หวังหมดอายุความ

ด้วยความรู้ไวว่า โดนแน่นอน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามผู้ต้องหาที่เป็นนักการเมือง หรือกลุ่มทุนใกล้ชิดนักการเมือง ก็หลบหนีไปต่างประเทศและไม่ยอมไปขึ้นศาลตั้งแต่ต้น ซึ่งหากครบกำหนดตามอายุความโดยไม่โดนจับก็จะรอดพ้นจากความผิด อย่างกรณีนายวัฒนา อัศวเหม คดีโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย จ.สมุทรปราการได้หลบหนีออกจากประเทศตั้งแต่ปี 2551 เช่นเดียวกับ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่เคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์ หนีคดีไปต่างประเทศจนคดีหมดอายุความจึงกลับมา ปิ่น จักกะพาก อดีตกก.ผู้จัดการใหญ่บริษัท เอกธนกิจ จำกัด(มหาชน)ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ 2,127 ล้านบาท ได้กลับมาเมืองไทยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังคดีหมดอายุความเมื่อเดือน ก.พ.2555 ยกเว้น ราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ บีบีซี. ที่พยายามทำให้เข้าเงื่อนไขคือหมดอายุความ จนทางการไทยต้องใช้เวลากว่าสิบปีจึงสามารถจับตัวมาดำเนินคดีในประเทศได้ ซึ่งเฉียดฉิวก่อนหมดอายุความฟ้องศาล

กลุ่ม 2 นักการเมืองที่สู้คดีก่อนจะถูกลงโทษ

นายรักเกียรติ สุขธนะที่เคยต้องโทษจำคุกคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข แต่เมื่อแพ้คดีก็เข้ารับโทษที่เรือนจำกลางอุดรธานีโดยดี จนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 ได้รับลดโทษเหลือโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน 17 วัน หลังพ้นโทษก็บวชเป็นพระจนถึงทุกวันนี้

แต่คนนี้สิ! พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาเมื่อตุลาคม 2551 ตัดสินจำคุก เป็นเวลา 2 ปี ในคดีประมูลซื้อทุจริตที่ดินย่านถนนรัชดาฯ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 772 ล้านบาท คดีนี้มีความแรงขึ้นไปอีกชั้นด้วยการสู้คดีของคุณทักษิณ ด้วยถุงขนม 2 ล้าน อันถือเป็นพฤติกรรมที่ย่ามใจในอำนาจและอาจบ่งบอกสะท้อนถึงการรอดพ้นคดีต่างๆ ในอดีตหรือไม่ กับการใช้เงินในการสู้คดี แต่ในที่สุดที่ศาลไม่รับเงินจนเป็นเรื่องเป็นราวออกมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นมีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนหนุนหลังอยู่ ได้ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศแล้วถือโอกาสหลบหนีคดี โดยไม่ยอมมารายงานตัวตามกำหนดวันที่ 11 ส.ค. 2551 แต่ศาลก็ได้ตัดสินคดีไปแล้วตามที่กล่าวในตอนแรก ศาลที่ว่าก็คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการแก้บทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายถ้าจะมีใครโยง กำนันเป๊าะกับ คุณทักษิณ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ต้องเทียบเคียงแต่อย่างใด เนื่องจากมันคือ
เรื่องเดียวกันตั้งแต่ต้น เพราะกำนันเป๊าะกว่าจะขึ้นเป็นใหญ่ในภาคตะวันออกได้ก็เที่ยวไล่ปราบเจ้าพ่อทั่วภาคตะวันออกกว่าตนเองจะได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวครอบคลุมทุกสัมปทานในภาคตะวันออกรวมทั้งงานรับเหมาต่างๆ ของทางราชการ ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามีรายเดียวเท่านั้นที่ผูกขาดก็คือ บริษัท บางแสนมหานคร แต่ต้นเหตุที่ทำให้กำนันเป๊าะหมดอำนาจกลับมาจากคดีฆ่ากำนันยูรซึ่งอาจถือว่าเป็นความขัดแย้งระดับเล็กน้อยเท่านั้น ของกำนันเป๊าะกับศัตรูเมื่อเทียบกับคู่ขัดแย้งอื่นๆ ฉันใดฉันนั้น กระบวนการไล่บี้กำนันเป๊าะก็ไม่ธรรมดาตั้งแต่ต้น เหตุเพราะคนที่ปราบนั้นชื่อทักษิณ และอ้างว่าใช้นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล แทนคำว่าเลือกปฏิบัติในครั้งนั้นมีเป้าหมายในอดีตที่แท้จริงนอกจากคุมพื้นที่การเมืองภาคตะวันออกเสียเอง กับธุรกิจยักษ์ใหญ่แถวจอมเทียนสัตหีบ หรือไม่

มาพ.ศ.นี้ ก็เช่นกัน ไม่ว่าใครคือคนทำแต่หลังจบงานนี้การเมืองชลบุรีจาก3ขั้วจะเหลือ2ขั้วทันที และจริงหรือไม่ที่พี่ชายนายกฯกำลังเล็งผลประโยชน์ก้อนใหม่ที่แหลมฉบัง แต่ประเด็นก็มีจุดเปลี่ยนอยู่ที่ว่าตอนนี้คุณทักษิณก็มีคดีติดตัวแล้ว และยุทธการจับกุมกำนันเป๊าะรอบล่าสุดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตำรวจดีมีจริง เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่า “กรรมย่อมหนีไม่พ้น”

“คนผู้หนึ่งตอนหนีเอาชีวิตรอด กลับไม่เลือกเฟ้นทางราบเรียบ มักเข้าใจว่าหากหลบหนีตามเส้นทางกันดาร บุคคลอื่นยากไล่ล่าตามทัน”

(โกวเล้ง จากเรื่อง จับอิดนึ้ง)

รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ
รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ
รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ