PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

"เสธ.ต๊อด" มาช่วย "เสธ.ไก่อู"..ขอโทษ แทน



"เสธ.ต๊อด" มาช่วย "เสธ.ไก่อู"..ขอโทษ แทน ยัน บิ๊กตู่ ไม่น่อยใจ ยังคงจะต้องพูดอธิบาย ต่อไป
โฆษกคสช. ออกโรง ช่วย "เสธ.ไก่อู" แจงยัน มีเจตนาบริสุทธิ์ แค่ขอความร่วมมือสื่อลงพื้นที่ทำข่าวครม.สัญจร ออกตัว ขอโทษแทน ถ้าสื่อคิดว่าไม่เหมาะสม ระบุ "บิ๊กตู่" ไม่น้อยใจ พร้อมแจงทุกเรื่อง พบปะปชช.
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือสื่อมวลชนติดตามทำข่าวคณะรัฐมนตรี(ครม.) ลงพื้นที่ประชุมครม.สัญจรว่า เชื่อว่า พล.ท.สรรเสริญ มีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการบริหารจัดการสนับสนุนเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานราชการของแต่ละกระทรวง โดยใช้โอกาสจากการประชุมครม.สัญจร
เชื่อว่าทุกส่วนก็คงอยากให้ข่าวสารที่ประชาชนบริโภคเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์ ไม่ใช่เรื่องวาทกรรมทางการเมือง ทำให้สังคมแตกแยกบั่นทอนการสร้างสังคมให้เป็นสุข
แต่ถ้าสื่อมวลชนไม่สนใจเนื้อหาที่ทางสำนักงานโฆษกรัฐบาลเตรียมเป็นข้อมูลให้เบื้องต้น ก็คงต้องอยู่ในดุลยพินิจของสื่อเองและต้องขอโทษด้วย หากคิดว่าเป็นการรบกวนการทำงานของสื่อ
"ที่ผ่านทางสำนักงานโฆษกรัฐบาลเคยมีแผนการประสานงานกับสื่อมวลชน เพื่อให้นำเนื้อหาข่าวสารไปถึงประชาชนตามสายงานกระทรวงนั้น
ถ้าสื่อมองว่าไม่สมควรหรือรบกวนการทำงานต้อง ขออภัยแทนมา ณ ที่นี้ด้วย
เพราะถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ก็ยังคงจะต้องพูดอธิบาย สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติด้วยตัวเองเป็นหลักอยู่ดี
และเชื่อมั่นว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่น้อยใจแต่อย่างใด
ทั้งนี้การที่ครม.ลงพื้นที่ มีเจตนาที่ต้องการไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนโดยตรง ให้รับทราบความคืบหน้าการทำงานในเรื่องต่างๆ ของแต่ละกระทรวง รวมถึงได้รับรู้เรื่องการปฎิรูปประเทศ เชื่อว่าประชาชนเองก็พร้อมและรอการพบปะด้วยเช่นกัน" พ.อ.วินธัย กล่าว

แค่การฝึก

ชาวบ้าน ชอบ!!
"แม่ทัพภาค3" แจง พล.ร.7 ฝึก"กองพันเตรียมพร้อม" หากจำเป็นต้องเสริมกำลัง "3จ.ชายแดนใต้" ขั้นวิกฤติ เผย เป็นแผนของ ทบ.และกลาโหม/ ยัน ชาวบ้านยินดีต้อนรับทหาร และชอบที่มีการฝึกลักษณะนี้ ลดปัญหายาเสพติด และอาชญากรรมในหมู่บ้าน
"บื๊กตี๋ ออโต้ "พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาค 3 ชี้แจง ภาพทหารถือปืนอยู่ตามหมู่บ้าน ใน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ว่า ภาพที่เห็นเป็นการฝึกของ กองพลทหารราบที่ 7 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ จ.ลำพูน
โดยเป็นการฝึกยุทธวิธีที่เรียกว่า "กองพันเตรียมพร้อม" สำหรับรองรับในกรณีฉุกเฉินหากสถานการณ์พื้นที่ภาคใต้ เข้าสู่ขั้นวิกฤต หรือต้องการกำลังเสริมอย่างเร่งด่วน
ซึ่งแต่ละกองทัพภาค จะหมุนเวียนกันฝึก โดยในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นการฝึกของกองทัพภาคที่ 3
ซึ่งการฝึกนี้ ถูกขึ้นบัญชีกองการ เพื่อเตรียมการฝึกของกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ การฝึกลักษณะดังกล่าว ชาวบ้านยินดีต้อนรับ และชอบที่มีการฝึกลักษณะนี้ เนื่องจากทำให้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมในหมู่บ้านหมดไป
แม่ทัพภาค 3 ยืนยันด้วยว่า ไม่มีการสกัดกั้นมวลชนที่จะเดินทางมามาให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีรับจำนำข้าว ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดีในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ แต่อย่างใด

"วงษ์สุวรรณ & ชินวัตร"

"วงษ์สุวรรณ & ชินวัตร"
"บิ๊กต๋อย พลเอกอุทัย ชินวัตร" อดีตรองปลัดกลาโหม "ชินวัตร สายบุ๋น" แห่ง เตรียมทหาร3 พี่ชายแท้ๆ บิ๊กตุ้ย พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.สส.และผบ.ทบ.....มาทำเนียบรัฐบาล....ในฐานะ "อุปนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน". นำ ข้าราชการ 100 คน ที่ได้ทุนรุ่นที่ 13 จาก มหาวิทยาลัยหัวเฉียว ที่เมืองเซียะเหมิน ของจีน มาพบ บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม (ตท.6) ที่วันนี้ รับหน้าที่ แทน นายกฯบิ๊กตู่ มาต้อนรับ ข้าราชการทุน และให้โอวาท ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อ....
งานนี้ ไม่มีการเมือง....มีแต่ทำหน้าที่ สร้างความสัมพันธ์ ที่แนบแน่น กับ จีน เหมือนกัน

ถึงยุค 'ไลฟ์สดมา-โทรทัศน์ไป'

ระหว่าง "รัฐบาลกับสื่อ"...........
ไม่ว่ายุคไหน-สมัยไหน เป็น "งูเห่ากับพังพอน" กันได้ทุกเรื่อง!
แต่เที่ยวนี้.........
หนักไปทาง "สื่อโทรทัศน์"
คือ สัปดาห์หน้า (๒๑-๒๒ ส.ค.๖๐) รัฐบาลจะไป "ครม.สัญจร" กันที่โคราช
แต่เกรงว่าสื่อ โดยเฉพาะ "โทรทัศน์" ทุกช่อง จะตามไปกระจุกตัว "แช่กล้อง" อยู่ที่นายกฯ คนเดียว
ท่านไม่อยากเป็น "วันแมนโชว์"
อยากให้สื่อช่วยกระจายกันไปติดตามแต่ละรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ เอาข่าว เอาเรื่องราวที่แต่ละรัฐมนตรีลงไปสัมผัสชาวบ้านมาเผยแพร่บ้าง
พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด จึงเชิญสื่อแต่ละสำนัก หนักและเน้นไปทางสื่อโทรทัศน์แต่ละช่องมาประชุม
จัดตารางเวลาให้ วัน-เวลาไหน และที่ไหน ให้แต่ละช่องติดตามไปทำข่าวแต่ละรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่
แล้วจะนำภาพ-ข่าวที่แต่ละช่องไปทำมานั้น ออกอากาศทั้งสด-ทั้งแห้ง ทางโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง ๑๑ เดิม) ในเครดิตแต่ละช่องที่ไปทำข่าว
ไม่ใช่การบังคับ พลโทสรรเสริญย้ำ ช่องไหนจะร่วมก็ได้ ไม่อยากร่วมก็ได้
เพราะเป็นแค่ "ขอความร่วมมือ" เพื่อการบูรณาการข่าว "ในการทำงานของรัฐบาล" สู่ประชาชน
เรื่องใหญ่ใจความก็มีเท่านี้.............
แต่ทีนี้ ก็รู้กันอยู่ สื่อนั้น มีค่าย-มีสังกัด และแต่ละค่าย-แต่ละสังกัด ภาพหน้า คือ "สื่อเพื่อเรื่องราวข่าวสาร" เหมือนกันหมด
แต่ภาพหลัง มันเรื่องของเจตนาและเป้าหมาย ทั้งของตัวนักข่าว ตัวผู้เป็นเจ้าของ และตัวผู้เป็นกลุ่มทุน คละกันไป
ดังนั้น โลกของสื่อทุกยุค-ทุกสมัย จึง ๑ ภาพ แต่ ๒ มิติ เสมอคือ
มิติ "เพื่อสะท้อนเรื่องราวเป็นข่าวสาร"
กับ...........
มิติ "เพื่อแฝงเร้นเจตนาผ่านข่าวสาร"
แต่ในความเป็น ๑ ภาพ ใครจะไปสั่ง "ซ้ายหัน-ขวาหัน" แบบหัดแถวทหารกับสื่อก็ไม่ได้
เพราะ "ตุ่มเสรีภาพ" คนสื่อ มันบาง!
ทั้งที่ความเป็นจริงทางปฏิบัติ บรรดาสื่อ ทั้งตัวนักข่าวและตัวนายทุน ต่างไปพันตีนอยู่ในแถวของรัฐบาล-ของทหาร ด้วยเหตุผลแต่ละคนอยู่แล้ว มากต่อมาก
ม้าก็คือม้า นั่นแหละครับ วิ่งได้ทุกตัว แต่มันจะวิ่ง-ไม่วิ่ง วิ่งแบบพยศหรือไม่พยศ
อยู่ที่ "คนขี่"!
มาดูเฉพาะเรื่องกันบ้าง อย่างที่ว่า ไม่อยากให้เกิดภาพ "วันแมนโชว์" กับนายกฯ
ตลอด ๓ ปี คสช.บริหาร ทั้งผ่านสื่อและไม่ผ่าน ทุกเรื่อง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
นายกฯ "เห-มา-ยัน" อยู่คนเดียว"!
จะว่าสื่อก็ไม่ได้ เพราะลุงตู่ท่านสร้างบุคลิกบริหารเป็น "นายกฯ วันสต็อปเซอร์วิช"
แบบนี้ สื่อจึงรู้ที่อยู่-ที่กิน คือรู้ว่า "ทุกเรื่อง-ทุกคำตอบ" รวมศูนย์ที่องค์รัฏฐาธิปัตย์
แล้วจะแบกกล้อง ตระเวนรถ ซ่อกๆ ไปซอนถามจากรัฐมนตรี หรือคนอื่นให้เมื่อยตุ้มทำไม?
เป็นปลาแขยงรอเหยื่ออยู่ท่าน้ำวัดที่เดียว ไม่ชัวร์กว่าหรือ เดี๋ยวนายกฯ ก็จะออกมา
แล้วตั้งประเด็นถามแหย่ให้ท่านด่าบ้าง ฉิวบ้าง หยอกล้อเล่นบ้าง ยังไงๆ ก็ได้ภาพ-ได้ข่าว เป็นเยื่อใยแห่งรักสไตล์ทหารกับนักข่าว ไปออกจอ
ชาวบ้านชอบดูนายกฯ เล่นงิ้ว มากกว่าอยากดูหน้าจืดๆ จากลูกวงที่ไม่มั่นใจจะฟันธงทั้งที่เป็นเรื่องของกระทรวงตัวเอง!
จะว่าไปแล้ว ใครจำหน้า-จำชื่อรัฐมนตรีได้ถึง ๑๐ คนบ้าง ครม.มี ๓๐ กว่าคน เห็นช้ำหน้าทางสื่อหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์อยู่ ๒ หน้าเท่านั้น
คือหน้านายกฯ ประยุทธ์ กับหน้ารองนายกฯ ประวิตร!
เพราะบรรยากาศและรูปแบบรัฐบาลทหาร เป็นรัฐบาลที่ "ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว"
รัฐมนตรีอื่นๆ พูดไป..........
"ออฟไซด์" ท่านผู้นำ แล้วมันจะยุ่ง!
ในเมื่อโครงสร้างรัฐบาล คสช.เป็นอย่างนี้ตลอด เพิ่งมานึกได้ตอนนี้ จะแจกบทให้รัฐมนตรีอื่นๆ ได้เล่นบ้าง
ไม่อยากเป็นเหมือนวงดนตรีดังๆ อย่าง "สายัณห์ สัญญา-ยอดรัก สลักใจ" พอหัวหน้าวงตาย
ก็เหมือน "ตายหมด" ทั้งวง!
ที่พลโทสรรเสริญขอความร่วมมือนี่ ความจริง "ไม่จำเป็นต้องยึดโทรทัศน์" เป็นสรณะ
รัฐบาลต้องตีโจทย์ให้แตกว่า..........
กระทรวงมีเป็นสิบๆ ทำไมนักข่าวโทรทัศน์-หนังสือพิมพ์ กลับไม่สนใจไปจี้-ไช มาเป็นข่าว?
กลับกระจุกตัวอยู่เฉพาะที่นายกฯ?
ต้องนึกง่ายๆ ถ้าต้องการให้ฝูงปลาที่อออยู่ท่าน้ำวัด ว่ายแยกย้ายไปที่อื่นบ้าง จะทำวิธีไหนดี?
ระหว่าง ไล่ต้อนมันไป
กับ...เปลี่ยนจุดให้อาหาร?
สมัย "ป๋าเปรม" บุคลิกท่าน "พูดน้อย" กับ "ไม่พูด" เลย!
แล้วสื่อทำไงล่ะ ในเมื่อตื่นเช้าจะต้องได้อาหาร แต่เจ้าของท่าน้ำไม่ยอมให้
บรรดาสื่อจึงต้องแยกย้ายไปเสาะอาหารจากกระทรวงโน่น-นี่ สุดแต่ใครได้กลิ่นข่าวไปซุกไซ้
แต่แหล่งอาหารข่าวสมบูรณ์ที่สุด คือที่ "กระทรวงมหาดไทย"
ใครมา เป็นต้องได้ทุกเช้า.......
สมัยนั้น โทรทัศน์ยังเป็นรอง หนังสือพิมพ์เป็นหลัก เที่ยงก็พิมพ์แข่งกันขาย ฉะนั้น เช้าต้องมีข่าวป้อน
"พลเอกสิทธิ จิรโรจน์"...........
ผู้ได้รับการเรียกขานว่า "เปาบุ้นจิ้น" เพราะความซื่อตรง-ซื่อสัตย์สุจริตของท่าน มีคุณูปการกับสื่อมากที่สุด
ท่านเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย นักข่าวถามปุ๊บ ท่านพูด "พาดหัว" ได้ทุกเช้า
ฉะนั้น ถ้าอยากให้ชาวบ้านรู้ว่า รัฐบาลนี้ มีรัฐมนตรีทำงานจริงๆ จังๆ มากกว่า ๑ คนที่ชื่อประยุทธ์
เรื่องไหน ของกระทรวงไหน นักข่าวถาม นายกฯ ก็โบ้ยให้ไปถามที่เจ้ากระทรวงนั้นๆ ดูบ้าง
นักข่าวอดอยาก-ปากแห้งหนักๆ เข้า จะแบกกล้อง-แบกปากกา ไปที่อื่นเอง!
ในอีกมิติหนึ่ง ในฐานที่นายกฯ มองทะลุว่า การผ่าโลกวันนี้ อาวุธที่ต้องมี คือการสื่อสารไอที
ก็อยากบอกว่า ทุกวันนี้ "โลกไม่เปลี่ยน"
การกระหายใคร่รู้ของมนุษย์ในเรื่องราวข่าวสาร ก็ไม่เปลี่ยน
ที่เปลี่ยนคือ..........
"เครื่องมือ-รูปแบบ-วิธีการ" ที่ใช้ในการสื่อสารถึงกัน "เปลี่ยนตลอดเวลา"!
ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูการเปลี่ยนผ่าน "เส้นทางบริโภคข่าวสาร" จากตัวเองนี่แหละ
ในรอบ ๕๐ ปี สื่อหลัก คือ สถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ วิทยุกระบะถ่าน เริ่มจาก ๒ หลอดขึ้นไป สายอากาศขึงหลังคาบ้าน
แล้วก็มาทรานซิสเตอร์ โทรทัศน์ขาวดำเริ่มแทงหน่อใหม่ในโลกสื่อสาร พัฒนาเป็นระบบสี
นอกจากช่องฉี่ บางขุนพรหม สถานีวิทยุ ททท.ก็มีช่อง ๕ ทหาร และช่อง ๙ รัฐบาล ตามลำดับ
โทรศัพท์บ้าน ค่อยๆ ถูกเขมือบด้วย มือถือ "กระดูกหมา" ตามด้วย แพคลิงค์ เพจเจอร์ เป็นเครื่องมือสื่อสารทันสมัย
มาจนทุกวันนี้...........
ไม่ถึง ๕๐ ปี ที่ว่ามาทั้งหมด ตกยุค-ตกสมัย กลายเป็นโบราณวัตถุไปแล้ว!
ที่ผมจะบอกคือ ด้วยดาวเทียม ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร ระบบอินเทอร์เน็ต
มันสร้างช่องทาง-รูปแบบใหม่ เพื่อ "สื่อสาร-ข่าวสาร" เข้าถึงตัวคน เร็วกว่า-ตรงกว่า-ถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า-กระชั้นถี่กว่า
โดยรัฐบาล หรือใครๆ...........
ไม่จำเป็นต้องง้อ-ต้องพึ่ง "สื่อหนังสือพิมพ์-สื่อโทรทัศน์-วิทยุ" เป็นหลักเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เพราะมันมาถึงยุค Live Streaming แล้ว!
คนทุกวันนี้ ชีพจรประจำวัน "อยู่หน้าจอมือถือ" มากกว่าจะอยู่หน้าจอโทรทัศน์ และหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์
ในขณะที่ จะดูโทรทัศน์ จะอ่านหนังสือพิมพ์ ก็ต่อเมื่อกลับถึงบ้าน แต่ตอนนี้ ระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้มือถือเป็น "จอโทรทัศน์" ไปในตัว
มีอะไรปุ๊บ.......
คนทั้งโลกหรือทั้งประเทศ "ดูโทรทัศน์" จากมือถือ ระบบ Live Streaming ทั้งภาพ-เสียง คมชัด ใสแจ๋ว ได้ทันที-ทันใด
เรียกว่า "ไม่ตกข่าว" รู้ทั่ว-รู้ทัน พร้อมกัน
โทรทัศน์ด้วยซ้ำ ไม่ใช่สื่อ "เข้าถึง" ประชาชนแบบทั่วถึง อีกต่อไปแล้ว!
"ระบบไลฟ์สด" ไม่ต้องรอโหลดไฟล์ให้เสียอารมณ์ เปิดดู-ฟังได้ทันที เหมือนโทรทัศน์-วิทยุ
โทรทัศน์ดิจิทัลน่ะ "เกิดเร็ว-ตายเร็ว"
เวลานี้ โลกสื่อสารเข้าภาวะ "สงคราม Live Streaming"
จากยูทูบ-เฟซบุ๊ก "คู่สงคราม" แอปพลิเคชัน LINE โดดเข้าร่วม ปล่อยฟีเจอร์ ไลฟ์ สตรีมมิ่ง เฉพาะกลุ่ม หยั่งทิศ-นำทางแล้ว
ฉะนั้น สังคมวันนี้ มีอินเทอร์เน็ต มีคอมพิวเตอร์ มีสมาร์ทโฟน กันแทบทั้งนั้น ไม่ต้องใช้สื่อโทรทัศน์-หนังสือพิมพ์หรอก
ใช้เทคนิค "การตลาด"..........
กับใช้ "เครื่องมือสื่อสาร" ให้เป็นและให้ตรงยุค
นั่นแหละ..........
รัฐมนตรีเป็นพระเอก Live Streaming ออกจอได้ทุกคนและทุกวัน.

‘ทิศทาง’ ที่แตกต่างกัน

‘ทิศทาง’ ที่แตกต่างกัน

ประชุมนัดพิเศษโดย “บิ๊กไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ส่งจดหมายเชิญบรรณาธิการสื่อมวลชน โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆเมื่อวันก่อน

สรุปความตามหนังสือเชิญที่เผยแพร่ออกมาได้ว่า ระบุ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.เตรียมลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.นครราชสีมา วันที่ 21–22 ส.ค.นี้

เพื่อทำความเข้าใจประชาชนเกี่ยวกับนโยบาย ผลงานรัฐบาล 3 ปีที่ผ่านมา

และเพื่อให้การรายงานข้อมูลข่าวสารเข้าถึงประชาชนให้สื่อมวลชนทุกแขนงมีส่วนร่วม

“รัฐบาลอยากให้เกิดภาพ ครม.ทุกคนลงพื้นที่และติดตามงานช่วยเหลือประชาชน แต่จะอาศัยโทรทัศน์ในส่วนของรัฐอย่างเดียวคงไม่พอ จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนให้ช่วยติดตามภารกิจของรัฐมนตรีด้วย”
ขอความร่วมมือแบบเขี่ยกันเข้มๆ สไตล์ “ไก่อู”

ที่ฮือฮาคือเอกสารเผยแพร่ตามมา ระบุคิวขอความร่วมมือละเอียดยิบ ให้ทีวีแต่ละช่องติดตามทำข่าวรัฐมนตรีรายใด ลงพื้นที่จุดไหน ถ่ายทอดสด–ถ่ายทอดแห้งขึ้นอยู่กับแม่ข่ายช่องรัฐกำหนด
ในโปรแกรมพิเศษ “พระยาเหยียบเมืองโชว์”

ทำเอาสื่อน้อยสื่อใหญ่ประหลาดใจมิใช่น้อย ไม่ค่อยคุ้นชินของใหม่

ข่าวรวมการเฉพาะกิจ “เรียลลิตี้เสนาบดี”

เอาเป็นว่า ถ้ามองกันในมุมเหตุผลเรื่องสื่อรัฐอาจไม่เพียงพอ ก็เข้าใจได้ รวมทั้งการทำหน้าที่สื่อในห้วงบ้านเมืองคาบเกี่ยวการเปลี่ยนผ่าน “อำนาจพิเศษ” บริหารประเทศก็ต้องร่วมมืออยู่แล้ว

คงต้องช่วยกันตีปี๊บ ตีฆ้องร้องป่าวผลงานของรัฐมนตรี “ทีมลุงตู่”

และช่วยเคลียร์ภาพเสนาบดีประเภท “โลกลืม” ให้ “โลกรู้” กันเต็มที่

แต่ก็มีอีกมุมของคนอีกขั้วฝ่ายที่ห้ามรู้สึกไม่ได้เหมือนกัน กับคิวล็อกคิวโหมโรงประโคมข่าวผลงานรัฐบาลสัญจร ขณะที่อีกทางมีการส่งสัญญาณเข้มๆถึงหน่วยงานรัฐต่างๆ

ทั้งตำรวจ ทหาร กอ.รมน. กกล.รส. และฝ่ายปกครองในพื้นที่ เกาะติดความเคลื่อนไหวมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจ

“อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ลุ้นคำพิพากษาคดีจำนำข้าววันที่ 25 ส.ค.นี้

เร่งเครื่องโปรโมตทีมอำนาจพิเศษ แต่ติดเบรกม็อบ“เชียร์ปู”

เรียกว่า 2 คิวสำคัญทั้ง ครม.สัญจร–วันพิพากษา ถูกยกเปรียบเทียบมาตรฐานแนวทางปฏิบัติกันได้
รวมทั้งชักจะชี้ให้เห็นถึงเส้นทางเดินที่แตกต่างของ “บิ๊กตู่–ยิ่งลักษณ์”

โดยอดีตผู้นำหญิงนั้น ในโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันพิพากษา เริ่มจะมีการพูดถึงแนวโน้มของผลลัพธ์ที่จะออกมา และชะตาชีวิตที่จะตามมา “อดีตนายกฯปู”อาจต้องเลือก

รอด-ไม่รอด อยู่หรือเผ่น อะไรทำนองนั้น

ขณะที่ “บิ๊กตู่” น่าจะเป็นที่ชัดเจน วันนี้ “อยู่แน่นอน” และอนาคตก็มีแนวโน้มอาจ“อยู่ต่อ”

มีโอกาสสูงที่จะเข้าสูตร “ผู้นำคนนอก” หลังเลือกตั้ง

นั่นมองได้จากหลายคิวของ “อำนาจพิเศษ” ในห้วงนี้ เริ่มทยอยจัดทัพรับโปรแกรมต่อไป

เล่นตามกฎกติกาใหม่ ทั้งที่ปิดงานไปเรียบร้อยแล้ว อย่างการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ 11 ด้าน คิวต่อไปการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และ ส.ว.สรรหา

ไม่พ้นที่คนกันเอง นักวิชาการ นักธุรกิจในเครือข่ายประเภทแนวคิดแนวทางไปกันได้ รวมทั้งที่น่าจะเฟ้นง่ายเพราะกรอง มารอบหนึ่งแล้ว คือกลุ่มคนในแม่น้ำ 5 สาย ที่ได้เวทีเล่นต่อ

ประจำการในจุดที่คล้ายกับ “หน่วยขึ้นตรง” ของท็อปบูต ภายใต้เงื่อนไขภารกิจ วาระตำแหน่งชัดเจนว่า “อยู่ต่อ” แบบกระจายกำลัง ขึงลวดหนาม

คุมเกมเข้มในช่วงเปลี่ยนผ่าน ช็อตแรกต่ำๆ 5 ปี.

ทีมข่าวการเมือง

"ดร.กบ"Delivery !!...เปิดเพจPMDU Thailand

"ดร.กบ"Delivery !!...เปิดเพจPMDU Thailand
นักข่าวทำเนียบฯแปลกใจ!!...จู่ๆ "ดร.กบ" อำพน กิตติอำพน เลขาธิการ PMDU/Prime Minister Delivery Unit ก็เดินถอดสูท เข้ามาใน รังนกกระจอก แบบ รีบๆร้อนๆ.... ทั้งๆที่ ไม่เคยเห็น มาเยือนห้องนักข่าว...."ดร.กบ" อดีตเลขาฯครม.บอกว่า เกษียณราชการ แล้ว เลยเข้ามาได้...555
แต่ที่มานี่ นอกจาก เพราะจะมาบอกเรื่อง PMDU เปิด Facebook -PMDU Thailand เพื่อ pr งานต่างๆ....ฝากนักข่าว เข้าไปเยี่ยมชมติดตาม โดยจะ ปรับปรุงให้มีเนื้อหามากขึ้น แล้ว หลังวันนี้ นายกฯ ประชุม PMDU......
แต่.....อีก เป้าหมาย ของ ดร.กบ คือ มาเดินออกกำลังกาย ทำชั่วโมง ทำกิโลฯ เพราะเดิน ดู Smart Watch ที่ข้อมือตลอด ว่าแต่ละวัน ออกกำลังกายได้ กี่กม. burn ไปกี่ แคลอรี่ ....ขนาด ชึ้นตึกบัญชาการ1 ยังขึ้นบันได ไม่ใช่ลิฟท์ เลย
"ดร.กบ"เลย เดินทั้งวัน ประหนึ่ง เดิน delivery เพราะ เปรยๆว่า ถ้าทีมงาน ทำงานนี้ไม่เวิร์ค จะส่งไปฝึกงาน delivery ที่ KFC ....55555

"บิ๊กป้อม" เล็ง BRN นอกโต๊ะเจรจา

"บิ๊กป้อม" เล็ง BRN นอกโต๊ะเจรจา อาจโยง ก่อเหตุ คาร์บอมบ์-ปล้นเต้นท์รถ เผยจับแล้ว1 และรู้ตัวหมดแล้ว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก่อเหตุบุกปล้นเต็นท์รถมือสอง ที่อ.นาทวี จ.สงขลา ว่า ต้องดูปัจจัยหลายอย่าง ที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ
เมื่อถามว่า เป็นไปได้ ที่อาจเกิดจากสมาชิกกลุ่มBRN จำนวนหนึ่ง ที่ไม่ได้เข้ารับการพูดคุยสันติสุข พลเอกประวิตรกล่าวว่า ก็อาจเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ขอให้จับคนร้ายให้ได้ทั้งหมดก่อน ซึ่งตอนนี้รู้ตัวหมดแล้วว่าเป็นใคร โดยขณะนี้จับได้แล้ว 1 คนและกำลังจะออกหมายจับอีก 4 คน
ส่วนความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้นั้น ได้ติดต่ออยู่ตลอดกับทางการมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกอยู่ตลอด โดยต้องนำทุกกลุ่มมาพูดคุยไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเก่าหรือกลุ่มใหม่ ไม่อย่างนั้นไม่จบ
รวมไปถึงพูดคุยในเรื่องที่ไทยจะกำหนดพื้นที่Safety zone ขึ้นใน 5 พื้นที่
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ ขณะนี้ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ สังเกตเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์สามารถจับได้อย่างรวดเร็ว และตอนนี้สามารถวางกำลังได้อย่างเต็มความสามารถ

Impossible "ไม่มีทางที่ ทหารจะเอาปืน ไปขู่ประชาชน"



Impossible "ไม่มีทางที่ ทหารจะเอาปืน ไปขู่ประชาชน"
"บิ๊กป้อม" การันตี ยัน ไม่มี ทหาร สกัดชาวเหนือ ไปเชียร์"ยิ่งลักษณ์" ลั่น ไม่มีทางที่ ทหารจะเอาปืนไปขู่ประชาชน แค่นึกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว/ชี้ ภาพในโซเชี่ยลฯเป็นพื้นที่ฝึก ก็ต้องมีปืน แต่ไม่มีกระสุนจริง

จากกรณีที่ มีการแชร์ภาพทหาร พร้อมอาวุธไปตามแยกในหมู่บ้าน และวัดต่างๆในพื้นที่อ.ป่าซาง จ.ลำพูน พร้อมระบุว่าเป็นการสกัดเพื่อไม่ให้มวลชนเดินทางเข้ามาให้กำลังใจน.ส.ย่ิงลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐนตรี ในวันที่ 25 ส.ค.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการอ่านคำพิพากษาในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้แม่ทัพภาค3 ชี้แจงแล้วว่า เป็นพื้นที่ฝึกของเขา
"ไม่มีหรอก จะไปทำเพื่ออะไร ทหารจะเอาปืนไปขู่ประชาชน แค่นึกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ความจริงไม่น่าถามนะ ไปสร้างความไม่เข้าใจ อย่างนี้ทหารเขาเสียหาย ไม่มีหรอกครับ ในพื้นที่ฝึกก็ต้องมีปืน แต่ไม่มีกระสุนจริงหรอก"

One Man Show



One Man Show
ก็เพราะเป็น นายกฯ.. นักข่าว ก็ย่อมสนใจคนเป็นนายกฯ เป็นธรรมดา มาทุกยุคทุกสมัย ในฐานะผู้นำประเทศ

ยิ่ง "นายกบิ๊กตู่"...พูดเยอะ พูดเก่ง พูดเร็ว พูดทุกสถานที่....นักข่าวก็ต้องใช้การแกะเทปและต้องติดตามดูทุกฝีก้าว.....ไม่ใช่แค่การจดหรือจับประเด็นการสัมภาษณ์เท่านั้น...แต่รวมถึง ยังต้องสังเกตุแววตาสีหน้า ภาษากาย มือไม้ อารมณ์ประกอบด้วย

อีกทั้ง บิ๊กตู่ ก็รู้ทุกเรื่อง ตอบคำถามสื่อ
ได้ทุกเรื่องทุกเรื่อง ของทุกกระทรวง จนตัวรัฐมนตรีเอง แทบไม่จำเป็นต้องออกมาให้สัมภาษณ์หรือให้ข่าว เพราะนายกฯบอกว่าผมรู้ทุกเรื่อง

ยิ่งเป็นนายกฯ จากการรัฐประหารที่เต็มไปด้วยสีสัน หลากหลายอารมณ์ ทั้งโหด มัน ฮา บ้าดีเดือด อ่อนหวาน ลูกอ้อน ครบ..... แถมรู้มุมข่าว มุมกล้อง

จึงยิ่งทำให้บิ๊กตู่ ยึดครองพื้นที่ข่าวได้แบบเต็มๆ แบบไม่ต้องซื้อพื้นที่โฆษณาหรือเวลาออกอากาศ

กลายเป็น One Man Show มาตลอด...อะไรๆก็ต้องบิ๊กตู่

จนคิดกันว่าในรัฐบาลนี้มี นายกบิ๊กตู่ อยู่คนเดียว

ที่พอจะเป็นที่รู้จัก และตกเป็นข่าว อยู่ทุกวันก็มี "บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร" พี่ใหญ่รัฐบาล พี่ใหญ่คสช. ที่นั่งเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ทีก็พูดอะไรทำอะไรเป็นข่าวหน้า1อยู่เสมอ
รวมทั้งบิ๊กป้อก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดารมว.มหาดไทย "พี่รอง"

และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย

และที่พอเป็นข่าวปละปลาย ก็มี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พลอากาศเอกประจินต์ จั่นตอง รองนายกฯ

ที่เป็นNewsMaker หลักๆของรัฐบาล คสช.ที่นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จะคอยตามทำข่าว และสัมภาษณ์. เพราะมีความสำคัญ ทั้งในแง่ตัวบุคคล คอนเน็คชั่น และหน้าที่ความรับผิดชอบ

ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆก็จะให้ นักข่าวประจำกระทรวงและโฆษกประจำกระทรวงเป็นผู้ทำข่าวและให้ข่าว

หรือตัวรัฐมนตรีเองว่า มีความอยากพูดอยากให้สัมภาษณ์ หรืออยากให้ข่าว หรือไม่หรืออยากทำงานแบบเงียบๆ

แต่จะได้ลงข่าว หรือเป็นข่าวหน้า1 เป็นที่น่าสนใจแค่ไหน จะขึ้นอยู่กับประเด็นข่าว และความสามารถ ของโฆษกกระทรวง ที่จะดึงความสนใจดึงประเด็นข่าว. มาให้สื่อสนใจได้ด้วย

จนเกิด"รัฐมนตรีโลกลืม"ขึ้นมาและทำให้พลเอกประยุทธ์บ่นกับสื่อก่อนหน้านี้ว่าอย่าทำข่าวแต่ผมคนเดียวสนใจแต่ผมคนเดียวให้สนใจรัฐมนตรีผมด้วยเพราะทุกคนทำงานทุ่มเทแต่นักข่าวก็มาสนใจแต่ผม
ผมเคยถามรัฐมนตรีว่าทำไม ไม่มีข่าวออกเลย รัฐมนตรี บอกว่าเพราะนายกฯแถลงข่าวเสร็จ นักข่าวก็ไปกันหมด ไม่มีใครอยู่ฟังผมเลย

นี่ จึงเป็นที่มาของการที่กรมประชาสัมพันธ์
โดย เสธ.ไก่อู พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือสื่อสถานีโทรทัศน์ทุกช่องลงพื้นที่ทำข่าว รัฐมนตรีคนอื่นๆ ใน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ จ. นครราชสีมา 

จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย

พล.ท.สรรเสริญ จึงต้องออกมาชี้แจงว่า ไม่ใช่เป็นการจัดระเบียบสื่อ แต่เป็นการขอความร่วมมือในการทำรายงานสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับรัฐมนตรีที่ลงไปในพื้นที่ด้วย

เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีประชุมครม. นอกพื้นที่ ก็จะมีแต่ข่าวของนายกรัฐมนตรี แต่ความจริงแล้วยังมีรัฐมนตรีคนอื่นๆ อีกที่ร่วมลงพื้นที่

โดยรัฐมนตรีเหล่านี้จะได้ไปสัมผัสพื้นที่จริงว่านโยบายที่รัฐบาลทำลงไปนั้น มีปัญหาอุปสรรคอะไร รัฐมนตรีจะได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาให้

ดังนั้น เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องต่างๆ ของรัฐมนตรีได้ถึงประชาชนในสังคมให้มากที่สุดและรอบด้าน ตนจึงได้ขอความร่วมมือ ถามว่าใครช่องไหนสนใจติดตามรัฐมนตรีท่านใด ก็ให้เลือกได้ตามใจชอบ ตามที่สื่อช่องนั้นต้องการ

“ผมไม่ได้บังคับ ผมให้เลือกตามใจชอบเลย แต่ต้องไม่ซ้ำกันในแต่ละช่อง บางช่องบอกให้ผมเลือกให้ด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ได้เลือกให้ เพราะรู้ว่าคาแล็คเตอร์ความสนใจของแต่ละช่องไม่เหมือนกัน เท่าที่เห็นแต่ละช่องก็เลือกกันหมดแล้ว” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีบางช่องไม่ทำ ไม่เลือกตามรัฐมนตรี พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ได้บอกแล้วว่า ไม่ได้บังคับ แต่สื่อที่ตามลงไปทำข่าว ก็ต้องทำข่าวของท่านอยู่แล้ว ตนเพียงแต่ขอว่า ให้ส่งสิ่งที่ท่านทำให้กับเราด้วย เพื่อที่จะได้ออกอากาศทางช่อง NBT ที่สำคัญรายงานที่จะออกทางช่อง NBT นั้น ตนไม่ได้บังคับอะไรเลย ท่านจะทำเรื่องไหน อย่างไร เป็นไอเดียของท่านเลย แล้วให้ใช้ไมค์ของสถานีช่องนั้นๆได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าต้องไม่มีสัญลักษณ์หรือโลโก้สถานี

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะความพยายามที่จะแก้ปัญหา เพราะที่ผ่านมาเมื่อลงพื้นที่ก็จะมีแต่ข่าวของนายกรัฐมนตรี ประชาชนจะรู้แต่เรื่องของนายกฯ ที่ขอความร่วมมืออย่างนี้ก็เพื่อความหลากหลายในการนำเสนอเนื้อหาการประชุมครม. ที่ไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องนายกฯ

และที่ต้องขอความร่วมมืออย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเราไม่มีทีมข่าวที่เพียงพอ ยืนยันว่าผมมีทีมข่าวของกรมประชาสัมพันธ์เพียงพอ และเตรียมไว้แล้วเช่นกัน แต่ตนต้องการให้เกิดความหลากหลายในการนำเสนอ ไม่ใช้เฉพาะในมุมสื่อของรัฐเพียงอย่างเดียว เราให้อิสระในการคิดนำเสนอประเด็น เพียงแต่ขอให้ท่านส่งมาให้เราด้วยเพื่อที่เราจะช่วยเผยแพร่ทางช่อง NBT เป็นความต้องการที่แท้จริง

การรายงานเรื่องของรัฐมนตรีแต่ละคน แต่ละช่องรายงานได้ตามสบาย ตามสไตล์ ผมอยากให้ประชาชนที่ดูช่องสื่อของรัฐ ได้รับรู้ว่าสื่อเอกชนเขานำเสนออย่างไร เราเป็นเพียงตัวกลางช่วยเผยแพร่ให้ความหลากหลายแก่ประชาชน ไม่ใช่เป็นการจัดระเบียบสื่ออย่างที่มีการวิจารณ์กัน” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ดังนั้นปัญหานี้....จึงไม่ได้อยู่ที่สื่อ แต่อยู่ที่ตัวรัฐมนตรีและทีมงาน และทีมโฆษกกระทรวงเองว่า. จะสามารถทำให้"เจ้านาย" ตกเป็น"ข่าวดีๆ" ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะนักข่าวนั้นพร้อมที่จะทำข่าวอยู่แล้ว หากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็น ประโยชน์ต่อประชาชน และครบองค์ประกอบของข่าว

โดยไม่ต้องบังคับ บอกกล่าวหรือ ขอความร่วมมือกัน. ...จะเป็นการทำข่าวแบบธรรมชาติที่สุด

วันเกิดครบ97 ปีนี้ "ป๋าเปรม"เปิดบ้านให้เฉพาะ "นายกฯบิ๊กตู่"นำครม.-ผบ.เหล่าทัพ



ส่วนตั๊ว ส่วนตัว !!
วันเกิดครบ97 ปีนี้ "ป๋าเปรม"เปิดบ้าน24สค. แต่ให้เฉพาะ "นายกฯบิ๊กตู่"นำครม.-ผบ.เหล่าทัพ เข้าอวยพร ล่วงหน้า เท่านั้น/ ส่วน "คนรักป๋า" ไม่ต้องมา ส่ง "การ์ดอวยพร" พอ /"ทส.ป๋า" ปัด วันเกิดป๋า ไม่เปิด วัน25สค.เพราะกลัวถูกโยงวันตัดสินคดี"ยิ่งลักษณ์"/วันเกิดจริง26สค. ป๋าจะไป ทำบุญวัดราชบพิธฯ
พลโท พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานประธานองมนตรี และรัฐบุรุษ. และ นายทหารคนสนิท (ทส.)ป๋า กล่าวถึงประเพณี เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในโอกาสคล้าย วันเกิด ครบ97ปี 26 สค. 2560 ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ว่า ปีนี้ จะเปิดบ้านในวันพฤหัสบดี ที่24 สค.นี้ เนื่องจาก วันที่26 สค. เป็นวันเสาร์ วันหยุดราชการ
แต่ทว่า พลเอกเปรม จะเปิดบ้าน ให้เฉพาะคณะของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี และ ครม. รมว.กลาโหม และผบ.เหล่าทัพ เข้าอวยพรวันเกิด เท่านั้นไม่ได้เปิดให้คณะบุคคลอื่นใด
ทั้งนี้ พลเอกเปรม ไม่ต้องการให้ใครมาอวยพร ท่านไม่อยากรบกวนใคร ส่งแค่ บัตรอวยพร วันเกิด มาเท่านั้นพอ
อีกทั้ง ในวันเกิด 26สค.นั้น พลเอกเปรม ด็จะไปทำบุญ ที่วัดราชบพิธฯ เป็นการส่วนตัว
ท่ามกลางข่าวลือที่ว่า การเปิดบ้าน24สค. ไม่เปิดวันศุกร์ 25สค.เพราะป๋า ไม่ต้องการ ให้ถูกโยงกับ วันตัดสินคดีจำนำข้าว อดีตนายกฯ" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
อีกทั้ง เป็นวันที่ ทางรัฐบาลและ คสช. ทหาร ตำรวจ ต้อง เตรียมพร้อมดูแลสถานการณ์ วันตัดสินคดี และคงต้องรอติดตามคำพิพากษา จึงไม่เปิดบ้านในวันนั้น
เพราะปกติ หากวันเกิดจริง ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดราชการ หากจะอวยพรก่อน ก็จะอวยพรใน วันศุกร์ที่ 25สค. แต่ทว่า ปีนี้กำหนดเป็น พฤหัสฯ24สค. จึงทำให้เกิดข่าวลือดังกล่าว
พลโทพิศณุ ยืนยันว่า การเปิดบ้าน 24สค. ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ วันตัดสินคดีจำนำข้าว
แต่เป็นวันที่ นายกฯและผบ.เหล่าทัพ ทำหนังสือ ขอเข้าอวยพรมา

เอพีแกะรอย “บอส” ทายาทกระทิงแดง ตีแผ่เครือข่ายธุรกิจออฟชอร์ปกปิดของ “ตระกูลอยู่วิทยา”

เอพีแกะรอย “บอส” ทายาทกระทิงแดง ตีแผ่เครือข่ายธุรกิจออฟชอร์ปกปิดของ “ตระกูลอยู่วิทยา”
วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ทายาทของตระกูล “อยู่วิทยา” เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่ม “กระทิงแดง” ขณะเดินทางออกจากบ้านพักในลอนดอน เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
        เอพี - สื่อนอกอย่างสำนักข่าวเอพี อ้างอิง “เอกสารปานามา” ขุดคุ้ยธุรกิจออฟชอร์ที่เป็นช่องทางให้ตระกูล “อยู่วิทยา” เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่ม “กระทิงแดง” ปกปิดการซื้อเครื่องบินส่วนตัวและอสังหาริมทรัพย์สุดหรู ซึ่งรวมถึงบ้านในลอนดอน อันเป็นสถานที่ซึ่งมีคนเห็น “บอส” หลานชายของผู้ก่อตั้งกิจการนี้ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายระหว่างหนีคดีขับรถชนตำรวจตายคาเครื่องแบบ
       
       เอพีบอกว่า จากความพยายามในการปกปิดทรัพย์สินของตระกูลอยู่วิทยา นี้ เป็นสิ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า พวกผู้เล่นทางการเงินระดับโลกนั้น สามารถเคลื่อนย้ายเงินเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์อยู่เนืองๆ อย่างง่ายดายและถูกต้องตามกฎหมายโดยที่มีการกำกับดูแลจากทางการมีน้อยมากหรือกระทั่งไม่มีเลย
       
       การทำธุรกรรมออฟชอร์อย่างลับๆ ของครอบครัวนี้ถูกตีแผ่ขึ้นมาโดยบังเอิญ จากกรณีที่ วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ทายาทของตระกูล ขับเฟอร์รารีชนตำรวจตายเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว แต่ไม่ยอมไปแสดงตัวตามหมายเรียก และเป็นที่ครหามานานว่า เจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจปล่อยให้คนผิดลอยนวล
       
       เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ เอพีตามแกะรอยจากโพสต์กว่า 120 โพสต์บนอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กของเพื่อนและครอบครัว จนไปพบบ้านพักของตระกูลอยู่วิทยาในลอนดอน รวมทั้งพบวรยุทธ ที่บริเวณหน้าบ้านหลังนี้ด้วย ทว่า เจ้าตัวไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ
       
       ขณะที่ทางการไทยบอกว่า ไม่รู้ว่า ผู้ต้องหารายนี้หลบหนีไปอยู่ที่ไหน และทำได้เพียงเพิกถอนหนังสือเดินทางและออกหมายจับ
       
       รายงานของเอพีบอกว่าการสอบสวนหาที่กบดานของบอส ได้นำไปสู่การศึกษาสืบค้น “เอกสารปานามา” หรือเอกสารทางการเงินลับที่มีผู้นำออกมาเปิดโปงจำนวนรวมประมาณ 11 ล้านชิ้น เอกสารเหล่านี้เป็นของ มอสแซค ฟอนเซกา บริษัทกฎหมายในปานามาซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก และก็เป็นตัวแทนของมหาเศรษฐีและผู้มีอำนาจต่างๆ ทั่วโลกในการดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อปกปิดทรัพย์สินเงินทอง
       
       ซูดดอยช์ เซตุง หนังสือพิมพ์เยอรมนีคือผู้ที่ได้รับเอกสารปานามาเป็นรายแรก และนำไปศึกษาวิจัยร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวสายสืบสวนนานาชาติ โดยเริ่มเผยแพร่รายงานกับองค์กรสื่อต่างๆ เมื่อปีที่แล้ว และทำให้ผู้มั่งคั่งและผู้มีอำนาจมากมายในกว่า 70 ประเทศถูกตรวจสอบและหลายคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง รัฐบาลในหลายประเทศก็ลุกขึ้นมาจัดการกับแหล่งหลบเลี่ยงภาษีนอกประเทศ
       
       เอพีรายงานว่า สำหรับเครือข่ายบริษัทออฟชอร์ของตระกูลอยู่วิทยา ซึ่งดำเนินการจัดตั้งโดยมอสแซค ฟอนเซกา นั้น มีความซับซ้อนอย่างมากและไม่มีชื่ออยู่วิทยาหรือแบรนด์กระทิงแดงเกี่ยวข้องด้วยเลย กระนั้นจากเอกสารปานาที่เอพีได้รับมา ก็แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวนี้มีการใช้บริษัทนิรนามซึ่งจัดตั้งขึ้นในดินแดนที่ไม่มีการเก็บภาษีโดยตรง มาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว
       
       ตระกูลอยู่วิทยา ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการกระดิงแดงในระดับระหว่างประเทศ ร่วมกับ ดีทริช เมเทสซิตซ์ นักธุรกิจออสเตรีย ปฏิเสธแสดงความคิดเห็น ขณะที่กระทิงแดงออกคำแถลงว่า สถานะทางกฎหมายของ “บอส” ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท และข้อมูลการเงินของบริษัทเป็นข้อมูลส่วนตัว 
เอพีแกะรอย “บอส” ทายาทกระทิงแดง ตีแผ่เครือข่ายธุรกิจออฟชอร์ปกปิดของ “ตระกูลอยู่วิทยา”
        รายงานของเอพีกล่าวว่า บ้านก่ออิฐ 5 ชั้นที่ลอนดอนซึ่งไปพบวรยุทธอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นบ้านซึ่ง เฉลิม อยู่วิทยา พ่อของบอส ระบุเป็นที่อยู่ในเอกสารขณะดำเนินการก่อตั้งไทย สยาม ไวเนอรีในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2002 และดารณี แม่ของบอส ใช้เป็นที่พักเมื่อเดินทางไปเปิดธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเมื่อ 11 ปีที่แล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านหลังงามดังกล่าว รวมถึงอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับล้านดอลลาร์อีกอย่างน้อย 4 แห่งในลอนดอน ไม่ใช่คนในตระกูลนี้ แต่ตามเอกสารปานามาระบุว่า เป็นคาร์นฟอร์ต อินเวสเมนต์ ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน และมีเจอร์ราร์ด คอมปานี เป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว ขณะที่ผู้ถือหุ้น 1 ใน 3 ของเจอร์ราร์ดเป็นบริษัทออฟชอร์ที่มีเจเค ฟลาย ถือหุ้นอยู่ 25% และเจ้าของเจเค ฟลายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคาร์นฟอร์ต
       
       นอกจากนี้ เจอร์ราร์ด ซึ่งตั้งอยู่บนหมู่เกาะบริติช เวอร์จินเช่นเดียวกัน ยังเป็นผู้ถือหุ้นหลักของธุรกิจกระทิงแดงในสหราชอาณาจักร
       
       บริษัทออฟชอร์แห่งต่างๆ ของตระกูลอยู่วิทยา มีความเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อนโดยมีนายหน้า เลขานุการ กรรมการ และผู้บริหาร ที่ได้รับค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อลงชื่อในแบบฟอร์มและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแทนเจ้าของตัวจริงที่ชื่อเสียงเรียงนามยังคงถูกปิดเป็นความลับ
       
       เอกสารปานามาระบุว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเงินมากมายไหลเวียนผ่านนิติบุคคลเหล่านี้จำนวนมาก เช่น ปี 2005 เจอร์ราร์ดปล่อยกู้ 6.5 ล้านดอลลาร์เพื่อให้คาร์นฟอร์ตนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์สองแห่งในลอนดอน ต่อมาในปี 2012 เจอร์ราร์ดยกเลิกสัญญาจำนองดังกล่าวและยกอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นให้เป็นของคาร์นฟอร์ต นอกจากนี้นับจากปี 2010 เจเค ฟลายได้รับเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยประมาณ 14 ล้านดอลลาร์จากคาร์นฟอร์ต ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท เพื่อนำไปซื้อเครื่องบิน
       
       ศาสตราจารย์เจสัน ชาร์แมน จากมหาวิทยาลัยกริฟฟิธในออสเตรเลีย ที่ทำการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการทุจริตทางการเงิน บอกว่า การโอนเงินโดยไม่ระบุชื่อผู้ทำธุรกรรมแม้เป็นเหตุการณ์ปกติทั้งในแบบแผนที่ผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย แต่สิ่งสำคัญก็คือ ตัวแทนที่เดินเรื่องเคลื่อนย้ายเงินย่อมรู้ว่า เจ้าของที่แท้จริงเป็นใคร
       
       แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอไป ตัวอย่างเช่น ในปี 2010 และ 2013 ผู้สอบบัญชีของสำนักงานใหญ่มอสแซค ฟอนเซกา ตั้งข้อสังเกตว่า เอกสารยืนยันเจ้าของที่แท้จริงของคาร์นฟอร์ตและเจอร์ราร์ดสูญหาย และเตือนว่า หากถูกตรวจพบ บริษัทอาจถูกปรับทั้งในทางปกครองและตามกฎหมายเป็นเงินมหาศาล
       
       อย่างไรก็ดี เอพีระบุว่า ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ทั้งสองบริษัทเคยมอบเอกสารดังกล่าวฉบับสมบูรณ์ให้มอสแซค ฟอนเซกาหรือไม่
       
       อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อสำนักงานในปานามาของมอสแซค ฟอนเซกา ขอให้ตัวแทนของตนในไทยจัดทำการสอบทานธุรกิจของมหาเศรษฐีพันล้านชื่อดังของเมืองไทยคนหนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธแข็งขัน
       
       ทั้งนี้ เมื่อถูกขอให้แสดงสำเนาหนังสือเดินทางที่ได้รับการรับรอง ชื่อเจ้าของ และจดหมายอ้างอิง สตีฟ วากเนอร์ เจ้าหน้าที่ของมอสแซค ฟอนเซกาในสำนักงานในกรุงเทพฯ กลับยืนกรานว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และสำทับว่า พวกคนมีอันจะกินในเมืองไทยล้วนรู้จักหรือมีเส้นสายกับนักการเมือง
       
       สุมาพร มานะสันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของกระทรวงการคลัง ระบุว่า ไทยไม่มีกรอบโครงมาตรฐานที่เป็นสากลในการต่อสู้กับการฟอกเงินและการระดมทุนของผู้ก่อการร้าย ขณะที่การเลี่ยงภาษี ด้วยการฝากเงินในบัญชีนอกประเทศที่ไม่ต้องระบุชื่อ เป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายและพบได้ทั่วไป
       
       สุมาพรทิ้งท้ายว่า ไทยสูญเสียรายได้ภาษีอากรที่จำเป็นจำนวนมากที่สามารถนำไปก่อสร้างสะพาน ถนนหนทาง และโรงเรียน เนื่องจากสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่า “การวางแผนทางภาษี” ทำนองนี้