PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง “เริงชัย” อดีตผู้ว่าธปท.ไม่ผิดสั่ง สวอป ป้องค่าเงินบาทลอยตัวปี40

ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง “เริงชัย” อดีตผู้ว่าธปท.ไม่ผิดสั่ง สวอป ป้องค่าเงินบาทลอยตัวปี 40 พ้นภาระชดใช้คืน 1.8 แสนล. สู้คดี 15 ปี พ้นมลทิน
5 ต.ค. 59 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1 - 2 ยื่นฟ้อง นายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่า ธปท. เป็นจำเลย เรื่องละเมิด จากกรณีออกคำสั่งทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท (สวอป) เพื่อปกป้องค่าเงินบาท เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว ปี 2540 อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยวันนี้ นายธนกร แหวกวารี รับมอบฉันทะจากนายเริงชัย มาฟังคำพิพากษา ซึ่งคดีทางแพ่งจำเลยไม่ต้องเดินทางมาศาลเองได้
นายธนกร เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าการกระทำของนายเริงชัย ไม่ได้เป็นการกระทำละเมิด และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกว่า 1.8 แสนล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าผลคดีเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกา
นายนพดล หลาวทอง ทนายความของนายเริงชัย กล่าวว่า เมื่อผลคดีเป็นที่ยุติแล้วว่า นายเริงชัยไม่ได้กระทำการให้เสียหายตามฟ้อง ทั้งนี้ ยังไม่เคยมีการหารือกับนายเริงชัยว่าจะดำเนินคดีกับบุคคลหรือหน่วยงานใดที่สอบคดีนี้จนมีการกล่าวหานายเริงชัยหรือไม่ ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นการล้างมลทินแล้วที่ต้องต่อสู้คดีมายาวนานถึง 15 ปี โดยนายเริงชัยไม่เคยถูกกล่าวหาคดีทางอาญาว่าทุจริต เพียงแต่มีการเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ซึ่งการสู้คดีได้ยืนยันแล้วว่า นายเริงชัยได้กระทำตามหน้าที่ขณะนั้นอย่างระมัดระวังที่สุดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อ 12 ธ.ค. 44 ระบุว่า ขณะนายเริงชัยเป็นผู้ว่าการ ธปท. และกรรมการกองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปี 2539 - 2540 ได้อนุมัติให้นำเงินทุนสำรองทางการ แทรกแซงในตลาดเงินตราเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท ทำให้ ธปท.ต้องรับภาระส่งมอบเงินดอลลาร์ จากการทำธุรกรรมขายดอลลาร์ในตลาดเงินตราคิดเป็นเงินบาทถึง 193,812.59 ล้านบาท แต่เนื่องจากการทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (สวอป) ในช่วงวันที่ 1 พ.ย. 39 - 30 มิ.ย. 40 มีผลกำไร 7,298.771 ล้านบาท หักออกจากความเสียหายทั้งหมดแล้ว จำเลยต้องรับผิดชดใช้ในส่วนขาดทุนในการทำธุรกรรมดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 185,953,740,000 บาท นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 62,090,720 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นทุนทรัพย์ที่ฟ้องเป็นเงิน 186,015,830,720 บาท ขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษา พร้อมทั้งให้จำเลยชำระเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 48 ให้นายเริงชัยจำเลยใช้เงิน 185,953,740,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. 2541 แก่ ธปท. โจทก์ที่ 1 และยกฟ้องกองทุนฯ โจทก์ที่ 2 เนื่องจากไม่มีหน้าที่ทำธุรกรรมค่าเงินบาท
ซึ่งนายเริงชัย ได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 53 พิพากษากลับให้ยกฟ้องนายเริงชัย เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของนายเริงชัยขณะนั้นไม่ได้เป็นการกระทำโดยประมาท แต่เป็นไปตามวิสัยที่เกิดขึ้นขณะนั้นตามความเหมาะสม และการพิจารณาถึงมาตรการใดๆ ก็ได้หารือในคณะ ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยความประมาทเลินเล่อเพียงลำพัง

อาลัยแด่จันทร์ทิพย์ ผู้เป็นเมียของผัวและแม่ของลูกผู้อดทนหนักแน่น ควรค่าแก่การระลึกถึง (ต่อ)


หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 4 ภาพ
อาลัยแด่จันทร์ทิพย์ ผู้เป็นเมียของผัวและแม่ของลูกผู้อดทนหนักแน่น ควรค่าแก่การระลึกถึง (ต่อ)
๕ กันยายน ๒๕๕๙
๔ โมงเศษๆ ฉันเดินทางถึงวัดมงกุฎ ณ. ศาลา ๑๐ พอไปถึงพิธีรดน้ำศพกำลังเริ่ม
พวกญาติพี่น้องผู้ตายและเจ้าปั๊ปจึงให้ฉันได้รดน้ำศพ อีจันทร์ก่อน
ฉันเห็นหน้าอีจันทร์ แล้วก็รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า ลูกเอย ไปดีเถอะนะลูก วันนี้กูมารดน้ำซากมึงแล้วจุติ จุตัง อรหัง จุติ นะลูก
แล้วยื่นซองใส่เงินของวัดอ้อน้อย และมูลนิธิธรรมอิสระ ที่ถวายให้ฉันมาร่วมบริจาคเป็นเจ้าภาพงานศพอีจันทร์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
หากจะถามว่าทำไมถึงได้มากขนาดนี้ เพราะฉันรู้ว่าตอนนี้ครอบครัวอีจันทร์กำลังลำบาก ฝืดเคืองขัดสนเรื่องการเงิน
แม้ว่าเงินหนึ่งแสนจะดูไม่มากในสายตาของคนมีอันจะกิน แต่ก็เป็นเศษเสี้ยวหนึ่ง ที่จะช่วยต่อลมหายใจให้กับครอบครัวอีจันทร์มันได้บ้าง
อีกทั้งพี่น้อง เพื่อนพ้อง ที่ไปร่วมงาน และที่จะมาร่วมงานสวดศพของอีจันทร์
หากจะนำพวงหรีดหรือดอกไม้มาเคารพศพ ก็ขอเปลี่ยนเป็นเงินใส่ซองมาช่วยงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย จะเป็นบุญอย่างยิ่ง
หลังจากรดน้ำศพอีจันทร์แล้ว ก็มานั่งเห็นแขกผู้มีเกียรติมากันมากมาย เช่นลุงจำลอง หรือพลตรีจำลอง ศรีเมือง ด็อกเตอร์อาทิตย์ อุไรรัตน์ ท่านรองนายกรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คุณไพบูลย์ นิติตะวัน และตัวแทนของมูลนิธิธรรมอิสระ รวมทั้งพี่น้องพันธมิตร วงศาคณาญาติของอีจันทร์ ผู้ล่วงลับ
เขียนมาถึงตรงนี้ก็ทำให้หวนรำลึกถึงวันเวลาที่
อีจันทร์และนายสนธิ มันมาเป็นลูกศิษย์ร่วม ๒๐ ปี อีจันทร์มันจะพูดกับฉันทุกเรื่อง มีอยู่เรื่องเดียวที่มันไม่พูด ก็คือเรื่องของครอบครัว เรื่องของผัว เรื่องของลูก มันไม่เคยมาพูดคุยกับฉันเลย จนบางครั้งฉันสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงได้เอ่ยปากถามมัน ถึงได้รู้ว่าเกิดปัญหาอะไร
ฉันในฐานะเป็นครูบาอาจารย์ ก็ได้แต่แนะนำให้กำลังใจให้มันทำหน้าที่ของแม่และเมียที่ดี พร้อมบอกมันว่า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตายนะโว้ย
เริ่มรดน้ำศพตั้งแต่ ๔ โมง มาเลิกเอาร่วม ๖ โมง ฉันจึงลุกจากที่นั่งไปทำพิธีนำร่าง
อีจันทร์ใส่โลง พอมองเห็นโลงที่เตรียมไว้ใส่ร่างมันแล้วให้นึกหดหู่ใจว่า คนเราไม่ว่าร่ำรวยหรือยากจน กระจอกหรือยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงหรือไร้ศักดิ์ศรี สุดท้ายก็หนีนอนในโลงไม่ได้
ฉันบอกให้เจ้าปั๊ปจุดธูปบอกแม่มันแล้วกราบตีนแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำบรรจุใส่โลง ฉันสั่งให้นำผ้ามาทอดลงบนตัวอีจันทร์ แล้วนิมนต์พระ ๔ รูปมาชักผ้าบังสุกุล สัปเหร่อนำสายสิญจน์มาให้ฉันผูกข้อมืออีจันทร์ เพื่อโยงเอาไว้ใช้ทอดผ้าบังสุกุล เพื่อให้พระ ๔ รูปชักบังสุกุล
เสร็จแล้วจึงบอกให้เจ้าปั๊ปและญาติๆ ของอีจันทร์ เอาเศษสตางค์ใส่ไปในโลง ที่โบราณเขาเชื่อว่า เขาไว้ให้ผู้ตายจ่ายค่าผ่านทาง หรือเอาไว้จ่ายเป็นค่าข้ามน้ำ ข้ามสะพาน
แต่เท่าที่ฉันรู้สัปเหร่อ เอาไปกินหมดทุกราย
เมื่อนำโรงศพขึ้นตั้งประดับดอกไม้เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาพระขึ้นเทศน์ ตามกำหนดการแจ้งว่า จะมีการแสดงธรรมของวัดนาป่าพง หรือพวก “ลัทธิพุทธวจนะ ” ที่เจ้าลัทธิมีประวัติฉาวโฉ่ลือลั่น ดังกระฉ่อนโลกโซเชียล ว่าลวนลามพยาบาลสาว แถมยังโชว์ของลับให้น้องหญิงได้เห็นอีกตะหาก
ตามกำหนดการวันนี้เจ้าลัทธิต้องมาเทศน์ แต่พอรู้ว่าพุทธะอิสระนั่งอยู่ในศาลาตั้งศพ เจ้าลัทธิเลยขังตัวเองอยู่บนรถ ไม่กล้าลงมาร่วมงาน ปล่อยให้สาวก ๒ รูป มานั่งแสดงพุทธวจนะ แต่ทำเอาผู้คนทั้งศาลาพากันแปลกใจ
เมื่อพิธีกรขอศีล นักบวชสาวกลัทธินี้ กลับไม่ยอมให้ศีลแถมยังบอกว่า ตามธรรมเนียมของพระอริยเจ้าต้องนั่งด้วยอาการสงบ
แม้ฉันพยายามจะทำความเข้าใจว่า การสำรวมกาย สำรวมวาจา นั่งแหล่ะคือการเป็นผู้มีศีล แต่พอได้ฟังคำชี้แจงจึงได้รู้ว่า สาวกลัทธินี้เขาไม่นิยมให้ศีลชาวบ้าน แต่นิยมให้นั่งฟังนิ่งๆ
ทำความประหลาดใจครั้งแรกแล้ว คงยังไม่หนำใจ พระเดชพระคุณภันเตถึงกับตบท้ายการแสดงธรรม ด้วยการโปรโมทว่า ผู้ที่เข้าลัทธินี้เมื่อตายแล้ว ศพจะเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ไม่เน่าไม่เปื่อย
ซึ่งสาวกของลัทธินี้เขาโฆษณาว่า เขาเห็นมาหลายศพแล้ว แถมยังบอกว่าคุณจันทร์ทิพย์ จักได้ไปเกิดเป็นในสวรรค์ชั้นสุทธาวาส และจะบรรลุพระอริยบุคคล อยู่ในสวรรค์ชั้นนั้น อาจได้เป็นถึงพระอรหันต์ เลยครับพี่น้อง
เอา....เอา เข้าไป อวดตามสบายเท่าที่ความโลภของตนเองมี
เอาเป็นว่าหากใครอยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง หลังจากตายแล้ว ก็ให้รีบๆ ไปสมัครเข้าลัทธิ “พุทธวจนะ ” ให้ไว เวลาตายศพจะได้สวย แถมยังมีโปรโมชั่นว่าศพจะไม่เน่าไม่เปื่อยเป็นของแถม อีกด้วยนะพี่น้อง
ฉันบอกกับเจ้าปั๊ปว่า ถ้ากูไม่เห็นแก่หน้าอีจันทร์แม่มึง กูคงไม่ปล่อยให้ไอ้สาวกลัทธินี้ มานั่งตีฝีปากอวดอ้างคุณวิเศษอุตริมนุษธรรม อยู่ต่อหน้าเช่นนี้เป็นแน่
ถือว่าวันนี้รอดได้เพราะผีอีจันทร์ช่วย
แต่ถ้าหากคราวหน้ากูเจออีก คงจะไม่ปล่อยให้พวกอ้างพุทธอ้างพระ มาแหกตาหลอกลวงชาวบ้าน หากินเช่นนี้ดอก
ฉันเลยต้องเทศน์ให้เจ้าปั๊ปฟังเสีย ๒ กัณฑ์ใหญ่
๑. ตัวมึงๆ ก็บวชและเคยอยู่ ก็รู้อยู่แก่ใจว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ย่อลงเหลือแค่ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
หากชาวบ้านเขาต้องการเรียนศีล ขอร้องให้พระสอนศีล แต่พระกลับนั่งนิ่งเฉยแล้วโลกนี้จะมีศีลเอาไว้ทำไม
๒. พวกชอบที่อ้างพุทธวจนะ แล้วมาพยากรณ์พระอริยบุคคลให้แม่มึงฟังแบบนี้นี่
คนที่เขามีสติปัญญา เขาศึกษารู้จักพระธรรมวินัยมาเขาจะตำหนิติพวกมึงได้ว่า ไปงมงายหลงเชื่ออะไรกับพวกลัทธิที่มีปัญหา และสร้างปัญหาให้แก่พระธรรมวินัย อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระพุทธเจ้า
ฉันจึงต้องเทศน์ยกที่สองแก่เจ้าปั๊ปต่อว่า มึงเป็นลูกเป็นหลานกู เป็นศิษย์กู ก็ต้องรับรู้ว่า กูต่อสู้ยืนหยัดมาได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ ก็เพราะกูสู้ด้วยความจริง คิด ทำ พูด ต้องพิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์
วันข้างหน้ามึงก็ต้องรับไม้ต่อจากพ่อมึงและรับมรดกตกทอดจากกู จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
แล้วทำไมถึงได้ไปฝักใฝ่งมงายกับพวกที่หลบหนีความจริง ทำ พูด คิด แล้วหาข้อผิด ถูก ไม่ได้ ถ้ามึงยังคิดว่ากูเป็นพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ก็เอาคำพูดกูไปวิเคราะห์ดูว่าเท็จ จริง อย่างไร และมึงต้องเข้าใจด้วยว่า การที่มึงจะยืนหยัดขึ้นได้อย่างสง่างามในท่ามกลางคนหมู่มากนั้นมีสิ่งเดียวที่มึงควรทำคือ
จริงจัง จริงใจ ซื่อตรง และเหยียบยืนอยู่กับข้างที่ถูกต้อง ไม่ใช่คลุมเครือ
ผู้ตามมึงและคนที่เขามีความรู้ เขาจะตำหนิมึงได้ว่า ไม่มีสติปัญญา แยกแยะดีชั่ว ไม่ออก
เขาจะกล่าวหาว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ได้สั่งสอน หวังว่าลูกคงจะเข้าใจในความหวังดีครั้งนี้ และถ้ากูพูดผิดไป หรือไม่เข้าหูมึง มึงจะเกลียดกู กูก็ไม่ว่า ไม่บ่น เพราะยังไงๆ มึงก็คือลูกศิษย์ของกู
พุทธะอิสระ

"คลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหว" ล่าอาณานิคม ๓.๐

"คลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหว" ล่าอาณานิคม ๓.๐
(โดย : ปราชญ์ สามสี)
๒๘ กันยายน ๒๕๕๙
วันนี้คงได้พูดสำหรับประเด็นใหญ่ๆ สองสามประเด็น ที่กำลัง จะเกิดขึ้นในอนาคต อันไกล้นี้ ผมเชื่อว่าหลายคน สามารถจับ สัญญาน"อันตราย" อะไรบางอย่างได้ ในช่วงเวลานี้โดยเฉพาะ เครือข่าย "ซ้ายอกหัก" ที่หลายๆฝ่าย รวมถึงกระผมด้วย มักจะเรียกพวกนี้ว่าพวก "ลิเบอร่าน" ที่มาจากคำว่า "Libertard" และ แน่นอนว่าพวกนี้คือกลุ่มเดียวกันกับพวก"ลัทธิชังชาติ"ที่เอะอะๆไม่ว่าอะไร ก็จะตอบว่า "ประเทศไทยผิด"ไปเสียทุกอย่าง
หลังจากยุค "เสื้อแดง" กำลังจะสิ้นไป พร้อมกับ การที่ อดีตนายกฯอย่าง นาง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ นักโทษหนีคดี อย่างทักษิณ ชินวัตร กำลังจะต้องติดคุก เพราะ คดีโกงที่ตัวเองก่อไว้ ราว ๑๐ กว่าคดีที่ผ่านมา พร้อมกับ พรรคเพื่อไทย ที่แทบจะต้องไปตั้งที่ทำการพรรคในเรือนจำบางขวาง เพราะ ตั้งแต่ ส.ส.,โฆษกพรรค ยัน รองประธานพรรคก็ล้วนติดคุกหรือหนีคดีอยู่ทั้งสิ้น
ทำให้ เครือข่าย "มดงาน" ที่เคยทำงานต่างอดอยากปากแห้งไปตามๆกัน และนั้นหมายถึง ขบวนการ"ลิเบอร่าน"อีกด้วย แต่นั้นเป็นเพียง ช่วงเวลาตกอับเพียงสั้นๆ เพราะเวลานี้ "ลิเบอร่านใหม่" พึ่งได้"งบใหม่แกะกล่อง" และแนวทางใหม่ๆ หลังจากที่ ผจญทางตันมาตลอด ๒ปีที่ผ่านมา
สัญญานบอกเหตุหลังเหตุระเบิด ๗ จังหวัดภาคใต้ และ ปัญหาไฟใต้รูปแบบใหม่ กับการเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพให้ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ที่ผิดเพี้ยนไปสู่การสนับสนุนกลุ่ม BRNแบ่งแยกดินแดนไปเสียอย่างนั้น ไฟใต้เวลานี้ นับเป็น "ภัยที่น่าสนใจยิ่ง" ถึงการพยายาม เคลื่อนไหวใหม่ๆ ของกลุ่มเยาวชน PerMAS ได้ กลุ่ม ประชาธิปไตยใหม่ อย่าง "จ่านิว" ลงไปขยายเครือข่ายเยาวชน และ ยังมีกลุ่มNGO สายสันติภาพเด็กอีกหลายกลุ่มที่ ลงไปสร้างภาพให้ "เครือข่าย สนับสนุนให้ภาพลักษณ์ของ PerMAS นั้นหรูดูดี น่าเชื่อถือ"
----------------------------------------------------------
กลุ่มเยาวชนต่างๆ เหล่านี้ หากเจาะหาสายต้นตอก็จะรู้ว่ามาจากกลุ่ม นิติราษฎร์ ,YPD, สภาเด็กและเยาวชน รวมไปถึง กลุ่ม ม.เที่ยงคืน ซึ่ง เยาวชน มดงานพวกนี้ นอกจากได้รับทุน จาก สสส. ที่หากินจากการรณรงค์ต้านยาเสพติดและโครงการทำนองนี้... ล่าสุด ก็มีการได้รับ ทุนสนับสนุน จาก USAID อีกด้วย ***หากใครจำได้ จะเห็นว่าท่านทูตสหรัฐ คนดี้ทั้งสองสมัยก็ เลี้ยงดูปูเสื่อ เปิดบ้านต้องรับ กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ อย่างรังสิมัน โรมและ เพนกวิ้นไว้อย่างดี***
ซึ่งหาก ย้อนดู ประวัติ กองทุนUSAID นั้น ก็จะเกี่ยวข้องกับกองทุน NED และ กองทุน FreedomHouse ของรัฐบาลสหรัฐและ นาย จอร์จ โซรอส ที่ สนับสนุน องค์กร อย่าง ILAWS / ประชาไท / และ เครือข่ายของ นาย จอร์น อึ้งภากรณ์ ทั้งสิ้น ทุนสนับสนุนอย่าง USAIDเหล่านี้ จะเข้าไป สนับสนุนองค์กรอิสระ รวมไปถึงสื่อมวลชน อีกหลายกลุ่มที่ต้องสงสัย อย่าง กลุ่มลูกเหรียงที่รักของอุดม ที่พึ่งมีเบาะแสไป ประชุมกับ PerMAS สดๆร้อนๆ เมื่อปี ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา หรือแม้แต่ กลุ่มนักเขียน ของ นาง รจเรข วัฒนพาณิชย์ เจ้าของร้านหนังสือ อย่าง BOOK REPUBLIC ซึ่งจะมี นักเขียนชื่อดังอยู่ในเครือข่ายArticle ๑๑๒ ... ก็ดูเหมือนว่า จะมีเบื้องหลังเชื่อมกับกลุ่มPerMAS ,รัฐบาลสหรัฐ และ กลุ่มเยาวชนที่เป็นหัวหอกในการต่อต้านคสช.อีกด้วย
----------------------------------------------------------
มีเบาะแสเพิ่มเติมว่า กลุ่มเครือข่าย "ซ้ายอกหัก" กำลังเริ่ม Strategy ใหม่ กับการเริ่ม ผลักดัน "พลังเยาวชน" ที่ตนเองแอบ ล้างสมองในห้องเรียนอย่างหลบๆซ่อนๆ อยู่ในมหาวิทยาลัย อย่างจุฬาฯและ ธรรมศาสตร์ สิง่ที่เป็น หลักฐาน ชีดเกี่ยวกับ สิ่งที่คาดคะเนนี้ คือการมาถึง นาย โจชัว หว่อง ซึ่งจะเดินทางมาประเทศไทย เพื่อเสวนาให้เยาวชนสายการเมืองฟังใน วันที่ ๖ ตุลาคม ที่ จุฬาฯ ซึ่งนาย โจชัว หว่อง ผู้นำ ปฎิวัติร่มในฮ่องกง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐและ Freedom House อย่างออกหน้าออกตา
การมาครั้งนี้ ของโจชัว หว่องทำให้ เชื่อได้ว่า น่าจะมีการฟื้นฟู เครือข่าย "สมาพันธ์นักศึกษาเอเชีย" เพื่อเคลื่อนไหว ในการเมืองภายในประเทศ เอเชีย โดยมีการสนับสนุนโดยประเทศสหรัฐและประเทศตะวันตกอย่างฝรั่งเศส
การเคลื่อนไหวของ เครือข่ายเยาวชนที่ถูกจัดตั้งโดยสหรัฐครั้งนี้ เชื่อว่าจะมีการขยับทัง้การเมืองในระบบและนอกระบบ รวมไปถึงการเมืองท้องถิ่น ที่มีปมความขัดแย้งต่างๆเช่น ปัญหาความแตกต่างทางวัฒนธรรมท้องถิ่นใน อีสานเหนือ หรือแม้แต่การแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดภาคใต้ ทั้งหมดก็ทำไปเพื่อ สร้างช่องโหว่ทางการเมือง เป็นโอกาสที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาที่ ต้องการ ซึ่ง คล้ายกับ เหตุกาณร์ใน สมัย ๖ ตุลาคม ปี พ.ศ.๒๕๑๙
---------------------------------------------------
การเคลื่อนไหว ของสหรัฐ และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก ครั้งนี้ มันเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกัน ก็มีการกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ อีกด้วยทำให้ ผมหวนนึกถึง ประเทศไทย ในช่วงเวลาเหตุการณ์ สงครามโลก ครั้งที่ ๑ - ๒ รวมไปถึง สงครามอินโดจีนไม่น้อย
โดยเฉพาะการพยายาม เข้ามา แทรกแซงประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำอาเซียน เหมือนที่ ต่างชาติ เคยพยายามแทรกแซง สยามใน"อินโดจีน"
ในอนาคต สถานการณ์จะเป็นอย่างไร เรื่องนี้เราต้องดู "การเมืองในระบบโลก" เป็นสำคัญ เพราะ มีการจับสัญญาน ถึง "สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในซีกโลกตะวันตก" โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหนี้จำนวนมหาศาลกับสภาวะที่ต้องแบกรับปัญหาความขัดแย้งภายในชาติและปัญหาผู้ลี้ภัยซึ่งเกี่ยวข้องกับ ระบบโลกโดยตรง อันเป็นการสั่นคลอน "อำนาจตำรวจโลก" ที่ อาจทำให้อินทรีพ่ายแพ้ หมีและมังกรที่กำลังกลับมาผงาดอีกครั้ง ปัญหาการเงินขนาดใหญ่โลกตะวันตกและการสูญเสียความน่าเชื่อถือไปของสหรัฐอเมริกากำลังทำให้โลกกำลังเปลี่ยนขั้ว และเริ่ม เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ โลกวันนี้กำลัง เข้าสู่ ยุคล่าอาณานิคม ๓.๐ ซึ่งเขามาในพื้นเอเชียตะวันออกเพื่อเจาะโอกาสในการสูบทรัพยากรณ์อีกครั้ง โดยแฝงมาในรูปแบบ ของการ อารักขาป้องกันปัญหา ISIS และ ปัญหาหมู่กเกาะทะเลจีนใต้หรือที่เรียกว่า หมู่เกาะสแปลตลี่ย์
การที่สหรัฐ เปลี่ยนพื้นที่สงคราม จาก "ตะวันออกกลาง" อันเป็นแหล่งน้ำมัน วันนี้ สหรัฐกำลัง ย้าย เป้าหมายปฏิบัติการ มาสู่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย พูดว่า ISIS อาจอยู่ในเอเชีย เพื่อขอให้อาเซียนเปิดทางให้สหรัฐเข้าไปอาศัยในพื้นที่ไกล้ ข้อพิพากหมู่เกาะสแปลตลี่ย์เพราะรอปะทะกับจีน นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ต้องจับตามาก เพราะ ประเทศไทยเองก็ถือว่าเป็นประเทศสำคัญที่กุมหัวใจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแนวคิดของชาติ"ล่าอาณานิคม"
การเปิดทางเกี่ยวกับความขัดแย้งมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ จึงเป็นประเด็นที่น่าจับตาว่ามีคนพยายามทำให้ ไฟใต้ดูแรงเกินจริง หรือการพยายาม ยั่วยุให้ เยาวชนไทยก่อการปฎิวัติประชาชนในเป็นสงครามกลางเมือง เพื่อ เปิดโอกาสให้ ต่างชาติแทรกแซง อาเซียน รวมไปถึงประเทศไทยของเรา ก็มีความเป็นไปได้สูงมากในอนาคตเช่นกัน
คลื่นลูกใหม่กำลังมา... ประชาชนคนไทย รู้แล้วหรือยัง?
Cr. โดย : ปราชญ์ สามสี

สรรเสริญ-ชาญวิทย์ ‘คนเดือนตุลา’ ที่ถูกลืมในเรือนจำ

ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา จำเลย 14 คน ในชุดนักโทษและถูกตีตรวนที่ขาถูกนำตัวมายังศาลทหารหลายครั้งในการสืบพยานคดีปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญาที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 มี.ค.2558 เป็นเหตุให้บริเวณลานจอดรถและป้อมยามเสียหายเล็กน้อย ในจำนวนนี้มีชายสูงวัยอยู่ 2 คนอายุเลย 60 ปีแล้วทั้งคู่ พวกเขาเป็น “คนรุ่นตุลา” ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ นั่นคือ สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน และชาญวิทย์ จริยานุกูล ในวาระ 40 ปี 6 ตุลา ‘ประชาไท’ จึงขอนำเสนอข้อมูลของสองคนนี้ก่อนในเบื้องต้น

สรรเสริญแจ้งทนายความทันทีถึงการถูกซ้อมและช็อตไฟฟ้าหลังจากทหารส่งตัวเขาให้ตำรวจ

ทั้งคู่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 จนปัจจุบัน คดีนี้มีผู้กระทำการที่ถูกจับกุมในที่เกิดเหตุ 2 คน จากนั้นทหารขยายผลจับกุมคนอื่นๆ อีกรวม 14 ราย ผู้ต้องหาทั้งหมดล้วนถูกจับกุมตัวโดยทหารและถูกควบคุมตัวในค่ายทหารหลายวันก่อนนำตัวส่งให้ตำรวจ มีหลายคนที่ร้องเรียนว่ามีการทำร้ายร่างกายของพวกเขาระหว่างการควบคุมของทหาร รวมถึงสรรเสริญและชาญวิทย์ด้วย (อ่านข่าว) ชายสูงวัยอย่างสรรเสริญระบุว่าเขาถูกซ้อม ถูกช็อตไฟฟ้า เขาจึงได้อดข้าวประท้วงระหว่างการควบคุมตัว (อ่านข่าว) แต่ท้ายที่สุดเมื่อตำรวจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบผลก็ออกมาแบบคาดเดาได้ (อ่านข่าว)

สรรเสริญเคยยื่นประกันตัวในชั้นตำรวจ 2 ครั้งแต่ศาลปฏิเสธเพราะเป็นคดีร้ายแรงและเกรงจะหลบหนี หลังจากนั้นในชั้นพิจารณาคดีของศาลทหารซึ่งปัจจุบันเพิ่งสืบพยานโจทก์แล้วเสร็จเพียง 1 ปาก เขามีโอกาสยื่นประกันตัวอีก แต่เขากลับไม่ยอมให้ทนายดำเนินการ

“เขาบอกว่าถ้าใครยื่นประกันเขาย่อมไม่ใช่สหายของเขา เขาอยากให้คนอื่นได้ประกันออกไปก่อน เพราะทุกคนเป็นคนยากจนทั้งนั้น” ทนายความของสรรเสริญกล่าว

หลังการสืบพยานแต่ละครั้งพวกเขาทั้งหมดจะถูกนำตัวไปขังไว้ชั้นใต้ดินของศาลทหารเพื่อรอส่งกลับเรือนจำ ในกรงที่ไม่กว้างนัก เพดานเตี้ยและไม่ค่อยสว่าง สรรเสริญพูดทั้งน้ำตาว่า เขาอยากให้คนภายนอกหรือมิตรสหายของเขาช่วยกันระดมทุนมาประกันตัวจำเลยในคดีนี้ซึ่งหลายคนหาความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนตัวเขายินดีจะอดทนอยู่ในเรือนจำและพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

ต้องกล่าวก่อนว่านอกเหนือจากผู้กระทำการในที่เกิดเหตุ 2 คน ที่เหลือปรากฏหลักฐานในสำนวนว่า เกี่ยวข้องเพราะ “ร่วมประชุมวางแผนที่ขอนแก่น” กับอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “การโอนเงิน” ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่านำมาจ้างวานผู้กระทำการ การประชุมที่ขอนแก่นเกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และบังเอิญว่าในการประชุมนั้นมี "มหาหิน" หนึ่งในผู้ปาระเบิดซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจการเมืองอย่างยิ่งร่วมด้วย จากนั้นมีการขยายผลไปจับกุมคนเพิ่มอีกหลายคน การประชุมดังกล่าวจำเลยทุกคนยืนยันว่า เป็นการให้การศึกษาทางการเมืองโดยกลุ่มคนที่สนใจและตื่นตัวทางการเมือง พวกเขาเป็นประชาชนธรรมดา บ้างเป็นพนักงานโรงงาน บ้างทำอาชีพค้าขาย เป็นการศึกษากลุ่มย่อยที่มีคนฟังเพียงราว 10 คน การประชุมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วน ส่วนแรกคือเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองและการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ประสานงานของกลุ่มเชิญผู้อาวุโสที่เขารู้จักคือ ชาญวิทย์ ไปบรรยายเรื่องการเมือง แต่ชาญวิทย์บรรยายคนเดียวไม่ไหวจึงชวนสรรเสริญให้ไปช่วยบรรยาย อีกส่วนหนึ่งคือข้อมูลการทำธุรกิจขายตรง ซึ่งมีการเชิญวิทยากรด้านนี้มาบรรยายอีก 2 คน ทั้งหมดถูกจับกุมและคุมขังจนปัจจุบันแม้แต่วิทยากรที่มาบรรยายเรื่องการขายตรงและการกระจายสินค้า รวมถึงภรรยาของมือปาระเบิด 2 คนด้วย

“ผมไปบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์ลาวเฉียง ประวัติศาสตร์การเมืองไทย รูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ แล้วก็วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันด้วย” ชาญวิทย์ผู้กระตือรือร้นอธิบาย เขาใส่แว่นตาขาหักข้างหนึ่งที่เอากาวหนังไก่มาพันจนหนา เขามีบุคลิกชอบถกเถียง พูดเร็วและเสียงดัง นอกจากนี้ยังชอบเอาไม้ถูกพื้นมาทำความสะอาดพื้นห้องขัง แม้กระทั่งเมื่อขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าห้องน้ำ เขายังเอาไม้ถูกพื้นเข้าไปถูกห้องน้ำด้วยเป็นที่ขบขันของเจ้าหน้าที่

“บางทีผมก็นึกโกรธชาญวิทย์ ถ้าเขาไม่มาชวนผม ผมไม่ได้ไปก็คงไม่ต้องอยู่ตรงนี้ แต่พอมีสติก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา” สรรเสริญกล่าว

พล.ต.วิจารณ์ จดแตง นายทหารพระธรรมนูญ พยานโจทก์ที่อยู่ร่วมสอบปากคำผู้ต้องหาในค่ายหทารและเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยทั้งหมด ระบุว่า “ฝ่ายข่าว” ของทหารเป็นผู้สืบทราบเรื่องทั้งหมด และเชื่อมโยงการประชุมที่ขอนแก่นว่าเป็นการ “ประชุมวางแผน” ปาระเบิดในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวด้วยว่า “ฝ่ายข่าว” ของทหารผู้ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลชั้นต้นนั้นเป็นหน่วยงานลับที่พล.ต.วิจารณ์ระบุว่าไม่อาจเปิดเผยได้และไม่สามารถมาให้การในศาลได้ ดังนั้น เรื่องราวจึงถูกผูกโยงอย่างหลวมๆ ความสามารถในการเข้าถึงและผูกโยงเรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่ “ฝ่ายข่าว” ซึ่งไม่รู้ว่าคือใคร ได้ข้อมูลมาอย่างไร ประกอบกับหลักฐานบันทึกคำให้การผู้ต้องหาในระหว่างถูกคุมตัวอยู่ในค่ายทหารโดยไม่อาจเข้าถึงสิทธิใดๆ

หากเราดูที่มาที่ไปและประวัติของจำเลยสูงวัยสองคนนี้จะพบว่า พวกเขาอาจมีแนวคิดที่แตกต่างจากรัฐไทย ฝ่ายความมั่นคงอาจไม่พึงพอใจ แต่ก็นับเป็นเพียงแนวคิดหนึ่งอันแสนธรรมดาในทางสากล ที่ผ่านมาพวกเขามีปฏิบัติการทางการเมืองเช่น การแจกใบปลิว การจัดกลุ่มศึกษากับประชาชนรากหญ้า การร่วมชุมนุมทางการเมือง กระทั่งการตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้ทางความคิดกันในระบบรัฐสภา

สำหรับชาญวิทย์นั้น เคลื่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอดตั้งแต่เป็นนักศึกษาจนถึงวัยเกษียณ เมื่อเขาถูกจับและคุมขังในคดีนี้ ทำให้คดี 112 ที่เขาถูกดำเนินคคีจากกรณีแจกใบปลิวจำนวน 5 หน้าเมื่อวันที่ 25 พ.ย.2550 ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา เพราะตอนนั้นเขาได้รับการประกันตัวจากนั้นก็ไม่ไปศาลอีก ในที่สุดศาลพิพากษาตัดสินจำคุกเขา 6 ปีในคดี 112 (อ่านข่าว 12)  

เขาเป็นอดีตนักศึกษาคณะเทคนิคการแพทย์ ม.เชียงใหม่ แต่เรียนไม่ทันจบการศึกษา เนื่อกจากเป็นโรคเครียด จึงออกจากการศึกษาแล้วพบแพทย์รักษาตัวขณะเรียนอยู่ปี 3 ในพ.ศ.2518 เขาสนใจการเมืองมาโดยตลอด และเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมืองหนึ่งอยู่ในคณะทำงานแก้ปัญหาภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหาร 2549 เขาได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน เขาเบิกความยอมรับอย่างหนักแน่นว่าทำเอกสารใบปลิวดังกล่าวแจกจ่ายจริง เนื่องจากต้องการให้เจตนารมณ์ของคณะราษฎรเกิดขึ้นจริง นั่นคือ ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เขาระบุว่าเขากระทำการประเมินและวิจารณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์สังคมและโหราศาสตร์ที่ศึกษามา และไม่เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาท แต่เป็นการทำให้สถาบันมั่นคงขึ้นดังเช่นโมเดลของประเทศญี่ปุ่น

“การแจกใบปลิวเป็นปฏิบัติการทางการเมืองอย่างหนึ่ง”

“จุดประสงค์ของผมก็คือ ประเมินสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น”

“ผมเป็นพลเมืองผมจึงต้องนำเสนอแนวคิดต่อสังคม ไม่อาจนั่งเฉยๆ”

คำเบิกความของเขาเมื่อครั้งขึ้นเบิกความในคดี 112

ขณะที่ชาญวิทย์ชอบถกเถียง ท่าทีแข็งกร้าว และไม่เคยแสดงอารมณ์อ่อนไหวใดๆ จนบางครั้งออกจะคล้ายหุ่นยนต์ แต่สรรเสริญนั้นตรงกันข้าม เขาพูดช้า เสียงแผ่วเบา และมักน้ำตาไหลออกมาทุกครั้งขณะพูดเมื่อกล่าวถึงเรื่องสะเทือนใจ

“ผมทำงานโรงเลี้ยง งานหนักพอควรสำหรับผมแต่ผมอยากทำ กะเหรี่ยงสอนผมมาดี สอนผมให้รักการทำงาน อดทนต่องานหนัก” สรรเสริญกล่าวอย่างอารมณ์ดี เขาอธิบายว่า ในสมัยที่เขาเป็นนักศึกษาในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานช่วง 14 ตุลา เขาสนใจขบวนการชาวนาและเข้าร่วมทำงานกับชาวนาและกะเหรี่ยงในภาคเหนือ เขาอยู่กับกระเหรี่ยงยาวนานและพบว่าปรัชญาชีวิตหลายอย่างของชาวบ้านกะเหรี่ยงผู้ยากจนนั้นน่ายกย่อง ชาวบ้านกะเหรี่ยงตั้งชื่อให้เขาว่า กะป่อ แปลว่า ตะเกียง สื่อมวลหลายสำนักระบุว่านั่นคือชื่อจัดตั้งของเขาเมื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) แต่เขายืนยันว่านั่นคือชื่อที่กะเหรี่ยงตั้งให้และเขาทำงานกับพคท. ก็จริง แต่เป็นเพียงแนวร่วมเนื่องจากเขาเป็นเชื่อถือในแนวทาง “สังคมนิยม” ซึ่งแตกต่างกับพคท.

หลังออกจากป่าเขาพยายามทำธุรกิจด้านการเกษตรอยู่ไม่นานก็หันมาสู่อาชีพขับรถแท็กซี่ เมื่อของเขาดีใจที่ได้อยู่กับลูกชายอีกครั้งหลังจากเขาหายเข้าป่าเขาไปนานตั้งแต่เป็นนักศึกษา เขายังคงเป็นทำกิจกรรมทางการเมืองต่อเนื่องจนกระทั่งถูกคุมขัง แม่วัยชราของเขายังคงเดินทางมาเยี่ยมที่คุกและศาลไม่เคยขาด ในสมัยที่สหายเก่าของเขาร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ เขาประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยและหันมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงจนเป็นแกนนำนปก.รุ่น 2 และยังเป็นคนสำคัญที่ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองอย่าง พรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย ร่วมกับไม้หนึ่ง ก.กุนที และคนอื่นในต้นปี 2553 (อ่านข่าว) ก่อนเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่มีคนเสียชีวิตเกือบร้อยคน ในเบื้องต้นพวกเขาต้องการตั้งชื่อว่า พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่ กกต.ไม่อนุญาตเนื่องจากเห็นว่าเป็นชื่อที่เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์เป็นประมุข น่าเสียดายที่ความรุนแรงในปี 53 น่าจะเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ในระบบรัฐสภาของคนหลายคน แต่ไม่ใช่สรรเสริญ เขายังคงเชื่อมั่นในแนวทางสันติ แต่พรรคใหม่นี้ก็มีอันจบสิ้นไปเพราะหาสมาชิกไม่ได้ตามจำนวนและเวลาที่ กกต.กำหนด

นอกจากนี้สรรเสริญยังทำงานกับมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ศรีไพร นนทรีย์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตยกล่าวถึงการทำงานร่วมกับสรรเสริญว่า เขาเป็นบุคคลที่เก่งมากในการจัดตั้ง เมื่อครั้งต้องไปจัดกลุ่มศึกษาเรื่องการเมืองให้กับคนงานในโรงงาน สรรเสริญแนะนำให้เริ่มต้นจากปัญหาที่คนงานเจอจริงๆ แล้วจึงเชื่อมโยงไปสู่โครงสร้างการเมือง ไม่ใช่ยัดเยียดด้วยการแลคเชอร์ยาวๆ ซึ่งหาความเชื่อมโยงกับชีวิตคนงานไม่ได้

“แกเป็นคนที่ส่งเสริมคนอื่นตลอด หลังแกโดนจับถึงไปค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทำให้รู้ว่าแกไม่ใช่คนธรรมดา และไม่ใช่สหายเก่าทั่วไปที่แทบจะยุติบทบาทไปแล้ว แต่คุณสรรเสริญเป็นครูในโรงเรียนการเมืองทางภาคเหนือ สายแรงงานเคยคุยเรื่องโรงเรียนการเมืองมาก่อนในอดีต แต่ทำไม่ประสบความสำเร็จ นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนมีอุดมการณ์ทำอะไรมากมายแบบนี้ นึกว่าเขาเป็นคนขับแท็กซี่ธรรมดา สิ่งที่ชอบคือแกเป็นคนไม่ท้อ ไม่มองคนในแง่ลบ แต่มองในแง่บวก คุยกับแกแล้วรู้สึกมีพลัง แกมองมุมบวกเสมอ ทำให้เราเรียนรู้อะไรได้จากสิ่งที่แกเป็น และแกเป็นคนมีความเมตตาสูง ไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างแกจะใช้ความรุนแรง แกเป็นนักสันติวิธีด้วยซ้ำ จากการที่เราคุยกันไม่เคยได้ยินคุณสรรเสริญพูดเลยถึงการต่อสู้แบบใช้ความรุนแรง ไม่เคยมี ไม่เคยเห็น” ศรีไพรกล่าว

ในวาระ 40 ปี 6 ตุลา แม้สังคมไทยจะไม่เคยจดจำเหตุการณ์นี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีผู้คนที่เกี่ยวข้องกับมันโดยตรงมากมาย หลายคนยังมีชีวิตอยู่และสามารถพูดถึงมันได้ในแง่มุมต่างๆ หลายคนถูกจดจำ หลายคนถูกลืม

ภายใต้อากาศร้อนอบอ้าวและกรงตาถี่สีเงินที่ทำให้ผู้ถูกขังและผู้เข้าเยี่ยมเวียนหัวเมื่อต้องมองผ่านมันนานๆ เรามองเห็นน้ำตาของชายสูงวัยไหลเป็นทางอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงของเขาสะอื้นขาดเป็นห้วงๆ เราถามเขาว่าในวาระ 6 ตุลาเขามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่ เขายืนยันว่าจิตวิญญาณของ 6 ตุลายังคงอยู่ มันคือจิตวิญญาณของการคิดถึงผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น และเชื่อมั่นในความเท่าเทียมของมนุษย์ เขาว่าเขาเคารพการตัดสินใจของผู้คนมากมายที่ยุติบทบาทและยอมรับการเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์

“ถ้าหลายคนเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ ผมคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานที่บอกว่า 6 ตุลายังไม่ตาย มันยังอยู่เสมอ” สรรเสริญกล่าวทั้งน้ำตา

สั่งเด้งซ้ำ! 'รองอธิบดีอัยการ' โพสต์วิจารณ์กรณี 'น้องบิ๊กตู่' หลังถูกตั้งกก.สอบ

โดนตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงยังไม่พอ! อัยการสูงสุด สั่งเด้ง 'ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม' รองอธิบดีอัยการคดีอาญา โพสต์เฟซบุ๊ก วิจารณ์สอบน้องชายบิ๊กตู่ กระทบ 'นายกฯ –รองวิษณุ' ไปรักษาการ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุดแทน เริ่มมีผล 10 ต.ค.นี้ 
picakkkkkk005 9 16
จากกรณีที่ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธ์ภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด มีคำสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยแพร่สู่สาธารณะวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีว่า ตามที่มีการเผยแพร่เรื่อง หรือบทความที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เขียนเรื่องลงเฟซบุ๊กส่วนตัวที่เผยแพร่สู่สาธารณะ กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสว.กทม.และนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ร้องให้สอบสวน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ในกรณีต่าง ๆ โดยมีข้อความดังกล่าวพาดพิงถึงพล.อ. ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมามีสื่อมวลชน นำข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่สื่อต่าง ๆ อย่างแพร่หลายนั้น  
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2559 ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธ์ภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ 1905/2559 เรื่องให้ พนักงานอัยการช่วยราชการ และปฏิบัติราชการ 
ระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 13 มาตรา 15 มาตรา 19 และมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 จึงมีคำสั่งให้พนักงานอัยการช่วยราชการและปฏิบัติราชการดังนี้ 
1. นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่ง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา
2. นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา รักษาการในตำแหน่ง รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด 
ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป (ดูคำสั่งประกอบ) 
picakkkkkk5 9 16
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดแถลงข่าวกรณี ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธ์ภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด มีคำสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยแพร่สู่สาธารณะวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี 
โดยระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ขอชี้แจงว่า การเขียนเรื่องหรือบทความของนายปรเมศวร์ เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับสำนักงานอัยการสูงสุดแต่อย่างใด และตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการให้ข่าวและบริการข่าวสาร พ.ศ.2554 ข้อ 13 กำหนดว่า การเขียนเรื่องหรือบทความเผยแพร่ทางสื่อมวลชนให้กระทำได้ แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมาย หรือระเบียบ และจะต้องไม่ให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด บุคคลใดหรือหน่วยงานใด และไม่มีลักษณะเป็นการให้ข่าวและบริการข่าวสารของสำนักงานอัยการสูงสุดโดยผู้เขียนไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ
ร.ท.สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยังระบุด้วยว่า เมื่อเกิดกรณีดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือเวียน ลงวันที่ 4 ต.ค.59 กำชับให้บุคลากรของสำนักงานอัยการสูงสุดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการให้ข่าวและบริการข่าวสาร พ.ศ.2554 โดยเคร่งครัด
“สำหรับกรณีนายปรเมศวร์ เขียนเรื่องหรือบทความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวและมีข้อความพาดพิงถึงนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งวันนี้ ( 5 ต.ค.) ให้นายประนต ผ่องแผ้ว ผู้ตรวจการอัยการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมเสนอความเห็นรายงานอัยการสูงสุดทราบและพิจารณาต่อไป ” ร.ท.สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด 
sommmjjdjdddddd

โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวฮ่องกงวัย 19 ปี เดินทางถึงฮ่องกงแล้ว

นายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวฮ่องกงวัย 19 ปี เดินทางถึงฮ่องกงแล้วระบุทางการไทยไม่ให้เหตุผลที่ควบคุมตัวเขาไว้ที่สนามบิน
นายโจชัว หว่อง เปิดเผยว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ราว 20 คน เข้าควบคุมตัว และยึดพาสปอร์ตของเขาไปในทันทีที่เดินทางถึงท่าอากาศยานที่เมืองไทย โดยเขาไม่ได้รับคำอธิบายว่าเหตุใดจึงถูกควบคุมตัวและไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าไทย เจ้าหน้าที่บอกเพียงว่าเขาถูกขึ้นบัญชีดำ

นายโจชัว หว่อง เปิดเผยอีกว่า เขาได้ขออนุญาตติดต่อทนายความและพ่อแม่ แต่ก็ถูกปฏิเสธ

ด้านสำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงลอนดอน ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำว่าทางการไทยเต็มใจที่จะปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตลอดจนสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนใช้อิทธิพลกับไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

“การกักตัวและส่งกลับโจชัว หว่อง เป็นเครื่องสะท้อนอีกครั้งหนึ่งว่ารัฐบาลทหารของไทยจะทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งการพูดคุยเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ” แชมพา พาเทล ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว
ก่อนหน้านี้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับบีบีซีว่า รัฐบาลไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตัวนายโจชัว หว่อง ในขณะที่ พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุกับบีบีซีว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นคำสั่งจาก คสช. แต่เป็นการตัดสินใจของหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของสนามบิน #HongKong #JoshuaWong

สถานทูตสหรัฐฯ กระตุ้นทางการไทย แจงสถานะของแกนนำเคลื่อนไหวประชาธิปไตยฮ่องกง

สถานทูตสหรัฐฯ กระตุ้นทางการไทย แจงสถานะของแกนนำเคลื่อนไหวประชาธิปไตยฮ่องกง ที่ถูกกักตัวพร้อมประกาศหนุนการเคลื่อนไหวอย่างสันติ

วันนี้(5 ต.ค.) โฆษกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวการกักตัว โจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ที่สนามบินหลักของกรุงเทพฯ ว่า กำลังติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมต่างๆ ของแกนนำรุ่นเยาว์รายนี้ทั่วฮ่องกง และกระตุ้นให้ทางการไทยชี้แจงสถานะของ โจชัว หว่อง ให้ชัดเจน พร้อมระบุว่า สถานทูตสหรัฐฯ สนับสนุนกิจกรรมการแสดงออกพื้นฐานทางด้านเสรีภาพที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างในการแสดงความชุมนุมเห็นอย่างสันติไปทั่วโลก

ที่มา INN

ตร.แจ้งข้อหาหนักหนุ่มแฟลตตีนโหด กระทืบลูกเพื่อนบ้าน 7 ขวบสาหัส โทษคุก 3 ปี

ตร.แจ้งข้อหาหนักหนุ่มแฟลตตีนโหด กระทืบลูกเพื่อนบ้าน 7 ขวบสาหัส โทษคุก 3 ปี
Cr:ผู้จัดการ
ตร.แจ้งข้อหาหนุ่มแฟลตตีนโหด กระทืบลูกเพื่อนบ้านสาหัส ย่านรามอินทรา สารภาพเข้าใจผิดลูกชายวัย 5 ขวบถูกแกล้งบ่อยครั้ง เจอข้อหาหนัก"ทำร้ายร่างกายทารุณโหดร้าย" มีอัตรโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี พ่อผู้เสียหายวอนขอให้เป็นอุทาหรณ์
จากรณี นายณัฏฐา สุวรรณ บิดาเด็กชายแมน(นามสมมุติ) เข้าแจ้งความพนีกงานสอบสวน สน.คันนายาว กรณีบุตรชาย วัย 7 ขวบ ถูกนายอำนาจ สลับทอง อายุ 43 ปี เพื่อนบ้านได้ทำร้ายร่างกายบุตรชายจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดช่วงบ่ายของวันที่ 4 ต.ค. ภายในบ้านเอื้ออาทรปัญญารามอินทรา ตึก 8 ถ.ปัญญารามอินทรา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม.
ด้านนายอำนาจ ผู้ต้องหา ได้เดินทางมาให้ปากคำกับพ.ต.ท.วิระ งามเลิศ รองผกก.(สอบสวน)สน.คันนายาว หลังจากให้ปากคำสำนักพนักงานอัยการนนทรีเขต5เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยนายอำนาจ ให้การว่าตนได้อาศัยอยู่ บ้านเอื้ออาทรณ์ปัญญาเป็นเวลา 8 ปีลูกชายเพิ่งจะย้ายมาอยู่ด้วยในเดือนม.ค.59 ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ลูกชายได้อาศัยอยู่กับยาย ก่อนเกิดเหตุตนและนายนัฏฐาไม่ค่อยจะสนิท แต่ก็ทักทายกันตามปกติเรื่อยมา และตนต้องขอโทษสำหรับในเหตุการณ์ครั้งนี้รับผิดชอบทุกการกระทำซึ่งเวลานั้นตนไม่ได้มีความเครียดและไม่ได้ดื่มสุรา แต่ที่ตนได้ทำลงไปเพราะความรักลูกชาย ทั้งนี้ลูกชายยังบอกว่า ด.ช.แมนชอบมาแกล้งบ่อยครั้ง ถ้าย้อนเวลาได้ตนอยากจะกลับไปแก้ไขกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนเมื่อคืนตนได้ไปนอนที่ปั้มน้ำมันเพราะตนกลัวหลายๆอย่าง ซึ่งหลังจากนี้ตนก็จะปล่อยให้ลูกชายเล่นปกติ และถ้าเห็นลูกชายร้องไห้ก็จะพยายามดูแลให้ดี
โดยเบื้องตัน พนักงานสอบสวน เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายโดยเป็นการกระทำที่ทารุณโหดร้ายตามมาตรา 296 ซึ่งมีอัตรโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาทกับนายอำนาจ หลังจากนี้จะนำเด็กทั้ง 2 คนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง และเมื่อทราบผลการตรวจ ทางพนักงานสอบจะต้องนำมาพิจารณาว่าจะเข้าข่ายข้อหาใด หากผลออกมาว่าต้องรักษาอาการบาดเจ็บมากกว่า 20 วัน ก็จะต้องแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะ สำหรับคดีนี้จะต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือคดีที่นายอำนาจทำร้ายร่างกายด.ช.แมน จนได้รับบาดเจ็บ อีกคดีจะเป็นในส่วนของการทำร้ายร่างกายระหว่างเด็กทั้งสองคน ซึ่งตามกฎหมาย หากเด็กอายุไม่เกิน 10 ปีแม้จะมีการกระทำผิดจริงก็ไม่ต้องรับโทษ แต่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนเช่นกัน หลังจากแจ้งข้อกล่าวหาแล้วก็จะปล่อยตัวนายอำนาจชั่วคราว เนื่องจากนายอำนาจไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และจะมีการนัดหมายให้มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
นายณัฏฐา กล่าวว่า ตนให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่มีอะไรจะพูด เนื่องจากได้พูดไปหมดแล้ว อยากให้เป็นอุทาหรณ์และขอให้เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะลูกใครใครก็รัก ผมก็รักลูกของผม ซึ่งตนขออโหสิกรรมทุกอย่างผู้สื่อข่าวรายงานว่านายณัฏฐาให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ขอจับมือกับนายอำนาจผู้ที่ลงมือกระทำลูกของตน

จีนปัดเอี่ยวกรณีไทยไม่ให้โจชัว หว่องเข้าประเทศ

จีนไม่ขอคอมเมนต์กรณีไทยอ้างจีนขอไม่ให้โจชัว หว่องเข้าประเทศ ชี้จีนเคารพในอำนาจของไทยในการให้-ไม่ให้ใครเข้าประเทศ
 หลังจากตลอดทั้งวันมีการให้ข่าวสับสนไปมาระหว่างหน่วยงานต่างๆของทางการไทย ว่าตกลงมีการร้องขอจากทางการจีนหรือไม่ในการห้ามโจชัว หว่อง เลขาธิการพรรคเดโมซิสโต และแกนนำนักศึกษาชื่อดังของฮ่องกงเข้าประเทศไทย ล่าสุดทางการจีนก็ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ตีความได้อย่างกว้างขวาง
 กระทรวงการต่างประเทศจีน ออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่ารัฐบาลจีนได้รับทราบเรื่องที่นายหว่องถูกกักตัวไม่ให้เข้าไทย และถูกส่งกลับไปยังฮ่องกงแล้ว และไม่ขอตอบรับหรือปฏิเสธกรณีที่ว่าจีนเป็นผู้ขอให้ทางการไทยไม่ให้นายหว่องเข้าประเทศ แต่ย้ำว่าจีนเคารพในศักยภาพของไทยที่จะควบคุมกลั่นกรองบุคคลที่จะเดินทางเข้าประเทศตามที่กฎหมายกำหนด
 คำพูดที่ว่านี้อาจถูกตีความว่าจีนไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ แต่ไม่อยากปฏิเสธเพื่อรักษาหน้ารัฐบาลไทยก็ได้ หรือจะหมายถึงว่าจีนไม่ได้ขอร้องไทยในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ต่อสาธารณชน ปล่อยให้ไทยรับหน้าเสื่อไปฝ่ายเดียวก็ได้เช่นกัน
 นายหว่องกล่าวหลังจากเดินทางถึงฮ่องกงว่าเขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าเขา ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้เพราะเป็นบุคคลที่ถูก "ขึ้นบัญชีดำ" แต่ไม่มีความชัดเจนว่าบัญชีดำนี้เป็นของฝั่งไทยหรือฝั่งจีน มีแต่ข้อมูลที่ว่าจีนได้ส่งรายชื่อนักเคลื่อนไหวหลายคน รวมถึงสมาชิกเดโมซิสโต และนายหว่อง ให้กับทั้ง 10 ประเทศอาเซียน ว่าทั้งหมดเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ แต่ก็เป็นดุลยพินิจของแต่ละประเทศว่าจะอนุญาตให้บุคคลในรายชื่อที่ว่านี้เข้าประเทศหรือไม่
 ขณะที่ก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลไทยไม่ได้กักตัว โจชัว หว่อง แต่เป็นทางการจีนมารับตัวกลับ โดยนายหว่องเพียงแค่บินผ่านไทยเท่านั้น