5 ต.ค. 59 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1 - 2 ยื่นฟ้อง นายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่า ธปท. เป็นจำเลย เรื่องละเมิด จากกรณีออกคำสั่งทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท (สวอป) เพื่อปกป้องค่าเงินบาท เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว ปี 2540 อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
PR
วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง “เริงชัย” อดีตผู้ว่าธปท.ไม่ผิดสั่ง สวอป ป้องค่าเงินบาทลอยตัวปี40
5 ต.ค. 59 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1 - 2 ยื่นฟ้อง นายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่า ธปท. เป็นจำเลย เรื่องละเมิด จากกรณีออกคำสั่งทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท (สวอป) เพื่อปกป้องค่าเงินบาท เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว ปี 2540 อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
อาลัยแด่จันทร์ทิพย์ ผู้เป็นเมียของผัวและแม่ของลูกผู้อดทนหนักแน่น ควรค่าแก่การระลึกถึง (ต่อ)
เปาบุ้นจุ้น ได้แชร์โพสต์ของ หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
๕ กันยายน ๒๕๕๙
ฉันเห็นหน้าอีจันทร์ แล้วก็รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า ลูกเอย ไปดีเถอะนะลูก วันนี้กูมารดน้ำซากมึงแล้วจุติ จุตัง อรหัง จุติ นะลูก
อีจันทร์และนายสนธิ มันมาเป็นลูกศิษย์ร่วม ๒๐ ปี อีจันทร์มันจะพูดกับฉันทุกเรื่อง มีอยู่เรื่องเดียวที่มันไม่พูด ก็คือเรื่องของครอบครัว เรื่องของผัว เรื่องของลูก มันไม่เคยมาพูดคุยกับฉันเลย จนบางครั้งฉันสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงได้เอ่ยปากถามมัน ถึงได้รู้ว่าเกิดปัญหาอะไร
เอาเป็นว่าหากใครอยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง หลังจากตายแล้ว ก็ให้รีบๆ ไปสมัครเข้าลัทธิ “พุทธวจนะ ” ให้ไว เวลาตายศพจะได้สวย แถมยังมีโปรโมชั่นว่าศพจะไม่เน่าไม่เปื่อยเป็นของแถม อีกด้วยนะพี่น้อง
ฉันจึงต้องเทศน์ยกที่สองแก่เจ้าปั๊ปต่อว่า มึงเป็นลูกเป็นหลานกู เป็นศิษย์กู ก็ต้องรับรู้ว่า กูต่อสู้ยืนหยัดมาได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ ก็เพราะกูสู้ด้วยความจริง คิด ทำ พูด ต้องพิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์
"คลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหว" ล่าอาณานิคม ๓.๐
๒๘ กันยายน ๒๕๕๙
----------------------------------------------------------
กลุ่มเยาวชนต่างๆ เหล่านี้ หากเจาะหาสายต้นตอก็จะรู้ว่ามาจากกลุ่ม นิติราษฎร์ ,YPD, สภาเด็กและเยาวชน รวมไปถึง กลุ่ม ม.เที่ยงคืน ซึ่ง เยาวชน มดงานพวกนี้ นอกจากได้รับทุน จาก สสส. ที่หากินจากการรณรงค์ต้านยาเสพติดและโครงการทำนองนี้... ล่าสุด ก็มีการได้รับ ทุนสนับสนุน จาก USAID อีกด้วย ***หากใครจำได้ จะเห็นว่าท่านทูตสหรัฐ คนดี้ทั้งสองสมัยก็ เลี้ยงดูปูเสื่อ เปิดบ้านต้องรับ กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ อย่างรังสิมัน โรมและ เพนกวิ้นไว้อย่างดี***
----------------------------------------------------------
มีเบาะแสเพิ่มเติมว่า กลุ่มเครือข่าย "ซ้ายอกหัก" กำลังเริ่ม Strategy ใหม่ กับการเริ่ม ผลักดัน "พลังเยาวชน" ที่ตนเองแอบ ล้างสมองในห้องเรียนอย่างหลบๆซ่อนๆ อยู่ในมหาวิทยาลัย อย่างจุฬาฯและ ธรรมศาสตร์ สิง่ที่เป็น หลักฐาน ชีดเกี่ยวกับ สิ่งที่คาดคะเนนี้ คือการมาถึง นาย โจชัว หว่อง ซึ่งจะเดินทางมาประเทศไทย เพื่อเสวนาให้เยาวชนสายการเมืองฟังใน วันที่ ๖ ตุลาคม ที่ จุฬาฯ ซึ่งนาย โจชัว หว่อง ผู้นำ ปฎิวัติร่มในฮ่องกง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐและ Freedom House อย่างออกหน้าออกตา
---------------------------------------------------
การเคลื่อนไหว ของสหรัฐ และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก ครั้งนี้ มันเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกัน ก็มีการกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ อีกด้วยทำให้ ผมหวนนึกถึง ประเทศไทย ในช่วงเวลาเหตุการณ์ สงครามโลก ครั้งที่ ๑ - ๒ รวมไปถึง สงครามอินโดจีนไม่น้อย
โดยเฉพาะการพยายาม เข้ามา แทรกแซงประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำอาเซียน เหมือนที่ ต่างชาติ เคยพยายามแทรกแซง สยามใน"อินโดจีน"
สรรเสริญ-ชาญวิทย์ ‘คนเดือนตุลา’ ที่ถูกลืมในเรือนจำ
ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา จำเลย 14 คน ในชุดนักโทษและถูกตีตรวนที่ขาถูกนำตัวมายังศาลทหารหลายครั้งในการสืบพยานคดีปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญาที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 มี.ค.2558 เป็นเหตุให้บริเวณลานจอดรถและป้อมยามเสียหายเล็กน้อย ในจำนวนนี้มีชายสูงวัยอยู่ 2 คนอายุเลย 60 ปีแล้วทั้งคู่ พวกเขาเป็น “คนรุ่นตุลา” ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ นั่นคือ สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน และชาญวิทย์ จริยานุกูล ในวาระ 40 ปี 6 ตุลา ‘ประชาไท’ จึงขอนำเสนอข้อมูลของสองคนนี้ก่อนในเบื้องต้น

ทั้งคู่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 จนปัจจุบัน คดีนี้มีผู้กระทำการที่ถูกจับกุมในที่เกิดเหตุ 2 คน จากนั้นทหารขยายผลจับกุมคนอื่นๆ อีกรวม 14 ราย ผู้ต้องหาทั้งหมดล้วนถูกจับกุมตัวโดยทหารและถูกควบคุมตัวในค่ายทหารหลายวันก่อนนำตัวส่งให้ตำรวจ มีหลายคนที่ร้องเรียนว่ามีการทำร้ายร่างกายของพวกเขาระหว่างการควบคุมของทหาร รวมถึงสรรเสริญและชาญวิทย์ด้วย (อ่านข่าว) ชายสูงวัยอย่างสรรเสริญระบุว่าเขาถูกซ้อม ถูกช็อตไฟฟ้า เขาจึงได้อดข้าวประท้วงระหว่างการควบคุมตัว (อ่านข่าว) แต่ท้ายที่สุดเมื่อตำรวจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบผลก็ออกมาแบบคาดเดาได้ (อ่านข่าว)
สรรเสริญเคยยื่นประกันตัวในชั้นตำรวจ 2 ครั้งแต่ศาลปฏิเสธเพราะเป็นคดีร้ายแรงและเกรงจะหลบหนี หลังจากนั้นในชั้นพิจารณาคดีของศาลทหารซึ่งปัจจุบันเพิ่งสืบพยานโจทก์แล้วเสร็จเพียง 1 ปาก เขามีโอกาสยื่นประกันตัวอีก แต่เขากลับไม่ยอมให้ทนายดำเนินการ
“เขาบอกว่าถ้าใครยื่นประกันเขาย่อมไม่ใช่สหายของเขา เขาอยากให้คนอื่นได้ประกันออกไปก่อน เพราะทุกคนเป็นคนยากจนทั้งนั้น” ทนายความของสรรเสริญกล่าว
หลังการสืบพยานแต่ละครั้งพวกเขาทั้งหมดจะถูกนำตัวไปขังไว้ชั้นใต้ดินของศาลทหารเพื่อรอส่งกลับเรือนจำ ในกรงที่ไม่กว้างนัก เพดานเตี้ยและไม่ค่อยสว่าง สรรเสริญพูดทั้งน้ำตาว่า เขาอยากให้คนภายนอกหรือมิตรสหายของเขาช่วยกันระดมทุนมาประกันตัวจำเลยในคดีนี้ซึ่งหลายคนหาความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนตัวเขายินดีจะอดทนอยู่ในเรือนจำและพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
ต้องกล่าวก่อนว่านอกเหนือจากผู้กระทำการในที่เกิดเหตุ 2 คน ที่เหลือปรากฏหลักฐานในสำนวนว่า เกี่ยวข้องเพราะ “ร่วมประชุมวางแผนที่ขอนแก่น” กับอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “การโอนเงิน” ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่านำมาจ้างวานผู้กระทำการ การประชุมที่ขอนแก่นเกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และบังเอิญว่าในการประชุมนั้นมี "มหาหิน" หนึ่งในผู้ปาระเบิดซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจการเมืองอย่างยิ่งร่วมด้วย จากนั้นมีการขยายผลไปจับกุมคนเพิ่มอีกหลายคน การประชุมดังกล่าวจำเลยทุกคนยืนยันว่า เป็นการให้การศึกษาทางการเมืองโดยกลุ่มคนที่สนใจและตื่นตัวทางการเมือง พวกเขาเป็นประชาชนธรรมดา บ้างเป็นพนักงานโรงงาน บ้างทำอาชีพค้าขาย เป็นการศึกษากลุ่มย่อยที่มีคนฟังเพียงราว 10 คน การประชุมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วน ส่วนแรกคือเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองและการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ประสานงานของกลุ่มเชิญผู้อาวุโสที่เขารู้จักคือ ชาญวิทย์ ไปบรรยายเรื่องการเมือง แต่ชาญวิทย์บรรยายคนเดียวไม่ไหวจึงชวนสรรเสริญให้ไปช่วยบรรยาย อีกส่วนหนึ่งคือข้อมูลการทำธุรกิจขายตรง ซึ่งมีการเชิญวิทยากรด้านนี้มาบรรยายอีก 2 คน ทั้งหมดถูกจับกุมและคุมขังจนปัจจุบันแม้แต่วิทยากรที่มาบรรยายเรื่องการขายตรงและการกระจายสินค้า รวมถึงภรรยาของมือปาระเบิด 2 คนด้วย
“ผมไปบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์ลาวเฉียง ประวัติศาสตร์การเมืองไทย รูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ แล้วก็วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันด้วย” ชาญวิทย์ผู้กระตือรือร้นอธิบาย เขาใส่แว่นตาขาหักข้างหนึ่งที่เอากาวหนังไก่มาพันจนหนา เขามีบุคลิกชอบถกเถียง พูดเร็วและเสียงดัง นอกจากนี้ยังชอบเอาไม้ถูกพื้นมาทำความสะอาดพื้นห้องขัง แม้กระทั่งเมื่อขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าห้องน้ำ เขายังเอาไม้ถูกพื้นเข้าไปถูกห้องน้ำด้วยเป็นที่ขบขันของเจ้าหน้าที่
“บางทีผมก็นึกโกรธชาญวิทย์ ถ้าเขาไม่มาชวนผม ผมไม่ได้ไปก็คงไม่ต้องอยู่ตรงนี้ แต่พอมีสติก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา” สรรเสริญกล่าว
พล.ต.วิจารณ์ จดแตง นายทหารพระธรรมนูญ พยานโจทก์ที่อยู่ร่วมสอบปากคำผู้ต้องหาในค่ายหทารและเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยทั้งหมด ระบุว่า “ฝ่ายข่าว” ของทหารเป็นผู้สืบทราบเรื่องทั้งหมด และเชื่อมโยงการประชุมที่ขอนแก่นว่าเป็นการ “ประชุมวางแผน” ปาระเบิดในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวด้วยว่า “ฝ่ายข่าว” ของทหารผู้ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลชั้นต้นนั้นเป็นหน่วยงานลับที่พล.ต.วิจารณ์ระบุว่าไม่อาจเปิดเผยได้และไม่สามารถมาให้การในศาลได้ ดังนั้น เรื่องราวจึงถูกผูกโยงอย่างหลวมๆ ความสามารถในการเข้าถึงและผูกโยงเรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่ “ฝ่ายข่าว” ซึ่งไม่รู้ว่าคือใคร ได้ข้อมูลมาอย่างไร ประกอบกับหลักฐานบันทึกคำให้การผู้ต้องหาในระหว่างถูกคุมตัวอยู่ในค่ายทหารโดยไม่อาจเข้าถึงสิทธิใดๆ
หากเราดูที่มาที่ไปและประวัติของจำเลยสูงวัยสองคนนี้จะพบว่า พวกเขาอาจมีแนวคิดที่แตกต่างจากรัฐไทย ฝ่ายความมั่นคงอาจไม่พึงพอใจ แต่ก็นับเป็นเพียงแนวคิดหนึ่งอันแสนธรรมดาในทางสากล ที่ผ่านมาพวกเขามีปฏิบัติการทางการเมืองเช่น การแจกใบปลิว การจัดกลุ่มศึกษากับประชาชนรากหญ้า การร่วมชุมนุมทางการเมือง กระทั่งการตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้ทางความคิดกันในระบบรัฐสภา
สำหรับชาญวิทย์นั้น เคลื่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอดตั้งแต่เป็นนักศึกษาจนถึงวัยเกษียณ เมื่อเขาถูกจับและคุมขังในคดีนี้ ทำให้คดี 112 ที่เขาถูกดำเนินคคีจากกรณีแจกใบปลิวจำนวน 5 หน้าเมื่อวันที่ 25 พ.ย.2550 ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา เพราะตอนนั้นเขาได้รับการประกันตัวจากนั้นก็ไม่ไปศาลอีก ในที่สุดศาลพิพากษาตัดสินจำคุกเขา 6 ปีในคดี 112 (อ่านข่าว 1, 2)
เขาเป็นอดีตนักศึกษาคณะเทคนิคการแพทย์ ม.เชียงใหม่ แต่เรียนไม่ทันจบการศึกษา เนื่อกจากเป็นโรคเครียด จึงออกจากการศึกษาแล้วพบแพทย์รักษาตัวขณะเรียนอยู่ปี 3 ในพ.ศ.2518 เขาสนใจการเมืองมาโดยตลอด และเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมืองหนึ่งอยู่ในคณะทำงานแก้ปัญหาภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหาร 2549 เขาได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน เขาเบิกความยอมรับอย่างหนักแน่นว่าทำเอกสารใบปลิวดังกล่าวแจกจ่ายจริง เนื่องจากต้องการให้เจตนารมณ์ของคณะราษฎรเกิดขึ้นจริง นั่นคือ ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เขาระบุว่าเขากระทำการประเมินและวิจารณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์สังคมและโหราศาสตร์ที่ศึกษามา และไม่เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาท แต่เป็นการทำให้สถาบันมั่นคงขึ้นดังเช่นโมเดลของประเทศญี่ปุ่น
“การแจกใบปลิวเป็นปฏิบัติการทางการเมืองอย่างหนึ่ง”
“จุดประสงค์ของผมก็คือ ประเมินสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้น”
“ผมเป็นพลเมืองผมจึงต้องนำเสนอแนวคิดต่อสังคม ไม่อาจนั่งเฉยๆ”
คำเบิกความของเขาเมื่อครั้งขึ้นเบิกความในคดี 112
ขณะที่ชาญวิทย์ชอบถกเถียง ท่าทีแข็งกร้าว และไม่เคยแสดงอารมณ์อ่อนไหวใดๆ จนบางครั้งออกจะคล้ายหุ่นยนต์ แต่สรรเสริญนั้นตรงกันข้าม เขาพูดช้า เสียงแผ่วเบา และมักน้ำตาไหลออกมาทุกครั้งขณะพูดเมื่อกล่าวถึงเรื่องสะเทือนใจ
“ผมทำงานโรงเลี้ยง งานหนักพอควรสำหรับผมแต่ผมอยากทำ กะเหรี่ยงสอนผมมาดี สอนผมให้รักการทำงาน อดทนต่องานหนัก” สรรเสริญกล่าวอย่างอารมณ์ดี เขาอธิบายว่า ในสมัยที่เขาเป็นนักศึกษาในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานช่วง 14 ตุลา เขาสนใจขบวนการชาวนาและเข้าร่วมทำงานกับชาวนาและกะเหรี่ยงในภาคเหนือ เขาอยู่กับกระเหรี่ยงยาวนานและพบว่าปรัชญาชีวิตหลายอย่างของชาวบ้านกะเหรี่ยงผู้ยากจนนั้นน่ายกย่อง ชาวบ้านกะเหรี่ยงตั้งชื่อให้เขาว่า กะป่อ แปลว่า ตะเกียง สื่อมวลหลายสำนักระบุว่านั่นคือชื่อจัดตั้งของเขาเมื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) แต่เขายืนยันว่านั่นคือชื่อที่กะเหรี่ยงตั้งให้และเขาทำงานกับพคท. ก็จริง แต่เป็นเพียงแนวร่วมเนื่องจากเขาเป็นเชื่อถือในแนวทาง “สังคมนิยม” ซึ่งแตกต่างกับพคท.
หลังออกจากป่าเขาพยายามทำธุรกิจด้านการเกษตรอยู่ไม่นานก็หันมาสู่อาชีพขับรถแท็กซี่ เมื่อของเขาดีใจที่ได้อยู่กับลูกชายอีกครั้งหลังจากเขาหายเข้าป่าเขาไปนานตั้งแต่เป็นนักศึกษา เขายังคงเป็นทำกิจกรรมทางการเมืองต่อเนื่องจนกระทั่งถูกคุมขัง แม่วัยชราของเขายังคงเดินทางมาเยี่ยมที่คุกและศาลไม่เคยขาด ในสมัยที่สหายเก่าของเขาร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ เขาประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยและหันมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงจนเป็นแกนนำนปก.รุ่น 2 และยังเป็นคนสำคัญที่ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองอย่าง พรรคแนวร่วมสังคมประชาธิปไตย ร่วมกับไม้หนึ่ง ก.กุนที และคนอื่นในต้นปี 2553 (อ่านข่าว) ก่อนเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่มีคนเสียชีวิตเกือบร้อยคน ในเบื้องต้นพวกเขาต้องการตั้งชื่อว่า พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่ กกต.ไม่อนุญาตเนื่องจากเห็นว่าเป็นชื่อที่เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์เป็นประมุข น่าเสียดายที่ความรุนแรงในปี 53 น่าจะเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ในระบบรัฐสภาของคนหลายคน แต่ไม่ใช่สรรเสริญ เขายังคงเชื่อมั่นในแนวทางสันติ แต่พรรคใหม่นี้ก็มีอันจบสิ้นไปเพราะหาสมาชิกไม่ได้ตามจำนวนและเวลาที่ กกต.กำหนด
นอกจากนี้สรรเสริญยังทำงานกับมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ศรีไพร นนทรีย์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตยกล่าวถึงการทำงานร่วมกับสรรเสริญว่า เขาเป็นบุคคลที่เก่งมากในการจัดตั้ง เมื่อครั้งต้องไปจัดกลุ่มศึกษาเรื่องการเมืองให้กับคนงานในโรงงาน สรรเสริญแนะนำให้เริ่มต้นจากปัญหาที่คนงานเจอจริงๆ แล้วจึงเชื่อมโยงไปสู่โครงสร้างการเมือง ไม่ใช่ยัดเยียดด้วยการแลคเชอร์ยาวๆ ซึ่งหาความเชื่อมโยงกับชีวิตคนงานไม่ได้
“แกเป็นคนที่ส่งเสริมคนอื่นตลอด หลังแกโดนจับถึงไปค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทำให้รู้ว่าแกไม่ใช่คนธรรมดา และไม่ใช่สหายเก่าทั่วไปที่แทบจะยุติบทบาทไปแล้ว แต่คุณสรรเสริญเป็นครูในโรงเรียนการเมืองทางภาคเหนือ สายแรงงานเคยคุยเรื่องโรงเรียนการเมืองมาก่อนในอดีต แต่ทำไม่ประสบความสำเร็จ นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนมีอุดมการณ์ทำอะไรมากมายแบบนี้ นึกว่าเขาเป็นคนขับแท็กซี่ธรรมดา สิ่งที่ชอบคือแกเป็นคนไม่ท้อ ไม่มองคนในแง่ลบ แต่มองในแง่บวก คุยกับแกแล้วรู้สึกมีพลัง แกมองมุมบวกเสมอ ทำให้เราเรียนรู้อะไรได้จากสิ่งที่แกเป็น และแกเป็นคนมีความเมตตาสูง ไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างแกจะใช้ความรุนแรง แกเป็นนักสันติวิธีด้วยซ้ำ จากการที่เราคุยกันไม่เคยได้ยินคุณสรรเสริญพูดเลยถึงการต่อสู้แบบใช้ความรุนแรง ไม่เคยมี ไม่เคยเห็น” ศรีไพรกล่าว
ในวาระ 40 ปี 6 ตุลา แม้สังคมไทยจะไม่เคยจดจำเหตุการณ์นี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีผู้คนที่เกี่ยวข้องกับมันโดยตรงมากมาย หลายคนยังมีชีวิตอยู่และสามารถพูดถึงมันได้ในแง่มุมต่างๆ หลายคนถูกจดจำ หลายคนถูกลืม
ภายใต้อากาศร้อนอบอ้าวและกรงตาถี่สีเงินที่ทำให้ผู้ถูกขังและผู้เข้าเยี่ยมเวียนหัวเมื่อต้องมองผ่านมันนานๆ เรามองเห็นน้ำตาของชายสูงวัยไหลเป็นทางอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงของเขาสะอื้นขาดเป็นห้วงๆ เราถามเขาว่าในวาระ 6 ตุลาเขามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่ เขายืนยันว่าจิตวิญญาณของ 6 ตุลายังคงอยู่ มันคือจิตวิญญาณของการคิดถึงผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น และเชื่อมั่นในความเท่าเทียมของมนุษย์ เขาว่าเขาเคารพการตัดสินใจของผู้คนมากมายที่ยุติบทบาทและยอมรับการเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์
“ถ้าหลายคนเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ ผมคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานที่บอกว่า 6 ตุลายังไม่ตาย มันยังอยู่เสมอ” สรรเสริญกล่าวทั้งน้ำตา
สั่งเด้งซ้ำ! 'รองอธิบดีอัยการ' โพสต์วิจารณ์กรณี 'น้องบิ๊กตู่' หลังถูกตั้งกก.สอบ
โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวฮ่องกงวัย 19 ปี เดินทางถึงฮ่องกงแล้ว

สถานทูตสหรัฐฯ กระตุ้นทางการไทย แจงสถานะของแกนนำเคลื่อนไหวประชาธิปไตยฮ่องกง
ตร.แจ้งข้อหาหนักหนุ่มแฟลตตีนโหด กระทืบลูกเพื่อนบ้าน 7 ขวบสาหัส โทษคุก 3 ปี
Cr:ผู้จัดการ
ตร.แจ้งข้อหาหนุ่มแฟลตตีนโหด กระทืบลูกเพื่อนบ้านสาหัส ย่านรามอินทรา สารภาพเข้าใจผิดลูกชายวัย 5 ขวบถูกแกล้งบ่อยครั้ง เจอข้อหาหนัก"ทำร้ายร่างกายทารุณโหดร้าย" มีอัตรโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี พ่อผู้เสียหายวอนขอให้เป็นอุทาหรณ์