PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

ปีวานรอาละวาด! การเมืองไทย 2559 โดย สุรชาติ บำรุงสุข


“ในประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า เราไม่กังวลกับการรัฐประหาร…แต่ถึงกระนั้น การบริหารจัดการทหารเป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องยาก”
Steve Saideman
Coding Crisis in Civil-Military Relations (2014)
ในการเริ่มต้นปีใหม่ทุกปี สื่อต่างๆ มีคอลัมน์คล้ายๆ กันที่จะต้องพูดถึงอนาคตของการเมืองไทยในปีที่เริ่มขึ้น
แต่ด้วยความผันผวนอย่างต่อเนื่องของการเมืองไทย ทำให้ในหลายปีที่ผ่านมา อนาคตของประเทศถูกนำเสนอในรูปแบบของ “การทำนาย”
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะพบว่า หนึ่งในหนังสือขายดีของสำนักพิมพ์มติชนก็คือ “ศาสตร์แห่งโหร”
ดังจะเห็นได้ว่าในหลายปี หนังสือเล่มนี้ติดอันดับหนังสือขายดีมาตลอด… ใครยังไม่มีไปลองหาอ่านดู (ขออนุญาตโฆษณาให้หน่อยครับ!) เพราะจะเห็นถึงการบอกเล่าถึงการเมืองไทยในปี 2559 ที่ผ่านการเดินทางของดวงดาว
และแน่นอนว่าศูนย์กลางของปัญหาในการเดินทางของ “ดาวจร” ทำให้มีคำตอบในเรื่องของ “ดวงเมือง” สภาพเช่นนี้มักจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ในวงสนทนาเรื่องการเมืองไทย ที่จะมีคำถามติดปากประการหนึ่งก็คือ “ดวงเมืองปี 2559” เป็นอย่างไร
ซึ่งก็แน่นอนว่า ศาสตร์แห่งโหรช่วยตอบคำถามนี้ได้
ในขณะเดียวกัน เราอาจจะเห็นปัญหาในอีกมุมหนึ่งว่านักวิชาการดูจะตอบคำถามของอนาคตได้ไม่มากเท่ากับเรื่องราวที่ปรากฏใน “ศาสตร์แห่งโหร” อาจจะเป็นเพราะอย่างน้อยสำหรับนักพยากรณ์แล้ว พวกเขาเห็นการเดินทางของ “ดาวจร” ทั้งปี จนพอที่จะนำมาบอกเล่าให้พวกเราได้เห็นถึงอนาคต
หากนักวิชาการจะประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้บ้างแล้ว ก็คงอาศัยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านๆ มาเป็นฐานข้อมูล กล่าวคือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และในขณะเดียวกันก็ต้องประมวลข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ เป็นองค์ประกอบ พร้อมกับนำเอาทฤษฎีในแต่ละสาขาเข้ามาเสริมการมองถึงแนวโน้มข้างหน้า
ดังนั้น หากจะทดลองนำเสนอจากมุมมองของนักวิชาการรัฐศาสตร์แล้ว เราอาจจะพอคาดการณ์สำหรับทิศทางในปี 2559 ได้บ้าง
ดังนี้

1)ถ้าการเมืองยังไม่ถึงจุดของการพลิกผันจนเกิดปรากฏการณ์ของ “การเปลี่ยนรัฐบาล” (หรือในแบบ regime change) การเมืองในปี 2559 ก็จะยังดำรงความตึงเครียดต่อไป

ผลของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เห็นได้มาตลอดปี 2558 จนอาจกล่าวได้ว่าความตึงเครียดดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปสู่ปี 2559 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ผู้นำรัฐบาลและผู้นำทหารจะมีความเชื่อมั่นใน “อำนาจปืน” ว่า ปืนยังคุมการเมืองได้ ซึ่งความเชื่อของผู้มีอำนาจเช่นนี้จะถูกท้าทายมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีใหม่ที่เริ่มขึ้น
คงไม่ผิดนักที่จะคาดการณ์ว่าปี 2559 จะเป็นปีที่ผู้นำรัฐบาลและผู้นำทหารจะต้องเผชิญกับ “ความท้าทาย” มากขึ้น
สิ่งที่คาดไม่ได้ก็คือ ความท้าทายนี้จะนำไปสู่จุดใด
แต่ก็อาจคาดการณ์ต่อได้ว่าปัญหาเช่นนี้จะมีผลอย่างมากต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในอนาคต
จนอาจจะนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
บางทีอาจจะต้องประเมินว่า ปี 2559 จะเป็นปีที่รัฐบาลทหารไม่มีความสุขเท่าใดนักก็คงได้

2)ความตึงเครียดทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาใน 2 ระดับ

คือ ความตึงเครียดที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งภายในกลุ่มผู้มีอำนาจด้วยกันเอง
กับความตึงเครียดที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชนในสาขาอาชีพต่างๆ ที่มีความเห็นต่าง
ซึ่งปัญหาทั้งสองระดับดังกล่าวน่าสนใจว่าจะนำไปสู่การ “เผชิญหน้า” ทางการเมืองในปี 2559 หรือไม่
และหากนำไปสู่สถานการณ์เช่นนั้นจริงแล้ว สิ่งที่คาดเดาได้ยากก็คือ อะไรคือจุดจบของสถานการณ์ดังกล่าว
แต่อย่างน้อยสิ่งที่เห็นมากขึ้นในช่วงปลายปี 2558 ก็คือ ปรากฏการณ์ของความตึงเครียดในทั้งสองระดับนี้มีมากขึ้น แม้รัฐบาลและกองทัพจะยังสามารถประคับประคองสถานการณ์เช่นนี้ได้ แต่ก็ไม่มีใครคาดเดาได้จริงๆ ว่าการประคับประคองเช่นนี้จะมีปัจจัยแทรกซ้อนอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นหรือไม่
และที่สำคัญก็คือ หากความตึงเครียดไม่ว่าจะในระดับใดระดับหนึ่งขยายตัวมากขึ้นแล้ว ผู้นำรัฐบาลและผู้นำทหารที่อยู่ในอำนาจจะยังสามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ได้เพียงใด
แต่ก็คาดได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานะของรัฐบาลและกองทัพอย่างแน่นอน

3)ความผันผวนของสถานการณ์ทางการเมืองตลอดปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายปี 2558 อาจจะส่งผลให้อิทธิพลของ “สายเหยี่ยว” เพิ่มมากขึ้น

เพราะเชื่อว่าการจะควบคุมสถานการณ์ให้ได้จริง จะต้องใช้มาตรการจับกุมและการกดดันทางกฎหมายต่อผู้เห็นต่างมากขึ้น
การจับกุมหรือการออกหมายเรียกของตำรวจอาจจะเป็นเครื่องมือที่ “สายเหยี่ยว” มักเชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากในการสร้างการ “ข่มขู่” ทางการเมือง
ฉะนั้น หากประเมินจากปลายปี 2558 ก็อาจคาดได้ว่าการจับกุมผู้เห็นต่างน่าจะมีมากขึ้นในปี 2559
และขณะเดียวกันก็อาจส่งผลให้ “สายเหยี่ยว” ขยายบทบาทมากขึ้น
ถ้าสถานการณ์เป็นไปในทิศทางเช่นนี้ ก็อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในสังคมการเมืองไทยมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

4)หากแนวทางของ “สายเหยี่ยว” ด้วยการใช้มาตรการข่มขู่ทางการเมืองและการจับกุมทางกฎหมายขยายวงมากขึ้นในปี 2559 แล้ว

สิ่งที่จะตามมาอย่างหนีไม่พ้นก็คือรัฐบาลทหารที่กรุงเทพฯ จะถูกกดดันด้วยปัญหาการขาดสิทธิเสรีภาพและการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
แม้ในช่วงปลายปี 2558 จะมีการประเมินว่าในที่สุดแล้ว รัฐบาลตะวันตกอาจจะต้องยอมที่จะอยู่กับรัฐบาลไทย เพื่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์โดยเฉพาะการแข่งขันกับการขยายอิทธิพลของจีน
แต่ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าการกดดันเรื่องเสรีภาพ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน จะถูกเก็บไว้ใน “ลิ้นชัก” โดยรัฐบาลทหารไทยจะลอยตัวจากเรื่องเหล่านี้ได้
เพราะสิ่งสำคัญก็คือ นักลงทุนจากต่างประเทศต้องการความชัดเจนในกระบวนการเมืองไทย ไม่มีใครอยากลงทุนบนพื้นฐานความไม่แน่นอนของประเทศ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรหรือไม่ แรงกดดันเช่นนี้จะมีอยู่ต่อไปและอาจจะมากขึ้น หากรัฐบาลทหารจะเป็น “เหยี่ยว” มากขึ้น
ซึ่งพอคาดการณ์ได้ว่า แรงกดดันเรื่องประชาธิปไตยจากตะวันตกในปี 2559 จะไม่หายไปไหนแน่นอน

5)ความน่ากังวลจากปัญหาในข้อ 4. ก็คือ หลายๆ ฝ่ายเกรงว่ายิ่งกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาลทหารไทย พวกเขาก็จะยิ่งเดินไปหาจีน

ดังปรากฏการณ์ที่เกิดแก่รัฐบาลทหารพม่าหลังการรัฐประหาร 2531 มาแล้ว
แต่แม้แรงกดดันจากตะวันตกจะไม่สูงกว่าที่เป็นอยู่ ก็ใช่ว่าผู้นำรัฐบาลและทหารจะไม่เข้าไปใกล้ชิดกับจีน
เพราะปรากฏการณ์ทางยุทธศาสตร์ของไทยหลังรัฐประหาร 2557 ก็คือ การดำเนินนโยบายที่มี “หมุดจีน” เป็นหลักทดแทนต่อ “หมุดตะวันตก” ในแบบเดิม
นโยบายต่างประเทศและความมั่นคงไทยเป็นไปดังคำกล่าวของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศไทยที่กล่าวว่า เขา “ตกหลุมรักจีน” เสียแล้ว
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไทย “มีรักใหม่” แล้ว
ความใกล้ชิดอาจนำไปสู่การลงนามในสัญญาแบบเสียเปรียบในการสร้างรถไฟความเร็วปานกลางในไทย
หรืออาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางทหารที่จะต้องติดตามดูกันต่อไป
จนอาจต้องกล่าวว่า ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ “ห้ามกะพริบตา” ในปี 2559
เพราะรัฐบาลทหารไทยพร้อมจะ “flirt” กับจีนอย่างเต็มที่
กล่าวคือ ไทยพร้อมจะเล่นบท “เจ้าชู้” กับจีน หลังจากแสดงอาการ “งอน” และทิ้ง “ลุงแซม” จนกลายเป็น “Ugly American” ในสายตาของผู้นำไทยไปแล้ว
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะพบว่า นักสังเกตการณ์ต่างก็เฝ้ามองว่าปี 2559 นี้ ไทยจะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ในเวทีระหว่างประเทศอีก

6)คดีและความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการสร้างอุทยานประวัติศาสตร์ที่หัวหิน เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

แต่เมื่อเรื่องนี้กลายเป็น “ประเด็นร้อน” มาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว ก็คาดได้ไม่ยากนักว่าปัญหานี้จะกลายเป็นคดีที่ “ปิดฉากไม่ได้”
ดังจะเห็นว่าความพยายามในการตรวจสอบจากฝ่ายต่างๆ กลับถูกตอบโต้ทั้งในทางกฎหมายและการเมือง จนส่งผลให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่บานปลาย
คาดได้ไม่ยากว่า แม้จะล่วงเลยเข้าปีใหม่แล้ว ประเด็นนี้ก็จะอยู่ในความสนใจ และจะยังมีผู้ติดตามต่อไปไม่ต่างจากเดิม
ความน่าสนใจก็คือ ปัญหานี้จะเป็นเสมือนกับกรณีทุ่งใหญ่นเรศวรในช่วงต้นปี 2516 ที่รัฐบาลทหารของ จอมพลถนอม กิตติขจร พยายามออกมาปกป้องความทุจริตทุกอย่างที่เกิดขึ้น จนในที่สุดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
และในที่สุดปัญหานี้ก็คือ จุดเริ่มต้นหนึ่งที่นำไปสู่จุดจบของรัฐบาลทหารในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 นั่นเอง

7)ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งในชีวิตจริงของผู้คนโดยทั่วไปก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะลงทุนโฆษณาหรือแถลงใหญ่อย่างไร แต่หากคนไม่มีสตางค์ในกระเป๋าของเขาแล้ว คำแถลงเช่นนั้นก็ไม่มีความน่าเชื่อถือแต่ประการใดทั้งสิ้น

และแม้รัฐบาลจะพยายามสร้างความมั่นใจด้วยการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ
แต่ก็ใช่ว่าเศรษฐกิจปี 2558 จะขยับขึ้น แม้นว่าจะมีการสร้างความหวังในปี 2559 แต่ก็ดูจะไม่ง่ายนัก
เพราะหากพิจารณาดูปัจจัย 4 ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการภาคการส่งออก ภาคเกษตร ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ภาคท่องเที่ยว ล้วนแต่ยังไม่อยู่ในภาวะสดใสเท่าใดนัก ยิ่งพิจารณาตัวเลขของภาคส่งออกและภาคเกษตรแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจปี 2559 ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นความน่ากังวลมากกว่า
ยิ่งพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกแล้ว ก็จะพบว่าสถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วง
หลายๆ ฝ่ายยังกังวลว่าปี 2559 อาจจะเป็นปีของการ “ล้มละลายใหญ่” ของบริษัทเอกชนในตลาดเกิดใหม่ (emerging market) อันเป็นผลจากการผลิตที่มีจำนวนสูงขึ้น แต่ความต้องการในตลาดกลับลดลง (over supply)
ขณะเดียวกัน ความหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะโตและเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจโลก ก็อาจไม่เป็นจริงเท่าใดนัก ความน่ากังวลที่สำคัญก็คือ เราอาจจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2559 ซึ่งก็จะส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาทด้วย
ดังนั้น ความฝันที่จะเห็นการขยับตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 จึงต้องตั้งอยู่ในความเป็นจริง และตั้งอยู่บนความไม่ประมาทเป็นอย่างยิ่ง

8)หนึ่งในการประชุมใหญ่ของโลกก่อนสิ้นปี 2558 ก็คือ การประชุมเรื่องสภาวะความเปลี่ยนแปลงของอากาศที่กรุงปารีส ตลอดรวมถึงย้อนพินิจถึงสภาวะของอากาศในบ้านเราเอง ก็จะตอกย้ำว่าภูมิอากาศของโลกกำลังบ่งบอกถึงความผันผวน อันทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2559 จะต้องเผชิญกับความแห้งแล้งขนาดใหญ่

และปรากฏการณ์ดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากระดับน้ำในเขื่อนหลักๆ ของประเทศ
ดังจะเห็นได้ว่าปีใหม่ยังไม่ทันจะเริ่มขึ้น ระดับน้ำในเขื่อนหลักก็ส่งสัญญาณถึงความอันตราย
และปฏิเสธไม่ได้ว่าความแห้งแล้งจะกระทบต่อทั้งชีวิตและต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพิงอยู่กับเกษตรกรรมอย่างมาก
แนวโน้มเช่นนี้บ่งบอกว่าถ้าปี 2554 จะเป็นปีของ “มหาอุทกภัย” แล้ว ปี 2559 อาจจะเป็นปีของ “มหาแล้ง” ซึ่งก็จะท้าทายต่อรัฐบาลทั้งการบริหารน้ำและการบริหารการทำนา…
นาปรังอาจจะจบแล้ว แต่นาปีในบางพื้นที่จะจบด้วยหรือไม่
อาจจะต้องยอมรับว่า ปัญหานี้ใหญ่และผันผวนเกินกว่าอำนาจปืนจะควบคุมได้

9)แรงสนับสนุนรัฐบาลทหารจะมีต่อไปอีกนานเท่าใด

ผู้นำทหารและนักวิชาการสายอำนาจนิยมอาจจะยังเชื่อว่า ปืนยังคุมทุกอย่างได้ และชนชั้นกลางในเมืองยังเป็นฐานสนับสนุนหลักของทหารไม่เปลี่ยนแปลง
ความเชื่อเช่นนี้เป็นความท้าทายอย่างยิ่งในปี 2559
ซึ่งก็หมายความว่า รัฐบาลทหารยิ่งจะต้องโหมการโฆษณาทางการเมืองให้หนักหน่วงขึ้นในปี 2559
และมาพร้อมกับรายการ “คืนความสุข” ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนไม่ผันผวนไปจากรัฐบาลทหาร

10)ความผันผวนประการสุดท้ายเป็นปัญหากระบวนการเมืองของคณะรัฐประหาร

ไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดการเลือกตั้งที่จะทำให้คำสัญญาในการพาประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้จริง กระบวนการคืนอำนาจดูจะมีความน่าเชื่อถือลดลง
เพราะจนถึงวันนี้ไม่มีความมั่นใจจากประชาคมระหว่างประเทศว่าการเมืองไทยจะกลับคืนสู่สภาวะปกติได้หรือไม่
ผลจากปัจจัยเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าการเมืองไทยคือ “ความไม่แน่นอน” และไม่ชัดเจนว่าจะเดินไปสู่อนาคตอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดภาพเปรียบเทียบกับระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย หรือในพม่าก็ตาม อีกทั้งรัฐบาลยังต้องเผชิญกับ “วิกฤตความชอบธรรม” อยู่ตลอดเวลาด้วย
ข้อสังเกตทั้ง 10 ประการข้างต้นไม่ใช่คำพยากรณ์ แต่เป็นเพียงการคาดคะเนแนวโน้มในปี 2559 ในมุมมองทางรัฐศาสตร์ เพื่อที่จะบอกว่าปีนี้ไม่ใช่ “ลิงเชื่อง” แต่จะเป็นปี “วานรอาละวาด” มากกว่า!

"บิ๊กต๊อก" ยันเดินหน้าสอบ "ราชภักดิ์" ไม่มีหยุด

"บิ๊กต๊อก" ยันเดินหน้าสอบ "ราชภักดิ์" ไม่มีหยุด เผยเมื่อผลสอบ ของศอตช.ออกมาคือจบ ต้องรอบคอบ เผยพอเห็นอะไรคร่าวๆแล้ว คืบหน้า ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องหยุด
พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ยันเดินหน้าสอบ"ราชภักดิ์"ต่อ เพราะประชาชนเขาอยากรู้ ระบุ ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ทำให้ต้องหยุด เผยคืบหน้าไปมาก และพอจะเห็นอะไรคร่าวๆบ้างแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผย เชื่อเมื่อศอตช.สรุปผลการตรวจสอบ ออกมาคือจบ ดังนั้น จึงต้องรอบคอบ แต่จะพยายามทำให้จบเร็วที่สุด

บิ๊กต๊อก ยันต้องทำให้กระจ่าง สอบรถโบราณ "วัดปากน้ำ"

บิ๊กต๊อก ยันต้องทำให้กระจ่าง สอบรถโบราณ "วัดปากน้ำ" เพราะเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว ระบุ ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัวอะไร
พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)ตรวจสอบรถโบราณ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ว่า ทราบว่ามีการเข้าไปดำเนินการตรวจสอบ แต่ตนไม่ได้เข้าไปดูในรายละเอียด เพราะให้เสรีกับข้าราชการในการทำงานเหมือนคดีอื่น และทราบว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบ1เดือน จึงขอให้รอผลตรวจตามเวลาที่ระบุ
"ผมไม่ได้มีการเร่งรัดการดำเนินการ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน แต่ถือเป็นเรื่องดี ที่เมื่อสังคมเกิดความสงสัยแล้วสามารถตอบได้ ซึ่งหากมีความชัดเจนด้านใดด้านหนึ่งเรื่องนี้ก็จะจบ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญกับประเทศชาติ
"ต้องเข้าใจนายกรัฐมนตรี ว่า ต้องทำอย่างรอบคอบและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งเรื่องนี้ต้องคิดถึงผลได้ผลเสียของบ้านเมือง ต้องคิดในทุกมุม อย่าคิดแต่ฝ่ายตัวเอง "
พลเอกไพบูลย์ กล่าวถึง กรณีที่ฝ่ายสนับสนุนให้ตรวจสอบ เป็นการดิสเครดิตนั้น ว่า ถ้าจะคิดในมุมนั้นก็คิดได้ แต่ถ้ามองอย่างความเป็นธรรม เมื่อมีคนสงสัยก็ควรจะให้มีการดำเนินการ
"หากเรื่องถูกต้องไม่ผิดอะไรก็อย่ากลัว และการทำเรื่องนี้ให้กระจ่างในสังคม ยังถือว่าเป็นเครื่องยืนยันตัวเอง ทำให้เกิดประโยชน์และมีความสง่าอีกด้วย แต่หากไม่มีการดำเนินการให้เกิดความกระจ่างก็จะต้องมีการพูดถึงตลอดไป "
อย่างไรก็ตาม DSIและกระทรวงยุติธรรม ได้ดำเนินการตามหน้าที่ เพราะเมื่อมีคนมาร้องเรียนก็ต้องดำเนินการ และคิดว่าเหมาะสมในช่วงนี้ เพราะเรื่องนี้เกิดตั้งแต่ปี56 ซึ่งก็ยาวนานมาพอสมควรแล้ว

บิ๊กต๊อก ติงอย่าเพิ่งต้าน ร่างรธน. ยังไม่เห็นทั้งฉบับเลย ยันตามตัว "ตูน"มือโพสต์ผัง ราชภักดิ์ ที่หนีประกัน เผยมีคนหนีประกันเพียบ

บิ๊กต๊อก ติงอย่าเพิ่งต้าน ร่างรธน. ยังไม่เห็นทั้งฉบับเลย ยันตามตัว "ตูน"มือโพสต์ผัง ราชภักดิ์ ที่หนีประกัน เผยมีคนหนีประกันเพียบ
พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว. ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนาย ธเนตร อนันตวงษ์ หรือ ตูน อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร คดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ป.อาญา มาตรา 112 คดีสร้างความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ในกรณีเผยแพร่ผังทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่เป็นเท็จ ที่ขณะนี้ได้หลบหนีออกประเทศ ว่า เจ้าหน้าที่จะต้องติดตามตัวมาดำเนินการให้ได้
ส่วนเรื่องที่ผู้ต้องหาหนีประกันในชั้นศาลนั้น มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงยุติธรรมจะมีการเรียกประชุมกับศาลยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะแก้ไขเรื่องดังกล่าวอย่างไร
พลเอกไพบูลย์ ปฏิเสธการตอบคำถึงร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า วันนี้ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ ยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตา ซึ่งตนจำได้ว่ามีรองนายกรัฐมนตรีเคยสอนตนว่า อย่าอ่านกฎหมายแค่ข้อเดียวหรือมาตราเดียว เพราะหลายมาตรามันพันกันต้องอ่านให้จบ และวันนี้ยังไม่เห็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับเต็มเลย ต้องรอให้เห็นทั้งหมดแล้วค่อยมาคุยกันให้เป็นเรื่องระบบ
หากฟังมานิดเดียวแล้วมาพูดมันจะกลายเป็นประเด็น ส่วนหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามตินั้น นายกรัฐมนตรีได้บอกชัดเจนแล้วว่ามีแนวทางแก้ไขไว้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ส่วนตัวไม่ทราบว่าเป็นแนวทางอะไร

WTO เห็นด้วยกับจีนในข้อพิพาททางการค้ากับอียู

WTO เห็นด้วยกับจีนในข้อพิพาททางการค้ากับอียู
เมื่อวันที่ 19 ม.ค. องค์กรการค้าโลก (WTO) ยืนยันว่าการที่สหภาพยุโรปเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตามมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดต่อสินค้าประเภทเหล็กนำเข้าจากจีนนั้นผิดกฎหมาย พร้อมทั้งให้ยุติการต่อสู้ทางกฎหมายที่มีมานาน 7 ปี หลังจากสินค้าส่งออกของจีนประเภทสกรู น๊อต และสลักเกลียวไปยุโรปนั้นมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามเมื่อปี 2009 ทางจีนได้ออกมาแถลงการณ์ว่าไม่ยอมรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษดังกล่าว และเรียกร้องให้ WTO ตัดสินใจว่านโยบายของอียูถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2015 WTO ได้ตัดสินว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจริง ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ทีผ่านมา อียูได้ให้เหตุผลว่าเพราะจีนได้เข้ามาปั่นป่วนนโยบายการค้าของอียู
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวว่ามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดองอียูส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของจีนจำนวนมูลค่า 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ และอาชีพการงานอีกมากกว่า 100,000 ตำแหน่งในจีน ซึ่งเป็นการสูญเสียทางการค้าของอุตสาหกรรมครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ทางกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้เรียกร้องให้อียูเคารพคำตัดสิน และให้จีนมีสิทธิ์ในการดำเนินงานภายใต้กรอบข้อตกลงของ WTO ต่อไป อีกทั้งหอการค้าจีนเพื่อการส่งออกและนำเข้าสินค้าเครื่องจักรและอิเล็กทรอนิกส์ (CCCME) และสมาคมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องจักรของจีน (CMCA) ก็ได้ติดต่อกับอียูเพื่อให้ยกเลิกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หลังจาก WTO ออกมาประกาศว่าเห็นด้วยกับฝั่งจีน
ทั้งนี้จีนจะเฉลิมฉลองครอบรอบ 15 ปีที่เป็นสมาชิกของ WTO ในเดือนธันวาคม 2016 ที่จะถึงนี้นี่เอง

ศาลตัดสินคดี"ปิยะ"โพสเฟสหมิ่นฯ


วันนี้ (20 มกราคม 2559) ศาลาอาญาตัดสินคดีมาตรา 112 กำหนดโทษสูงเป็นสถิติใหม่ของศาลพลเรือน ให้จำคุก 9 ปี ลดเหลือ 6 ปี ในคดีของปิยะ ที่ถูกฟ้องว่าเป็นผู้โพสต์เฟซบุ๊กหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ คดีนี้โจทก์มีเพียงภาพแคปเจอร์จากมือถือมาเป็นหลักฐาน โดยไม่มีหลักฐานอื่นๆ ทางคอมพิวเตอร์ และศาลเลือกเชื่อถือปากคำพยานคนหนึ่งที่มาแจ้งความ
อ่านรายละเอียดคดีปิยะ ได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/th/case/645
ปิยะ ถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “นายพงศธร บันทอน” ซึ่งมีการโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทพระกษัตริย์ฯ ปิยะให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ภายหลังปิยะยอมรับต่อศาลว่าเขาเคยสวมสิทธิเข้าใช้ชื่อพงศธร บันทอนมาก่อน แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้องในคดีนี้
หลักฐานในคดีนี้ คือ ภาพคล้ายถูกถ่ายจากเฟซบุ๊ก "นายพงศธร บันทอน" ซึ่งใช้รูปของปิยะเป็นรูปประจำตัวและถูกแชร์ต่อกันบนอินเทอร์เน็ต ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ประกอบด้วยภาพย่อยสี่ภาพที่แคปเจอร์มาจากมือถือ ผู้พบเห็นภาพที่ถูกแชร์ต่อกันนำเรื่องไปกล่าวโทษต่อตำรวจในหลายท้องที่ เช่น ที่จังหวัดนครปฐม และจังหวัดน่าน การดำเนินคดีนี้โจทก์ไม่มีหลักฐานที่เป็นหมายเลขไอพีแอดเดรส เนื่องจากเฟซบุ๊กมีที่ตั้งอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สามารถตรวจสอบกับผู้ให้บริการได้ และเมื่อหน่วยพิสูจน์หลักฐานตรวจเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ยึดจากจำเลยแล้วก็ไม่พบร่องรอยการเข้าใช้งานเฟซบุ๊กดังกล่าว
วันที่ 20 มกราคม 2559 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา เวลา 11.00 น. หลังก่อนหน้านี้ศาลเคยนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 แต่เลื่อนมาเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญ และอยู่ระหว่างการปรึกษากับอธิบดีศาลอาญา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังได้ว่าในวันเวลาตามฟ้องมีผู้โพสต์ภาพและข้อความลงในเฟซบุ๊กชื่อนายพงศธร บันทอน ข้อความที่ประกอบภาพพระบรมฉายาลักษณ์เข้าใจได้ทันทีว่ามีเจตนา ดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
ในคดีนี้ โจทก์มีอัจฉริยะ เรื่องรัตนพงศ์ มาเบิกความว่าพบเห็นข้อความจากเฟซบุ๊กของนายพงศธรโดยตรง และทราบว่าจำเลยเคยใช้ชื่อ Vincent Wang ซึ่งจำเลยก็รับว่าเคยใช้ชื่อดังกล่าวจริง อัจฉริยะยังเบิกความว่าสืบทราบมาว่าพงศธรมีบ้านอยู่ที่เขตดอนเมือง ซึ่งตรงกับที่พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยเคยสวมชื่อเป็นนายพงศธร บันทอน ที่สำนักงานเขตดอนเมือง คำเบิกความของอัจฉริยะจึงสอดคล้องกันมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ทั้งพฤติการณ์ของจำเลยในคดีนี้มีการเปลี่ยนชื่อและสวมชื่อหลายครั้ง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ส่อเจตนาเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสามารถทราบถึงตัวตนได้ ที่จำเลยเบิกความว่าเพิ่งพบเห็นข้อความตามฟ้องจากการที่แฟนมาบอก แต่ก็ไม่ได้นำตัวแฟนมาเบิกความต่อศาล และที่จำเลยเบิกความว่าเคยแจ้งให้ google ลบภาพนี้จากระบบค้นหาก็เป็นการแจ้งหลังเกิดเหตุเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) (5) ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ในฐานกฎหมายที่มีโทษหนักสุด กำหนดโทษ 9 ปี เนื่องจากการให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อทางพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 6 ปี
ก่อนหน้านี้ในคดีมาตรา 112 ที่ศาลอาญาตัดสินว่าจำเลยมีความผิด จะกำหนดโทษจำคุกจำเลย 5 ปี ต่อการกระทำ 1 กรรม เช่น คดีเจ้าสาวหมาป่าhttp://freedom.ilaw.or.th/th/case/558, คดี "ธเนศ"http://freedom.ilaw.or.th/case/614, คดีอัครเดชhttp://freedom.ilaw.or.th/th/case/577 และศาลนนทบุรีเพิ่งพิพากษาจำคุกชาญวิทย์ 6 ปี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558 http://freedom.ilaw.or.th/th/case/660 การกำหนดโทษจำคุกในคดีของปิยะ 9 ปีต่อการกระทำ 1 กรรม จึงเป็นสถิติสูงสุดของโทษในคดีมาตรา 112 ที่ตัดสินโดยศาลพลเรือนจากการบันทึกข้อมูลของไอลอว์
อีกข้อสังเกตหนึ่งในคดีของปิยะ คือ คำเบิกความของอัจฉริยะซึ่งศาลรับฟังและนำมาเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินลงโทษจำเลย อัจฉริยะเบิกความต่อศาลว่าเขาเป็นประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งชมรมนี้มีกิจกรรมอย่างหนึ่ง คือ การติดตามตรวจสอบผู้กระทำผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ในกรณีของปิยะ อัจฉริยะตรวจสอบและได้ที่อยู่ที่ดอนเมืองมาโดยวิธีการที่ไม่เปิดเผย อัจฉริยะเดินทางกับสมาชิกในชมรมไปหาจำเลยตามที่อยู่ก่อนโดยหวังจะไปกระทืบ แต่เมื่อไม่เจอตัวจึงนำเรื่องไปแจ้งความต่อตำรวจปอท.
อ่านรายละเอียดเต็มๆ ในคดีปิยะได้ที่ฐานข้อมูลของไอลอว์http://freedom.ilaw.or.th/th/case/645

สถิติการลงทุนจากต่างประเทศในจีนลดลงเป็นครั้งแรกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

วันนี้ (20 ม.ค.) กระทรวงพาณิชย์ (MOC) แห่งประเทศจีน ได้เผยแพร่ข้อมูลสถิติการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในเดือนธันวาคม ปี 2015 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านหยวน (1.22 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับสถิติต่อปี
นายเสิ่น ตันหยาง โฆษกแห่งกระทรวงพาณิชย์ ประกาศว่าสถิติที่ลดลงในเดือนธันวาคม ของปีที่ผ่านมา นับเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2014
ซึ่งหากเทียบกับสถิติในช่วงเดือนเดียวกันของปี 2014 จะพบว่ามีฐานที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินและสภาพตลาด สกุลเงินหยวนของจีนได้อ่อนตัวลง หลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ปรับปรุงกลไกการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในเดือนสิงหาคมปี 2015 ทั้งยังช่วยยกระดับอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้สูงขึ้น

การอ่อนค่าลงของเงินหยวนเป็นผลมาจากจุดเริ่มต้นของวงจรการปรับขึ้นอัตราใหม่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และทำให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง แม้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะลดลงในเดือนธันวาคม แต่นายเสิ่นกล่าวว่ามูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยรวมของทั้งปี 2015 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จากปี 2014 อยู่ที่มูลค่า 1.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วงเวลา 11 เดือนแรกของปี 2015 จะเห็นได้ชัดว่าการเจริญเติบโตของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนมีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง จนในเดือนสิงหาคมก็ได้เติบโตขึ้นไปถึงร้อยละ 22 ก่อนที่จะลดกลับลงมาถึงร้อยละ 1.9 ในเดือนพฤศจิกายน

ในเดือนธันวาคม มีบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศมากกว่า 2,000 แห่งที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.9 เมื่อเทียบกับสถิติต่อปี

โดยในปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากอาเซียน สหภาพยุโรป และบรรดาประเทศที่เข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ฮ่องกง และมาเก๊า ต่างมีสถิติเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน กลับลดลง

เคลียร์ให้หมดจด-ส่อเค้าลากยาวทูลเกล้าฯพระสังฆราชองค์ที่20 !!


     เคลียร์ให้หมดจด-ส่อเค้าลากยาวทูลเกล้าฯพระสังฆราชองค์ที่20 !!
      
  เมืองไทย 360 องศา 
      
    
   แม้ว่านาทีนี้"สมเด็จช่วง" หรือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จะเป็นหนึ่งในรายชื่อทูลเกล้าฯเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 หากพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายที่เป็นอยู่ในเวลานี้ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมมหาเถระสมาคม(มส.)เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการประชุมนัดพิเศษเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมาเพื่อมีมติแต่งตั้งดังกล่าว และมีการประชุมเมื่อวันที่ 11 มกราคมอีกครั้งเพื่อลงมติรับรองมติการประชุมเมื่อวันที่ 5 มกราคม จากนั้นมติก็ส่งมาตามขั้นตอนคือผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนา(พศ.) และถึงมือ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนา ตามลำดับ
      
       ตามขั้นตอนต่อไปก็จะมีการตรวจสอบ และส่งมติดังกล่าวให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป
      
       นั่นเป็นขั้นตอนและการพิจารณาตามกฎหมายที่มีอยู่ในเวลานี้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผ่านการแก้ไขใหม่ มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2547 ในสมัยที่ ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกฯ และมี วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายในยุคนั้นมีบทบาทสำคัญในการยกร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ที่กำหนดให้มี"คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"และตำแหน่ง"ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" โดยตำแหน่งดังกล่าวเป็นมติและแต่งตั้งโดย"ที่ประชุมมหาเถระสมาคม"
      
       ดังนั้นหากพิจารณาจากขั้นตอนเป็นแบบนี้ ก็แน่นอนว่า "สมเด็จช่วง" หรือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ก็มีแนวโน้มมากที่สุด อย่างไรก็ดีเรื่องดังกล่าวก็ต้องถือว่า"ละเอียดอ่อนที่สุด" สิ่งไหนที่ว่าแน่มันก็อาจไม่แน่ได้เหมือนกัน เหมือนกับ"อนิจจังไม่เที่ยง"อะไรประมาณนั้น ล่าสุด สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาได้ให้สัมภาษณ์วันที่ 19 มกราคมเผยท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะต้องตรวจสอบ"เหมาะสม"และ"ข้อกล่าวหา"ทุกอย่างให้ละเอียด
      
       "ได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับผู้อำนวยการ พศ.เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งได้สั่งให้ทาง พศ.ไปรวบรวมข้อมูลคำร้องคัดค้านและส่วนที่เห็นด้วยเพื่อส่งกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่ามีความครบถ้วนหรือไม่ ส่วนเรื่องร้องเรียนและการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญนั้น จะต้องรอให้มีการสรุปก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยรายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจะต้องรวบรวม รวมถึงกรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อย่างไรหรือไม่ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ดำเนินการตามขั้นตอน ไม่มีการเตะถ่วงอย่างเด็ดขาด"
      
       ที่สำคัญยังมีคำพูดที่สำคัญของเขาบางอย่างที่ชวนสะกิดให้คิดเหมือนกันที่ว่า "นายกฯได้สั่งการให้ทำรายงานให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อที่จะใช้ในการตัดสินใจ"
      
       ความหมายก็คือจะต้องมีการ"เคลียร์ทุกอย่างให้หมดจด"เสียก่อน ก่อนที่นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะเป็นเรื่อง"ละเอียดอ่อน"อย่างที่สุด 
      
       ขณะเดียวกันตามแบ็กกราวด์จากเส้นทาง และข้อมูลในอดีตย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า "สมเด็จช่วง"มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับ "ธัมมชโย"เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายอันอื้อฉาว ที่เคยถูกฟ้องในคดียักยอก แต่ถูกอัยการสูงสุดถอนฟ้องในชั้นศาลฎีกาก่อนวันพิพากษาเพียงไม่กี่วันในยุคของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร อย่างมีเงื่อนงำ อีกทั้งก่อนหน้านี้เคยมีลิขิตสมเด็จพระสังฆราชให้ปราชิกมาแล้ว อีกทั้งปัจจุบันยังมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงแบบน่าสงสัยกรณีเงินบริจาคจากอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นที่กำลังถูกดำเนินคดีอาญาในหลายข้อหา
      
       สำหรับ "สมเด็จช่วง" ก็ยังมีข้อครหามีเสียงนินทาในกรณีการครอบครองรถโบราณมิชอบและกำลังมีเรื่องร้องเรียนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เข้ามาตรวจสอบ แม้ว่าจะมีการอ้างว่ามีลูกศิษย์นำมาถวาย เป็นทรัพย์สินของวัด แต่ประเด็นคำถามก็คือ"ความเหมาะสม"กับพระสงฆ์ที่ต้องละกิเลส ไม่ใช่เป็นนักสะสม
      
       ขณะเดียวกันกรณีที่เกิดขึ้นรับรองว่า"ไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างนิกาย"แต่เป็นเรื่องของความเหมาะสม ข้อกล่าวหาในทางกฎหมาย และเรื่อง"กิเลสของสงฆ์" ซึ่งพระสงฆ์ทั่วไปก็ย่อมต้องบริสุทธิ์ แต่นี่สำหรับตำแหน่งสำคัญสูงสุดก็ยิ่งต้องละเอียดอ่อนกว่าเป็นหลายเท่า กว่าเรื่องการเมืองที่ต้องอ้างอิงกฎหมายและจริยธรรม เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของความถูกผิดอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความเคารพศรัทธาสูงส่งงดงามแบบไม่มีที่ติ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ใช่
      
       ดังนั้นเมื่อได้เห็นท่าทีของรัฐมนตรีประจำสำนักนายฯ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ก็พอมองออกว่าจะต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกพักหนึ่ง ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจาก"สถานการณ์พิเศษ"ที่อำนาจอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นั่นคือ มาตรา 44 ที่จะนำมาใช้อย่างไร เพราะมีการบอกใบ้มาแล้ว !! 

มหานิกาย กับ ธรรมยุติกนิกาย / สนธิ ลิ้มทองกุล



มหานิกาย กับ ธรรมยุติกนิกาย / สนธิ ลิ้มทองกุล
        เช้าวันพุธที่ 20 มกราคม 2559
       
       ผมเป็นคนที่จริงจังกับพุทธศาสนา เมื่อเกิดวิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง ปี 2540 เหมือนที่เขาเคยพูดว่า คนเรา ถ้าสุขสบาย ไม่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินเงินทอง สุขภาพกายใจแล้ว ก็จะไม่คิดถึงพระ คิดถึงวัด
       
       2541 18 ปีที่แล้ว ผมตัดสินใจที่จะบวชเป็นครั้งแรก เพื่อสงบสติอารมณ์ จากวิกฤติเศรษฐกิจในยุคนั้น เผอิญน้องนุ่งผมหลายคนที่เดินทางธรรมในยุคนั้น ก็แนะนำให้ผมรู้จักกับหลวงพ่อญาท่าน ท่านเป็นพระมหานิกาย เป็นเจ้าอาวาส วัดกุดโพนทัน ที่จังหวัดหนองบัวลำภู
       
       วันนั้นผมยังไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก มหานิกาย หรือธรรมยุติกนิกาย ผมรู้แต่ว่า หลวงพ่อญาท่านเป็นพระที่เมตตากับชาวบ้านมาก ชาวบ้านมาหาท่านทีไร มีแต่เรื่องทุกข์ ท่านก็จะสั่งสอนพูดเป็นภาษาอีสาน ให้ปล่อยวาง ให้ทำใจ ให้สวดมนต์ และที่สำคัญท่านจะเน้นเรื่องการทำสมาธิภาวนา
       
       ท่านให้ผมไปอยู่กุฏิชายป่า ที่เงียบสงบ ท่ามกลางดงไผ่ ที่มีทั้งแมวป่าและงูจงอาง ท่านให้ผมเดินไปบิณฑบาตตามท่าน ไปตามหมู่บ้านต่างๆ 18 ปีที่แล้ว ผมยังเพิ่งจะ 50 เอง แต่หลวงพ่อท่าน 60 แล้ว แต่ท่านแข็งแรง ท่านเดินเหมือนเหาะ แต่ท่าเดินท่านก็สำรวม ถึงจะค่อนข้างเร็ว
       
       การบิณฑบาตตามหมู่บ้านอีสานนั้น ทำให้ผมเห็นว่า ศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อพระสงฆ์องค์เจ้า และพระพุทธศาสนานั้น เป็นศรัทธาที่บริสุทธิ์
       
       หลายต่อหลายครั้งที่ผมได้รับทานจากพ่อแก่แม่แก่ บางครั้งก็เป็นแค่กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ซึ่งถ้าเป็นพระในกรุงเทพ ก็อาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมถวายทานทั้งที เป็นแค่กล้วยน้ำว้า 2 ลูก แทนที่จะเป็นอาหารคาวหวาน แต่ถ้าคิดให้ลึกลงไปแล้ว ก็จะเข้าใจว่า ชาวบ้านอาจจะมีกล้วยน้ำว้าแค่ 4 ลูก สำหรับทานเป็นอาหาร แต่ยังตัดใจถวายพระ 2 ลูก หรืออีกนัยหนึ่ง เขาให้ในสิ่งที่เขามี
       
       การเดินบิณฑบาตไปกลับวันละ 5 กิโล ที่ต้องเดินไปตามคันนา บางครั้งก็มีงูเลื้อยผ่านตัดหน้า ได้เห็นชีวิตของชาวบ้าน ที่ไม่เคยมีใครใส่ใจ ก็เป็นบทเรียนที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ทุกข์ที่ผมมีอยู่จากวิกฤติเศรษฐกิจนั้น เมื่อเทียบกับความเป็นอยู่ของชาวบ้านแล้ว ถ้ามองจากวัตถุเพียงอย่างเดียว ผมมีมากกว่าเขา แต่ชีวิตเขาก็มีความสุข
       
       หลวงพ่อญาท่าน จะเป็นพระที่เคร่งมาก เมื่อถึงเวลาฉัน ท่านก็จะเอาอาหารต่างๆ ที่ได้มากองรวมกัน และก็จะแบ่งใส่บาตร และให้พวกที่เหลือทยอยแบ่งกันใส่บาตร และท่านก็จะฉันในบาตรด้วยมือของท่าน ท่านจะแบ่งอาหารใส่บาตรแค่ไหนก็ตาม เวลาท่านฉันเสร็จแล้ว อาหารจะหมดพอดีทุกครั้ง และผมรู้ว่ามันเป็นหลักโภชเนมัตตัญญุตา (รู้จักประมาณการในอาหาร ต้องการแค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่มากไม่น้อยเกินไป) ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของความสมถะ
       
       ตกตอนกลางคืน เมื่อถึงเวลาที่ท่านทำวัตรค่ำ ก็จะมีญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา มาร่วมสวดมนต์ และท่านก็จะให้ทุกคนฟังพระธรรมเทศนา ที่ท่านจะแสดงธรรมให้ฟังทุกคืน ในเรื่องราวต่างๆ บางครั้งท่านจะเอาเรื่องจากพระไตรปิฎก มาเล่าให้ฟัง แต่หลายต่อหลายครั้ง ก็จะเอาเรื่องราวของชาวบ้านที่ทำแล้วผิดศีลผิดธรรม มาพูดให้ฟัง ท่านจะเน้นเรื่องนรกมีจริง สวรรค์มีจริง และท่านจะเน้น เรื่องเวรกรรมว่า คนเราหนีกรรมไม่พ้น ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่ากรรม เสร็จแล้วท่านก็จะเน้นเรื่องการทำสมาธิภาวนา จะมีการนั่งสมาธิกันอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงถึง 45 นาที
       
       ผมไม่เคยรู้ว่าท่านคือพระมหานิกาย ซึ่งต่อมาภายหลังผมเจอพระมหานิกายหลายๆ วัด แต่การปฏิบัติตนในเรื่องของการบิณฑบาต การฉันท์ ไม่เหมือนกัน หลวงพ่อญาท่าน ทั้งๆ ที่เป็นมหานิกายเหมือนกัน จนกระทั่ง เริ่มมีความขัดแย้งระหว่างมหานิกายกับธรรมยุติกนิกาย ซึ่งมหานิกาย มักจะกล่าวหาธรรมยุติกนิกายว่า เป็นพระศักดินา เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่า คนที่สร้างธรรมยุติกนิกายขึ้นมาในสมัยนั้นคือ รัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นแล้ว วัดบวรนิเวศวิหาร ที่รัชกาลที่ 4 จำวัดอยู่ ก็เป็นเสมือนศูนย์กลางของนิกายธรรมยุตโดยกลายๆ
       
       ทุกวันนี้ความขัดแย้งทางสงฆ์ ในเรื่องของสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ กับการยึดถือหลักพระธรรมวินัย มาเป็นเรื่องธรรมยุตรังแกมหานิกาย แทนที่จะถามว่า คนที่จะขึ้นมาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น ควรจะเป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์หรือไม่ และจะต้องยึดถือหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดหรือเปล่า ?? กลับกลายเป็นว่า ธรรมยุตเป็นสังฆราช มากกว่ามหานิกาย ถึงคิวที่มหานิกายต้องเป็นบ้าง เหมือนเข้าคิวซื้อตั๋วหนัง
       
       ปลายปี 2549 ผมบวชอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีตั้งใจจะไปบวชที่วัดชนะสงคราม เพราะเห็นว่าใกล้ที่ทำงาน เพื่อญาติโยมที่เป็นพันธมิตร จะมาทำบุญตักบาตรจะได้ง่ายขึ้น
       
       สมเด็จหนกลาง (เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม) ซึ่งเป็นสมเด็จที่ดูแลฝ่ายปกครองของพระสงฆ์ภาคกลาง ฝ่ายมหานิกาย ซึ่งท่านมีเลขา และมัคนายก ที่ไม่เห็นด้วยว่า ผมควรจะบวชที่วัดนี้ เหตุผลเพราะว่า ผมโดนฟ้องคดีหมิ่นประมาท จากทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงว่า คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด (สุดท้ายศาลฎีกาก็ยกฟ้อง) ท่านก็เลยไม่เต็มใจที่จะบวชให้ผม
       
       ขณะที่กำลังเคว้งคว้างอยู่นั้น หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด ท่านให้พระเลขาโทรศัพท์มาบอกผมว่า ให้ไปบวชที่อุดรธานี โดยท่านให้ไปบวชกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ให้เป็นพระอุปัชฌาย์ของผม ผมก็เลยขึ้นไปบวชที่วัดโพธิสมภรณ์ ก็เลยเพิ่งรู้ว่า หลวงตามหาบัวและหลวงปู่ใหญ่นั้น เป็นธรรมยุต และก็เพิ่งรู้ว่าวัดโพธิสมภรณ์นั้น เป็นวัดหลักที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีพระอริยะสงฆ์หลายองค์ ที่เคยเป็นมหานิกาย มาทำญัตติ เพื่อขอเปลี่ยนจากมหานิกาย เป็นธรรมยุต รวมทั้งสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมัยเป็นเณร ซึ่งเป็นมหานิกายและเปลี่ยนมาเป็นธรรมยุต แต่สมเด็จพระญาณสังวรฯ ไม่ได้มาเปลี่ยนญัตติที่วัดโพธิสมภรณ์ ท่านเปลี่ยนที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม
       
       หลวงพ่อชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง หรือที่เขาเรียกกันว่า วัดป่านานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งฝรั่งมาบวชกันเยอะ ท่านก็เป็นพระอริยะสงฆ์ สายมหานิกาย วันหนึ่งท่านมากราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ขอเปลี่ยนจากมหานิกาย มาเป็นธรรมยุต แต่หลวงปู่มั่นฯ ขอร้องไม่ให้เปลี่ยน ขอให้เป็นมหานิกายต่อไป เพราะท่านต้องการให้พระสายมหานิกายนั้น มีพระดีๆ อยู่บ้าง หรือแม้กระทั่ง ท่านประยุทธ์ ปยุตโต (เจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์) ซึ่งเป็นปราชญ์ทางศาสนาของประเทศไทย ก็เป็นสายมหานิกาย และเป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์ เคร่งในพระธรรมวินัยเช่นกัน
       
       ผมบวชที่วัดโพธิสมภรณ์เสร็จ หลวงตาท่านให้มาจำวัตรที่กุฏิ (เป็นกระท่อมเล็กๆ ห้องเดียว หลงคามุงจาก ฝาห้องนั้นเอาไม้เก่าๆจากบ้านเก่าๆมาแปะไว้กันลมกันฝน กุฏิอันนี้อยู่หลังกุฏิของหลวงตามหาบัว)
       
       เมื่อผมอยู่วัดป่าบ้านตาด ก็บิณฑบาตเหมือนกับตอนที่อยู่กับหลวงพ่อญาท่าน ถึงเวลาฉันท์เช้า ก็เหมือนหลวงพ่อญาท่านทุกประการ คือฉันในบาตร และฉันพอดีกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งหลวงพ่อญา และหลวงตามหาบัว ก็ฉันตอนเช้าประมาณ 8 โมงเช้า และฉันมื้อเดียวเท่านั้น
       
       เพราะฉะนั้นจะมหานิกาย หรือธรรมยุติกนิกาย ถ้าศีลเท่ากัน พระธรรมวินัยเหมือนกัน การจะเป็นมหานิกายหรือธรรมยุต กลับไม่มีความหมายเลยแม้แต่นิดเดียว
       
       ที่เกิดธรรมยุติกนิกายขึ้นมานั้น ก็เพราะพระสงฆ์องค์เจ้าในยุคนั้น มีอยู่เพียงนิกายเดียว คือมหานิกาย ปฏิบัติตนเละเทะ ไม่นับถือพระธรรมวินัย ก็เลยเป็นเหตุทำให้รัชกาลที่ 4 ท่านอยากจะสังคายนา วงการสงฆ์เ แต่พระองค์ท่านไม่เข้าไปยุ่งกับมหานิกาย ในขณะนั้นเพราะว่า เละเทะจนเกินแก้ได้ พระองค์ท่านจึงตั้งธรรมยุติกนิกายขึ้นมา ที่เน้นพระธรรมวินัย และเคร่งครัดกับพระธรรมวินัย แรงดลใจนี้เกิดจากการที่พระองค์ท่านได้ไปพบพระมอญรูปหนึ่ง ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และเคร่งครัดมาก และนี่คือที่มาของธรรมยุติกนิกาย
       
       แม้กระทั่งทุกวันนี้ ถ้าเราไปที่วัดบางไส้ไก่ แถวๆ ฝั่งธนฯ ซึ่งเป็นวัดมอญสายมหานิกาย ก็จะเห็นว่า พระมอญสายมหานิกาย ที่วัดบางไส้ไก่ มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เช่นกัน
       
       สมัยหนึ่งที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ ซึ่ง จอมพล. ป. พิบูลสงคราม เป็นคนสร้าง โดยมีวัตถุประสงค์ให้ทั้งมหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย มาอยู่ร่วมกัน และเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนั้น คือ เจ้าคุณอุบาลี ซึ่งเป็นสายธรรมยุต มาจากวัดบรมนิวาสฯ ท่านก็แจกหนังสือพระธรรมวินัย และบอกให้พระทั้งสองนิกายยึดถือและปฏิบัติตามนี้ หลังจากนั้นไม่นาน พระมหานิกายก็อยู่ไม่ได้ หนีไปหมด ไม่สามารถปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้อย่างเคร่งครัด วัดพระศรีมหาธาตุฯ จึงตกเป็นของธรรมยุตโดยปริยาย
       
       ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง รวมทั้งประสบการณ์ส่วนตัวผมที่บวชทั้งมหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย ทำให้ผมเห็นความขัดแย้งในเรื่องของ การตั้งสมเด็จช่วงฯ นั้น เป็นความขัดแย้งที่ฝ่ายสนับสนุนสมเด็จช่วงฯ พยายามจะบิดเบือนประเด็นที่ควรจะถกเถียงกัน และประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือว่า คนที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชของประเทศไทยนั้น สมควรที่จะเป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ ?? และสมควรที่จะยึดถือพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดใช่หรือไม่ ??
       
       พระธรรมวินัยนั้น นอกจากจะเป็นวัตรปฏิบัติของพระที่เคร่งครัดแล้ว ยังรวมไปถึงการเทศนา และสั่งสอนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทิศทางที่ถูกต้องด้วย เช่น นิพพาน นั้น เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา (แม้กระทั่งพระพรหมคุณาภรณ์ (ท่านประยุทธ์ ปยุตโต) ซึ่งเป็นปราชญ์ทางศาสนาสายมหานิกาย ยังยืนยันว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา) หรือ ไม่เคยมีคำสอนใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎก หรือในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า บุญ นั้น สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ใครบริจาคทำบุญมาก ก็ได้ขึ้นสวรรค์เร็วขึ้น คนที่เน้นในเรื่องนี้ก็คือ พระธัมมชโย แห่งวัดธรรมกาย ซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกของสมเด็จช่วงฯ และเป็นผู้ที่สนับสนุนทางด้านเงินทองให้กับวัดปากน้ำ และสมเด็จช่วงฯ โดยตรง เมื่อลูกศิษย์เอกเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาบิดเบือน และทำตนเหมือนแก๊งต้มตุ๋น โดยที่สมเด็จช่วงฯ ยังคงให้ความใกล้ชิดสนับสนุน ไม่ห้ามปราม ไม่ท้วงติง จึงเท่ากับ เห็นด้วยตามแนวทางของแก๊งต้มตุ๋นนี้
       
       และคำถามก็มีอยู่ว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เป็นเช่นนี้แล้ว สมเด็จช่วงฯ อย่าว่าแต่พระธรรมดา แค่เป็นนักบวชธรรมดา และในฐานะเป็นองค์อุปัชฌาย์ของธัมมชโย ยังมีศีลที่บริสุทธิ์อยู่หรือไม่ และไม่ยึดถือพระธรรมวินัยเลย
       
       วันนี้ผมอยากให้ความชัดเจนมันเกิดขึ้น ว่า พระองค์ใดก็ตามที่จะขึ้นมาเป็นพระสังฆราช ของประเทศไทย ที่ทุกคนต้องกราบไหว้บูชา รวมไปจนถึงทางสากลโลก ก็ให้ความเคารพนับถือนั้น ควรจะเป็นนักบวชที่มีศีลบริสุทธิ์หรือไม่ และควรจะมีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ไม่ถูกบิดเบือน
       
       สมเด็จช่วงฯ ถูกกล่าวหาว่า ท่านเป็นคนที่ยังไม่ละจากกิเลส ท่านยึดถือในวัตถุ เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์รถเก่า เพียงเพราะว่าท่านชอบ และท่านอ้างว่าเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษารถเก่า
       
       สำหรับผมแล้ว การสร้างพิพิธภัณฑ์นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สาระสำคัญของเนื้อหาพิพิธภัณฑ์ต่างหากที่น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงธรรม ที่คนสร้าง ซึ่งเป็นถึงพระมหาเถระระดับสูง ควรจะสะท้อนถึงสาระสำคัญในการที่จะทำให้พิพิธภัณฑ์นี้มีคุณค่าทางธรรม
       
       ครั้งหนึ่ง หลวงปู่เจี๋ยะ จุนโท ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน เป็นคนซึ่งชอบขวานมาก เหมือนกับที่สมเด็จช่วงฯ ชอบรถเก่า แต่ผมก็ไม่เคยเห็น หลวงปู่เจี๊ยะ ได้สร้างพิพิธภัณฑ์ขวานขึ้นมาเลย
       
       ความจริงแล้ว ความชอบหรือไม่ชอบนั้น เป็นถึงขั้นพระมหาเถระชั้นสูง ควรจะปล่อยวางได้ตั้งนานแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องสมมติ ถึงผมจะไม่รู้ลึกซึ้งถึงหลักปริยัติธรรม ในพระพุทธศาสนาก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุด สามัญสำนึกของผมก็บอกให้ผมได้รับทราบว่า ผมควรจะกราบไหว้บูชา เคารพนับถือ พระที่ปล่อยวางได้ พระที่สงบ พระที่ไม่ลุ่มหลง หลงใหล กับวัตถุ อีกประการหนึ่ง การสะสมรถเก่านั้น ไม่ใช่กิจของสงฆ์เลยแม้แต่นิดเดียว จะชอบแค่ไหนก็ไม่ควรทำ ตลอดไปจนถึง การเป็นหัวหอกในการแสดงตน ไปร่วมกับพระธัมมชโย ร่วมกิจกรรมต่างๆ ของวัดธรรมกาย โดยเข้าไปเป็นประธานในหลายๆ งาน ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า สมเด็จช่วงฯ ที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ของประเทศไทย ท่านไม่รู้เลยหรือว่า ลูกศิษย์ท่าน ที่ท่านเป็นองค์อุปัชฌาย์ บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า มีหลักฐานพิสูจน์อย่างเห็นเด่นชัด ในเรื่องของการเอาเงินซื้อบุญ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยสอน หรือการสร้างจรวดทองคำ แล้วบอกให้ลูกศิษย์ลูกหา จ่ายเงินซื้อค้อนทองคำ เพื่อไปเคาะประตูสวรรค์ แล้วจะได้บุญ
       
       หรือแม้กระทั่ง ถ้ามีหลักฐานพิสูจน์ออกมาว่า รถเบนซ์คันดังกล่าว ที่เป็นข่าวมาว่า มีคนเอามาถวายท่าน แต่มีหลักฐานพิสูจน์ว่า รถคันดังกล่าว ท่านเป็นคนสั่งเข้ามาประกอบในเมืองไทย แล้วชื่อเจ้าของรถคนแรกคือ ตัวท่าน ถ้าตรงนี้เป็นความจริง ในที่สุดแล้ว ผมจะกราบไหว้ท่านได้ยังไง???
       
       วันนี้ ผมพูดเรื่องนี้ ไม่ได้พูดเพราะว่า ผมชอบธรรมยุต และไม่ชอบมหานิกาย แต่ผมยึดศีล และพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง เหมือนอย่างที่หลวงตามหาบัว องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ผม ได้เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าไม่ยึดศีล และพระธรรมวินัยแล้ว ก็เหมือนเอาหมาขี้เรื้อนมาตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช แล้วเราจะกราบไหว้บูชาได้อย่างไร ในขณะนี้พุทธศาสนาของประเทศไทย กำลังมีวิกฤติทางสงฆ์ วิกฤติทางโครงสร้างของสงฆ์ วิกฤติเรื่องสมณศักดิ์ วิกฤติขององค์กรที่ปกครองสงฆ์ อย่างเช่น มหาเถระสมาคม เรื่องนี้เอาไว้วันหลัง ผมจะพูดคุยให้ฟังอีกที วันนี้เอาแค่นี้ก่อน
       
       

ใบตองแห้ง/อ.เกษียณ : ว่าด้วยสงครามพระ



ไม่อยากเข้าข้างใครหรอกนะ สงครามพระแย่งอำนาจและสมณศักดิ์ แต่ขำคนพวกนี้ใช้วิธีการเดิมๆ คือให้ร้ายป้ายสีและตีความบิดเบือนเพื่อเอาชนะ
"พุทธะอิสระ" สวนลิ่วล้อ "สมเด็จช่วง" ชี้ชัดรถหรูซื้อส่วนตัว ส่อปาราชิกฐานลักซ่อน
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
“ไพบูลย์” ร้องผู้ตรวจฯ เช็ก กม.สงฆ์ ชี้มติลับ มส.เลือกสังฆราชส่อผิดขั้นตอน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
ม.7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เขียนว่า "ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ"
การเขียนกฎหมายแบบนี้ ไม่เห็นจะต้องตีความให้ยุ่งยาก นั่นคือนายกฯ จะต้องนำชื่อสมเด็จฯ ที่อาวุโสสูงสุดขึ้นทูลเกล้าฯ โดยความเห็นชอบของมหาเถรฯ เว้นแต่มหาเถรไม่เห็นชอบ จึงจะเสนอชื่อสมเด็จฯ ท่านอื่น
ฉะนั้น มหาเถรฯ เขาก็ประชุมแล้วบอกว่าเขาเห็นชอบสมเด็จช่วง ขั้นต่อไปก็เป็นหน้าที่นายกฯ เสนอชื่อ เว้นแต่จะตีความกันว่า นายกฯ มีอำนาจไม่เสนอชื่อ มีอำนาจดองเค็มเป็นสิบปีตามที่วิษณุอ้าง
แต่นี่ไพบูลย์กลับตีความว่า ต้องให้นายกฯ เสนอชื่อสมเด็จฯ ที่อาวุโสสูงสุด เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเสียก่อน การที่มหาเถรประชุมกันเอง ทำผิดขั้นตอน
เอางี้ไหมครับ ทั่นไพบูลย์ ให้ผู้ตรวจร้องศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่ามหาเถรทำผิดกฎหมาย ต้องยุบพรรค เอ๊ย ถอดถอนทั้งคณะ 55555
อ้อ การตีความแบบไพบูลย์นี่น่าขำอีกอย่าง หลังรัฐประหารด่าทอนักการเมือง มีการแก้กฎหมาย เขียน รธน.ไม่ให้นักการเมืองมีอำนาจแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เช่น ไม่ให้นายกฯ เสนอชื่อ ผบ.ตร.
แต่พอ "กูจะโค่นสมเด็จช่วงซะอย่าง" ก็ตีความว่า นายกฯ มีอำนาจเสนอชื่อสังฆราช โห ไม่คิดถึงภายภาคหน้าบ้างเลยเรอะ นี่คือให้อำนาจการเมืองแทรกแซงแต่งตั้งสังฆราชเลยนะ 55555
////////////////////////////////////

13 ชม.
อาหารความคิดมื้อเช้า(มืด): กลุ่มอาการแย่งสมบัติ
%%%%%%%%%%%
อ่านที่คุณใบตองแห้งรำพึงถึงกระบวนท่าขัดแย้งกรณีแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่แล้วก็ได้คิดบางอย่าง
การอ้างตีความกฎเกณฑ์แบบแถและฉวยโอกาสลากเข้าข้างบาลีที่ตนเลือก จากนั้นก็ใช้สื่อและม็อบและตำแหน่งแต่งตั้งทางการเข้าสำทับกระหน่ำโจมตีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั้น
นอกจากบ่อนทำลายกฎหมายและสถาบันสำคัญของบ้านเมืองให้เปื่อยยุ่ยลงไปเรื่อย ๆ (ไอ้นี่คือส่วนหนึ่งของ "รัฐล้มเหลว" จริง ๆ) จนทุกวันนี้ยังไม่จบแล้ว
มันยังเป็นกลุ่มอาการที่สะท้อนสมุฎฐานโรคด้วย
ผมคิดว่าสมุฎฐานโรคจริง ๆ คือภาวะที่อนุญาโตตุลาการสุดท้าย (final arbiter) ของระเบียบการเมืองไทย ไม่ทำงานเพราะทำงานไม่ได้
ภาวะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์แก๊งก๊วนอิทธิพล (factions) ในวงการต่าง ๆ ในสถาบันสำคัญของชาติโดยเฉพาะระบบราชการมีมานาน แต่ที่ผ่านมามันสามารถจบ ยุติและระเบียบสถาบันดำเนินการต่อได้ไม่ขัดแย้งจนเปื่อยยุ่ยล้มเหลวเพราะทุกคนยอมรับและยอมตาม final arbiter ผู้มีอำนาจการนำที่จะสะกดทุกฝ่ายให้สยบสมยอม ต่อให้ในใจเบื้องลึกไม่ยินดีนักก็ตาม
แต่ final arbiter ตอนนี้ไม่ทำงาน จึงเกิดช่องว่างสุญญากาศหรือหลุมดำขึ้นในระบบ
ความขัดแย้งระหว่าง factions ในระบบราชการทุกเรื่องสามารถไม่จบไม่ยุติได้ด้วยพลังม็อบแถตีความกฎหมายแบบนี้
และผู้แย่งทะยานขึ้นมาสวมบท final arbiter คนใหม่โดยอำนาจพิเศษก็ไม่อยู่ในสถานะและบุคลิกที่จะมีอำนาจสะกดทุกคนให้ยอมตามการนำของตนโดยดุษณีได้เช่นกัน
ใช้ได้แต่กำลังข่มขู่บังคับ
การแย่งสมบัติตำแหน่งแห่งที่อำนาจอิทธิพลผลประโยชน์จึงดำเนินเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด และมีแนวโน้มจะออกนอกกรอบกฎเกณฑ์ ใช้กำลังบังคับและกำลังม็อบต่อไปเรื่อย ๆ (พรบ.ชุมนุมแก้ตรงปลายเหตุก็เพราะที่อธิบายมานี้นั่นแหละครับ)