PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"บิ๊กเจี๊ยบ" เผย "ในหลวง" ทรงห่วงใยประชาชน ตากแดด พื้นปูนร้อน สั่งหาทางแก้ไข

"บิ๊กเจี๊ยบ" เผย "ในหลวง" ทรงห่วงใยประชาชน ตากแดด พื้นปูนร้อน สั่งหาทางแก้ไข อาจปูพื้นยาง-ฟูกที่นอน /ทรงเต่อนจนท.อย่าดุ เข้มงวด ปชช.จนเกินไป/ ผบทบ.พอใจบรรยากาศ ดี คนไทยรักสามัคคี ทำยังไง ให้เป็นไปตลอด
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.เผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลง กรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีความห่วงใย พี่น้องประชาชน ที่จะมาร่วมพระราชพิธีฯ วันที่26 ตค.นี้ เพราะหากอากาศร้อนจัด หรือแดดร้อนจัด พื้นปูนริมถนน จะมีความร้อนมาก ประชาชนจะนั่งกันอย่างไร
ทรงฝากทางรัฐบาล กองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไร เพื่อลดความร้อน บนพื้นปูนได้
ซึ่ง ตอนนี้กำลังคิดกันว่าอาจจะนำยางหรือผ้า ฟูกที่นอนมารองรับที่พื้น เพื่อลดความร้อน
"ทรงห่วงใยประชาชนมาก พร้อมรับสั่งด้วยว่า เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติต่อประชาชนดีๆ อย่าไปดุ ไปเข้มงวด กับเขามากนัก" พลเอกเฉลิมชัย กล่าว
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า บรรยากาศตอนนี้ดีมาก ในเรื่องรักสามัคคี ความเป็นพี่น้องเป็นคนไทย ความมีจิตอาสาช่วยเหลือกันในเรื่องต่างๆ. พี่น้องบางคนมาจากต่างจังหวัดมาคนเดียวแล้วก็มาเจอกันในงานจิตอาสา พอได้รู้จักและกลายเป็นเพื่อนรักกันไปเลยก็
"ทำอย่างไร จึงจะทำให้สิ่งดีๆเหล่านี้ คงอยู่ตลอดไป" ผบ.ทบ.กล่าว

"บิ๊กป้อม" ถก รมว.กห.อาเซียน/คู่เจรจา ร่วมมือ7ด้าน ทั้ง คาบสมุทรเกาหลี การก่อการร้าย

"บิ๊กป้อม" ถก รมว.กห.อาเซียน/คู่เจรจา ร่วมมือ7ด้าน ทั้ง คาบสมุทรเกาหลี การก่อการร้าย และปัญหาในรัฐยะไข่ ตกลงให้ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง/ใช้กำลังทหาร ยึดเจรจาทางการทูต /บิ๊กป้อม ยัน ยึดสันติวิธี
ในการประชุม รมว.กลาโหม อาเซียน กับ รมว.กห.ประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 4 เมื่อ 24 ต.ค. 60 ที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ร่วมอยู่ด้วยนั้น ซึ่งเป็นการประชุมต่อเนื่อง จากการประชุม รมว.กห.อาเซียน ครั้งที่ 11 ณ เมืองคลาร์ก จังหวัดปัมปังกา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า รมว.กห.อาเซียน และ รมว.กห.ประเทศคู่เจรจา ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา รัสเซีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ได้รับทราบร่วมกันถึงพัฒนาการล่าสุดของอาเซียน
และการทำงานร่วมกับประเทศคู่เจรจาทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ การต่อต้านการก่อการร้าย การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ความมั่นคงทางทะเล การแพทย์ทหาร การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม

พร้อมทั้ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความมั่นคงของภูมิภาค โดยมีความกังวลร่วมกันต่อปัญหาทะเลจีนใต้ คาบสมุทรเกาหลี การก่อการร้าย และปัญหาในรัฐยะไข่
โดยเสนอให้กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหาร และทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องตามหลักกฎหมายสากลและระเบียบปฏิบัติร่วมที่กำหนด บนพื้นฐานความเท่าเทียมและประโยชน์ร่วม หลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ใช้กำลังทหาร โดยใช้การเจรจาหารือทางการทูตและช่องทางสื่อสารตรง
รวมทั้งประสานเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด บนความริเริ่มความร่วมมือใหม่ เพื่อให้ภูมิภาคอาเซียน สามารถเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงร่วมกัน
พล.อ.ประวิตร ได้แสดงทัศนะต่อที่ประชุม ถึงภัยคุกคามปัจจุบันที่มีลักษณะข้ามชาติและซับซ้อน การแก้ไขปัญหาจึงต้องผสมผสานความคิดและมีความรอบคอบ ร่วมมือกันพิจารณาประเด็นต่างๆอย่างครบถ้วนในทุกมิติแบบองค์รวมที่มุ่งความยั่งยืน บนหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักสันติวิธี โดยคำนึงถึงภัยคุกคามที่พัฒนาการมากับเทคโนโลยี
ทั้งนี้ การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ จำเป็นต้องอ่อนตัวเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคต่อไป
และย้ำว่า กห.ไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการริเริ่มความร่วมมือใหม่ในทุกมิติ ภายใต้กลไก กห.อาเซียนและ กห.ประเทศคู่เจรจา เพื่อประสิทธิภาพของพัฒนาการ การทำงานความมั่นคงร่วมกันของภูมิภาค
พร้อมทั้ง ขอขอบคุณ ทุกประเทศที่ส่งกองเรือเข้าร่วมมหกรรมสวนสนามทางเรือนานาชาติ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ในเดือน พ.ย. 60 ณ เมืองพัทยา
หลังจากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมพิธีส่งมอบหน้าที่ การเป็นประธานการประชุมรมว.กห. อาเซียน ในปี 2561จาก กห.ฟิลิปปินส์ให้กับ กห.สิงคโปร์

พล.ท.คงชีพ กล่าวโดยภาพรวมว่า การประชุม รมว.กห.อาเซียน และการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับรมว.กห.ประเทศคู่เจรจา ถือเป็นกลไกสูงสุดและสำคัญยิ่งด้านความมั่นคงของภูมิภาค ที่จะร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นและความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน บนบทบาทและจุดยืนที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกันในภูมิภาค

กรอบ’เลือกตั้ง’ ในกุมภาพันธ์ 2562 มีความ แจ่มชัด

กรอบ’เลือกตั้ง’ ในกุมภาพันธ์ 2562 มีความ แจ่มชัด


แม้ภายใต้ “ปฏิญญา ทำเนียบรัฐบาล” เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม จะยังไม่สามารถกำหนดวันและเวลาของการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน ตายตัว

แต่ “กรอบ” ก็เริ่ม “สัมผัส” ได้

เป็นการสัมผัสได้ในเบื้องต้นว่าในเดือนมิถุนายน 2561 จะสามารถกำหนดได้ว่าเป็นวันที่เท่าใดและเป็นความรับรู้ในเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2561

นั่นคือ ข้อกำหนดอันเป็นที่รับรู้กัน

กระนั้น ท่ามกลางการถกแถลงอภิปรายในประเด็นว่าด้วย “การเลือกตั้ง” ก็มีการเสนอปัญหาและอุปสรรคที่อาจจะเกิดตลอด 2 รายทาง

เนื่องแต่กระบวนการ “ผ่าน” กฎหมายลูก

ไม่ว่าจะเสนอขึ้นโดย สนช.ซึ่งใกล้ชิดกับฐานแห่งอำนาจ ไม่ว่าจะขานรับโดยสมาชิกคนสำคัญของ คสช.ทำให้เกิดสภาวะไม่แน่นอนขึ้น

เป็นความไม่แน่นอนว่าจะปี 2561 หรือจะปี 2562

ท่างกลางความสับสน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านการเลือกตั้ง ได้ออกมาวางกรอบกว้างๆ และสร้างความแจ่มชัดให้บังเกิด

เป็นการพูดจากมุมมอง “ส่วนตัว” แน่นอน

แต่ก็เป็นความเป็นส่วนตัวอันวางอยู่กับ 1 รัฐธรรมนูญ 1 กระบวนการทำงานของ สนช.และ 1 กระบวนการทำงานของ กกต.

ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการพูดโดยมี “พยาน”

พยานที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งเดินทางมาดูงานการเลือกตั้งของ กกต.ไทย

“การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นช่วงเดือนสิงหาคม 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562”

หากพูดตามภาษาแห่งการปรองดอง สมานฉันท์ บทสรุปนี้ของ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ดำเนินไปในท่วงทำนอง “พบกันครึ่งทาง”

เป็นไปอย่าง “ยืดหยุ่น” แต่ก็มีความตายตัว

ต้องยอมรับว่าบทสรุปของ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร มาจากหลักการของรัฐธรรมนูญที่กฎหมายลูกจะเรียบร้อยภายในกำหนด 240 วัน

และจะจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน

นั่นก็คือ หากมองอย่าง “เร่ง” การเลือกตั้งสามารถเกิดขึ้นได้ภายในเดือนสิงหาคม 2561 ขณะเดียวกัน

หากมองอย่าง “ถ่าง” การเลือกตั้งสามารถยืดไปได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

ไม่เร็ว และก็ไม่ช้าจนเกินไป

ที่เคยประเมินและคาดหมายกันว่าจะยังไม่มีการเลือกตั้งภายในปี 2561 จึงอาจจะถูกต้องตามความเป็นจริงภายในกระบวนการกฎหมายโดย สนช.

ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับ “สนช.” มากกว่า “กรธ.”

แนวโน้มและความเป็นไปได้ที่จะมีความเด่นชัดยิ่งขึ้นเป็นลำดับก็คือ การเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นในต้นปี 2562
เป็นไปตามคำทำนายของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ

คาดหมายกันว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ คงสามารถรับได้

ทำไมจึงคาดหมายว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ สามารถรับได้กับกำหนดเวลาของ “การเลือกตั้ง” ใหม่

เพราะพรรคการเมืองเหล่านี้ “คาด” อยู่แล้ว

ความจัดเจนทางการเมืองเตือนให้พรรคการเมืองเหล่านี้ตระหนักในลักษณะ “ยื้อ” ของเหล่า “นักเลือกตั้ง” อันเป็นฐานแห่งอำนาจของ คสช.

จึงอ่านแตก แทงทะลุ

ทนอีกนิดเดียว

ทนอีกนิดเดียว

พี่น้องประชาชน 17 จังหวัด ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ที่กำลังเผชิญน้ำท่วมระเบิด เถิดเทิง

ขอให้ท่านอดทนไปอีกไม่กี่วัน สถานการณ์น้ำท่วมจะเริ่มคลี่คลาย

“แม่ลูกจันทร์” ไม่ได้เดาส่งเดช แต่มีใบเสร็จยืนยัน 2 ใบ

1, กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่าวันนี้ (24 ต.ค.) ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ต้นฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ
เมื่อหน้าหนาวเข้าเวร หน้าฝนก็ออกเวร เป็นอย่างนี้ทุกปี
2, กรมชลประทาน ประกาศว่าฝนที่ตกหนักในภาคเหนือ และภาคอีสานจะเริ่มลดลง ส่งผลให้มวลน้ำก้อนใหญ่ที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะเริ่มทรงตัว

ซึ่งจะส่งผลดีต่อการระบายน้ำท่วมอย่างสำคัญ

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าวิบัติภัยน้ำท่วมปีนี้ได้ผ่านมาถึงโค้งสุดท้าย อย่างที่กรมอุตุนิยมฯ และกรมชลประทาน ประสานเสียงยืนยัน

หวังว่าพี่น้องประชาชน 17 จังหวัดที่ยังเผชิญปัญหาน้ำท่วมอีกกว่าหนึ่งแสนครัวเรือนจะได้พ้นทุกข์ซะที
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าแม้น้ำท่วมปีนี้จะสร้างภาระให้รัฐบาลต้องจ่ายงบเยียวยาผู้ประสบภัยอีกก้อนโต

แต่ผลพลอยได้จากฝนตกหนักปีนี้ทำให้มีปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนต่างๆเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ

จากที่เคยมีน้ำเหลือในเขื่อนเพียง 40 เปอร์เซ็นต์

ล่าสุด ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 82 เปอร์เซ็นต์

เท่ากับเรามีน้ำสำรองไว้ใช้ในหน้าแล้งปีหน้าเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าประเทศไทยกับน้ำท่วมซ้ำซากและภัยแล้งซ้ำซากเป็นของคู่กัน

ปีไหนฝนตกมากก็เดือดร้อน เพราะน้ำท่วมใหญ่

ปีใดฝนตกน้อยก็เดือดร้อนเพราะภัยแล้งลุกลาม

การแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและภัยแล้งซ้ำซากอย่างยั่งยืนจึงต้องลงทุนแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำครบ วงจร

ปัญหาคือ 3 ปีของรัฐบาล คสช. แผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำทั้งระบบครบวงจรยังไม่คลอดออกมาเป็นตัว

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งเร่งรัด พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯให้รีบทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำทั้งระบบให้เสร็จภายใน 1 เดือน

“แม่ลูกจันทร์” ไม่แน่ใจว่ากระทรวง เกษตรฯจะทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำครบวงจรเสนอรัฐบาลทันกำหนด เส้นตาย

ถ้าหากแผนใหญ่ทำเสร็จไม่ทัน

อย่างน้อยมีโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมสัก 1 โครงการก็ยังดี

เช่น โครงการลงทุนขุดคลองลัดน้ำบางบาล–บางไทร ระยะทาง 22 กม.

เพื่อเร่งระบายน้ำที่ติดขัดเป็นคอขวดเพิ่มอีก 1,200 เมตรต่อวินาที

หรือเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์

ช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมตั้งแต่นครสวรรค์ลงมาถึงอ่าวไทย

ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนที่ถูกน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี

แถมช่วยประหยัดงบที่รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยได้อีกก้อนโต

“แม่ลูกจันทร์” หวังว่าโครงการลงทุนขุดคลองลัดบางบาล–บางไทรจะเริ่มลงมือทำได้จริง

ก่อนการเลือกตั้งใหม่ปลายปีหน้า

หรือก่อนรัฐบาล คสช.จะอยู่ครบ 4 ปี

ถ้าออกตัวช้ากว่านี้...รัฐบาลบิ๊กตู่ เสียรังวัดแน่นอน.

"แม่ลูกจันทร์"

แฝงอยู่ในความเงียบ

แฝงอยู่ในความเงียบ

ขนลุก ตื้นตัน น้ำตารื้นไปตามๆกัน

กับภาพที่ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันหมายเลข 1 ขวัญใจชาวไทย ได้นั่งพับเพียบก้มลงกราบ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้องของคนดูทั่วสนาม ภายหลังเอาชนะคู่แข่ง คว้าแชมป์แบดมินตันรายการ “เดนิซา เดนมาร์ก โอเพ่น” ที่ประเทศเดนมาร์ก

พร้อมกับให้สัมภาษณ์ ขอมอบชัยชนะแด่พ่อหลวง รัชกาลที่ 9 แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด ตนก็จะนึกถึงท่านเสมอ ท่านทรงงานหนักเพื่อพวกเราชาวไทยทุกคน จนเป็นแรงบันดาลใจให้ตนกลับมาเป็นแชมป์ได้

นับเป็นช็อตสวยงามที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลก

สะท้อนถึงความจงรักภักดีของผู้ที่ได้ชื่อว่า “คนไทย” ที่มีต่อพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

ตามสถานการณ์เข้าสู่ห้วงสัปดาห์สุดท้ายในพระราชพิธีสำคัญของราชอาณาจักรไทย ทุกอย่างอยู่ในโหมดของการแสดงความอาลัยในจิตสำนึกเบื้องลึกของผู้คนทั้งประเทศ

ขณะที่สถานการณ์ฉุกเฉิน ภาวะน้ำท่วมในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ก็หนักเอาการ อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. สั่งการให้หน่วยงานราชการในพื้นที่แบ่งมอบภารกิจเตรียมงานพระราชพิธีและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยกำชับให้ทุ่มเทเพื่อความสมบูรณ์ของทั้ง 2 ภารกิจ

แต่ที่ปิดไม่มิด เรื่องใหญ่ที่แฝงอยู่ในคลื่นการเมืองที่สงบชั่วคราว

ตามกระแสข่าวฉาวๆร้อนๆกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการและ ผอ.ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เสนอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย จัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา จำนวน 849 เครื่อง สนนราคาเครื่องละ 6.75 แสนบาท งบประมาณ 573 ล้านบาท

ปัญหาคือมีการเปรียบเทียบเครื่องสเปกเดียวกันในราคาแค่ 6-7 หมื่นบาท

จนเป็นที่มาของคำว่า เครื่องตรวจจับความเร็ว “ฝังเพชร”

โดยรูปการณ์ที่ปฏิเสธกันยังไง กระแสก็ไหลไปถึงจุดที่มีการพูดกันถึงขั้น ถ้าไม่มีการทบทวนโครงการเครื่องตรวจจับความเร็ว อาจเป็นรัฐบาลเองที่จะพังพาบเร็วกว่าก็เป็นได้

โดยเฉพาะ “บิ๊กป๊อก” ที่ต้องเจอแรงกระแทกหนักๆ 2–3ช็อต เซแซดๆมาตั้งแต่ปมอนุมัติให้บริษัทในเครือกระทิงแดงเช่าพื้นที่ในป่าสาธารณะห้วยเม็ก ไหนจะประเด็นเรือเหาะของกองทัพบกที่จัดซื้อสมัย พล.อ.อนุพงษ์เป็น ผบ.ทบ. ต้องปลดประจำการทั้งๆที่ใช้ได้ไม่คุ้มงบประมาณ

ตามกระแสการเมืองถือว่าอาการ “เพียบหนัก” แล้ว

และที่ส่อแววน่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ไม่ใช่เรื่องของการจงใจทุจริต แต่ส่อขัดข้องทางเทคนิคกฎหมาย

โดยสถานการณ์ที่เชื่อว่า “นายกฯลุงตู่” และรัฐมนตรีที่ตกอยู่ในข่ายโดนร้องกำลังหวั่นใจ น่าจะกระทบกับการทำงานของรัฐบาลที่กำลังคืบหน้าได้เนื้อได้หนัง

ตามข่าววงในจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่กำลังเรียกคนที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงเงื่อนปมที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นขอให้ กกต.ตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรี 9 คน ที่อาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี เพราะถือหุ้นสัมปทานรัฐ

ประกอบด้วยนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวฯ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลฯ นายอุตตม สาวนายน
รมว.อุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ รวมถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ

โฟกัส “มืองาน” ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่

แน่นอนว่าด้านหนึ่งก็เป็นเหลี่ยมยุทธการเอาคืนเกม “เซ็ตซีโร่” กกต. ตามจังหวะต่อเนื่องให้รัฐบาล
สะเทือนเหมือนๆกัน แต่อีกมุมมันก็เป็นข้อกฎหมายที่ถูกล็อกพันธนาการไว้โดยรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”
กลายเป็นขุมข่ายรัฐบาล คสช.ที่เจอก่อนเลยกับกติกาในฝันที่โคตรยากในทางปฏิบัติจริง

ที่แน่ๆถ้าสุดท้ายหวยออกมารัฐมนตรีในข่ายโดนร้องต้องพ้นจากเก้าอี้เพราะกรณีหุ้นอีกลอตใหญ่
หลังเดือนตุลาคม สงสัย “ลุงตู่” จะยุ่งแน่.

ทีมข่าวการเมือง