PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

‘พลังมหาดูด’ ‘สายตรง…?’

แฉ ‘สายตรง…?’ ใช้ ‘พลังมหาดูด’ หนัก! ทุ่มเงิน-คดีบีบ-ขู่ไม่รับรองปลอดภัย!
“ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” อดีต ส.ส.มหาสารคม พรรคเพื่อไทย แฉ พลังดูดอดีต ส.ส.เพื่อไทยหนักมาก!! เผย ทั้งทุ่มเงิน – ยกคดีมาบีบ – ขู่ไม่รับรองความปลอดภัย
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีตส.ส.มหาสารคาม และแกนนำ ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าขณะนี้มีการดูด อดีตส.ส.ภาคอีสาน ของพรรคเพื่อให้ไปร่วมงานด้วยจริงตามที่มีข่าว จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีเพียง5เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมีปัจจัยอื่น ทั้งการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่เข้ามา ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาในหลายพื้นที่ นอกจากจ.อุบลราชธานี ยังมี จ.อื่นๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้แต่ละจังหวัดก็พยายามพูดคุยกันในพรรคเพื่อแก้ปัญหา ขณะเดียวกันเชื่อว่าพรรคคงไม่มีปัญหาการสรรหาหาบุคคลเพื่อส่งลงสมัครแทนคนที่ไปอยู่กับพรรคอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่ออดีตส.ส.ไม่อยู่กับพรรค ย่อมมีผลกระทบเพราะได้นำชื่อและคะแนนเสียงติดออกไปจากพรรคด้วย แต่ท้ายสุดแล้วไม่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหนกับใครเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งประชาชนจะตีแผ่ให้เห็นว่าจะเข้าข้างพรรคเพื่อไทยหรือจะเลือกอดีตส.ส.ที่ออกจากพรรค
“สาเหตุหลักที่อดีตส.ส.ไปอยู่กับพรรคอื่นที่มาทาบทาม เช่น พรรคพลังประชารัฐ มีทั้งจ่ายเงินให้มาก 10-15 เท่า และถูกกดดันหลายอย่าง โดยนำเรื่องคดีความมาบีบ รวมถึงการันตีว่าหากย้ายไปอยู่กับพรรคที่มาทาบทามจะทำอะไรก็ไม่ผิด ที่หนักกว่านั้นคือไม่รับรองความปลอดภัยหากยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ทำให้สถานการณ์ของพรรคในตอนนี้เริ่มมีเสียงแตกอยู่บ้าง โดยคนที่มาทาบทามมีจากหลายสายทั้งสายบ้านริมน้ำ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สายตรงทหารฯ” นายประยุทธ์ กล่าว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ผู้สื่อข่าวถามว่าถึงรายงานข่าวการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ที่มีชื่อของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายประยุทธ์ กล่าวว่า ประเด็นหัวหน้าพรรคไม่ใช่ปัญหาหลักของ อดีตส.ส.จะอยู่หรือไม่อยู่กับพรรค เพราะยังมีเวลา และตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะเปิดให้พรรคทำกิจกรรมทางการเมืองได้เมื่อไหร่ และไม่ว่าจะเสนอใครมาเป็นหัวหน้าพรรคต้องมาตามระบบโดยผ่านการยอมรับจากสมาชิกพรรคว่าจะโหวตให้ใคร อย่างไรก็ตามกระแสข่าวความไม่ลงตัวเรื่องของหัวหน้าพรรคนั้น เป็นการปล่อยข่าวของบางคนที่ต้องการออกจากพรรค โดยยกเรื่องความไม่ชัดเจนของผู้นำพรรคมาเป็นส่วนหนึ่งที่จะไป เรียกว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคา
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เดินสายไปพบ ส.ส. จังหวัดเลย ท่ามกลางกระแสการดูด อดีต ส.ส.เข้าพรรค “พลังประชารัฐ” ซึ่งหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อ่านข่าว : พลังมหาดูด!! ‘เพื่อไทยอีสาน’ เจอ ‘สุริยะ-สมศักดิ์’ ดูดซบ ‘พรรคหนุนบิ๊กตู่ฯ!’
ด้านนายไพจิต ศรีวรขาน อดีตส.ส.นครพนม กล่าวว่า การที่อดีตส.ส.มีความเห็นแตกต่างว่าจะอยู่กับพรรคเพื่อไทย หรือย้ายไปพรรคอื่น มีปัจจัยจากการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ที่อดีตส.ส.ในจังหวัดใหญ่ เช่น อุบลราชธานี อุดรธานี นครราชสีมา ได้รับผลกระทบ จึงต้องคิดหนักขึ้น ส่วนประเด็นเรื่องหัวหน้าพรรคนั้นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ สำหรับตนยืนยันที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทยแน่นอน

เตือนดูด ส.ส.อีสานแลกล้มคดีเชื่อได้ยาก ชี้เพื่อไทยมีอุดมการณ์ เชื่อปชช.ยังเลือก

เตือนดูด ส.ส.อีสานแลกล้มคดีเชื่อได้ยาก ชี้เพื่อไทยมีอุดมการณ์ เชื่อปชช.ยังเลือก
“วิโรจน์” เตือน อดีต ส.ส.ระวังต้มตุ๋นดูด! ระบุดีลล้มคดีแลกให้ย้ายซบเชื่อได้ยาก มั่นใจ ปชช.กาเลือก พท. ด้าน “ชัยเกษม” ชี้ พท.อยู่ได้เพราะความเป็น “เพื่อไทย” ย้ำพรรคมีอุดมการณ์ และปชช.ดูที่อุดมการณ์
เมื่อ 18 มิ.ย. 2561 พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) ในพื้นที่ภาคอีสานที่จำนวนมากตัดสินใจจะไปจากพรรค เนื่องจากมีการให้สัญญาจะช่วยเรื่องของคดีความต่างๆที่มีในอดีตว่า แค่มีสมาชิกมาบอก มาเล่าให้กันฟังว่า มีคนมาชักชวน โดยเฉพาะสมาชิกที่มีคดีความต่างๆ ทางเราก็ได้บอกเพียงแต่ว่า ขอให้สมาชิกฟังหูไว้หู เพราะที่บอกว่า จะช่วยทั้งคดีความที่อยู่ในศาล หรือคดีความที่อยู่ใน ป.ป.ช.นั้น แน่ใจหรือว่าจะช่วยได้
"ถ้ามีการดูด ส.ส.จริง เชื่อว่า ไม่เป็นปัญหา เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ของเรายังอยู่กันด้วยอุดมการณ์ แล้วประชาชนจะเลือกพรรคเพื่อไทย จึงคิดว่า ไม่น่าตกใจ”
พล.ต.ท.วิโรจน์ กล่าวว่า ส่วนเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่น่าจะเป็นปัญหา ช่วงนี้ใกล้ที่จะมีการเลือกตั้ง ก็มีคนที่พยายามที่จะกวนน้ำให้ขุ่นก็มี เราก็รู้ๆกันอยู่ และ ส.ส.ของเราทุกคนรู้ทันกันหมด โดยส่วนตัวก็ยังเชื่อว่า ไม่มีคนไป แต่บางคนที่มีคดีความก็อาจจะอดหวั่นไหวไม่ได้เท่านั้น
วันเดียวกัน นายชัยเกษม นิติสิริ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสดูด ส.ส.เกรดเอ และ ส.ส.ตัวหลักๆของพรรค พท. ว่า ยังไม่ได้คุยอะไรเรื่องนี้กับทางพรรคเลย ไม่รู้ว่าทางพรรคเขาคุยกันว่าอย่างไรด้วย แต่เท่าที่ทราบมาคือ มีข้อเสนอทั้งให้เงินเดือน และให้คำมั่นสัญญาในเรื่องต่างๆ
“แต่ผม ก็ยังไม่เชื่อว่าสมาชิกพรรค พท.จะไปมาก และถึงส.ส.เหล่านั้นไป ก็ไม่เชื่อว่าพรรคจะลำบาก เพราะพรรค พท.เองก็อยู่ได้ด้วยความเป็นพรรค พท. ไม่ได้อยู่ได้เพียงเพราะ ส.ส.เพียงอย่างเดียว เรามีอุดมการณ์ของเรา และวันนี้เชื่อว่าประชาชนเขาก็ดูที่อุดมการณ์ว่า ใครมีอุดมการณ์อย่างไรมากกว่า ไม่รู้สึกว่ากลัว หรือกังวลเลย เพราะประชาชนบอกใครจะไปก็ไปเลยแต่จะไม่เลือก”
PEACE NEWS

ฉีกได้ฉีกไป

ฉีกได้ ฉีกไป!! 
ยัน คนคิด ยุทธศาสตร์ชาติ20ปี แม้แก่แต่คิดแบบเด็ก 20

“บิ๊กป้อม” ยัน แม้คนแก่ คิดยุทธศาสตร์ แต่คิด เหมือนคนอายุ 20 ปี วางแผนมองข้างหน้า ลั่น คนแก่ แต่ไม่คิดถอยหลัง เผย คสช.เริ่มต้นให้ เพราะไม่เคยมีมาก่อน  ไม่สน ใครอยากจะฉีก ก็ฉีกไป ฉีกได้ ก็ฉีกไป!!

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีการต่อต้านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และระบุควรเป็นรัฐบาลใหม่ เป็นคนร่างยุทธศาสตร์ชาติว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมียุทธศาสตร์ อันนี้เรามาเริ่มต้นให้ ถ้าสมมุติอันไหน ทำไม่ได้รัฐบาลใหม่ก็ไปแก้ ซึ่ง 5 ปีก็แก้ได้ 

ส่วนที่ขู่จะฉีกยุทธศาสตร์ชาติและรัฐธรรมนูญนั้น พลเอกประวิตร  กล่าวว่า ใครอยากฉีก ก็ฉีก "ฉีกได้ ก็ฉีกไป"

ส่วนการที่ หลายฝ่ายวิจารณ์ว่ายุทธศาสตร์ชาติคนที่จะใช้คือคนอายุ 20-40 ปีแต่เอาคนมีอายุ มาร่าง พล.อ.ประวิตร กล่าวสวนทันทีว่า คนมีอายุก็คิดเหมือนคนอายุ 20 ปีเหมือนกัน ทำไมต้องมาว่าคนอายุ 60 ปีจะต้องคิดแบบคนอายุ 60 ปี เขาคิดแล้วว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ใครจะไปคิดถอยหลัง

เปิดโฉม ‘สามมิตร’ โรดโชว์ อีสานเด็ดปีก ‘พท.-ทักษิณ’

เปิดโฉม ‘สามมิตร’ โรดโชว์ อีสานเด็ดปีก ‘พท.-ทักษิณ’



เปิดหน้าเปิดตาชัดเจน “สามมิตร” 3 บิ๊กเนม เดินสายทาบทามอดีตรัฐมนตรี นักการเมือง ภาคอีสานร่วมหอลงโรงกับ พรรคเครือข่ายคสช.
“สามมิตร”ที่ว่า มาจาก 3 ส.
“ส.1” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนักการเมืองแจ้งเกิดในนามพรรคไทยรักไทย มีตำแหน่งถึงเลขาธิการพรรค
คนทั่วไปคุ้นเคยในฐานะนักธุรกิจ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ภายใต้ชื่อ “ซัมมิทโอโตซีทกรุ๊ป” และ
“ไทยซัมมิทโอโตพาร์ทกรุ๊ป”
และยังแตกไลน์ธุรกิจออกไปมีสินทรัพย์ร่วมหลายหมื่นล้าน
“สุริยะ” มีศักดิ์เป็น อาแท้ๆ ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ฉายา”ไพร่หมื่นล้าน” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ด้วย
“ส.2” สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา เคยสังกัดพรรคพรรคไทยรักไทย ขึ้นชั้นเป็นแกนนำ”กลุ่มวังน้ำยม” เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในพรรค นโยบายหาเสียงลือเลื่อง จำกันได้คือ “โคล้านตัว”
“ส.3” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในครม.บิ๊กตู่ สมัยรัฐบาลทักษิณ ถือเป็น”ขุนพลเศรษฐกิจ”เลยทีเดียว
ทั้ง”สามส.”ล้วนเป็นศิษย์เก่า อดีตคนเคยรักของ”ทักษิณ”ทั้งนั้น

ทีม”สามมิตร” ประเดิมเปิดตัว “ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข” -อดีตส.ส.ในก๊วน มี เปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ภรรยาปรีชา และ วันชัย บุษบา 2 อดีต ส.ส.เลย
งานนี้ “ส.สุริยะ” และ”ส.สมศักดิ์” แท็คทีมบุกไปถึง ภูเรือ จ.เลย เพื่อทาบทาม”ปรีชา”มาร่วมพรรคประชารัฐ เลยทีเดียว
จากนั้นตระเวนต่อไปหนองบัวลำภูโดยไปแวะกินกาแฟที่บ้าน”วิชัย สามิตร” อดีตส.ส.หนองบัวลำภู พท. ก่อนจะเดินทางไปขึ้นเครื่องกลับที่จังหวัดอุดรธานี
ท่ามกลางข่าวซุบซิบในบรรดาส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทยว่า การเดินสายล็อบบี้เพื่อดึงส.ส.เพื่อไทยเข้าพรรคเครือข่ายคสช.ได้”เปิดฉาก”แล้ว
จนมีเสียงอดีตส.ส.เพื่อไทยอีสานเล็ดลอดมาว่า “วันนี้ภาคอีสานเพื่อไทยโดนพลังดูดหนักมาก” ถึงขนาดรำพึงกันว่า จะเหลือถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่าไม่รู้ ??
มีการปล่อยข่าวถึงขนาดว่า โรดโชว์ของ บรรดา” 3 ส.”นั้น นอกจากมีการเสนอเรื่องตัวเลขที่น่าพอใจแล้ว ยังมีข้อเสนอช่วยเหลือเรื่องคดีความต่างๆ ด้วย
พร้อม”แคตตาล็อก”อดีตนักการเมืองแต่ละคน ที่จะลงไป”ดีล”มาร่วมงาน มีความสามารถอะไร ฐานะระดับไหน มีคดีความติดตัวหรือไม่
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยอมรับว่า บางคนที่มีคดีความก็อาจจะอดหวั่นไหวไม่ได้กับการทาบทามครั้งนี้
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุด ภายใต้ ยุทธการเตะตัดขา-เด็ดปีก“เพื่อไทย”

“ทักษิณ”ฆ่าไม่ตาย เฟ้นแม่ทัพสู้เลือกตั้ง ท้าดวลคสช. ล็อกเก้าอี้ส.ส.สร้างอำนาจต่อรอง

“ทักษิณ”ฆ่าไม่ตาย เฟ้นแม่ทัพสู้เลือกตั้ง ท้าดวลคสช. ล็อกเก้าอี้ส.ส.สร้างอำนาจต่อรอง


คนอื่นอาจคิดว่า พรรคเพื่อไทยเป็นเศษซาก สิ่งปรักหักพังทางการเมือง รอวันถูกรื้อถอนทำลาย
แต่สมาชิกเพื่อไทยมองตรงข้าง ไม่คิดอย่างนั้น

นี่มือพรรคการเมืองที่มีราคาค่างวดสูงสุดของเมืองไทย ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง ไม่ว่าใช้ชื่อใด ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย

ไม่ว่าถูกยุบทิ้งกี่ครั้ง ก็ฆ่าไม่ตาย

ชนะถล่มทลาย ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯอย่างที่ไม่เคยมีพรรคใดทำได้ ก็เคยทำมาแล้ว

พรรคเพื่อไทยครองใจประชาชน จากการขายนโยบาย และแปรนโยบายที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งมาเป็นรูปธรรมการปฎิบัติ

พูดแล้วทำได้จริง เร็ตติ้ง คะแนนนิยมจึงพุ่งกระฉูด

ถึงใครจะวิพากษ์วิจารณ์ มุ่งเน้นประชานิยม แต่นับแต่เพื่อไทยประสบความสำเร็จ พรรคการเมืองอื่นก็ก๊อบปี้ ลอกแบบพิมพ์เขียวเอาไปใช้มัดใจประชาชน

แม้แต่รัฐบาลคสช.ในปัจจุบัน ก็ใช้ประชานิยม ในแพกเกจจิ้งประชารัฐ

ความมีราคาค่างวดระดับแชมป์ผูกขาดชนะเลือกตั้งนี่เอง ทำให้การต่อสู่ แย่งชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค ร้อนแรง เข้มข้น

การเป็นหัวหน้าพรรคเบอร์1เมืองไทย มันเป็นสเตปแรกของการก้าวไปสู่ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ข่าวคราวการล็อบบี้ วิ่งเต้นเป็นแม่ทัพ ถือธงเข้าสู่สนามเลือกตั้งเวลานี้ ก็คือการกรุยทางไปสู่เป้าหมายทางการเมืองสูงสุดของนักการเมือง ในตำแหน่งนายกฯดีๆนั่นเอง

และแน่นอนว่า การวางตัวหัวหน้าพรรค บอสใหญ่ดูไบ-ทักษิณ ชินวัตร มีบทบาทสูงสุด เป็นคนตัดสินจิ้มใคร เลือกใครที่ถือว่าเป็นที่สุด

ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค ในฐานะมือวางยุทธศาสตร์ นโยบาย และตัวบุคคล ชูเป็นนายกรัฐมนตรี

เป็นผู้นำขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภาคปฎิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยมีเครื่องหมายแชมป์เลือกตั้งการันตีฝีมือสุดยอด

มองขาด ส่งใครลงก็ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง

นี่คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมต้องให้ทักษิณส่องกล้องเฟ้นเอง

อันที่จริงคู่แคนดิเดตที่เป็นข่าวหัวไม้ ทั้ง พิชัย นริพทะพันธุ์ และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หาใช่คนอื่นไกล เป็นอดีตรัฐมนตรี สายตรง “แม้ว” ทั้งคู่

และทั้งสองก็วิ่งเต้น ล็อบบี้ คนแดนไกล เข้า-ออกบ้านจันทร์ส่องหล้า-สำนักงาน”ชิน” เข้าหา พจมาน ดามาพงศ์ และโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร อยู่เป็นประจำระยะห่าง ใกล้-ไกลอาจไม่เท่ากัน

แต่ความสัมพันธ์ ก็ไม่ใช่เป็นปัจจัยเดียวของการตัดสินใจว่า จะเลือกใคร ยังมีข้อดี ข้อเสีย ตัวแปรอื่น เป็นองค์ประกอบ การพิจารณาเฟ้นหัวหน้าพรรค

แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ไม่ว่าเลือกใคร


ต้องได้ไฟเขียวจากทักษิณ โดยความเห็นพ้องของบ้านจันทร์ส่องหล้า หรืออาจสลับหน้า-หลัง บ้านจันทร์ส่องหล้าเห็นดีเห็นงาม โดยที่ทักษิณไม่คัดค้าน

สรุปแล้ว ออร์แกไนซ์ใหญ่รวมศูนย์การตัดสินใจ อยู่ที่ชินวัตรแฟร์มิลี่ที่เดียว

ทำไมต้องเป็นทักษิณ-และครอบครัว?


เพราะพรรคเพื่อไทย อนาคตเพื่อไทย จะเรียกอย่างถึงที่สุดว่า เป็นเครื่องชี้เป็นชี้ตายของทักษิณ และวงศ์วานว่านเครือก็ว่าได้

คนที่เป็นส.ส. อดีตผู้แทน แกนนำอื่นๆ อาจย้ายค่าย ย้ายพรรค เลิกเล่น ยุติบทบาททางการเมืองอย่างไรก็ได้ เพื่อแก้ปัญหาจากการเล่นการเมือง คดีการเมืองที่ผ่านมา

แต่ทักษิณย้ายไม่ได้ เลิกก็ไม่ได้

เลิกไปก็ไม่จบ

นี่เป็นเหตุผลที่ต้องเล่นต่อ หากไม่เล่น คนอย่างทักษิณย่อมรู้ดีว่าจะโดนรุกไล่ขนาดไหน ถูกทุบทำลายให้ราบเป็นหน้ากลองไม่หยุดอยู่แค่นี้ขนาดไหน

เพราะได้เห็นมาแล้ว ตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จวบจนเพื่อไทยในปัจจุบัน ว่าอะไรเป็นอะไร

ทักษิณจึงวางมือไม่ได้

ปล่อยมือให้สมาชิกเพื่อไทยว่ากันเอง ก็ไม่ได้

จำเป็นอย่างมากที่ต้องเข้ามาบริหารจัดการด้วยตัวเองทั้งหมด เนื่องจากหมายถึงอนาคต และทุกสิ่งทุกอย่าง

ยิ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก็ต้องยิ่งต้องเฟ้น ต้องละเอียด พลาดไม่ได้

ศึกครั้งนี้มันใหญ่หลวงนัก


การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเดียวที่เหลืออยู่ของทักษิณในขณะนี้ ที่จะใช้สร้างอำนาจการต่อรอง เพื่อไม่ให้ถูกทุบทำลาย ไม่เหลือที่อยู่ที่ยืนอีกต่อไป

ทักษิณจึงจำเป็นต้องเข้ามากำกับ ควบคุมเองทั้งหมด เดิมพันมันสูง

เลือกตั้งเป็นเครื่องมือเดียวที่เหลืออยู่ที่ทักษิณสู้ได้

อีกทั้งยังเป็นเกมที่เขาถนัดที่สุด ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง

ไม่แปลกที่ทักษิณไม่วางมือ เพราะเลิกเล่น ยุติบทบาทโดยสิ้นเชิงก็ไม่จบ

แต่สู้ต่อยังพอมีทางรอด

จำนวนที่นั่งส.ส.เพื่อไทยมีความหมาย มีความจำสัญต่อทักษิณอย่างมาก ยิ่งได้มากเท่าใด อำนาจต่อรองก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

ทักษณิณจึงต้องเข้ามาคุมเกมเลือกหัวหน้าพรรค จัดการทุกอย่างด้วยมือตัวเอง

เพราะอนาคตทักษิณ ฝากไว้กับจำนวนที่นั่งส.ส.พรรคเพื่อไทย

มีชัย ชี้ นักกม.ต้องใจกว้าง-เป็นธรรม แซะ “พวกหัวใหม่” จ้องเลิกรธน.ทั้งฉบับ

มีชัย ชี้ นักกม.ต้องใจกว้าง-เป็นธรรม แซะ “พวกหัวใหม่” จ้องเลิกรธน.ทั้งฉบับ


“มีชัย” แซะ “พวกหัวใหม่” จ้องยกเลิกทั้งฉบับ ป้องรธน.บอกกรอบการออกกม.ดี ปูดบริษัท “กิโยติน” รื้อกฎหมายเข้าไทย เชื่อ ล้มละลายแน่
เมื่อ ‪13.30 น.‬ วันที่ 18 มิถุนายน ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ทิศทางการศึกษานิติศาสตร์ในอนาคตนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน” ว่า ปัญหารากหญ้า ปัญหาการเมือง จนถึงผู้บริหารสูงสุด เกิดจากกการขาดวินัยของคน สิ่งแรกจึงต้องปฏิรูปการศึกษา ให้เป็นคนดีมีวินัยแล้วเลือกเรียนตามถนัด ถัดมาคือปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ตอนนี้มีกฎหมายกว่าพันฉบับ มีเพียง 50-100 ฉบับที่ใช้ลงโทษ ที่เหลือไม่ได้ใช้ เพราะ1. ฝืนธรรมชาติมนุษย์ 2.กำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ 3.กฎหมายไม่สมเหตุสมผล การร่างรัฐธรรมนูญคราวนี้จึงวางกรอบการออกกฎหมายมากกว่าขึ้นกว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านมา จึงหวังว่า ใครที่หัวใหม่หวังจะยกเลิกรัฐธรรมนูญ ก็ควรคงตรงนี้ไว้ ในการร่างรัฐธรรมนูญ ระแวดระวังกฎหมายเป็นอย่างยิ่ง มีมาตรา 77 กำหนดให้ต้องรับฟังความเห็น เมื่อกฎหมายออกแล้วก็มีตัวชี้วัด

นายมีชัย กล่าวว่า ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทย ต่างประเทศก็คิด ว่า กฎหมายมันเยอะมากแล้ว โดยมีคนคิดทำลายระบบกฎหมาย มีบริษัทกิโยติน เขาทำมาหลายประเทศแล้ว ได้ยินว่า กำลังเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งตนเชื่อว่า ครั้งนี้เขาทำไม่ได้ คิดว่าจะล้มละลายคราวนี้ เพราะยังไม่รู้กฎหมายมีกี่ฉบับ แต่ในวันหนึ่งข้างหน้าภายใน 3 ปี จะรู้ว่ากฎหมายมีกี่ฉบับ เพราะจะมีระบบกลางรวบรวมข้อมูลอยู่ นอกจากนี้ ก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่า ผลิตนักกฎหมายไปทำอะไร ตนมองว่า สิ่งที่ต้องมีคือ นักกฎหมายที่มีนิติทรรศนะ คือ 1.จิตใจเป็นธรรม ซื่อตรงวิชาชีพ 2.รอบรู้และรู้รอบ เพราะมุมมองแต่ละวิชาชีพมีความคิดอ่านต่างกัน 3.เปิดใจกว้างรับความเห็นต่าง คนที่เป็นนักกฎหมายต้องเปิดใจกว้างให้ได้ ถ้าไม่เปิดคุณจะไม่เรียนรู้อะไรใหม่ได้เลย กฎหมายไม่ใช่ตัวเลขที่มีสูตรตายตัว การปฏิบัติจะหยุดเมื่อคำวินิจฉัยถึงที่สุด แต่ในทางวิชาการจะยังไม่หยุด ยังหาเหตุผลกันอยู่ แต่อย่าชี้หน้าด่าเขา เพราะแสดงว่า ใจไม่กว้าง 4.ต้องไม่ติดยึดทฤษฎี จนก้าวไม่ทันวิวัฒนาการ โดยเฉพาะทางไอทีที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเราต้องออกนอกกรอบให้ได้

เพื่อไทยโวยโดนรุกหนัก แฉจ้องดูดอดีตสส.อีสานเกรดเอ

เพื่อไทยโวยโดนรุกหนัก แฉจ้องดูดอดีตสส.อีสานเกรดเอ


แหล่งข่าวอดีต ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสการดึงตัวอดีต ส.ส.ภาคอีสาน พท.ไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐว่า เรื่องนี้เป็นความจริงและทำกันมานานตั้งแต่หลังการจดแจ้งพรรคพลังประชารัฐ โดยอาศัยบุคลากร 2 ส่วนคือ 1.เจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง 2.บุคลากรที่เคยอยู่ พท.หรืออดีตพรรคไทยรักไทย (ทรท.) พรรคพลังประชาชน (พปช.) แยกออกเป็นสายริมน้ำ สายนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สายนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รุมเร้าด้วยปัจจัยที่พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อมมากกว่า 10-15 เท่า รวมถึงอ้างเรื่องการใช้อำนาจเพื่อช่วยเหลือเรื่องคดีความ ไม่ใช่แค่คดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย โดยมุ่งดึงอดีต ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น ส.ส.แบบเขตเกรดเอหรือแถวหนึ่ง ไม่เว้นใครแม้แต่คนเดียว แม้แต่ตนเองก็เคยถูกทาบทาม ส่วน ส.ส.แถวสองแถวสามจะไม่ค่อยได้รับความสนใจ มีนายทหารระดับสูงคนหนึ่งที่คลุกคลีในภาคอีสานไปพูดคุยทำให้บางคนที่ไม่หนักแน่นพอต้องตัดสินใจออกจากพรรคไปด้วยความจำเป็น

แหล่งข่าวจากอดีต ส.ส.ภาคอีสาน พท.เปิดเผยว่า การเดินสายล็อบบี้เพื่อดึงอดีต ส.ส.ภาคอีสานของ พท.คือคนในรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังของพรรคพลังประชารัฐ โดยในสัปดาห์หน้ามีการนัดหมายว่าจะลุยภาคอีสาน พบปะผู้คน คาดว่าวันพุธที่ 20 มิถุนายน

“พรรคพลังประชารัฐมาแรงกว่าทุกพรรค อดีต ส.ส.พท.คนใดที่มีคดีในภาคอีสาน ตอนนี้ไปหมดแล้ว เขามีรายละเอียดชัดเจนว่าใครมีความสามารถอะไร มีฐานะอย่างไร มีคดีความอะไร เขาทำมานาน ตลอดชีวิตทางการเมืองหลายสิบปี ไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้มาก่อน เช่น บอกว่าอาจจะไม่ปลอดภัย อาจโดนใบเหลืองใบแดง เชื่อว่าหลายคนที่ออกไปจะสอบตก ยิ่งมาขายตัวเปลี่ยนพรรคแบบหวือหวาอย่างนี้ เปรียบเหมือนบ้านแม้จะถูกไฟไหม้ น้ำใจที่จะนำขันตักน้ำสักขันไปสาดเพื่อดับไฟนั้นจำเป็น แต่บ้านเรายังอยู่เงียบๆ แล้วคุณกระโดดหนี ก็เจอกันในสนามเลือกตั้งแน่” แหล่งข่าวจากอดีต ส.ส.อีสาน พท.ระบุ

ฐานเพื่อไทย“เลย”ถูกเจาะแตก จ่อดูดหนองบัวฯ-อุดรคิวถัดไป

เพื่อไทยอีสานระส่ำ คสช.เจาะฐาน จ.เลย แตกกระจุย ระบุ“สุริยะ-สมศักดิ์” นำดูดมาร่วม “พลังประชารัฐ” เรียบร้อย เป้าหมายต่อไปดูดหนองบัวลำภู-อุดร

เมื่อ 18 มิ.ย. 2561 “มติชนออนไลน์”รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ว่า ขณะนี้อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่โดนพลังดูด และคิดว่าจะไปแน่นอน คือ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข อดีต ส.ส.เลย และนายวันชัย บุษบา อดีต ส.ส.เลย โดยการเดินสายดูดนั้น นำทีมโดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยม ซึ่งเมื่อวาน (17 มิ.ย.) แม่ทัพภาค 2 ลงพื้นที่พร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งด้วย

อย่างไรก็ตาม มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ กลุ่มนายสุริยะและนายสมศักดิ์จะไปปักหลักกันที่รีสอร์ตของนายปรีชาก่อน จากนั้นจึงจะเดินทางไปหนองบัวลำภูโดยไปแวะกินกาแฟที่บ้านนายวิชัย สามิตร ก่อนจะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินกลับที่จังหวัดอุดรธานี

“วันนี้พื้นที่ภาคอีสานโดนพลังดูดอย่างหนัก ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเหลือถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเท่าที่รู้ก็คือจะไปกันเยอะมาก แม้จะพยายามกอบกู้กันก็ทำได้ลำบากแล้ว” แหล่งข่าวมติชนออนไลน์ระบุ

นอกจากนี้ มติชนออนไลน์ ได้รายงานว่า ปัจจุบัน พท.ยังประสบปัญหาผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากยังหาตัวผู้ที่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งไม่ได้ ล่าสุดมีการโพสต์ข้อความในสังคมออนไลน์ระบุว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากที่ผ่านมา นายพิชัยมีบทบาทสูงในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. และรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีกระแสข่าวดังกล่าว ผู้ใหญ่ในพรรค พท. ประเมินว่า เรื่องนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์จากบุคคลภายนอกเพื่อสร้างผลกระทบผลทางลบให้กับพรรค พท.

อีกทั้ง ยังมีกระแสว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้รับการสนับสนุนจาก คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ภรรยานายทักษิณ ชินวัตร ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ทำให้เพิ่มความเป็นไปได้มากขึ้น

ในขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่า แกนนำพรรคจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย ที่คุณหญิงสุดารัตน์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จนมีข่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์ อาจลาออกไปตั้งพรรคใหม่ แต่แกนนำพรรคเชื่อว่า คุณหญิงสุดารัตน์ ต้องการอยู่ในพรรค พท.ต่อไปมากกว่า

PEACE NEWS

‘ปรีชา-เปล่งมณี-วันชัย’ รอรับ ‘กลุ่มสามมิตร’ เทียบ ‘สุริยะ’ นั่งหัวหน้า เตรียมเดินสาย

‘ปรีชา-เปล่งมณี-วันชัย’ รอรับ ‘กลุ่มสามมิตร’ เทียบ ‘สุริยะ’ นั่งหัวหน้า เตรียมเดินสาย


เมื่อเวลา 11.35 น. วันที่ 18 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ท่าอากาศยานเลย อ.เมืองเลย จ.เลย นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส.ส.พรรคเพื่อไทย นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข อดีต ส.ส.เลย และนายวันชัย บุษบา อดีต ส.ส.เลย ได้เดินทางมาต้อนรับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายภิรมย์ พลวิเศษ แกนนำกลุ่มสามมิตร พร้อมกับพบแกนนำอดีต ส.ส.ในภาคอีสาน และร่วมประชุมขับเคลื่อนสร้างนโยบาย เพื่อต่อรองซบพรรคพลังประชารัฐ
นายปรีชาเปิดเผยว่า จากความเคลื่อนไหวของการเมืองไทยในขณะนี้ จากที่ได้อยู่ในพื้นที่และอยู่ในวงการเมืองมานานพอสมควร เห็นว่าการปฏิรูปการเมืองเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ เรามาคิดดูว่า อดีต ส.ส.ที่เข้าใจกันและกัน เช่น คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งเราเคยอยู่พรรคกิจสังคมกันมาก่อนและคบกันมา และก็ย้ายมาอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน ได้มองร่วมกันว่า เราน่าจะมาระดมสมอง เพื่อนำนโยบายความคิดของพวกเรามาเป็นนโยบายสานต่อการพัฒนาประเทศ
“ขณะนี้ทางกลุ่มเราเรียกว่า กลุ่มสามมิตร เราเองยังไม่ได้ตัดสินใจย้ายพรรค เพียงแต่ระดมกำลังตั้งเป็นกลุ่มโดยให้คุณสุริยะเป็นหัวหน้ากลุ่ม คุณสมศักดิ์ และผมจะร่วมเดินสายไปจังหวัดต่างๆ เพื่อดูว่าจังหวัดไหนมีอดีต ส.ส.พรรคใดที่มีความสนใจจะมาร่วมกลุ่มเราก็ยินดี เมื่อเรารวมกลุ่มเสร็จเราก็มองว่า นโยบายพรรคไหนที่จะขับเคลื่อนตามแนวความคิดของพวกเราออกมาเป็นนโยบายที่ดีต่อพี่น้องประชาชน ทางกลุ่มก็พร้อมที่จะสนับสนุนพรรค ในการนำนโยบายนั้นร่วมขับเคลื่อนเป็นนโยบายของพรรคต่อไป
“ขณะนี้เรารวมกลุ่มกันได้เสร็จแล้ว เรามามองอีกว่า ทางกลุ่มสามมิตรจะขับเคลื่อนทิศทางไปยังไง และจะย้ายไปอยู่พรรคไหน แต่วันนี้ยังไม่ตัดสินใจ และยังคงเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ แต่อนาคตยังไม่แน่ เพราะต้องเดินทางถามสมาชิกที่เคยร่วมเดินทางกันมาว่าจะรวมกันและยังมีอุดมการณ์เดียวกันอยู่ไหม ถ้ามีอุดมการณ์เดียวกันก็จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว และพร้อมขับเคลื่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าต่อไป แต่ในขณะนี้โดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสานหลายคนที่สนใจร่วมกับกลุ่มของเรามากพอสมควร” นายปรีชากล่าว
ด้านนายภิรมย์กล่าวว่า วันนี้คุณสุริยะ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มสามมิตร ได้แลกเปลี่ยนกับกลุ่มเราว่า เราจะออกพื้นที่ในต่างจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดที่มีนักการเมืองหลัก มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน มาร่วมนโยบายสร้างเป็นนโยบายเดียวกัน และให้แนวคิดตกผลึกเพื่อใช้กับการเลือกตั้งครั้งหน้า และขับเคลื่อนให้เป็นรัฐบาล เพื่อจะนำแนวคิดเข้าพรรคการเมือง หรือจะเป็นพรรคพลังประชารัฐที่จะยอมรับปากว่าจะทำตามแนวคิดของพวกเรา ซึ่งคุณปรีชาก็เป็นแกนนำคนหนึ่งของกลุ่มสามมิตรที่พร้อมจะขับเคลื่อนไปพร้อมกัน และตามแนวความคิดของคุณสุริยะ หัวหน้ากลุ่ม โดยคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้วิเคราะห์แล้วว่า รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องของโครงสร้างใหญ่น่าจะจบ แต่คงจะเหลือแต่โครงสร้างของพื้นฐานกับนโยบายที่จะเข้าถึงรากหญ้า ซึ่งนโยบายรัฐบาลนี้เริ่มออกมาให้เห็นแล้ว โดยออกมาจากคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แต่ยังไม่เพียงพอ

“เรากลุ่มสามมิตร ต้องออกมาขับเคลื่อนรับทราบปัญหาของต่างจังหวัด เราต้องการคนในพื้นที่ช่วยเสนอและสร้างเป็นนโยบายผ่านกลุ่มสามมิตร เพื่อจะนำไปแปลงเป็นนโยบายที่เราจะเข้าพรรคต่อไป ขณะเดียวกัน กลุ่มสามมิตรเองก็ถือว่ายังคงไม่ชัดเจน เพราะพรรคที่เราเตรียมตั้งใจไว้ยังไม่เสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครเป็นหัวหน้าพรรค เลขาพรรคก็ยังไม่รู้ แต่ความตั้งใจของคุณสุริยะคือ ทำยังไงให้ประเทศมีแต่ความสงบ แต่ทางสมาชิกกลุ่มที่เช็กดูอดีต ส.ส.ปัจจุบันทั้งประเทศ โดยเฉพาะภาคอีสานมีแต่ไหลขึ้น เพิ่มจำนวนมากพอสมควร ยิ่งมีคุณปรีชาเข้าร่วมกลุ่ม สมาชิกสายอีสานคงเพิ่มมากขึ้น” นายภิรมย์กล่าว

ขายฝัน 20 ปี

ขายฝัน 20 ปี



แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของ คสช. ที่โฆษณาว่าเป็นคัมภีร์วิเศษที่จะอัปเกรดประเทศไทยให้ผงาดขึ้นไปยืนบนแถวหน้าของโลก
เป็นเข็มทิศนำทาง ประเทศไทยให้ก้าวกระโดดไปสู่ความ “มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืน”
รัฐธรรมนูญฉบับ คสช.เขียนบังคับรัฐบาลทุกรัฐบาลจากนี้ไปต้องเดินตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยไม่หือไม่อือ
รัฐบาลใดบังอาจไม่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ถือเป็นความผิดร้ายแรง ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งยกพวง!!
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสนอแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งสิ้น 71 หน้า ต่อที่ประชุมสภา สนช. เพื่อให้ลงมติเห็นชอบประกาศใช้โดยเร็ว
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายเนติบริกร เป็นตัวแทนรัฐบาลบรรยายสรรพคุณว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศแผนยุทธศาสตร์ชาติล่วงหน้ายาวทะลุมิติไปอีก 20 ปี
ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่องระยะยาว
อีก 20 ปีจากนี้ไป เมืองไทยจะไปไกลจนเพื่อนไล่ตามไม่ทัน
โอย...ฟังแล้วปลื้มหัวใจคับซี่โครง
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าตามหลักการ เมื่อรัฐบาลเสนอเรื่องสำคัญให้สภานิติบัญญัติพิจารณา บรรดา สนช.ลากตั้งจะลงมติเห็นชอบตามใบสั่งอย่างพร้อมเพรียง
แต่ครั้งนี้...เกิดพลิกล็อกอย่างแรง
มี สนช.ลากตั้งจำนวนมาก อภิปรายท้วงติงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่าไม่มีรายละเอียดชัดเจน ไม่มีแผนดำเนินการเป็นรูปธรรม ไม่มีไทม์ไลน์กำหนดขั้นตอน ไม่มีหลักเกณฑ์วัดผลเป็นมาตรฐานสากล
และประเด็นสำคัญๆอีกมากมายไม่ได้บรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี
ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุม สนช.จึงยังไม่ลงมติเห็นชอบตามที่คุณขอมา ขอตั้งคณะกรรมาธิการศึกษารายละเอียดให้รอบคอบก่อน แล้วค่อยนำกลับมาพิจารณาใหม่ในเดือนหน้าอีกที
งานนี้ รองนายกฯ ดร.วิษณุ เสียหน้าไป 20 กิโล
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ขนาด สนช.ลากตั้ง ซึ่งเป็นเด็กในคาถา 100 เปอร์เซ็นต์ ยังส่ายหน้าเป็นพัดลม
แสดงว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติของ คสช.ที่จะเป็นกฎเหล็กบังคับให้ทุกรัฐบาลต้องปฏิบัติตามยาวไปอีก 20 ปี ยังมีจุดอ่อนและข้อบกพร่องต้องแก้ไขปรับปรุงอีกมากมาย
“แม่ลูกจันทร์” มองว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของ คสช.มีลักษณะแบนๆ ยาวๆ ไม่มีแนวลึก ไม่มีแนวคม
เขียนเป็นแบบนามธรรม ไม่ใช่เป็นรูปธรรม
ปัญหาคือ โลกยุคนี้เปลี่ยนแปลงพลิกผันตลอดเวลา การวางแผนยุทธศาสตร์ชาติล่วงหน้า 20 ปี ไม่สามารถไล่ตามความเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีโลกอนาคตได้ทัน
เป้าหมายที่ตั้งไว้ปีนี้อีก 20 ปีข้างหน้าจะไม่เหมือนเดิม
เช่น...อีก 20 ปี ดัชนีความสุขของคนไทยจะอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก
อีก 20 ปี อันดับความสามารถการแข่งขันของไทยจะติดในอันดับ 1 ใน 20 ของโลก
อีก 20 ปี รายได้เฉลี่ยคนไทยจะสูงกว่า 15,000 ดอลลาร์ หรือ 450,000 บาทต่อปี
อีก 20 ปี ช่องว่างระหว่างคนจนที่สุดกับคนรวยที่สุดของไทยจะไม่เกิน 15 เท่าตัว ฯลฯ
“แม่ลูกจันทร์” ไม่อยากขัดคอ แต่ไม่เชื่อว่าจะทำได้จริง.
“แม่ลูกจันทร์”

ส่งสัญญาณตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล ปักธงทำเพื่อประชาชน

ส่งสัญญาณตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล ปักธงทำเพื่อประชาชน



สัญญาณการเลือกตั้งตามโรดแม็ปยังไม่ชัดเจน “ทีมข่าวการเมือง” ถือโอกาสเปิดสัมภาษณ์บุคคลที่ถนัดงานด้านความมั่นคง ถึงทิศทางการเมืองจะเกิดอะไรขึ้น หลัง คสช.คลายล็อกให้พรรคการเมือง
นับจากบรรทัดนี้ไปก็พอมองเห็นเค้าลางแห่งอนาคตอีกทางเลือกหนึ่งของประเทศ ซึ่งจะเป็นไปได้แค่ไหน “ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” ฉายาของ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แย้มพรายในใจ
โดยแต่ละครั้งที่ให้สัมภาษณ์จะตอกย้ำให้ผู้มีอำนาจรัฐมุ่งหน้าทำให้ประชาชนมีความสุข กินอิ่มนอนอุ่น ไม่ว่าจะปกครองภายใต้เผด็จการ ประชาธิปไตย ล้วนเป็นการปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน นั่นคือหัวใจ
เพื่อทำให้ประชาชนเข้มแข็งและมีบทบาท ในที่สุดจะเกิดการปกครองโดยประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน มีอำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ อำนาจทั้งสามเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจผ่านคณะรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ
ขอให้เรารู้จักอ่านปัญหาให้ออก เข้าใจปัญหา แสวงหาหนทางร่วมในการดำเนินงาน สร้างการเมืองให้เข้มแข็ง หากไม่ร่วมมือกัน แล้วย้อนกลับสู่ความขัดแย้งรูปแบบใหม่ จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองอีกรอบ
มันต้องสร้างการเมืองเข้มแข็ง รวมตัวกัน เราต้องเชื่อในพระบารมี พระองค์ท่านประสบการณ์สูง
ขอให้เรามาช่วยกัน คสช.มีอำนาจ คสช.ทำได้ มาร่วมสร้างปรองดอง ต้องสร้างสันติภาพก่อน
เราหวังในพระบารมีของพระองค์ท่าน ไม่ใช่ไปโยนภาระแก่พระองค์ท่าน พวกเราต้องทำถวาย
โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2561 ทีมข่าวการเมือง ถามในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ มีการเตรียมตั้งพรรคทหารต่อสู้กับสองพรรคการเมืองใหญ่ ท่ามกลางมีกระแสการตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นวิกฤติขัดแย้งจะกลับมาเหมือนเดิม พล.อ.ชวลิต บอกว่า สรุปแล้วต้องการให้เกิดความสมานฉันท์
นักการเมืองหรือใครขอให้เข้าใจว่า ถ้าไม่เกิด ความสมานฉันท์ ไม่มีสันติภาพก่อนก็ไม่มีการพัฒนา
สันติภาพต้องมาก่อนถึงมีการพัฒนา สมัยก่อนเรารบกันยิ่งกว่านี้ ยังสามารถสร้างสันติภาพได้
“ขออย่าหาเรื่อง ขอให้หัวใจแก่กัน คุณจะเป็นพรรคโน้นพรรคนี้หันหน้ามาจับมือร่วมกัน
คุณอยู่ตรงนี้เลือกตัวแทนเข้ามาร่วมกัน เพื่อจัดรูปแบบบริหารประเทศ ทดสอบสักปีสองปี
และ คสช.ต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสู่ความปรองดอง
ถ้าแก้ไขปัญหาไม่ได้จะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ อันนี้น่ากลัว ขอให้ช่วยกัน อดทนหน่อย
ผู้ปกครองจะต้องรู้ว่าประชาชนคิดอย่างไร ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มีเยอะ
ปล่อยให้เขาพูดเสนอแนะถึงทางออกจากปัญหานี้”
ครั้งนี้ พล.อ.ชวลิต บอกเห็นใจชาวบ้านที่ไม่มีจะกิน แต่ยังออกข่าวทุกวันว่าเศรษฐกิจดีแล้ว แม้รัฐบาลพยายามลงไปพบชาวบ้าน การปกครองไม่ว่าอยู่ในรูปแบบไหน ขอย้ำว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของหัวใจการปกครองมีอยู่คำเดียว คือ “เพื่อประชาชน”
ถ้าเราเริ่มทำเพื่อประชาชนก็ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องอื่น จะเป็นรัฐบาลทหารหรือรัฐบาลในรูปแบบไหนขอให้ทำจริงๆ ไม่ใช่กินมั่งทำมั่ง ที่บอกว่าเป็นนักประชาธิปไตยก็ไม่คิดว่าจะต้องเลือกตั้งอย่างเดียว ระบอบคอมมิวนิสต์ก็มีการเลือกตั้ง
เมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี มีการศึกษา ความคิดดีขึ้นก็ค่อยๆเข้าสู่การปกครองโดยประชาชนอย่างอัตโนมัติ
ขณะนี้ก็กำลังถอยมาในระดับหนึ่งชาวบ้านจะเลือกตั้ง หลังจากเลือกตั้งทุกพรรคมาร่วมกันตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือ National Government เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันและเกิดความสามัคคี
ไม่ใช่รวมกันตั้งรัฐบาลเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ ในที่สุดจะล้มเหลวและถูกยึดอำนาจ
เมื่อระดับหัวรวมกันโดยมีเป้าหมายเพื่อประชาชน ความขัดแย้งระหว่างเสื้อสีจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกคนที่ถูกมองเป็นคู่ขัดแย้ง ควรวางตัวอย่างไรถึงจะกลับประเทศไทย พล.อ.ชวลิต บอกว่า ควรวางแนวทางไว้ตั้งนานแล้วว่าอยากจะกลับประเทศไทยหรือไม่
นอกจากไม่อยากกลับแล้วทำเป็นอยากกลับหากต้องการกลับ สมมติเมื่อเดินทางไปประเทศไหน ขอให้นึกถึงประเทศไทย โดยขอเสนอให้ทำหน้าที่เจรจากับประเทศนั้นรับซื้อสินค้าเกษตรไทยด้วย ทำแบบนี้ทำไมถึง จะไม่ได้กลับ
ทีมข่าวการเมือง ถาม ว่าแนวทางการ แก้ปัญหาทุกฝ่ายควรเสีย สละเพื่อประเทศ พล.อ.ชวลิต บอกว่า วันนี้มีวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ที่ผ่านมาเขาบอกไม่กลัวฟ้า อาจจะไม่ได้หมายถึงอะไร
แต่อำนาจที่เขาใช้ล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพราะไปเขียนไว้เองในรัฐธรรมนูญทั้ง 20 ฉบับ มาตรา 1 กำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียว จะแบ่งแยกไม่ได้ มาตรา 2 ประเทศไทยปกครองโดยใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตรงนี้ทำให้ล้มล้างรัฐธรรมนูญได้
หากเขียนว่าประเทศไทยปกครองโดยใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข “แห่งรัฐ” แบบนี้ใครจะล้มล้างรัฐธรรมนูญได้ เมื่อเขียนรัฐธรรมนูญผิดจึงถูกฉีกมาตลอด ที่ผ่านมาทหารเขียนมาตลอดใช่หรือไม่
ในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีโอกาสล้มเหลวอีกเพราะมี 3 ขั้วอำนาจ พล.อ.ชวลิต บอกว่า ล้มเหลว เพราะมันมีอยู่ขั้วเดียว โดย คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) จะกลับมาอีก เพราะอีก 2 ขั้ว (พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาธิปัตย์) ไม่เห็นจะรวมกันได้เสียที 85 ปีก็ยังงอนกันอยู่ ไม่เคยคิดจะรวมกัน
วันนี้มีหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นเสนอให้เปลี่ยนตัวนายกฯ หรือเปลี่ยนรัฐมนตรีที่เป็นนายทหารออกไป เพื่อให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศแก้ปัญหาบ้านเมือง พล.อ.ชวลิต บอกว่า รัชกาลที่ 9 รับสั่งไว้แล้วว่าทหารอย่ามายุ่งเรื่องการเมือง ทหารมีหน้าที่ปกป้องชาติในยามที่มีอริราชศัตรูทั้งในและนอก
ภารกิจรองช่วยเหลือประชาชนที่ยากลำบาก ผมเดินตามแนวที่รับสั่งไว้ทุกอย่าง พากองทัพไปพัฒนาอีสานเขียวและดอยตุง เสร็จภารกิจก็เข้าไปกราบขอพระราชทานลาออก ซึ่งเหลืออายุราชการอีก 4 ปี ไม่มีใครทำในโลกนี้ เพื่อทำงานการเมือง
กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งใกล้มีผลบังคับใช้ แต่บรรดานักการเมืองส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป มีโอกาสเกิดกระบวนการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศก่อนการเลือกตั้ง พล.อ.ชวลิต บอกว่า “รัฐบาลเฉพาะกาลจะเกิดขึ้นได้ต้องแก้ปัญหาได้
ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.จะไปยังไง
จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลอย่างไร มีองค์ประกอบอย่างไร เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่
ต้องมีเป้าหมายชัดเจน ต้องเสิร์ฟความต้องการของประชาชน
ถ้าบอกว่าให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปเสียที เพื่อให้มีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ.2562 นี้คือตัวอย่าง วิธีการจะทำอย่างไรก็ต้องไปว่ากัน หาวิธีกัน ถ้าคิดไม่ออกค่อยมาถามใหม่”
ใครจะเป็นผู้เริ่มต้นตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล พล.อ.ชวลิต บอกว่า
“ความลับ เดาเอาสิ ก็ไม่รู้หรือว่าใครเริ่มต้น เมื่อเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลจริงก็กำหนดระยะเวลา เช่น สามเดือนหกเดือน”
จะเตือนสองพรรคใหญ่คู่ขัดแย้งได้อย่างไร ให้เห็นสัญญาณรัฐบาลเฉพาะกาล พล.อ.ชวลิต บอกว่า ปล่อยให้กัดกันไปถ้าไม่รู้จักการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
การวางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลก็เหมือนกัน ปกติการวางแผนต้องมีเป้าหมาย แต่ขณะนี้ยังมองไม่เห็นเป้าหมาย 20 ปีว่าจะทำอะไร เมื่อเป้าหมายชัดเจนก็วางยุทธศาสตร์ วางยุทธวิธีถึงจะสมบูรณ์
ในฐานะได้รับฉายาขงเบ้งแห่งกองทัพ หากรัฐบาลเฉพาะกาลไม่เกิดขึ้นประเทศไทยจะเกิดอะไรขึ้น พล.อ.ชวลิต บอกว่า บอกไม่ได้ ถึงเวลาทุกคนก็รู้เอง
ทีมข่าวการเมือง ว่ารัฐบาลเฉพาะกาลเกิดขึ้นแล้ว บทบาทของพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจจะมีสภาพเป็นอย่างไรต่อไป พล.อ.ชวลิต บอกว่า
รัฐบาลเฉพาะกาลจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป
แต่พรรคการเมืองอยู่ได้บนความคิดใหม่
โดยต้องอยู่เพื่อเสิร์ฟประชาชน
ถ้าทุกคนมุ่งไปที่ประชาชน ทุกอย่างก็จบ.
ทีมการเมือง

ติดหล่มเน่า ถ่วงปฏิรูป

ติดหล่มเน่า ถ่วงปฏิรูป



ผ่าพฤติกรรมนักการเมืองเกี่ยงกติกา “ไพรมารี”
อุณหภูมิการเมืองโลกลดดีกรีลงวูบวาบ
ภายหลังฉากประวัติศาสตร์บนเกาะเซนโตซาประเทศสิงคโปร์ ปรากฏการณ์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา จับมือกับประธานาธิบดีคิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือ
จูงมือกันร่วมประชุมสุดยอดผู้นำ ทำสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์
“ทรัมป์-คิม” ภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นกลับเป็นไปได้ เงื่อนไขสันติภาพโลกระหว่างชาติคู่กรณีที่แข็งกร้าวใส่กันมาหลายสิบปี ยังสามารถลดระดับการประจันหน้าสงครามเย็นกันได้
เทียบกับสถานการณ์ปรองดองในประเทศไทยที่กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
แต่โคตรยากแสนยาก
นั่นเพราะตัวแปรสำคัญมันอยู่ที่อำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง
ตามท้องเรื่องล่าสุด เกมฉุดกระชากลากถูโรดแม็ปเลือกตั้งมาถึงจุดที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ยืนยันได้รับมอบหมายจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ให้นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุมฟลอร์ใหญ่
ในโปรแกรมที่ คสช.นัดตัวแทนพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หารือเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งปลายเดือนมิถุนายนนี้
ช็อตสำคัญที่ทุกฝ่ายลุ้นจับตากระบวนท่าทหารจะปลดล็อกกฎเหล็กในระดับใด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็พอมีคำตอบล่วงหน้าก่อนแล้ว แนวโน้มแบบที่ “บิ๊กป้อม” แบไต๋เป็นนัยกั๊กๆ จะยังไม่ปลดล็อกทั้งหมด ยังไม่ถึงขั้นปล่อยให้หาเสียงเลือกตั้งกันฟรีสไตล์
เน้นแค่การเปิดให้หาสมาชิกพรรคการเมืองได้เท่านั้น
ขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์พยายามมอบบทบาทสำคัญในการเจรจาความกับนักการเมืองให้กับ “พี่ใหญ่” ที่มีบารมีในทุกวงการ โดยเฉพาะคอนเนกชันกับนักเลือกตั้งอาชีพทุกป้อมค่าย
น่าจะทำให้คุยกันง่ายกว่า “บิ๊กตู่” ที่จุดเดือดต่ำ โดนจี้ต่อมโมโหไม่ค่อยได้
และเหตุผลสำคัญจริงๆน่าจะอยู่ที่การเลี่ยงข้อครหา ตามแนวโน้มสถานการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนว่า “นายกฯลุงตู่” จะเดินหน้าตีตั๋วต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
เป็น “นายกฯคนใน” ผ่านบัญชีพรรคการเมือง
ถ้านั่งคุมเกมกำหนดกติกาและคิวเลือกตั้ง หนีไม่พ้นปากนักการเมืองติฉินนินทา
ข้อหาชงเองกินเอง เอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง
สถานการณ์มาถึงจุดที่ “ลุงตู่” ต้องโชว์สปิริต เคลียร์ความบริสุทธิ์ใจ
ไม่เปิดช่องให้โดนกระแทกให้เสียอาการทรงตัว
โดยเฉพาะในอารมณ์ที่จับทางได้เลยว่า นักการเมืองทุกป้อมค่ายกำลังกัดติดสถานการณ์ความได้เปรียบเสียเปรียบกับฝ่ายที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไป
ไม่มีใครยอมตกเป็นรองในสนามเลือกตั้ง
ถึงจังหวะปรองดองอัตโนมัติ นักการเมืองช่วยกันรักษาผลประโยชน์กันแบบสุดกำลัง
กลายเป็นพลังกดดันฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษที่แฝงมากับอาการโหยหาเลือกตั้ง
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ล่าสุดที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ต้องหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และตัวแทนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง คำสั่งหัวหน้า คสช. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง
ยอมรับมี 4 ประเด็นที่ต้องออกกฎหมาย ก็ต้องดูว่าจะออกเป็นพระราชกำหนด พระราชบัญญัติ หรือหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อคลายปัญหาที่ติดขัด
ส่อไม่พ้นต้องผ่าทางตันโดยวิธีอัตโนมัติ
ตามสภาพการณ์ที่ดูเหมือน คสช.เองก็ตกอยู่ในวงล้อมกฎกติการัฐธรรมนูญที่มอบหมายให้ “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ออกแบบกันมาเองต้องเออออห่อหมกตามเสียงโห่ฮาของนักการเมือง
โดยเฉพาะโฟกัสประเด็นปัญหาที่พูดกันในหมู่นักเลือกตั้งมากที่สุดก็คือปม “ไพรมารีโหวต”
จุดที่ทุกป้อมค่ายถือโอกาสอ้างโยงกับการปลดล็อกคำสั่ง คสช.ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรม ส่งผลให้ทำไม่ทัน ก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง
ไม่เว้นแม้แต่พรรคใหม่ที่ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์เองก็จะมีปัญหา
ตามกติกาที่กำหนดให้ทุกพรรคต้องทำไพรมารีโหวตหรือการเลือกตั้งเบื้องต้น เป็นขั้นตอนในการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคการเมือง
กล่าวคือ การส่งผู้สมัครจากพรรคการเมืองเพื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง โดยสาขาพรรคประจำจังหวัดจะเป็นผู้คัดเลือกส่งตัวแทนทั้งระบบ ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และการสรรหาขั้นสุดท้าย สมาชิกพรรคจะประชุมเพื่อลงคะแนนว่าผู้ใดเหมาะสม แล้วส่งให้กรรมการบริหารพรรคพิจารณาเห็นชอบ
ทั้งนี้ ในส่วนการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง กำหนดวิธีการว่า เมื่อกรรมการสรรหาประกาศให้มีการสมัครเรียบร้อยแล้ว ให้สาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จัดประชุมเพื่อลงคะแนนเลือกตั้ง
โดยกำหนดว่า หากเป็นสาขาพรรคต้องมีผู้มาประชุมไม่น้อยกว่า 100 คน ในขณะที่ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ต้องมีผู้มาประชุมไม่น้อยกว่า 500 คน เพื่อให้สมาชิกพรรคการเมืองมาลงคะแนนเพื่อเลือกบุคคลเป็นผู้สมัคร ส.ส.
เมื่อลงคะแนนเสร็จก็ให้ส่งรายชื่อผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งในลำดับที่ 1 และ 2 ให้กรรมการสรรหาฯ จากนั้นส่งชื่อให้กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้เลือก
แต่หากไม่เลือกผู้ได้คะแนนลำดับแรก กรรมการบริหารพรรคต้องชี้แจงถึงเหตุผล หรือหากกรรมการบริหารพรรคตัดสินใจไม่เลือกทั้งสองคนที่เสนอมา ก็ต้องประชุมร่วมกับกรรมการสรรหาฯ หากมีมติเสนอใคร ก็ให้เสนอชื่อผู้นั้นเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่หากไม่เห็นด้วยก็ให้กลับไปดำเนินการคัดเลือกใหม่ตั้งแต่ต้น จากสาขาหรือตัวแทนพรรคประจำจังหวัด
ชัดเจนว่าเป็นวิธีการให้ได้มาซึ่ง ส.ส.ที่เป็นตัวแทนจากประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
เป้าหมายเพื่อให้ผู้แทนราษฎรได้เข้าไปสะท้อนปัญหา แก้ไขความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในเขตเลือกตั้งของตัวเอง ไม่ใช่พรรคจะส่ง “หมาหลง” มาลงสมัครยังไงก็ได้
ได้รับเลือกตั้งแล้วหายหัว เจอกันอีกทีเลือกตั้งใหม่
เหนืออื่นใด โดยระบบนี้คือการสกัด “นายทุน” ครอบงำพรรค
ไม่ให้พรรคการเมืองตกอยู่ในสภาพบริษัทจำกัด ที่ ส.ส.กลายเป็นแค่พนักงาน ลูกจ้าง ต้องทำตามใบสั่งเจ้าของพรรค ใช้เป็นเครื่องมือยึดสภา
ออกกฎหมายเอื้อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง
จนเป็นที่มาของ “เผด็จการรัฐสภา” ต้นตอวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่ลากยาวมานับสิบปี
นี่คือเจตนาแท้จริงของระบบไพรมารีโหวต และถือเป็นแนวทางการปฏิรูปการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560
แต่ถึงตรงนี้ กำลังจะย้อนกลับไปใช้วิธีการเลือกตั้งแบบเก่า
หนีไม่พ้นวังวนน้ำเน่าแบบเดิมๆ
ที่ตลกก็คืออารมณ์ของนักการเมืองที่พากันเรียกร้องให้ใช้ ม.44 งดใช้กติกาไพรมารีโหวต
สวนทางจากที่เคยต่อต้านมาตรา 44 โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจพิเศษพร่ำเพรื่อ แต่พอถึงเวลาได้ประโยชน์ก็ยุให้ใช้อำนาจพิเศษหักบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
สะท้อน “สันดาน” นักการเมืองที่ไม่ได้มีหลักการอะไร
ทุกลมหายใจ ห่วงแต่สถานการณ์ตัวเองจะได้เปรียบเสียเปรียบในสนามเลือกตั้ง แต่ไม่เคยพูดถึงประเทศไทยจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไร
ไม่เคยตอบโจทย์จะแก้วิกฤติขัดแย้งอย่างไร
เลือกตั้งไปแล้วนักการเมืองจะแบ่งข้าง แยกสีเสื้อปลุกม็อบกลับมาตีกันหรือไม่
ถึงจุดก็เผยธาตุแท้เดิมๆ มุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
โดยพฤติการณ์สะท้อนคำตอบชัดๆว่า นักการเมืองยังไม่ปฏิรูปแต่อย่างใด
หากเป็นเช่นนี้แล้วต้องเสียเงิน 5-6 พันล้าน
เลือกตั้งไปจะมีประโยชน์อะไร.
“ทีมการเมือง”