PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เงื่อนงำพิรุธ ตร.รีบสรุปคดีฆาตรกรรม"เอกยุทธ"

ระหว่างรอการแถลงข่าวจากทั้งฝ่ายตำรวจ และ ทนายความ และ ญาติ ของ เอกยุทธ ..

เรามาวิเคราะห์สถานการณ์ข่าวกันต่อครับ เพราะว่า ..มันมีอะไรน่าเคลือบแคลงสงสัยกันเข้ามาอีกมาก โดยเฉพาะ ต่อท่าทีของ ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ โดยเฉพาะ บิ๊กแจ๊ส ผบช.น.. และ คนของรัฐบาล อย่าง รองนายกรัฐมนตรี เฉลิม อยู่บำรุง ที่ พยายามพูดเหลือเกินว่า ..คดีนี้เป็น คดีชิงทรัพย์ และ จะปิดคดีวันนี้ แบบไม่มีอะไรในกอไผ่ ที่สลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนกว่านี้ ..

เฉลิม และ ตำรวจ .. ย้ำแต่เรื่องที่ว่า คนร้ายหมายเงิน 5 ล้าน เลยฆ่าชิงทรัพย์ !!..

ซึ่งมันเป็น คำพูด และ ความเร่งรีบ ด่วนสรุป จนลนลาน ออกอาการ ที่ขัดกับ ข้อมูลของคนตามข่าวเป็นอย่างมาก !!..

มันเป็น คำพูด และ การตั้งธง แบบมักง่าย รวบรัด เอาคำสารภาพ วกๆวนๆ ของ คนขับรถ มาเป็นหลัก ทั้งๆที่จะว่าไปแล้ว คำให้การไม่ปะติดปะต่อ ไม่เป็นธรรมชาติ ฟังแล้วขัดหู ขาดความน่าจะเป็นไปได้ ของ คนขับรถ นั้น มันฟังไม่ขึ้น และ มันใช้ไม่ได้มาตั้งแต่แรกๆ ที่เอาออกมาแถลงข่าวแล้ว.. ไม่นับรวมข้อพิรุธอีกมากโขในวันนี้ที่ไปชี้ที่ฝังศพด้วย ..

คนในพื้นที่ ทำไมมันจะจำไม่ได้ว่า มันฝังศพ คนที่มันฆ่าไว้ที่ไหน ?? หากมันฆ่า และ มันฝังเองจริง ..ทำไม ?.. มันต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ เขาหากันอยู่ทั้งวันทั้งคืน ?? .. ในเมื่อ มันก็สารภาพหมดแล้ว
ว่า ..มันฆ่า และ มันต้องติดคุกแน่ๆ !!..

มันขัดแย้ง กับ ข้อมูล พยานหลักฐาน และ ความคิดเห็นของฝ่ายอื่นๆ หลายๆฝ่าย เพราะว่า คนขับรถ ในความคิดเห็นของฝ่ายอื่นๆที่เขาเห็นแย้งกับตำรวจ และ เฉลิม มานั้น เขามองว่า ..นายสันติภาพ เพ็งด้วง คนนี้ เป็นเพียง หนอนบ่อนไส้ และ เป็นเพียง ตัวประกอบตัวเล็กๆ ของ ขบวนการอุ้มฆ่า เอกยุทธ ในครั้งนี้ เท่านั้น และ แผนการอุ้มฆ่า เอกยุทธ จะต้องมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี และ คนร่วมทีมอุ้มฆ่าต้องมีมากกว่านี้แน่นอน !! ..

ทั้งฝ่ายทนายของเอกยุทธ ฝ่ายญาติพี่น้องของเอกยุทธ และ สื่อมวลชนหลายสำนัก รวมถึง ..ล่าสุด.. ความคิดเห็น ของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มองว่าเรื่องนี้ มันไม่ใช่ แค่เรื่อง
ชิงทรัพย์ อย่างที่ เฉลิม อยู่บำรุง พูดอย่างแน่นอน ..แค่ คนขับรถ แรงจูงใจ หรือ ศักยภาพ ไม่น่าจะมากขนาดนี้ ? ..

ข้อพิรุธ ..ก่อนพบศพ เอกยุทธ เหมือนกัน .. บิ๊กแจ๊ส วันนี้ออกอาการฉุนเฉียว ไม่สัมภาษณ์นักข่าว ปล่อย ตำรวจ และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ หาศพกันทั้งคืนทั้งวัน ส่วน คนขับรถ พูดจาวกวน สับสน จำสถานที่อะไรไม่ได้ อีหรอบเดิม แต่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนั่นแหละ เป็นคนพบเจอศพ ที่โดนฝังอยู่ตรงคันดิน ในที่ดินของชาวบ้าน แถวๆเขาจิงโจ้ ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ. พัทลุง ..

มันก็มีประเด็น คำถาม และ ปริศนา ? ที่น่าสนใจเข้ามาอีกตรงเรื่อง .. สภาพศพ กับ สถานที่ทิ้งศพ ฝังศพ นี่แหละ !!..

ศพ เอกยุทธ ..นอกจาก มีการเคลื่อนย้าย เพื่อไป ฝังอำพรางแล้ว มันมี..รายการ ย้ายที่..ฝังศพ ด้วยหรือเปล่า ??..

เนื่องเพราะว่า .. ตำรวจให้ข้อมูลขัดกันมาตั้งแต่แรกๆ และ ที่ผิดสังเกตมากๆ ก็คือ คนที่บอกว่า พบศพ เอกยุทธ แล้วที่ ค่าย ตชด. 434 แรกๆเลย คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. แต่ก็เป็น บิ๊กแจ๊ส ผบช.น. ออกมาสวนกลับข้อมูล ผบ.ตร.ว่า ยังไม่เจอศพ เอกยุทธ จากนั้น ผบ.ตร. ก็หายไปจากเกม เพิ่งโผล่มาสัมภาษณ์ยืนยันอีกครั้งว่า การเสียชีวิตของ เอกยุทธ ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองในวันนี้หลังพบศพ ..

เรื่องนี้ มันก็แปลกดี คนระดับใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 คน .. ได้รับข้อมูล ไปคนละเรื่อง !!..

คนระดับ ..ผบ.ตร. แทบจะไม่มี บทบาท ออกข่าว ออกสื่อ กลายเป็น ผบช.น. คนมีวันนี้เพราะพี่ให้..เดินเกมเองหมด !!..

การที่ บิ๊กแจ๊ส จะเร่งคลี่คลาย ให้คดีจบในวันนี้ และ ไม่สนใจ ความคิดเห็นขัดแย้ง ของ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของ เอกยุทธ ที่บอกว่ามีข้อมูลที่เชื่อได้ว่า คดีอุ้มฆ่า เอกยุทธ นี้ มีการทำเป็นขบวนการใหญ่ และ คนบงการ เป็นคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองนั้น .. บิ๊กแจ๊ส ต้องคิดให้ดีๆ เพราะ ทนายความเอกยุทธ เขาเป็นตัวแทนฝ่ายผู้เสียหาย ตำรวจจะไม่สนใจในข้อมูล หรือ ข้อสงสัยเขาไม่ได้ มันผิดกฎหมาย มันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ..ชัดเจน !!..

ฝ่ายผู้เสียหาย เขาสงสัยอะไร ? เขาไม่เชื่อในจุดไหน ? เขามีข้อมูลอะไรมาเพิ่ม..ตำรวจต้องรับฟัง !!..

ซึ่งเรื่องนี้เราต้องติดตามดูกันอีกที เชื่อว่า งานนี้ทาง ทนายความ และ ญาติของ เอกยุทธ จะปล่อยให้ ตำรวจ และ เฉลิม รองนายกฯ แถลงปิดคดีก่อน จากนั้น จะมีการแถลงโต้ตอบ ข้อมูลหลักฐานของตำรวจ และ เรื่องอาจจะยาว ไปถึงขั้น ..ฟ้องร้องเอาผิดตำรวจ ที่ดำเนินคดีนี้ด้วย !!..

คดีนี้มันคดีสะเทือนขวัญ .. ความกระตือรือร้น ที่จะปิดคดีให้เร็วที่สุด โดยตัดทิ้ง ปมความขัดแย้งทางด้านการเมือง ปมขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปมขัดแย้งอื่นๆออกจนหมด ให้เหลือเพียง ปมฆ่าชิงทรัพย์นั้น .. มันเป็นเรื่องที่ ฝ่ายเอกยุทธ เขายอมไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่า เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ จะมาแหกปาก 3 รอบ 4 รอบ เพื่อยืนยันว่า เอกยุทธ ตายเพราะโดนชิงทรัพย์ เพราะรับคนมาอยู่ใกล้ชิด ไม่ดูให้ดีๆ อะไรพวกนี้เนี่ย .. มันมีแต่ ความซวยเข้าตัว เฉลิม หมดนั่นแหละ !!..

ทางที่ดี เฉลิม ต้อง หุบปาก อย่าไปแหกปากท้าทายคนอื่นเขา โดยเฉพาะ .. ปมที่เกี่ยวข้องกับ “เสธ” คนหนึ่ง ??.. ที่ทนายความของเอกยุทธ จะโยงใยไปถึงเนี่ย .. เฉลิม ไม่ต้องไปท้าทายเขาหรอก เดี๋ยวเขามีข้อมูล เขาเอาออกมาแถลงแน่นอน ..ใจเย็นๆ ปล่อยให้ ทนายความ เอกยุทธ เขารวบรวมข้อมูลเขาก่อน .. เฉลิม ควรจะอยู่เฉยๆ อย่ามาคุยโม้โอ้อวด คดีนี้มันไม่เกี่ยวกับ เฉลิม คนเสียหายไม่ใช่ เฉลิม แต่เป็นฝ่ายตรงข้าม เฉลิม และ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ !!

ดังนั้น เฉลิม ควรอยู่ นิ่งๆ ไม่ควร พูดจาชี้ชวน ท้าทาย ส่งเดช..

เพราะหาก ทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ .. เปิดเผยข้อมูลออกมาแล้ว ..

เดี๋ยว งานจะเข้า เหลิม เปล่าๆ !!..

วินเซนต์ 12 มิถุนายน 2556

ใครสั่งให้ "เอกยุทธ "ต้องหายตัว ??

ถึงวันนี้ การหายตัวไปของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ก็ยังไม่มีบทสรุป...

คืนวันที่ 6 มิ.ย. นายเอกยุทธไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านอาหารย่านสะพานควาย คนขับรถชื่อ “สันติภาพ”

เวลา 23.01 น. ภาพกล้องวงจรปิดบริเวณซอยสุดใจอุทิศ (บ้านต้นซุง) บันทึกภาพรถตู้โฟล์กสีดำ ทะเบียน ฮพ 9304 กทม. ของนายเอกยุทธวิ่งผ่านมา

23.04 น. กล้องวงจรปิดประตูทางเข้าหมู่บ้านทาวน์อินทาวน์ ก็บันทึกภาพรถคันดังกล่าวเข้าหมู่บ้าน

กลางวัน วันที่ 7 มิ.ย. มีการเซ็นเช็คเงินสด 3 ฉบับของนายเอกยุทธ มูลค่ารวม 5 ล้านบาท ฉบับแรกของธนาคารไทยพาณิชย์ 1.5 ล้านบาท ลงวันที่ 7 มิ.ย.2556, ฉบับที่สองของธนาคารกรุงศรีอยุธยา 
1.7 ล้านบาท ลงวันที่ 7 มิ.ย.แต่ลงเป็น “พ.ศ.2553” และฉบับที่สาม ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1.8 ล้านบาท ลงวันที่ 7 มิ.ย.2553 โดยมีคนนำเช็คไปแลกเงินแล้วนำเงินใส่ถุงมามอบให้คนขับรถของนายเอกยุทธ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

วันเดียวกัน ญาติอ้างว่าไม่สามารถติดต่อนายเอกยุทธได้แล้ว

เมื่อเดินทางไปบ้านพักของนายเอกยุทธย่านทาวน์อินทาวน์ พบประตูไม้หลังบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ เซิร์ฟเวอร์ของกล้องวงจรปิดหายไป

วันที่ 9 มิ.ย. ญาติไปแจ้งความ พร้อมระบุว่านายเอกยุทธมีทรัพย์สินติดตัวไป อาทิ นาฬิกาโรเล็กซ์ แหวนเพชร มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท พระสมเด็จที่ห้อยคอ และเงินสดพกติดตัว 1 แสนบาท

ญาติเชื่อนายเอกยุทธถูกอุ้มหายไป ตำรวจเผยข้อมูลว่า พบรถตู้ของนายเอกยุทธวิ่งลงใต้

เบื้องต้น นายสันติภาพ คนขับรถของนายเอกยุทธ น่าจะกุมข้อเท็จจริงสำคัญ

1) วันที่ 11 มิ.ย. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. นำตัวนายสันติภาพ คนขับรถ ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน อ้างว่า ชุดสืบสวนได้ตัวนายสันติภาพที่ปั๊มแก๊ส จ.สมุทรสาคร เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 10 มิ.ย.

นายสันติภาพ อ้างว่า หลังกลับจากร้านอาหารย่านสะพานควาย นายเอกยุทธเป็นคนสั่งให้ตนถอดสายเชื่อมต่อกล้องวงจรปิดภายในบ้านออก ส่วนนายเอกยุทธนำฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดออกไป และคืนนั้นเอง (วันที่ 6 ประมาณตีสอง) ตนขับรถพานายเอกยุทธไปนอนบ้านพี่สาวแถวลาดกระบัง

ข้อสงสัย – นายเอกยุทธจะยอมไปนอนบ้านพี่สาวคนขับรถจริงหรือ? โรงแรมมีมากมาย

นายสันติภาพ อ้างว่า วันที่ 7 มิ.ย.เกือบเที่ยง นายเอกยุทธให้ขับรถไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีนายแบงค์นำเอกสารเป็นสมุดเช็คมาให้เซ็น ตนเป็นคนลงไปรับเอกสาร นายเอกยุทธตรวจดูเอกสารดังกล่าวบนรถ และเซ็นเอกสารดังกล่าวด้วย ให้ตนมอบให้นายแบงก์ ก่อนจะให้ตนขับรถออกไปจากสนามบิน

เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายสันติภาพอ้างว่า นายเอกยุทธให้ขับรถเข้ามาที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้ง และให้ตนลงจากรถไปรับซองเอกสารจากผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นซองสีน้ำตาล ตนไม่รู้ว่าข้างในเป็นเงิน ระหว่างที่ลงไปเอาเอกสาร หญิงที่ชื่ออิงค์พยายามถามว่า “นายอยู่ไหน” ตนก็ตอบไม่ได้เพราะถือเป็นความลับของเจ้านาย เมื่อกลับมาขึ้นรถ ก็กลับไปที่บ้านลาดกระบัง ก่อนจะออกเดินทางลงใต้ราวตี 3

ข้อสงสัย – นายเอกยุทธอยู่บนรถตู้โฟล์กกับนายสันติภาพที่สนามบินจริงหรือไม่? เพราะคนมาส่งเงินให้นายเอกยุทธก็ไม่ได้พบเห็นนายเอกยุทธแล้ว แต่ส่งให้นายสันติภาพ? โทรศัพท์มือถือของนายเอกยุทธหลายเครื่องน่าจะยืนยันตำแหน่งที่อยู่ได้ หากอยู่ที่สนามบินจริง

นายสันติภาพ กล่าวอ้างว่า นายเอกยุทธสั่งให้ขับรถพาลงใต้ ระหว่างทางนายเอกยุทธคุยโทรศัพท์ว่า “ไปพม่าจะดีหรือไม่” เมื่อถึงจังหวัดเพชรบุรี ก่อนถึงปราณบุรี มีรถเก๋งมาจอดรับนายเอกยุทธ โดยอ้างว่านายเอกยุทธยื่นเงินให้ตน 1,000 บาท พร้อมกับบอกว่า “ให้หยุดงานได้เลย ส่วนจะกลับมาทำงานวันไหนรอจะโทรบอกอีกครั้ง และอยากบอกใคร” จากนั้นนายเอกยุทธได้ลงจากรถพร้อมด้วยกระเป๋าเจมส์บอนส์ และกระเป๋าเดินทางอีก 1 ใบ เดินไปขึ้นรถเก๋งคันดังกล่าวเอง รถมุ่งหน้าลงสู่ภาคใต้

นายสันติภาพอ้างว่า “ผมไม่รู้จะไปไหน เลยคิดว่าจะขับรถนายไปอวดเพื่อน จึงมุ่งหน้าไป จ.พัทลุง กระทั่งมาถึงวันจันทร์ที่ 10 มิ.ย. กำลังจะขับรถตู้กลับมาส่งไว้ที่บ้านนาย แต่รถยางแตกเมื่อถึง จ.สมุทรสงคราม ขณะกำลังเอารถเข้าปั๊มแก๊สเพื่อปะยาง ก็ถูกตำรวจเชิญมาสอบปากคำ”

ข้อสงสัย – พิจารณาจากคำบอกเล่า ดูเหมือนนายสันติภาพจะยำเกรงเจ้านายมาก เมื่อนายไม่บอกว่าจะกลับวันไหน ให้หยุดงานรอโทรศัพท์เรียกตัว คนขับรถอย่างนายสันติภาพจะกล้าขับรถนายไปอวดเพื่อนที่พัทลุงตั้งสองวันสามวันเชียวหรือ? ทำไมพบเงินในรถตั้งหกหมื่นบาท? ฯลฯ

2) น.ส.สุภากรณ์ แหวนหล่อ พี่สาวของนายเอกยุทธไม่เชื่อคำให้การคนขับรถ ระบุว่ามีข้อผิดสังเกตหลายจุด

ยืนยันว่า น้องชายไม่เคยปิดมือถือติดต่อไม่ได้ หรือติดต่อไปแล้วไม่ติดต่อกลับมานานขนาดนี้

เชื่อว่าการหายตัวของน้องชายครั้งนี้มีเงื่อนงำ และมีคนอุ้มพาตัวไปแน่นอน

3) นายเอกยุทธมีศัตรูอยู่ไม่น้อย...

สาเหตุที่อาจเกี่ยวกับการหายตัวไปของนายเอกยุทธมีหลายประเด็น อาทิ

-นายเอกยุทธได้ไล่พนักงานของบริษัท 3 คน ออกจากงาน หลังจับได้ว่าร่วมกันยักยอกเงินกว่า 1 ล้านบาท

-ความขัดแย้งระหว่างนายเอกยุทธกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง สืบเนื่องจากกรณีทะเลาะวิวาทในร้านอาหารคาราโอเกะซิตี้ เมื่อ ธ.ค.2555

-นายเอกยุทธเป็นผู้เปิดเผยกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไปพบกับนักธุรกิจที่ดิน ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กระทั่งกลายเป็นกรณีอื้อฉาว “ว.5 ชั้น 7”

- นายเอกยุทธแสดงออกว่าเป็นปฏิปักษ์กับผู้มีอำนาจรัฐในปัจจุบันอย่างเปิดเผย และเชื่อว่าเขากุมข้อมูลลับหลายเรื่องที่อาจจะกระทบกับผู้มีอำนาจในปัจจุบัน

ยกตัวอย่างข้อความที่นายเอกยุทธเขียนบนเฟซบุ๊ค “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ในช่วง 7 วันก่อนหายตัวไป

ข้อความสุดท้าย คือ 6 June – “ผมเตือนนักลงทุนทั่วไปเมื่อวันที่ 1-6-13 ถึงหุ้น"ความจริง"..วันนั้นอยู่ที่11-12 บาท..และบอกไว้ว่าราคาที่เหมาะสมและเจ้ามือทุนอยู่ที่ประมาณ 6-8 บาท..วันนี้มาให้เห็นแล้ว..”

ย้อนหลังไป เช่น

6 June – “ผมยังไม่เคยเห็นใครบอกว่า..ไม่ให้ทักษิณกลับเมืองไทย..ไม่มีใครห้าม..มีแต่ใครๆก็อยากให้กลับทั้งนั้น..แต่ที่พล่ามว่าอยากกลับแต่ไม่กล้ากลับมาเองก็เพราะหนีคุกอยู่ไงครับ..ปากกล้าขาสั่นอยู่เมืองนอก ทั้งๆที่มีขี้ข้าเป็นใหญ่เต็มบ้านเมือง มีน้องเป็นนายกฯ ..เหตุผลที่ไม่กลับไม่ใช่อะไรหรอกครับ..กลัวความจริงไง..”

1 June – “สึนามิสวาทเข้าถล่ม "เกาะสวาท หาดสวรรค์" คลื่นซัดจนรีสอร์ทหรูสั่นสะเทือนไปทั้งเกาะ.ภารกิจ ว 5 ณ เกาะสวาท หาดสวรรค์ เดินตามทางของพี่ชายที่เคยใช้เป็นที่ปลดปล่อยความ
เครียดโดยให้นักร้องสาวขี่คอถ่ายรูปมาโชว์..ช่างบังเอิญที่หนุ่มใหญ่ผัวชาวบ้านเดินทางอ้างไปดูสถานที่ลงทุน "บ้านแสนรัก"..โอสวรรค์กลางทะเล..”

1 June – “พวกที่รับราชการและได้ตำแหน่งสำคัญเพราะกราบตีนโจรนั่น..ผมว่าสุนัขที่เห่าเฝ้าบ้านยังมีศักดิ์ศรีของหมามากกว่าพวกนี้..ตายห่าไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ นอกจากทรัพย์สมบัติที่ฉ้อฉลไว้
ให้ลูกเมียใช้แต่ไร้เกียรติและศักดิศรี..”

31 May – “มีอำนาจนี่ก็ดีนะ..แค่ใช้ปากพล่อยๆกล่าวหาคนอื่นก็ทำให้หุ้นของผู้นั้นร่วงได้..เหลิมบอกมีสามกลุ่มที่สนับสนุนล้มรัฐบาลและการชุมนุม..แบงค์..ขายเป็ดไก่..น้ำเมา..แค่พล่ามหุ้นพวกนี้ก็
ร่วงสมใจแล้ว โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ นักลงทุนก็ตายหมู่...55555”

30 May – “เมื่อใดที่รัฐบาลไม่ว่าประเทศไหน..ปล่อยให้โจรบงการได้หรือใช้อำนาจแบบลุแก่อำนาจเพราะถือว่ามีอำนาจและอาวุธอยู่ในมือ..เมื่อนั้นสงครามกลางเมืองก็จะเกิดขึ้น..อย่าคิดว่าปชช.จะ
ยอมสยบ..ยิ่งตี ยิ่งกัน ยิ่งลุแก่อำนาจ ยิ่งกลั่นแกล้ง..ก็จะเกิดกระแสตีกลับและอาจต่อสู้อยู่ใต้ดิน..ไม่เคยมีใครอยู่ในอำนาจได้ หากระยำอย่างนี้”

30 May – “กลับถึงเมืองไทยเมื่อคืน..เช้ามาที่ศาลเพราะอัยการฟ้องตามตำรวจ..ถามคนรับผิดชอบคดีก็ไม่เจอแต่ได้ยินพูดกันว่ามีใบสั่งการเมือง..ตกลงว่ากระบวนการยุติธรรมนี่อยู่ที่พวกใครหรือ? 

หากผิดจริงน่ะยอมรับไปแล้วและแค่คนทะเลาะกันและเข้าห้ามยังโดนขี้ข้านักโทษหนีคุกรุมยัดเยียดข้อหาอย่างนี้...ไม่มีจบครับ..ผมสู้.ไม่ว่าทางใด..เจอกันแน่..พวกเอี้ยทั้งหลาย..” ฯลฯ

สาเหตุใดที่ทำให้นายเอกยุทธหายตัวไป? ใครบงการ? ใครสั่ง? ใครสมรู้ร่วมคิด?

สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/7119
นสพ.แนวหน้า

เผยแผน "อุ้มฆ่า" เอกยุทธ ใบสั่งเก็บผ่านทีมงานเสธ.ผู้กว้างขวางถนนรัชดาภิเษก !

เผยแผน "อุ้มฆ่า" เอกยุทธ ใบสั่งนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน สั่งเก็บเสี้ยนหนามตำใจน้องสาว ผ่านทีมงานเสธ.ผู้กว้างขวางถนนรัชดาภิเษก !

วันนี้ (12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือในชุดคลี่คลายคดีการหายตัวไปของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังเปิดเผยว่า ภายหลังนายสันติภาพ หรือ บอล เพ็งด้วง อายุ 25 ปี ยอมรับสารภาพว่าร่วมกับพวกฆ่านายเอกยุทธแล้วนำศพไปฝังอำพรางคดีที่จ.พัทลุงบ้านเกิดโดยอ้างว่าต้องการชิงทรัพย์นั้น ล่าสุดเป็นที่ชัดเจนว่า คดีนี้มีเงื่อนงำไม่ใช่การฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ตามคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาแน่นอน หลังตำรวจได้สอบเค้นนายสันติภาพอย่างหนักเกี่ยวกับขั้นตอนการสังหารโหดครั้งนี้ โดยคำให้การที่เชื่อมโยงทำให้เชื่อได้ว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองที่มีปัญหากับนายเอกยุทธมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมานายเอกยุทธออกมาเปิดโปงจนเป็นประเด็นที่อื้อฉาว โดยการสังหารนายเอกยุทธครั้งนี้มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนมาก่อนล่วงหน้าโดยทีมสังหารของนายทหารระดับเสธ.คนหนึ่งซึ่งกว้างขวางย่านถนนรัชดาภิเษก

แหล่งข่าวเผยข้อมูลสำคัญที่นายสันติภาพให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ว่า ในคืนวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมาได้พานายเอกยุทธมาทานอาหารที่ร้านอาหารกระแต ย่านสะพานควาย แล้วสนายสันติภาพได้ขับรถออกไปนอกร้าน โดยอ้างว่าจะไปหาอาหารรับประทานเนื่องอาหารในร้านไม่ถูกปากนั้น ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าจุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของแผนที่ทีมสังหารวางแผนลงมือก่อเหตุ ด้วยการให้นายสันติภาพขับรถตู้โฟล์คออกไปรับทีมสังหารลูกน้องของเสธ.คนดัง ประมาณ 3-4 คน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทหารและตชด.ขึ้นมาหลบซ่อนตัวอยู่บนรถระหว่างรอนายเอกยุทธที่จะเดินทางกลับบ้านในเวลาประมาณ 22.00 -23.00 น.ที่บริเวณหน้าร้านนอาหารกระแต

โดยเมื่อนายเอกยุทธขึ้นรถมา นายสันติภาพก็ปิดประตูรถทันที จากนั้นทีมสังหารพร้อมอาวุธครบมือก็เข้าล็อคตัวนายเอกยุทธ ก่อนจะขับรถออกจากร้านอาหารกระแตมุ่งหน้าไปที่บ้านพักย่านทาวน์อินทาวน์ในเวลาต่อมา เพื่อไปเก็บหลักฐานข้อมูลเครื่องบันทึกกล้องวงจรปิดทั้งหมด โดยขั้นตอนนี้นายเอกยุทธได้พยายามส่งสัญญาณถึงพี่สาวให้รู้แล้วว่าตนตกอยู่ในอันตรายด้วยการโทรศัพท์ไปถามหากุญแจ ซึ่งพี่สาวนายเอกยุทธไม่เข้าใจจึงต่อว่ากลับไปว่านายเอกยุทธรู้อยู่แล้วจะโทรมาถามทำไมก่อนวางหูไป

จนกระทั่งเวลา 03.00 น.นายสันติภาพพร้อมทีมสังหารได้ขับรถพานายเอกยุทธไปกักตัวไว้ที่บ้านพี่สาวย่านลาดกระบัง ก่อนจะนำตัวนายเอกยุทธออกมาในวันศุกร์ที่ 7 มิ.ย. เพื่อจะนำตัวไปถอนเช็คเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งในครั้งนี้นายเอกยุทธได้ส่งสัญญาณให้รู้อีกครั้งว่าตนตกอยู่ในอันตรายโดยถูกบังคับให้เขียนเช็คเบิกเงินสด นายเอกยุทธได้ลงปี พ.ศ.ผิดเป็นปี 53 เพื่อต้องการให้ทางธนาคารติดต่อกลับ ซึ่งก็ได้ผล ธนาคารติดต่อกลับมาทางโทรศัพท์ แต่นายเอกยุทธถูกบังคับให้บอกอนุญาตให้ถอนเงินมาได้เดี๋ยวจะเข้าไปแก้ไขให้ในภายหลัง ซึ่งทางธนาคารก็ตอบตกลงยอมให้ถอนเงินสดออกมาได้

ทั้งนี้นายสันติภาพให้การกับตำรวจว่าได้กักตัวนายเอกยุทธไว้จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.00 น.วันที่ 7 มิ.ย. ขณะขับรถแล่นผ่านมาบนถนนลาดพร้าว ขณะที่รถติดอยู่ นายเอกยุทธได้หนีลงมาจากรถทั้งๆที่ถูกจับใส่กุญแจมืออยู่ ทีมสังหารได้ตามลงไปจับตัวขึ้นมาบนรถได้ พร้อมกับบีบคอจนเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งตรงจุดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ต้องรอดูศพนายเอกยุทธก่อนว่าเสียชีวิตด้วยเหตุใด ก่อนที่ทีมสังหารจะนำศพของนายเอกยุทธมาฝังอำพรางคดีที่จังหวัดพัทลุง

อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนแล้วว่า คดีนี้มีการจ้างวานฆ่านายเอกยุทธอย่างแน่นอน เนื่องจากพ่อของนายสันติภาพยอมรับว่า ได้รับการว่างจ้างเป็นเงินสด 2 ล้านบาท ซึ่งได้ติดต่อขอคืนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้

ย้อนรอย ยุคมืดประเทศไทย อุ้มฆ่าพิศวง? จากสังหาร 4 รมต. ถึง อวสาน “เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์” ใคร? จะเป็นรายต่อไป

ย้อนรอย ยุคมืดประเทศไทย อุ้มฆ่าพิศวง? จากสังหาร 4 รมต. ถึง อวสาน “เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์” ใคร? จะเป็นรายต่อไป

ข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของ เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ เอกยุทธ อัญชันบุตร กระทั่งหลายฝ่ายออกมายืนยันถึงการเสียชีวิต ภายหลังมีการจับกุม สันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถ พร้อมคำรับสารภาพเป็นผู้ลงมือสังหารด้วยตัวเอง
จากเหตุจูงใจความแค้นที่แฟนสาวโดนไล่ออกจากงาน และประสงค์ชิงเงินสด 5 ล้านบาท?
ข้อกังขาย่อมเกิดขึ้น ด้วยเพราะ “เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์” คนนี้ ใช้ชีวิตอย่างไม่ธรรมดา ด้วยเคยหนีเป็นหนีตายทางการเมืองมานักต่อนัก ด้วยบุคลิคดิบส่วนตัวที่เป็นก้างขวางคอและขัดแย้งกับขั้วอำนาจทางการเมืองไปเรื่อยในหลายยุค ตั้งแต่เป็นนายทุนหนุ่มวัยเพียง 25 ปี ที่สนับสนุน “กลุ่มยังเติร์ก” หรือนายทหารกลุ่มจปร.7 นำโดย พ.อ.มนูญ (มนูญกฤต) รูปขจร ทำการปฏิวัติรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในอดีต แต่ไม่สำเร็จ ต้องระเห็จออกนอกประเทศกันไปคนละทาง
โดยเฉพาะการมีลีลาเอาตัวรอดจากคดี “แชร์ชาร์เตอร์” ในอดีต ด้วยการหนีออกนอกประเทศจนคดีหมดอายุความ
เพื่อให้ได้เห็นภาพประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบัน ลองมาย้อนรอยคดี “อุ้มฆ่า” หรือ “สังหาร” สำหรับประเทศไทยพอสังเขป ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเกิดขึ้นหลายครั้ง เฉพาะที่เป็นคดีใหญ่คดีดัง ส่วนใหญ่ มักเกี่ยวกับกับผลประโยชน์ อำนาจ โดยเฉพาะมูลเหตุทางการเมืองเสมอ ๆ หลายครั้งก็เป็นฝีมือของฝ่ายเจ้าหน้าที่เองด้วยซ้ำ หลายคดีก็สามารถปิดได้โดยผู้กระทำความผิดได้รับโทษทัณฑ์ แต่หลายคดี ก็ยังคงเป็นปริศนาตลอดกาล
1.คดีเพชรซาอุ คดีขโมยเครื่องเพชรราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย เมื่อปี 2532 โดย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งได้เดินทางไปทำงานยังซาอุดิอาระเบีย และถูกทาบทามให้เข้าไปทำงานในพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกรได้ขโมยเครื่องเพชรของ เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal Bin Fahd Bin Abdul Aziz) แห่งราชวงศ์ไฟซาลของซาอุดิอาระเบียมาได้ถึง 2 ครั้ง
อธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ในขณะนั้นมอบหมายให้ผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย หลังจากนั้นเมื่อนายเกรียงไกร ถูกชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ จับกุมและนำตัวมาสอบสวนจนยอมรับสารภาพ แต่ทว่า พล.ต.ท.ชลอ กลับใช้ได้ทุกวิถีทาง โดย นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชรที่รับซื้อเพชรที่ถูกโจรกรรมถูกตำรวจในทีม พล.ต.ท.ชลอ ข่มขู่คุกคามให้คืนเพชร
ในที่สุด พล.ต.ท.ชลอ ตัดสินใจให้คณะทำงานตั้งด่านตรวจ หน้าซอยบ้านนายสันติ ระหว่างที่ภรรยาของนายสันติ คือ นางดาราวดี กำลังจะไปส่งลูกชาย ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ที่โรงเรียน ทีมของพล.ต.ท.ชลอ ก็จับทั้งคู่ไปกักขัง เพื่อบังคับให้นายสันตินำเพชรส่วนที่เหลือมาคืน ซึ่งนายสันติก็ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ว่าลูกและเมียถูกอุ้ม แต่ขังไว้นานเป็นเดือน ย้ายที่กบดานไปหลายแห่งก็ยังไม่ได้เพชรคืน ซ้ำตำรวจคนหนึ่งยังได้ข่มขืนภรรยาของนายสันติ
ทีมตำรวจชุดนี้จึงฆ่าปิดปากสองแม่ลูก แล้วอำพรางคดีให้เป็นเหมือนกับเกิดอุบัติเหตุรถชน
ต่อมา ทีมสอบสวนชุดใหม่กลับสืบพบว่าเป็นการอุ้มฆ่า จึงได้ทำการจับกุมตัว พล.ต.ท.ชลอ และลูกน้องทั้ง 9 คน มาดำเนินการทางกฎหมาย พล.ต.ท.ชลอถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานออกคำสั่งฆ่าสองแม่ลูก และในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ และศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 ยืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศเรื่อง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดอดีตข้าราชการตำรวจออกเสียจากยศตำรวจ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมด ต่อมา พล.ต.ท.ชลอ ได้รับพระราชทานอภัยโทษใน พ.ศ. 2553 เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต และใน พ.ศ. 2554 เหลือโทษจำคุก 50 ปี
2.คดีฆ่านักการทูตและนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ได้แก่ คดีสังหารนักการทูตซาอุฯ 3 ราย เมื่อต้นปี 2533 และ คดีหายตัวลึกลับของ นายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจ ชาวซาอุฯ โดยเฉพาะคดี หลังถือว่ากระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุฯมากที่สุด เนื่องด้วยนายอัลรูไวลี่ มีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ซาอุฯ

นายอัลรูไวลี่ เข้ามาอยู่ในเมืองไทยประมาณปี 2529 โดยทำธุรกิจจัดส่งแรงงานไปทำงานในประเทศแถบตะวันออกกลาง ภายหลังเกิดคดีฆาตกรรมนักการทูตซาอุฯ จากนั้นไม่นาน นายอัลรูไวลี่ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2533 มีคนพบเห็นครั้งสุดท้ายขณะขับรถเก๋งเปอโยต์ 505 สีเขียว ทะเบียน 3 ข-7687 กรุงเทพมหานคร ออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ประมาณเวลา 15.00 น. นายอัลรูไวลี่ โทรศัพท์ติดต่อกับภรรยาบอกว่าจะเดินทางไปรับกลับบ้าน จากนั้นก็หายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้ หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สถานทูตประเทศซาอุฯประจำประเทศไทย ได้เข้า แจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ต่อมาพบรถของนายอัลรูไวรี่ จอดไว้ที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านถนนสีลม

ต่อมารัฐบาลในปี 2535 รัฐบาลสมัยนั้นต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย จึงสั่งให้ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ปัดฝุ่นคดีขึ้นมาอีกครั้ง โดยตำรวจสืบสวนในทางลับ กระทั่งพบว่าการหายตัวไปของอัลรูไวลี่ น่าจะมีส่วนเชื่อมโยงกับคดีสังหาร 3 เจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯก่อนหน้า เนื่องจากทีมสืบสวนที่ทำคดีสังหารนักการทูตซาอุฯ อ้างว่าพยายามตามหาตัวอัลรูไวลี่ มาสอบปากคำข้อมูลพยานหลักฐานบางอย่างเพราะทราบว่าพักอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของเหยื่อบางคน ต่อมามีนายพลตำรวจบางนายขณะนั้นตกเป็นผู้ต้องสงสัย และถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดี เนื่องจากเป็นผู้รับมอบหมายให้ทำคดีฆ่าสังหารนักการทูตซาอุฯ แต่ภายหลังอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ทำให้คดีนี้ยังคง ค้างคาใจ ทางการซาอุฯตลอดมา

กระทั่งปัจจุบัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้ามารื้อฟื้นคดี ระบุว่าพบพยานหลักฐานใหม่เป็น แหวนทองที่หัวแหวนมีรูปพระจันทร์เสี้ยวได้มาจากนายตำรวจในทีมสอบสวนคดี โดยนายตำรวจ คนดังกล่าวอ้างเหตุผลที่กลับคำให้การและนำแหวนมามอบให้เป็นหลักฐานว่า เพื่อต้องการไถ่บาป เพราะรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป ทั้งนี้พนักงานสอบสวนตรวจสอบพบว่า ตำรวจคนดังกล่าวได้ไปทำพิธีกรรมอุทิศส่วนกุศลให้เหยื่อจริง ก่อนหน้าเข้าให้การ ชุดสืบสวนจึงให้น้ำหนักคำให้การพร้อมกันไว้เป็นพยาน จากนั้นดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาบิ๊กสีกากีระดับ พล.ต.ท. พร้อมตำรวจยศ พ.ต.อ. 2 นาย, พ.ต.ท. และ จ.ส.ต. ตำรวจนอกราชการ เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ โทษฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายและร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและเพื่อปกปิดการกระทำความผิดอื่นของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา ก่อนที่คดีจะหมดอายุความเมื่อต้นปี 2553 เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง

โดยจำเลยทั้ง 5 สารภาพได้ร่วมกันลักพาตัวนายอัลรูไวลี่ เนื่องจากสงสัยว่าอัลรูไวลี่ อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนักการทูตซาอุฯ เพราะมีความขัดแย้งกันเรื่องจัดส่งแรงงานไทย จากนั้นนำตัวอัลรูไวลี่ไปกักขังไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านพระโขนง และทำร้ายร่างกายโดยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายนักการทูตซาอุฯ นอกจากนี้ยังร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงอัลรูไวลี่จนเสียชีวิต ก่อนจะนำศพไปเผาทำลายในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อปิดบังการตายหรือปิดบังสาเหตุของการตาย

แต่ทว่ามากี่ยุค กี่รัฐบาล คดีปริศนาการหายตัวของอัลรูไวลี่ ก็ยังไร้ร่องรอยอยู่อย่างเดิม...
3.คดีอุ้มฆ่าทนาย สมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และอดีตรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และเป็นคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ ซึ่งเป็นทนายความให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น คดีกูเฮงเผาโรงเรียนเมื่อปี 2537 คดีหมอแวพัวพันกลุ่มก่อการร้ายเจไอ (เจมาอิสลามียา) การทำงานของทนายสมชายหลายคดี เปิดโปงพฤติกรรมของตำรวจ หลายฝ่ายเชื่อกันว่า ผลงานในอดีตของเขาน่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกทำให้หายไป โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2547 นายสมชายเดินทางออกจากบ้านในซอยอิสรภาพ 9 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กทม.พื่อไปทำงานตามปกติ โดยขับรถยนต์ส่วนตัว ยี่ห้อฮอนด้าซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง 6786 กรุงเทพมหานคร โดยไม่ได้กลับบ้านเนื่องจากจะต้องไปนอนพักค้างคืนที่บ้านเพื่อนเพื่อเตรียมตัวไปว่าความในคดี เจ.ไอ. ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส
12 มีนาคม 2547 เวลา 20.30 น. นายสมชาย เดินทางไปยังโรงแรมชาลีนาในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว เพื่อรอพบเพื่อนซึ่งได้นับพบกันไว้ หลังจากที่นั่งรอบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมได้ระยะหนึ่ง เพื่อนยังไม่มาตามกำหนดนัด นายสมชายจึงเดินทางกลับเนื่องจากง่วงนอน เพราะเป็นคนที่นอนแต่หัวค่ำ ระหว่างเดินทางออกจากโรงแรมชาลีน่า นายสมชาย ขับรถยนต์ส่วนตัวโดยใช้เส้นทางถนนรามคำแหง เพื่อจะไปนอนพักค้างคืนที่บ้านเพื่อน ระหว่างที่เดินทางออกจากโรงแรมได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ขับรถยนต์สะกดรอยติดตามในระยะกระชั้นชิด จนถึงบริเวณหน้าร้านแม่ลาปลาเผา เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก จึงได้ขับชนท้าย เมื่อนายสมชาย หยุดรถเพื่อลงมาพูดคุย กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ทำร้ายร่างกายโดยการชกท้องและผลักตัวของนายสมชาย ให้เข้าไปในรถยนต์ของกลุ่มชายฉกรรจ์ แล้วขับรถพาตัวของนายสมชาย หลบหนีไป
14 มีนาคม 2547 นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาได้เข้าแจ้งความ ร้องทุกข์บุคคล สูญหาย ต่อพนักงานสอบสวน ของสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือว่า นายสมชาย ออกจากบ้านพัก มาตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2547 แล้วขาดการติดต่อกับทางบ้าน เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขอให้ทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจสอบสวนและติดตามตัวด้วย โดยข่าวการแจ้งความ นายสมชายหายตัวไปอย่างลึกลับ เป็นที่สนใจของ สื่อมวลชนทุกแขนง และประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากในขณะนั้นนายสมชาย กำลัง รวบรวมรายชื่อพี่น้องชาวมุสลิมจำนวน 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอรัฐบาล(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ให้ยกเลิกการ ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ของจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา จังหวัด ปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา บางส่วน
นอกจากนั้นยังให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย แก่กลุ่มผู้ต้องหา ที่ถูกจับกุมในคดีปล้นอาวุธปืน ของทหารกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส ซึ่งหลังจากที่นายสมชาย ได้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงจากผู้ต้องหาแล้ว ปรากฏว่าในระหว่าง การถูกควบคุมตัวอยู่ที่ จังหวัดนราธิวาสก่อน ที่จะส่งตัวมาที่กรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาถูกทำร้าย ร่างกายและทรมาณ เพื่อให้การ รับสารภาพ ซึ่งนายสมชาย ได้ยื่นหนังสือ ร้องเรียนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้ส่งผู้ต้องหาทั้งหมดไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์
17 มีนาคม 2547 สภาทนาย ความได้มีหนังสือที่ สท.783/2547 ทูลเกล้าถวาย ฎีกาขอพระราชทาน ความเป็นธรรม กรณีนาย สมชาย ถูกลักพาตัว และ สภาทนาย ความได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน ติดตามกรณีนายสมชาย เพื่อดำเนินการตรวจสอบและรวบรวม ข้อเท็จจริงทั้งหมด กระทั่ง 7 เมษายน 2547 พนักงาน สอบสวนได้มีการขออนุมัติหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จำนวน 5 นายต่อศาลอาญา เพื่อนำตัวมาสอบสวน โดยพนักงาน สอบสวนและพนักงานอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้อง คดีผู้ต้องหาทั้ง 5 คน โดยอัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1952/2547 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงาน อัยการพิเศษคดีอาญา 6 สำนักงาน คดีอาญา) โจทก์ โดย พ.ต.ต.เงิน ทองสุข ที่ 1, พ.ต.ท.สินชัย นิ่งปุญญกำพงษ์ ที่ 2, จ.ส.ต.ชัยแวง พาด้วง ที่ 3, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต ที่ 4 และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ที่ 5 จำเลย ในข้อหาฐานความผิดร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และข่มขืนใจผู้อื่น ซึ่งจำเลยทั้ง 5 คน ได้ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยศาลได้สั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 สภาทนายความจึงได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้พิจารณารับโอนสำนวนคดีที่ นายสมชาย ถูกประทุษร้าย และสูญหายเป็นคดีพิเศษ และมีหนังสือลงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้แต่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริง กรณีการหายสาบสูญของนายสมชาย ซึ่ง พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิต รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้พิจารณาเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการติดตามการสูญหายของนายสมชายนั้น ยังคงเป็นปริศนามาจนบัดนี้...
4.คดีฆ่า "ชิปปิ้งหมู"นายกรเทพ วิริยะ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ท่ามกลางกระแสต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าอาจโดนขบวนการค้ายาเสพติดสังหารเนื่องจากอยู่ในช่วงประกาศสงครามกับยาเสพติดซึ่งมีเหตุการณ์ฆ่าตัดตอนเกิดขึ้นมากมาย
ทั้งนี้อีกแง่มุมหนึ่ง คือ หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี 2545 เสร็จสิ้นลง นายกรเทพซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญแก่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าวในคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ของตระกูลชินวัตร ได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.เชียงราย แต่ในที่สุดถูกคนร้ายยิงตายเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546ที่บริเวณถนนเข้าดอยหมู่บ้านแสนใจ รอยต่อ ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน และต.แม่สลอง ในอ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. เข้าท้ายทอย กกหูซ้ายและลำตัว รวม 3 นัด ซึ่งต่อมาทางตำรวจตั้งประเด็นการสอบสวนว่า เป็นเพราะ “ชิปปิ้งหมู” พัวพันกับเรื่องยาเสพติด ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนั้นระบุถึงข่าวการเสียชีวิตของ “ชิปปิ้งหมู” ทันทีที่ทราบเรื่อง ว่า “หากถามว่า รู้จักประวัติของชิปปิ้งหมูมากน้อยแค่ไหน เข้าใจว่าจะรู้จักนายสุภาพ สีแดง ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้มากกว่า ผมทราบเรื่องเมื่อคืน ดูข่าวแล้วก็ตกใจว่า เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท ชินฯเลย บริษัท ชินฯ เขาเสียภาษีหรือเสียค่าตอบแทนให้กับรัฐปีหนึ่งสองหมื่นกว่าล้านบาท ไอ้ที่พูดกันนี่มันนิดเดียว ทุกฝ่ายก็ออกมาระบุแล้วว่า มันถูกต้อง มันไม่มีอะไร ทำไมต้องไปวิตก ไม่เห็นมีอะไรน่าวิตก คนที่วิตกไปเองคือ คนที่หาเรื่องมากกว่า” (นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 28 มี.ค. 2546)
พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุอีก ว่า นายกรเทพไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย (นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 29 มี.ค. 2546)
เรื่องนี้ นางภัทราภรณ์ วิริยะ ภรรยาของ “ชิปปิ้งหมู” ได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ พ.ต.ต.พิเชษฐ์ ฟองฟู สารวัตรเวรเจ้าของคดี สอ.อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่า “ชิปปิ้งหมูสามี ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในพื้นที่มาก่อน แต่ไม่ทราบเรื่องราวลึกๆ เกี่ยวกับสามีมาก่อน เพราะไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งนั้น” (นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 29 มี.ค. 2546)
5. คดีสังหารนายเจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ตำบลบ่อนอก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และแกนนำต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอกในปี 2538 นายเจริญเป็นแกนนำคนสำคัญการคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จนถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง กระทั่งการคัดค้านของชาวบ้านประสบผลสำเร็จ รัฐบาลมีคำสั่งให้ย้ายโรงไฟฟ้าออกจากพื้นที่ การต่อสู้แบบไม่ยอมถอยของนายเจริญทำให้หลายฝ่ายยกย่องและให้การยอมรับเป็นอย่างมาก โดยถูกรับเชิญให้เป็น วิทยากรเพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์แก่ชาวบ้านทั่วประเทศ และได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่มีนิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอธิการบดี กระทั่งมาถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 บริเวณทางเดินเข้าบ้าน หลังเดินทางไปยื่นข้อมูลความผิดปกติ ในการออกเอกสารสิทธิที่ดินสาธารณะให้กับ คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา
ทั้งนี้ จำเลย ได้แก่ นายเสน่ห์ เหล็กล้วน และ นายประจวบ หินแก้ว เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทว่า มือปืนทั้งสองได้เสียชีวิตขณะถูกคุมขังในเรือนจำ จากอาการระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ก่อนขึ้นให้การต่อศาล โดยนายประจวบ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2549 ส่วนนายเสน่ห์ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2549

ทั้งนี้ นายธนู หินแก้ว ทนายความ, นายมาโนช หินแก้ว สจ.ประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก บิดาจำเลยที่ 3 และ 4 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 3-5 ในความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อ วันที่ 30 ธ.ค. 2551 ว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามฟ้องให้ประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 4-5 ให้ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง โดยโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4-5
กระทั่งศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษา ลงวันที่ 15 มี.ค. 2556 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และในส่วนจำเลยที่ 4 และ 5 พิพากษายืนยกฟ้อง
ไม่ว่าใหญ่หรือเก๋าเกมแค่ไหน ลองเป็นเรื่องความแค้นและผลประโยชน์ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นได้ ทำให้คิดย้อนไปสู่ยุคมืดของจริงสมัยรัฐบาลเผด็จการทหาร
อย่าง คดีสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรี มาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2492 หลังเหตุการณ์กบฏวังหลวง นำโดย นายปรีดี พนมยงค์ ที่ก่อการไม่สำเร็จ ต้องแยกย้ายกันหลบหนี รัฐบาลในขณะนั้นได้ส่งตำรวจติดตามไล่ล่า และเกิดการสังหารกันต่อเนื่อง เช่น พ.ต.โผน อินทรทัต ถูกกระสุนปืนยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าผาก ศพอยู่ที่พบที่อำเภอดุสิต ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 , พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ก็ถูกยิงเสียชีวิตหลังจากถูกจับกุม เป็นต้น
สำหรับบุคคล 4 คน ที่เสียชีวิตตามมา ประกอบไปด้วย นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ อดีต ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี พรรคสหชีพ และเป็นอดีตรัฐมนตรีถึง 6 สมัย , นายถวิล อุดล อดีต ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเดียวกัน เป็นอดีตรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ , นายจำลอง ดาวเรือง อดีต ส.ส.จังหวัดมหาสารคาม พรรคเดียวกัน และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ อดีต ส.ส.จังหวัดนครนายก และเลขาธิการพรรคแนวรัฐธรรมนูญ โดยหลังจากที่ทั้งหมดถูกจับกุม โดยระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่นั้น บรรดาญาติของผู้ต้องหาไม่ได้มีความระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านั้นบุคคลทั้ง 4 ได้เข้า ๆ ออก ๆ เรือนจำเป็นประจำอยู่แล้วในข้อหาทางการเมืองต่าง ๆ
กระทั่งค่ำวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2492 ตำรวจได้เคลื่อนย้ายผู้ต้องหาทั้งหมดไปไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน โดยอ้างเหตุความปลอดภัย ด้วยรถของตำรวจหลายเลขทะเบียน กท. 10371 โดยมี พ.ต.อ.หลวงพิชิตธุรการ เป็นผู้ควบคุม โดยรับ ดร.ทองเปลว ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน นายจำลองที่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา นายถวิลที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง และนายทองอินทร์ที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน เมื่อวิ่งมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 12 ถนนพหลโยธิน เวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 4 มีนาคม ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตด้วยกระสุนร่างละไม่ต่ำกว่า 10 นัด ในสภาพที่ทุกคนยังสวมกุญแจมืออยู่ โดยได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลกลาง ต่อมาตำรวจแถลงว่า ในที่เกิดเหตุกลุ่มโจรมลายูพร้อมอาวุธครบมือได้ดักซุ่มยิงเพื่อชิงตัวผู้ต้องหา และได้มีการปะทะกับตำรวจ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ตำรวจทั้งหมดราว 20 นายไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย
ลองไล่ให้ดูกันพอสังเขป ถึงยุคมืด ชนวนสังหารและการอุ้มฆ่าในอดีต แม้จะต่างกรรม ต่างวาระ แต่ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งกับ “เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์” เอกยุทธ อัญชันบุตร ในวันนี้...