PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

ล้มแผน "ตู่" ปราศรัย พรรคพลังประชารัฐกลัวโดนรุมกินโต๊ะ


แต่ยังจัดคิวให้ลงพื้นที่ช่วย ผบ.ทบ.ฟัด"เสรีพิศุทธ์"3คดี กกต.ใช้12ล้านทัวร์นอกดูงาน



“ประยุทธ์-พปชร.” ผวาพรรคการเมืองรุมกินโต๊ะ พับแผนเข็น “ลุงตู่” ช่วยปราศรัย-หาเสียงโกยแต้มโค้งสุดท้าย แกนนำถกเครียดได้ไม่คุ้มเสีย สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ตกเป็นเป้ากระสุนตกปรับกลยุทธ์ให้นายกฯเดินพบคนกรุงให้กำลังใจ ผู้สมัคร ส.ส.แทน “บิ๊กตู่”โอดขั้วการเมืองจ้องถล่มตั้งแท่นเชือด ยัน 194 ส.ว.ไม่มีคนในราชการ “บิ๊กป้อม” ฟ้องดะพวกแชร์ข่าวเท็จ ซดกาแฟแก้วละหมื่นสอง ผบ.ทบ.จัดหนักสั่งแจ้งจับ “เสรีพิศุทธ์” 3 คดี “หมิ่นประมาทส่วนตัวเหยียดหยามเครื่องหมายพระราชทาน-ผิด พ.ร.บ.คอมฯ-ดูหมิ่นทหารประกบลงพื้นที่ปราจีนฯ” หน.เสรีรวมไทยไม่แคร์ไล่ “บิ๊กแดง” ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน โฆษก อนค.โต้ “ธนาธร” ขายแล้วหุ้นฉ้อโกง ฟ้องกลับ “จุลเจิม-ทีนิวส์” 7 กกต.สลับบินดูเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร สื่อสวดงดประชุมคำร้องตกค้างเพียบ

หลังจากพรรคการเมืองจับจ้องว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะกล้าไปขึ้นเวทีปราศรัยและหาเสียงช่วยพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ล่าสุดแกนนำพรรคพลังประชารัฐตัดสินใจยกเลิกพับแผนใช้ พล.อ.ประยุทธ์ร่วมปราศรัยแล้ว เพราะเกรงพรรคการเมืองคู่แข่งรุมกินโต๊ะจับผิดการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมาย ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับร้องขอความเห็นใจอย่าเอาเป็นเอาตายกันนัก

“บิ๊กตู่” ตายังเจ็บสวมแว่นดำถก ครม.

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 5 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่า ตกลงใจจะไปขึ้นเวทีปราศรัยพรรคพลังประชารัฐ ที่ จ.นครราชสีมา วันที่ 10 มี.ค.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบคำถาม แต่ได้ชี้นิ้วไปที่ตาว่ายังเจ็บตาอยู่ โดยยังคงสวมแว่นปรับแสง (ออโต้เลนส์) กันแดดและแสงแฟลช ยังไม่หายดีหลังเข้ารับการรักษาต้อกระจกเมื่อวันที่ 1 มี.ค. จากนั้นนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำคณะผู้บริหาร ดารานักแสดง อาทิ “ปุ๊กลุก” ฝนทิพย์ วัชรตระกูล “มิ้นต์” ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง และ “น้ำตาล” พิจักขณา วงษารัตนศิลป์ เข้าพบประชาสัมพันธ์งาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” และเปิดตัวภาพยนตร์และแอนิเมชัน “รามเกียรติ์” จากกิจกรรมรอบพระระเบียงพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตอน “รามาวตาร” เปิด ให้ชมฟรีตั้งแต่เดือน เม.ย.-พ.ค.62

จากนั้นนายกฯชมศิลปะการแสดงและชมการแสดงโขนเด็ก ได้ถือตรีเพชรอาวุธของหนุมานขึ้นก่อนดักคอสื่อว่า “เดี๋ยวก็ไปโพสต์นายกฯถือกริชไว้ต่อสู้กับคนอีก ปัดโธ่” หลังแสดงจบลงนายวีระบอกว่า สื่อมีคำถาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ถามอะไรหรอก ถามอย่างเดียวจะไปหาเสียงหรือไม่ จะร่วมดีเบตหรือไม่ถามอยู่แค่นี้

ซัดจะปลูกกัญชา 6 ต้นพูดเลอะเทอะ

ต่อมา ที่ห้องโถงตึกบัญชาการ 1 พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเสนอนิทรรศการผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) โดยนายกฯกล่าวกับตัวแทน ผู้ร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่นว่า ทุกคนต้องช่วยกันและตนต้องทำให้จังหวัดอื่นๆ ด้วย ก่อนหน้านี้มีใครเคยทำให้แบบนี้หรือไม่

ต่อมา นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ประชาสัมพันธ์นิทรรศการงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 16 ชมกิจกรรมสาธิตองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยนายกฯเยี่ยมชมโครงการ “ผลิตสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์”พร้อมกล่าวว่า หลายคนบอกจะไปปลูก ถามว่าปลูกให้ใคร จะขายใครต้องวิจัย ก่อน ไม่ใช่พูดจาเลอะเทอะ จากนั้นนายกฯหันมากล่าว กับสื่อว่า ต้องไปสร้างการเรียนรู้ ขั้นตอนมีเยอะแยะ จะปลูกกันคนละ 6 ต้น มันไม่ใช่มั้ง ไม่ได้ว่าใคร แต่อยากให้เข้าใจ ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ได้พบกับ “น้องเบสท์” ด.ญ.ภัทรภร มุกโชควัฒนา นักแสดงเด็กที่รับบทรำเพยในละคร “ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง” นายกฯได้เข้าไปสวมกอดพูดหยอกล้ออย่างเอ็นดู

โวกายใจฟิตปั๋งดูผลตรวจจะตกใจ

จากนั้นเวลา 13.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม. ถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐวางแผนให้ขึ้นปราศรัยหาเสียงที่ จ.นครราชสีมา วันที่ 10 มี.ค. ว่า ตอนนี้ยังหารือกันอยู่ ต้อง ดูองค์ประกอบว่าทำอะไรได้บ้าง ปัญหาทางสายตาจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหรือไม่นั้นตอนนี้ยังไม่หายเป็นปกติ หมอยังให้ระมัดระวังอยู่สักระยะหนึ่ง ให้ถนอมสายตา วันนี้ใส่แว่นมาป้องกันแสงแฟลชของสื่อด้วย เพราะถ่ายภาพกันจัง แต่ไม่เป็นไร อยากถ่ายก็ถ่ายไปตนต้องรักษาตัว ที่ถามว่าปัญหาสายตาจะส่งผลต่อการตัดสินใจหรือไม่นั้น ตากับใจคนละเรื่อง ยังแข็งแรงทุกอย่าง ถ้าดูผลการตรวจแล้ว จะตกใจ ตนแข็งแรงทุกประการ ใจก็แข็งแรงอยู่ไม่มีท้อแท้ เพราะทำงานให้ประชาชน ทั้งวันนี้และทำเพื่ออนาคตไปด้วย

ร้องขอเห็นใจผวาคู่แข่งจ้องเชือด

“ส่วนการช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงต้องดูว่าจะทำได้อย่างไร หลายคนจ้องตาเป็นมัน เอาละเตรียมขึ้นเขียงแล้ว ต่อไปนี้จะเตรียมฟ้อง คือตั้งแท่นรอฟ้องไว้เลย ผมต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายให้ดีว่าจะทำอะไรได้บ้าง เห็นใจผมเถอะ อย่าเอาเป็น เอาตายกับผมนักเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวและว่าเรื่องการหาเสียงสื่อถามมาหลายข้อ คิดว่ามันก้ำกึ่ง ต้องระมัดระวังไว้ก่อน ฉะนั้น อาจต้องปรับวิธีการรูปแบบว่าจะทำอย่างไรได้ต่อไป และในวันนี้ตนพบประชาชนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ทำได้ตามกฎหมายทุกประการ เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับกระแสที่ระบุว่าเลือก พล.อ.ประยุทธ์แต่ไม่เลือกพรรคที่ให้ชื่อไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ ว่าเขาทำโพลมาอย่างไรเรื่องคำถามคำตอบ ถ้าเขียนแยกเขาก็ตอบแยก ต้องดูว่าเขาต้องการอะไร ความสงบเรียบร้อยอะไรหรือเปล่า อดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตควรจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของประชาชนจะตัดสินใจ

พ้อสื่อไม่ห่วงกันเลยจะถูกฟ้อง

เมื่อถามว่า จะมีความชัดเจนในการลงไปช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงได้เมื่อไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อไม่ห่วงตนเลย ไม่ห่วงว่าตนจะถูกฟ้องร้องหรือไม่ห่วงกันเลยนะ กรณีที่พรรคพลังประชารัฐมีแผนให้ตนลงพื้นที่ กทม.ช่วยหาเสียงยังพิจารณาอยู่ และเรื่องทีมรักษาความปลอดภัยระหว่างลงพื้นที่ต่างๆยังใช้ได้ เพราะตนเป็นนายกฯ

ยัน 194 ส.ว.ไม่มีคนอยู่ในราชการ

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการสรรหา ส.ว. พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า คณะกรรมการสรรหา ส.ว.ที่ตั้งขึ้นต้องทำงานด้วยความเที่ยงธรรม เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประชาธิปไตยที่แข็งแรง ไม่ต้องห่วงที่สรรหาจาก 400 คนส่งให้ คสช.คัดเหลือ 194 คนมาจากทุกภาคส่วน ไม่มีใครอยู่ในราชการสักคนเดียว ด้วยกติกาหลายอย่าง เช่น ไม่เป็นบอร์ดในบริษัทต่างๆ ไม่เป็นข้าราชการ ต้องไม่ทำให้ปัญหาเดิมๆเกิดขึ้นอีก ที่มีทั้ง ส.ว.แต่งตั้งและเลือกตั้งสลับไปมา วันนี้ลองดูแบบนี้บ้าง อย่างน้อย 5 ปี จะได้เห็นการ เปลี่ยนแปลงประเทศ และถึงอย่างไร ส.ว.ต้องทำตามกฎหมาย คงไม่มีบทบาทอะไรมากนัก เมื่อถามว่าประชาชนอยากเห็นรายชื่อคณะกรรมการสรรหา ส.ว. พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า เอาไว้ดูรายชื่อ ส.ว.ทีเดียว กรรมการคือกรรมการ ท้ายที่สุดตนต้องตัดสินใจอยู่แล้ว ไม่เลือกข้างใครทั้งสิ้น

“บิ๊กป้อม” ชี้แชร์ซดกาแฟหรูว่าตาม ก.ม.

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.จับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่มีพฤติกรรมเผยแพร่หรือส่งต่อข้อความข่าวสารอันเป็นเท็จ โดยมี พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รวมอยู่ด้วย กรณีเผยแพร่ข่าว พล.อ.ประวิตรดื่มกาแฟแก้วละ 12,000 บาท โดยใช้งบสวัสดิการในตำแหน่ง รวมเป็นเงิน 82,000 บาท ก่อให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงานรัฐและความมั่นคงของชาติว่าดำเนินคดีไปตามกฎหมาย และมีอีกที่โพสต์ลักษณะแบบนี้ มีเยอะก็จับไปเรื่อย

ย้อนสื่อถามฟัน อนค.

เมื่อถามถึงกรณีมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่โจมตี คสช. พล.อ.ประวิตรกล่าวว่าก็ดำเนินคดีไปปกติ เมื่อถามว่า การดำเนินคดีคนแชร์ข่าว พล.อ.ประวิตรกินกาแฟราคาแพงได้อย่างรวดเร็ว พอใจหรือไม่ พล.อ.ประวิตรจะพอใจได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อถามว่า พรรคอนาคตใหม่ระบุ คสช.กลัวว่าพรรคอนาคตใหม่จะชนะการเลือกตั้ง จึงดำเนินคดีกับแกนนำพรรค พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ก็รู้อยู่แล้วจะถามทำไมวะ” เมื่อ ถามว่า การดำเนินคดีในช่วงการเลือกตั้งจะส่งผลเสียต่อ คสช.หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่เป็นผลเสีย กฎหมายจะเว้นวรรคได้หรือ” เมื่อถามกรณีที่ ผบ.ทบ.แจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ผบ.ทบ.เป็นเจ้าของกองทัพบก เมื่อไปด่าเขา เขาก็แจ้งความเป็นเรื่องธรรมดา

250 ส.ว.จิ้มได้เลยไม่ต้องถามเจ้าตัว

พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการสรรหา ส.ว.ว่า เรื่องนี้ดำเนินการไปตามขั้นตอน วันนี้ยังไม่มีการนัดประชุมคณะกรรมการสรรหา ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงอย่างไรจะพิจารณาทันภายในวันที่ 9 มี.ค.แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าคณะกรรมการฯเคาะรายชื่อ ส.ว.ทั้งหมดแล้ว พล.อ.ประวิตรกล่าวย้อนว่าใครเคาะจะมีใครบ้างยังไม่รู้ ยืนยันว่าจะทำเสร็จก่อนกำหนด และการคัดเลือกไม่จำเป็นต้องถามความสมัครใจของผู้ถูกเสนอชื่อ เราจะพิจารณารายชื่อที่ถูกเสนอมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช.หนึ่งในคณะกรรมการสรรหา ส.ว.เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล คาดว่ามาประชุมคณะกรรมการสรรหาฯ

รปภ. “บิ๊กตู่” เหมือนนักการเมือง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์เตรียมขึ้นเวทีปราศรัยให้พรรคพลังประชารัฐที่ จ.นครราชสีมาวันที่ 10 มี.ค.ว่ายังไม่ทราบกำหนดการว่าไปจังหวัดไหนก่อน แต่เจ้าหน้าที่ทุกจังหวัดต้องปฏิบัติไม่ก่อให้เกิดปัญหากฎหมาย การใช้ทรัพยากรทางราชการหรือเวลาราชการ ต้องดูแลตามความเหมาะสมที่กฎหมายเปิดให้ทำได้ เช่น การรักษาความสงบเรียบร้อยให้ปฏิบัติเหมือนนักการเมืองพรรคอื่นลงพื้นที่ ต้องระมัดระวังให้ดีเพราะจะสุ่มเสี่ยงการกระทำผิดกฎหมาย ถ้ามีข้าราชการไปต้อนรับนายกฯจะผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ทราบต้องไปถาม กกต.แต่เชื่อว่านายกฯคงระมัดระวังอยู่แล้วไม่ให้เกิดเป็นประเด็น การรักษาความปลอดภัยปฏิบัติไปตามหน้าที่ ทุกพื้นที่ต้องระมัดระวังหากมีใครไม่หวังดีไปทำอะไรเกินเลย จะกลายเป็นประเด็นที่จะไปถึงตัวนายกฯ

ผบ.ทบ.สั่งแจ้งจับ “เสรีพิศุทธ์” 3 คดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค. พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ข้อหาหมิ่นประมาทในนามส่วนตัว สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง มีการพูดถึงเครื่องหมายติดอยู่บนเครื่องแบบทหารของ พล.อ.อภิรัชต์ ด้วย

ข้อความไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ย่อมรู้ความหมายของเครื่องหมายต่างๆดีว่าหมายถึงอะไร มีที่มาอย่างไรโดยเฉพาะเครื่องหมายพระราชทาน นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์เตรียมให้ฝ่ายกฎหมาย คสช.แจ้งความดำเนินคดี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กระทำความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลังนำข้อความดังกล่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไปโพสต์ในเพจ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ รวมถึงแจ้งความข้อหาดูหมิ่นดูแคลนเจ้าพนักงาน จากกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไล่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความปลอดภัย ระหว่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงที่ อ.เมืองปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 4 มี.ค.

ผบ.ตร.รุดเข้ากองปราบกำชับคดี

ต่อมา พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป.เป็นผู้ควบคุมสำนวนการสอบสวน หลังจาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช.และ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติฝ่ายกฎหมาย คสช.เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเอาผิด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยช่วงเช้าก่อนแจ้งความ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้เดินทางมาที่กองบังคับการกองปราบปราม เพื่อกำชับและตรวจสอบด้วยตัวเอง พร้อมกล่าวสั้นๆว่า “มาติดตามภารกิจเรื่องอื่น” อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.จิรภพและชุดพนักงานสอบสวน ปฏิเสธจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแจ้งความครั้งนี้ บอกเพียงว่าฝ่ายทหารจะเป็นผู้ให้รายละเอียด

ทบ.แจงเหตุดูแคลนเครื่องแบบทหาร

ที่ บก.ทบ. พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนลักษณะหมิ่นประมาทพาดพิงผู้บังคับบัญชาและกองทัพ ใช้ถ้อยคำรุนแรงพาดพิงผู้บังคับบัญชาบ่อยครั้ง ล่าสุดได้กล่าวเปรียบเทียบด้วยข้อมูลบิดเบือนต่อผู้นำและกองทัพบก ด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าการวิ่งเต้นขอตำแหน่งหรือการติดประดับเครื่องหมาย อันทรงเกียรติของข้าราชการทหารลงบนเครื่องแบบ ทำนองดูถูกเหยียดหยาม ดูแคลนเครื่องแบบทหาร จงใจก้าวล่วงไม่เคารพในเครื่องแบบที่สำคัญยิ่งต่อข้าราชการทหารและองค์กร ด้วยเพราะเครื่องแบบเป็นสัญลักษณ์ แสดงถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อแผ่นดินและการแต่งเครื่องแบบยังมีการประดับเครื่องหมายยศที่ได้รับพระราชทานและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติต่างๆ กองทัพบกจำเป็นต้องใช้สิทธิอันชอบธรรมปกป้องเกียรติภูมิขององค์กร ไม่ให้ถูกนำไปกล่าวถึงอย่างขาดจิตสำนึก ผบ.ทบ.มอบให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่าได้นำไปเชื่อมโยงให้เป็นประเด็นทางการเมือง หรือนำไปกล่าวหาว่ามีการใช้อำนาจพิเศษใดๆ เพราะเป็นการใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมาย

หยามหมิ่นทหารประกบที่ปราจีนฯ

พ.อ.วินธัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กรณีคลิป พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ต่อว่าเจ้าหน้าที่ทหารขณะลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.ปราจีนบุรี ทหารที่ดูแลความเรียบร้อยประจำพื้นที่ท้องที่ กองทัพได้ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีการดำเนินการใดๆที่จะกระทบกิจกรรมทางการเมืองของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เจ้าหน้าที่สุภาพอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ ดูให้เกียรติต่อบุคคลอื่น ไม่มีทีท่าก้าวร้าวหรืออวดเบ่ง ถึงแม้ว่าจะถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ต่อว่าเหน็บแนมด้วยคำพูดถ้อยคำที่รุนแรงขณะปฏิบัติหน้าที่ การแสดงออกของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์หลายฝ่ายเห็นว่าเหมือนแสดงออกตรงข้ามกันทั้งที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและอยู่ในสถานะบุคคลสาธารณะ เชื่อว่าสังคมจะพิจารณาเองตามภาพที่ปรากฏ ขอย้ำให้ทราบว่าทหารเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย จะยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ดูแลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย

“บิ๊กโจ๊ก” ไล่ล่าฟันสปอนเซอร์เว็บ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. กล่าวถึงการออกหมายเรียก พล.ท.พงศกร รอดชมพู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ร่วมแชร์ข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เบิกงบกาแฟแก้วละ 12,000 บาท ว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค. พล.ท.พงศกรติดต่อผ่านตนเพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาช่วงเย็น ถึงเวลาให้เลขาฯส่วนตัวแจ้งเลื่อนเป็นวันที่ 10 มี.ค. แต่ถึงจะขอเลื่อนถ้าออกหมายเรียกไป 2 ครั้งแล้วยังไม่มาพบพนักงานสอบจะถูกออกหมายจับตามขั้นตอน ส่วนเว็บไซต์ที่แชร์ข่าวบิดเบือนมีใครสนับสนุนหรือสปอนเซอร์ เจ้าหน้าที่จะสืบสวนสอบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีทั้งหมด ผู้สื่อข่าวถามว่าการดำเนินคดีต่างๆกับพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลมีใบสั่งหรือไม่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ตอบว่าไม่มีใบสั่งใครทั้งสิ้น พรรคไหนทำผิดกฎหมายถูกดำเนินคดีทั้งหมด ไม่เลือกปฏิบัติ

“ศรีวราห์” ตำหนิตำรวจทำโพล

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีตำรวจ จ.เชียงใหม่ ทำโพลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งว่าได้ตำหนิ ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ด้วยวาจา และสั่งให้ยุติการสำรวจความคิดเห็นข้าราชการตำรวจในสังกัด เนื่องจากจะทำให้เกิดประเด็นและข้อครหา ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ ยืนยันเป็นการสำรวจเฉพาะกลุ่มตำรวจ ไม่ได้สำรวจความเห็นประชาชน ส่วนตัวเห็นว่ายังไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 72 และมาตรา 157 ของกฎหมายเลือกตั้ง ไม่เข้าข่ายชี้นำหรือเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็น ความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ระหว่างเวลา 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง คงไม่ต้องมีคำสั่งกำชับตำรวจทั่วประเทศในเรื่องนี้ เพราะที่ตำหนิตำรวจเชียงใหม่ไปน่าจะทำให้ตำรวจทั่วประเทศ ไม่กล้าทำแบบสำรวจเช่นนี้อีก

“อุตตม” ชี้สนาม กทม.ไม่หมู

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ประธานยุทธศาสตร์กรุงเทพฯ ร่วมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. 30 คน พร้อมโชว์วิสัยทัศน์และนโยบาย นายอุตตมกล่าวว่าวันนี้พรรคพลังประชารัฐมีพลัง เห็นได้จากการตอบรับของประชาชนและคู่แข่ง เราคิดทำนโยบายดีๆให้คนไทย โดยเฉพาะ กทม.เรามีนโยบาย Bangkok ok 5 ด้าน เรามีนโยบายที่โดนใจเป็นรูปธรรมทำได้จริง หากได้เป็นรัฐบาลจะทำทันที วันนี้พวกเราก้าวเข้ามาแล้วขอให้มั่นใจว่าไม่น้อยหน้าใคร แม้การแข่งขันใน กทม.ไม่หมู มีเจ้าของพื้นที่แต่ต้องทำให้ดีที่สุดเต็มที่ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้คน กทม.

“สนธิรัตน์” มั่นใจขี่กระแสจัดตั้ง รบ.

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะขอคะแนนช่วงโค้งสุดท้ายจากพี่น้องชาว กทม.เพื่อเปลี่ยน กทม.ไปกับพวกเรา จนถึงวันนี้กระแสของพรรคดีวันดีคืน เราทุ่มเทจริงใจ มีคนมีความรู้ความสามารถ มีนโยบายที่ดี ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของเราบางเขตช่วงเปิดตัวใหม่ๆเคยอยู่อันดับ 2-3 แต่วันนี้ขยับขึ้นมาตีคู่พรรคคู่แข่ง เชื่อว่าเร็วๆนี้จะชนะใจคน กทม.ทั่วประเทศ วันนี้พรรคพลังประชารัฐกระแสมาแรงมาก แม้จะมีข้อมูลออกมาทำให้หวั่นไหว แต่เราทำโพลมาตลอดขอให้มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขณะนี้การหาเสียงเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเข้มข้น ทุกพรรคลงพื้นที่อย่างหนัก อยากวิงวอนแกนนำบางพรรคหยุดพูดโจมตีดิสเครดิตนายกฯได้แล้วเหลือเอาเวลาไปหาเสียงนำเสนอนโยบายดีกว่า ไม่ใช่ไปเวทีไหนก็โจมตีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สร้างสรรค์เลย ส่วนที่ร้องเรียนคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจว่าคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เข้าใจบางพรรคร้องเรียนรายวันน่าเบื่อมาก หยุดโจมตีการสืบทอดอำนาจได้แล้ว อำนาจเป็นของประชาชนไม่สามารถสืบทอดกันได้

อัดฉีดเพิ่มค่าเกี่ยวข้าวไร่ละ 3.5 พัน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเตรียมให้ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยหาเสียงขึ้นเวทีปราศรัยว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ช่วยพรรคหาเสียงได้จะเป็นประโยชน์ต่อคะแนนและกระแสของพรรคเป็นเชิงบวกสูงอย่างมาก ประชาชนอยากฟังท่านพูดปราศรัยและยินดีออกมาต้อนรับอย่างล้นหลาม แต่ทีมงานต้องศึกษารายละเอียดข้อกฎหมายวางแผนให้รอบคอบอะไรทำได้หรือไม่ได้ ไม่ให้ทำผิดกฎหมายและข้อบังคับ พรรคต่างๆจ้องจะรุมกินโต๊ะทั้งพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงเวลานี้ 20 ที่นั่ง ส.ส.ภาคเหนือไม่น่ามีปัญหา มั่นใจว่าจะได้ตามเป้า กระแสพรรคดีอยู่มาก สัปดาห์หน้าจะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ จ.สุโขทัยและเชียงราย โดยได้ทำนโยบายใหม่ถูกใจชาวนาจากเดิมรัฐให้ค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 2,000 บาท ครอบครัวละ 20 ไร่ ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาลจะเพิ่มให้อีกไร่ละ 1,500 บาท เป็นไร่ละ 3,500 บาท ตกแล้วได้ครอบครัวละ 70,000 บาทเลย เงินที่เพิ่มเอาจากเงินค่าเก็บข้าว ชะลอขายข้าวเปลือก ปีที่ผ่านมายังไม่ได้ใช้เลยจะปรับเอามาช่วยชาวนา มั่นใจว่าช่วยชาวนาให้มีรายได้เพิ่ม ลดหนี้สิน ทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

ล้มแผน “บิ๊กตู่” ขึ้นเวทีหวั่นถูกรุมกินโต๊ะ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า จากเดิมที่พรรควางแผนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยพรรคหาเสียงโค้งสุดท้าย 3 สัปดาห์เพื่อเรียกคะแนนหลังโพลหลายสำนักยังมีคะแนนเป็นรอง เริ่มเวทีแรกที่ จ.นครราชสีมา วันที่ 10 มี.ค. เวียนไปภาคต่างๆรวมถึง กทม. แต่เมื่อวันที่ 5 มี.ค. แกนนำพรรคได้ประชุมประเมินสถานการณ์อีกครั้งได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่จะได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากเงื่อนไขกฎหมายที่ต้องระวังอย่างมากแล้ว จะตกเป็นเป้าถูกรุมโจมตีจากฝ่ายต่างๆอย่างหนัก กลายเป็นประเด็นที่แกนนำพรรคต้องคอยตอบโต้ อาจส่งผลกระทบประชาชนหันไปสนใจประเด็นขัดแย้งมากกว่านโยบาย แต่จะปรับมาใช้กลยุทธ์ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ กทม.พบปะประชาชนแบบไม่เป็นทางการ เหมือนการไปให้กำลังใจผู้สมัครในพื้นที่ไปในตัว

“สุริยะ” ฟุ้ง ศก.ดียกหนี้กองทุนหมู่บ้าน

ที่สนามข้างโรงพยาบาล อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ พร้อมนายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาสตร์ภาคกลาง ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 10 หาเสียง มีประชาชนมารับฟังจำนวนมาก นายสุริยะปราศรัยว่า ถ้าพรรคได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะพักหนี้กองทุนหมู่บ้าน ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 3 ปี เมื่อเราเข้าไปบริหารได้ 2-3 ปีเศรษฐกิจจะดีขึ้น ประเทศมีรายได้มากขึ้น หนี้ที่พักไว้อาจได้ยกหนี้ไปเลย จะเสนอตั้งกองทุนประชารัฐให้ประชาชนกู้ไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันจะให้หมู่บ้านละ 2 ล้านบาท และสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มวงเงินเอาไปซื้อสิ่งจำเป็น คนไม่มีบัตรจะสำรวจใหม่ถ้าเข้าคุณสมบัติจะทำให้ อีกหนึ่งนโยบายสร้างงานในพื้นที่ เช่น สร้างโรงงานให้ลูกหลานคน โคราชไม่ต้องออกไปหางานทำ ราคามันสำปะหลังอย่างน้อยต้องกิโลกรัมละ 3 บาท ขอให้เลือกนายสุภรณ์และพรรคพลังประชารัฐยกจังหวัด 5-6 เดือนที่ผ่านมาได้รับข้อมูลว่ามีเศรษฐีใจบุญแจกจ่ายเงินให้ชาวบ้านในพื้นที่ เป็นผู้สนับสนุนพรรคขนาดกลางพรรคหนึ่ง อย่าหลงไปเชื่อที่เขาบอกว่าจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลประวัติศาสตร์การเมืองไม่มีพรรคขนาดกลางเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คือพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐ

“ชัชชาติ” ลุยหาเสียงเขตดินแดง

เมื่อเวลา 06.00 น. ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย (พท.) ลงพื้นที่เขตดินแดง-ห้วยขวาง ช่วยนายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 5 หาเสียง โดยเดินทักทายประชาชนที่มาออกกำลังกายในสนาม พร้อมร่วมซิตอัป ยกน้ำหนักกับประชาชนบางจุด จากนั้นขึ้นรถแห่หาเสียงวนรอบบริเวณแฟลตดินแดง รวมถึงตลาดกลางดินแดงพบปะพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ โดยนายชัชชาติให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่กระแสตอบรับดี แต่ต้องทำงานให้หนักขึ้น จากการสำรวจบริเวณสนามกีฬาฯมีหลายอย่างต้องปรับปรุง เช่น ทางวิ่งยังไม่เหมาะเท่าไร อุปกรณ์บางส่วนเสียหายหรืออุปกรณ์ที่ควรเปิดช่วงเช้า เช่น สนามเทนนิสเปิดแต่ช่วงบ่าย ควรนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เต็มที่ ต้องประสานงาน กทม.ปรับปรุง

ยุส่ง “บิ๊กตู่” ลงพื้นที่วัดเสียงเพิ่มลด

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์เตรียมลงพื้นที่ช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียง นายชัชชาติ กล่าวว่าประชาชนเห็นมา 5 ปีแล้ว จะเดินหรือไม่เดินเราได้เห็นพูดทุกวันศุกร์ แต่ถือว่าดีที่ออกมาเดินหาเสียงหากคนชอบท่านคงจะทำให้ได้คะแนนเพิ่ม แต่ถ้าไม่สนับสนุนอาจทำให้คะแนนลดลง เป็นเรื่องธรรมดา ประเด็นปัญหาความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหน้าที่ กกต.จะพิจารณา การหาเสียงโค้งสุดท้ายไม่ได้กังวล ทุกคนคงลุยหาเสียงกันเต็มที่ เคารพการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ หากไม่ถนัดดีเบตไม่เป็นไร อาจมาให้ประชาชนสอบถามโดยวิธีอื่นก็ได้ ไม่ได้มองว่าเป็นสาระสำคัญ ส่วนกระแสข่าวการซื้อเสียงในหลายพื้นที่ ได้ยินเหมือนกัน ส่วนหนึ่งประชาชนต้องช่วยกัน กกต.ต้องทำงานเชิงรุก ขณะที่พรรคเก็บข้อมูลไว้พอสมควรเหมือนกัน และคงส่ง กกต.ต่อไป ส่วนพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ถ้าถูกยุบ คนที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยคงไม่ย้ายไปเลือกฝ่ายตรงข้าม ผลรวมสมการฝ่ายประชาธิปไตยคงไม่เปลี่ยนมาก น่าจะใกล้เคียงเดิมไม่มีผลอะไร คนย่อมเลือกพรรคที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน

ดันยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวโกย 3 ล้านล้าน

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ท่าเรือยอดพิมานริเวอร์วอล์ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย พร้อมนายโภคิน พลกุล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย แถลงเปิดนโยบายการท่องเที่ยว โดยคุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า การท่องเที่ยวรายได้หลักของประเทศตั้งเป้าเพิ่มนักท่องเที่ยวขึ้น 50 ล้านคน เพิ่มรายได้เป็น 3 ล้านล้านบาทใน 2 ปี เพิ่มจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก 6.4 ล้านคนเป็น 8 ล้านคน เพิ่มนักท่องเที่ยวอิสระกลุ่มคุณภาพจาก 60-70% เป็น 80% ตั้งเป้าเพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อวันจาก 5,000 เป็น 7,000 บาทต่อวัน ยืดเวลาอยู่ท่องเที่ยวในไทย 8-9 วันเป็น 11-12 วัน โดยใช้ 10 ยุทธศาสตร์ดึงดูดนักท่องเที่ยวคือ 1.สร้างความมั่นใจความปลอดภัย 2.เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวทุกจังหวัด ไม่มีเมืองหลัก เมืองรอง ให้ทุกจังหวัดมีที่ท่องเที่ยว 3.เราเก่งสปา นวดแผนไทย ยกวัดโพธิ์เป็นโมเดลสร้างไทยเป็นศูนย์สร้างสุขภาพองค์รวม 4.สร้างบิ๊กอีเวนต์เทศกาลใหญ่ๆให้คนทั่วโลกหลั่งไหลมาเที่ยว เช่น ปีใหม่เคาต์ดาวน์ สงกรานต์ 3 วัน 3 คืน

โมดิฟายโอทอป 1 ชุมชน 1 ของฝาก

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อว่า 5.จะเป็นฮับการท่องเที่ยวภูมิภาค 6.พัฒนาสินค้าโอทอปเป็น 1 ชุมชน 1 ของฝากเพิ่มรายได้จาก 1.9 แสนล้านบาท เป็น 3 แสนล้านบาท 7.ส่งเสริมให้มีไทยแลนด์ ทัวริสต์ แพลตฟอร์ม 8.ปลดล็อกวีซ่าอำนวยความสะดวก 9.เพิ่มเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศลงสู่เมืองใหญ่ในประเทศ และ 10.ทลายอุปสรรคทางกฎหมายที่ทำให้การท่องเที่ยวไม่โต จะเริ่มขยายนโยบายที่ประกาศไว้ที่การปราศรัยลานคนเมือง เกี่ยวกับเศรษฐกิจใหม่ เรื่องแรกคือการท่องเที่ยว เรื่องที่ 2 ราคาพืชผลการเกษตรใหม่ที่จะแถลงวันที่ 6 มี.ค. ที่ จ.หนองบัวลำภู เรื่องที่ 3 คือการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ รองรับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงจะแถลงวันที่ 8 มี.ค. จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ลงพื้นที่สวนสราญรมย์ (ข้างวัดพระแก้วฯ) เดินวิ่งออกกำลังกายและพบปะประชาชน บริเวณสวนสราญรมย์ ช่วยหาเสียงให้ น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 1

“เสรีพิศุทธ์” ไม่สนโดน ผบ.ทบ.ฟ้องอ่วม

เมื่อเวลา 07.30 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ลงพื้นที่ที่ตลาดบ่อบัว ตลาดบางคล้า และตลาดสดพนมสารคาม ช่วย พ.ต.ท.ชอบ เขียวจันทร์ น.ส.สุปรานี ทั่วทิพย์ นาย ณพงศกร แก้วคำ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา หาเสียง จากนั้นช่วงบ่ายเดินทางไปที่ จ.สระแก้ว ช่วย น.ส.อัคลีมา คลังเพชร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 สระแก้ว หาเสียง ที่บริเวณตลาดวังน้ำเย็น โดยได้เสียงตอบรับ จากชาวบ้านอย่างดีทั้งสองพื้นที่ ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีถูก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ฟ้องดำเนินคดีกรณีหมิ่นประมาทเรื่องการดูแคลนเครื่องแบบทหารว่า ไม่มีปัญหาและ ไม่หนักใจ ปล่อยให้ว่ากันไปก่อน หลังเลือกตั้งค่อยมาว่ากัน ไม่อยากไปทะเลาะให้เสียเวลาหาเสียงในช่วงนี้ ขอไล่ให้ ผบ.ทบ.ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน

“วัชระ”หยันนายกฯปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า การทำงานของรัฐบาลไม่ใช่การสืบทอดอำนาจว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ พูดโฆษณาชวนเชื่อให้นักธุรกิจนักลงทุนตามสคริปต์ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯเขียนบทกำกับให้ใช่หรือไม่ อาจทำให้นักลงทุนที่ไม่ได้สัมผัสบริบทระบบเศรษฐกิจที่เป็นจริงในชนบทเชื่อได้ แต่ชาวบ้านคนหาเช้ากินค่ำทั่วประเทศมีคำตอบแล้วว่า 1.รัฐบาลนี้เป็นเผด็จการสมคบกันเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนใหญ่ จนเศรษฐกิจคนรากหญ้าย่ำแย่ทั้งประเทศ 2.รัฐบาลไม่เคยมองประชาชนอยู่ในสายตา ถือว่ามีอำนาจล้นฟ้าตามมาตรา 44 3.พล.อ.ประยุทธ์มุ่งสืบทอดอำนาจโดยตั้งพรรคในเครือข่ายมารองรับ 4.นักการเมืองรุ่นเก่าที่ไปหนุน พล.อ.ประยุทธ์ส่วนใหญ่ต่างมีคดีทุจริตคอร์รัปชันหรือคดีความอื่นติดตัว 5.ชาวบ้านไม่เชื่อเลยว่าจะมีอนาคตที่ดีขึ้น 4-5 ปี

รัฐบาล คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จยังย่ำแย่ขนาดนี้

ชาวบ้านฝากบอก 24 มี.ค. คืนสุข “ลุงตู่” “ส่วนที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ประกาศมั่นใจว่านายกฯประยุทธ์จะได้กลับมาสานต่องานเพื่อประเทศไทยอีกครั้งนั้น เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจนายและโม้ไปวันๆ ความจริงในชนบทสวนทางกับคำพูดของนายสมคิดสิ้นเชิง ผมเดินทางไปพบพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจแย่ และฝากบอกว่าวันที่ 24 มี.ค.จะส่งลุงตู่กลับบ้านไปพักผ่อนเพื่อให้มีความสุข ไม่ต้องมาอารมณ์เสียบ่อยๆให้เจ้าของประเทศได้เห็นอีก” นายวัชระกล่าว

โชว์จุดแข็ง 4 นายกฯ ปชป.ไร้ทุจริต

วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คลิปจุดยืนทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะผ่านเฟซบุ๊ก “Abhisit Vejjajiva” ยาว 40 วินาทีตั้งคำถามนายอภิสิทธิ์ว่าจะสนับสนุนพรรคที่มีประวัติทุจริตหรือไม่ พร้อมคำตอบว่าจะไม่ยอมให้พรรคที่ทุจริตคอร์รัปชันมานำประเทศ ไม่เอาทั้งพวกบกพร่องโดยสุจริต หรือทุจริตเชิงนโยบายที่อ้างเสียงประชาชนมาหาประโยชน์ให้คนกลุ่มเดียว นายกฯ 4 คนของพรรคไม่เคยมีมลทินทุจริต คอร์รัปชัน รัฐมนตรีในรัฐบาลประชาธิปัตย์ เมื่อมีเรื่องอื้อฉาวทุจริตลาออกทันที ปิดท้ายคลิปด้วยข้อความว่า “หมดเวลาเกรงใจแล้ว”

“มาร์ค” โปรยยาหอมชาวไร่อ้อย

ที่ จ.กาญจนบุรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ เหรัญญิกพรรคและผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และคณะลงพื้นที่ตลาดนัดบ้านทุ่งมะสัง หมู่ 3 ต.หนองกุ่ม อ.บ่อพลอย ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กาญจนบุรีมีปัญหาอ้อย ถ้าเป็นรัฐบาลจะปรับระบบให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อย จากนั้นคณะของนายอภิสิทธิ์เดินทางไปหาเสียงต่อที่ตลาดอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี มีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนมอบดอกไม้เป็นกำลังใจอย่างคึกคัก ก่อนไปปราศรัยที่หอประชุมอาคาร 50 ปว โรงเรียนปรีดาวิทย์ว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจะให้เรียนฟรีถึงชั้น ปวส. กู้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)เรียนได้จนถึงปริญญาตรี ยกระดับการศึกษาต้องมีความสามารถและทักษะ เช่น ภาษาต่างประเทศ ไม่ใช่แค่สองภาษา

อนค.โต้ข่าวตี “ธนาธร” ถือหุ้นต้มตุ๋น

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคอนาคตใหม่ น.ส. พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีข่าวปลอมของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เรื่องการถือหุ้นบริษัท PICNI ว่า นายธนาธรถูกโจมตีว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นหลอกลวงประชาชน จากการไล่ลำดับเวลาพบว่าช่วงที่บริษัทดังกล่าวมีปัญหากับช่วงซื้อขายหุ้นของนายธนาธร เป็นคนละช่วงเวลาชัดเจน คดีความเกิดตั้งแต่ช่วงปี 2550-2551 ภายหลังฟ้องร้องมีการฟื้นฟูกิจการและหาผู้สนับสนุนรายใหม่ นายธนาธรเป็นหนึ่งในคนที่ผู้ใหญ่ขอร้องให้เข้าไปซื้อหุ้น ปัจจุบันได้ขายหุ้นไปหมดแล้วก่อนเข้าสู่การเมือง การปล่อยข่าวว่านายธนาธรเข้าไปเกี่ยวกับหุ้นฉ้อโกงประชาชนเป็นการจงใจปล่อยข่าวเท็จ เช่นเดียวกับกรณีบริษัทวันโอซี ที่เผยแพร่ข้อมูลจากสำนักข่าว กรณีดังกล่าวนายธนาธรชี้แจงแล้วว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่นายธนาธรตั้งไว้เพื่อดำเนินกิจการส่วนตัว แต่ไม่ได้มีการดำเนินกิจการใดๆ

โวกระแสดีเว่อร์อาจได้เกิน 70 ส.ส.

น.ส.พรรณิการ์กล่าวอีกว่า ขอให้ร่วมกันตั้งข้อสังเกตว่าทำไมช่วงใกล้เลือกตั้งพรรคอนาคตใหม่ถึงถูกโจมตีทุกวัน วันละหลายเรื่อง ทุกเรื่องที่เราโดนฟ้องจะทำตามกระบวนการตามกฎหมาย เราไม่กังวล เมื่อถามว่ายังคาดหวังว่าจะได้ 70 ที่นั่งตามที่นายธนาธรเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า อาจไม่เหมือนเดิม ตอนนี้เราไม่สามารถพูดถึงผลโพลได้เพราะผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่อีก 20 วัน เราทำงานหนักและเต็มที่ สัปดาห์ที่ผ่านมาช่วงที่มีกระแสข่าวโจมตีพรรคอนาคตใหม่ พอเราลงพื้นที่มีแต่คนให้กำลังใจ ฉะนั้นตัวเลข 70 อาจเป็นตัวเลขในอดีต เราคาดหวังตัวเลขในอนาคตที่ดีกว่านั้น ทั้งนี้ จะจัดงานปราศรัยใหญ่วันที่ 22 มี.ค. ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ช่วงเช้าจะจัดขบวนแห่ปราศรัยประชาสัมพันธ์ ช่วงเย็นจะปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง

สุดทนฟ้องกลับ “จุลเจิม-ทีนิวส์”

ช่วงเย็น ทีมงานประชาสัมพันธ์พรรคอนาคตใหม่ เผยแพร่กำหนดการนัดหมายสื่อมวลชนร่วมทำข่าวพรรคอนาคตใหม่ วันที่ 6 มี.ค. เวลา 08.00 น. ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เพื่อฟ้องร้อง 3 คดี คือ 1.ยื่นฟ้องคดีอาญา ม.จ.จุลเจิม ยุคล โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวหาพรรคอนาคตใหม่และหัวหน้าพรรคมีนโยบายล้มล้างสถาบันฯ 2.ยื่นฟ้องคดีอาญากรณีเว็บไซต์ในเครือ T-news กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่และหัวหน้าพรรคมีนโยบายล้มล้างสถาบันฯ และ 3.ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อบุคคลที่ส่งต่อข่าวเท็จใส่ร้ายพรรคอนาคตใหม่และหัวหน้าพรรคกรณีเป็นเจ้าของโรงเลื่อยเถื่อน

“จตุพร” ซัด กกต.ต้องส่งตีความแต่ต้น

เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ตลาดสด อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ ลงพื้นที่ช่วยนางณัฐพิชา ณ อุบล ผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภู เขต 1 นายธีรธนา ด่านพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภู เขต 2 และนายสมภาร สุขอ้วน ผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภู เขต 3 หาเสียง ประชาชนในตลาดสด อ.ศรีบุญเรือง ต้อนรับเป็นอย่างดี โดยนายจตุพรกล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า พล.อ. ประยุทธ์เป็นข้าราชการการเมือง ตามมาตรา 98 (12) ได้รับยกเว้นเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ว่าคำพูดนายวิษณุไม่ใช่คำตอบสุดท้ายชี้ผิดชี้ถูก ไม่ต้องการให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด ถ้าสุจริตใจตั้งแต่ต้นควรให้ กกต.ส่งเรื่องให้รัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐาน มีคนอื่นไปยื่นร้องแล้ว เป็นหน้าที่ของ กกต.ต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว

หยันวันใหม่ควรเป็นของคนทั้งชาติ

นายจตุพรกล่าวต่อถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ออกซิงเกิลเพลงใหม่ชื่อ “เพลงวันใหม่” ว่า เป็นการคืนความสุขภาคสอง เพลงแรกเพลงคืนความสุข เตรียมการเข้าสู่การยึดอำนาจ เพลงเก่าใช้ไม่ได้แล้ว เพราะไม่ทำตามสัญญาว่าจะคืนอำนาจขอเวลาอีกไม่นาน การแต่งเพลงใหม่จึงเป็นการใช้ความเป็นศิลปินของ พล.อ.ประยุทธ์ที่รู้ว่าต้องเลือกตั้งและหวังคะแนนเพียง 126 เสียง จึงแต่งเพลงวันใหม่หยิบยกเอาเรื่องประชาธิปไตยขึ้นมา แต่ลืมนึกไปว่าช่วง 5 ปีที่ครองอำนาจมา ไม่สามารถสร้างความปรองดองและแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองได้เลย เพลงนี้ไม่น่าตื่นเต้นอะไร ความจริงควรเป็นเพลงวันใหม่ของคนไทยทั้งชาติ ไม่ใช่เพลงวันใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์

“อนุทิน” ถกทูตจีนเกาะติดเลือกตั้งไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยโพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “มิตรภาพยั่งยืน” ระบุว่านายหลี่ว เจี้ยน (Mr.Lyu Jian) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มาเข้าพบแนะนำตัวและสอบถามสถานการณ์การเลือกตั้งของไทย พร้อมยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับจีนที่จะร่วมมือกันพัฒนาประเทศด้านต่างๆต่อไปในอนาคต ตลอดระยะเวลา 4 ปีกว่า เอกอัครราชทูตจากประเทศมหาอำนาจในโลกต่างมาเข้าพบและสอบถามสถานการณ์การเมืองไทยและเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เยอรมนี แคนาดา สิงคโปร์ ฝรั่งเศส สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ อิสราเอล และตัวแทนจากสหภาพยุโรป (อียู) เป็นต้น

เปิดสาขาภาคเหนือที่ปากน้ำโพ

ที่ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ นายอนุทิน เดินทางไปร่วมพิธีเปิดสาขาพรรคภาคเหนือ ร่วมกับนายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรค โดยนายอนุทินกล่าวว่าพรรคเห็นความสำคัญของ จ.นครสวรรค์ ในฐานะชุมชนทางการค้าระหว่างภาคกลางกับภาคเหนือ ต้องการเป็นตัวเลือกที่ดีของพี่น้อง เราไม่แจกเงิน ไม่เน้นแก้ปัญหาชั่วคราว เน้นแก้ปัญหาจริงจังยั่งยืน กัญชาเป็นพืชทางการแพทย์ เขามองเป็นใบไม้มีพิษ เรามองเป็นโอกาส ใบไม้สีเขียวคือธนบัตร ทุกคนทุกบ้านปลูกได้ 6 ต้น มีรายได้ 4 แสนบาทต่อปี รวยซะให้เข็ด

กลุ่มอยากเลือกตั้งบุกไขลาน กกต.

เมื่อเวลา 10.45 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลุ่มประชาชนอยากเลือกตั้ง นำโดยนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ยื่นหนังสือขอให้ กกต.พิจารณายุบพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) รวมถึงขอให้เพิกถอนรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.จากการเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ยังมีฐานะเคลือบแคลงว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขัดต่อคุณสมบัติผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อจากพรรค การเมืองให้ดำรงตำแหน่งนายกฯหรือไม่ อยากให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับที่ กกต.พิจารณายุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)

กกต.งดประชุมบินดู ลต.ต่างแดน

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กกต.ว่า ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ กกต.ไม่มีการนัดประชุมพิจารณาเรื่องสำคัญต่างๆ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ เพราะ กกต. 7 คน ติดภารกิจเดินทางไปดูงานการใช้สิทธิ เลือกตั้งของคนไทยในต่างประเทศ หรือการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรในเวลาไล่เลี่ยกัน เริ่มตั้งแต่ช่วงวันที่ 27 ก.พ.-10 มี.ค. โดยนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ เดินทางไปดูการเลือกตั้งที่สหราชอาณาจักร นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย และนายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ ไปดูการเลือกตั้งที่อเมริกา นายปกรณ์ มหรรณพ และนายฐิติเชฎฐ์ นุชนาฎ ไปดูการเลือกตั้งที่เยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. มีกำหนดจะเดินทางไปดูการเลือกตั้งที่สิงคโปร์ช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยการเดินทางไปดูงาน การเลือกตั้งครั้งนี้ใช้งบประมาณราว 12 ล้านบาทเศษ

วิจารณ์ขรมไม่เหมาะ-งานค้างบาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเดินทางไปดูงานการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ก่อให้เกิดเสียงการวิพากษ์วิจารณ์ในสำนักงาน กกต.ถึงความเหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง มีคำร้องการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองสอบถามวิธีการหาเสียงเข้ามาจำนวนมาก จำเป็นต้องการความชัดเจนโดยเร็วเนื่องจากอยู่ช่วงสุดท้ายของการหาเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงเรียกร้องขอให้ กกต.วินิจฉัยคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในฐานะหัวหน้า คสช.เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯจากพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ เหตุใด กกต.จึงไม่สลับกันเดินทางไปเพื่อให้เหลือ 5 คนเป็นองค์ประชุมพิจารณาเรื่องสำคัญต่างๆได้ เพราะถึงแม้ กกต.จะมีระเบียบ กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่เวลาแต่ละประเทศที่ กกต.เดินทางไปแตกต่างกัน ย่อมไม่สะดวกที่จะประชุม

เลขาฯ กกต.ยันไม่กระทบทำหน้าที่

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า การเดินทางไปดูการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรของ กกต.ที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม ยืนยันว่าไม่กระทบต่อการทำงานของ กกต.และการพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่างๆเช่น กรณีการร้องเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่กำลังประมวลข้อมูลเพื่อส่งให้ กกต.พิจารณา ภายใน 2-3 วันนี้ กกต.จะเดินทางกลับหรือหากมีเรื่องพิจารณาเร่งด่วนสามารถประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้มีการทดสอบระบบแล้วแต่ยังไม่เคยประชุมเป็นทางการ

ไทยรัฐดีเบตสวยหล่อโซเชียล

วันเดียวกัน ไทยรัฐทีวีช่อง 32 จัดดีเบต “ไทยรัฐเลือกตั้ง 62 เวทีดีเบตโซเชียลครั้งที่ 4” หัวข้อ “สวย-หล่อช่วยอะไรได้?”ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ไทยรัฐทีวี เว็บไซต์ไทยรัฐ และยูทูบของไทยรัฐ เวลา 18.00-19.30 น. มีตัวแทน 7 พรรคเข้าร่วม ได้แก่ “หมอเอ้ก” คณวัฒน์ จันทรลาวัลย์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 7 พรรคประชาธิปัตย์ “เก่งวาโย” วาโย อัศวรุ่งเรือง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคอนาคตใหม่ “ฟิล์ม” รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคพลังท้องถิ่นไท “อาย” วราไพรินทร์ ธนวริสพร ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขต 8 พรรคชาติไทยพัฒนา น.ส.เกศศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 27 พรรคเสรีรวมไทย “วิว” เยาวภา บุรพลชัย ผู้สมัครส.ส.กทม.เขต 28 โฆษกพรรคชาติพัฒนา และ “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ

กิติกาเลือกตั้งเทียบปี54กับ62

ระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่เรียกกันว่า “จัดสรรปันส่วนผสม” ซึ่งเตรียมนำมาใช้ในการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 นี้ ถูกมองว่ามีวิธีคำนวณคะแนนเลือกตั้งที่ซับซ้อน หลายคนยังเริ่มไม่แน่ใจว่า ท้ายที่สุดเมื่อถึงเวลาไปกาบัตรลงคะแนน ตัวเองจะได้คนและพรรคตามที่ตั้งใจไปเลือกจริงหรือไม่

วิธีเลือกตั้งแบบนี้ เคยถูกนำไปใช้ในการเลือกตั้งระดับประเทศ เพียงไม่กี่แห่งในโลกเท่านั้น เช่น ที่แอลเบเนีย (เมื่อปี ค.ศ.1992) และเกาหลีใต้ (ค.ศ.1996-2000)

ปัจจุบันแทบไม่มีประเทศใดในโลกที่ใช้ระบบนี้ นอกจากที่แคว้นบาเดน วุดเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของเยอรมนี แต่ก็ใช้ไม่เหมือนกันอีก เพราะพี่ไทยเราเล่นนำเอาระบบ MMP (Mixed-member proportional representation) ของเยอรมนี มายำใหญ่กับระบบผสมคู่ขนาน แบบที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่น

การนำวิธีเลือกตั้งระบบนี้มาใช้กับบริบทการเมืองไทย หลายคนจึงมองว่าไม่ต่างกับการฆ่าตัดตอนพรรคการเมืองขนาดใหญ่และขนาดกลางบางพรรค ซึ่งเคยเป็นขวัญใจของมหาชนในอดีต ยังทำให้พรรคการเมืองโดยรวมมีสถานะที่อ่อนแอลง

เทียบกับกติกาการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ครั้งนั้นใช้ระบบการเลือกตั้ง ส.ส.เขต แบบเขตเดียวเบอร์เดียว จำนวน 375 คน+ส.ส.บัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) อีก 125 คน รวมเป็น 500 คน

โดยแยก ใช้บัตรเลือกตั้งจำนวน 2 ใบ ใบแรกใช้เลือก ส.ส.แบบแข่งเขต (คนที่รัก) อีกใบใช้เลือก ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (พรรคที่ชอบ) เพื่อป้องกันความสับสนในการลงคะแนน หมายเลข ซึ่งผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อจับได้ก็เป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ถูกนำไปใช้ในการเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขตด้วย

ยกตัวอย่าง หัวหน้าพรรค ก จับสลากได้หมายเลข 1 ส่วนหัวหน้าพรรค ข จับสลากได้หมายเลข 2 การเลือกตั้งเมื่อปี 54 ผู้สมัคร ส.ส.ทั้งแบบเขต และปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค ก ก็จะได้หมายเลข 1 เหมือนกันทั่วประเทศทุกเขตเลือกตั้ง ส่วนผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ข ก็จะได้หมายเลข 2 เหมือนกันทั่วทุกเขต

แต่การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงกติกาใหม่ กล่าวคือ เหลือบัตรลงคะแนนเพียงแค่ใบเดียว แต่ยังคงมี ส.ส.ทั้ง 2 ระบบ คือ แบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต โดย ส.ส.แบบแบ่งเขตมีทั้งสิ้น 350 คน บวกกับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 150 คน รวมเป็น 500 คน

ผู้รู้บางคนตั้งข้อสังเกต ภายใต้กติกาใหม่นี้ เท่ากับบีบให้ประชาชนต้องตัดสินใจเลือกเพียง 1 เดียวว่า จะเลือกคนที่รัก หรือเลือกพรรคที่ชอบ ก็เอาสักอย่าง ดังนั้น พรรคการเมืองจึงต้องแก้เกมด้วยการส่งตัวแทนของพรรคลงเลือกตั้งให้มากที่สุด พรรคใดที่ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง หรือหวังจะได้เฉพาะเก้าอี้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อาจต้องล้มหายไปในที่สุด

น่าจับตาว่า ที่ผ่านมาการใช้บัตรเลือกตั้งแบบใบเดียว มักจะบีบให้คนเลือกที่ตัวบุคคล หรือคนที่รักมากกว่าจะเลือกที่นโยบายของพรรคที่ตัวเองชอบ จึงเป็นการบั่นทอนความเข้มแข็งของพรรคการเมืองอีกทาง

ประการถัดมา หมายเลขของผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต กับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเดียวกันในการเลือกตั้งคราวนี้...อาจจะไม่ตรงกัน

เนื่องจากตามกติกาใหม่ กำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.ทุกเขต ต้องจับเบอร์

ผลก็คือ การที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ก ใน กทม. เขตที่ 1 จับได้เบอร์ 1 ผู้สมัครของพรรค ก ใน กทม. เขต 2 อาจจะจับได้เบอร์ 10 ดังนั้น ใน 30 เขตเลือกตั้งของ กทม. หรือในแต่ละเขตเลือกตั้งต่างจังหวัดก็เช่นกัน ผู้สมัครของพรรค ก ในแต่ละเขตเลือกตั้ง อาจจะได้หลายหมายเลขที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อป้องกันการกาผิดพลาด จึงต้องจำให้ขึ้นใจว่า ผู้สมัครที่ตนจะไปลงคะแนนให้ในเขตเลือกตั้งของตนนั้นได้หมายเลขใด

การที่ผู้มีสิทธิลงคะแนน เหลืออำนาจตัดสินใจเพียงหนึ่งเดียว

คือ เลือก ส.ส. เขต ตามที่ กกต.บางคนออกมาบอกว่า เท่ากับกาคะแนนแค่ครั้งเดียวจะได้ผลตามมาถึง 2 ทาง คือ ผลทางตรงจากการเลือก ส.ส.เขต 350 คน และผลทางอ้อมจากการได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

ซึ่งนำไปสู่การเลือกบัญชีผู้เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งเปรียบเสมือนในรถยนต์คันเดียว ที่มีเครื่องยนต์แบบไฮ-บริด สามารถเลือกสลับใช้ได้ทั้งระบบน้ำมันและไฟฟ้านั้น

แต่เอาเข้าจริง...กลัวจะกลายเป็น “ไฮเบี้ยว” ซะมากกว่า เพราะในสภาพความเป็นจริงต้องไม่ลืมว่า ระบบนี้จะให้ผลแบบไฮบริดอย่างที่คุยก็ต่อเมื่อตัว ส.ส.เขตที่ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งชื่นชอบ กับพรรคการเมืองที่อยู่ในใจของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง...ต้องอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้น

ถ้าผู้ไปใช้สิทธิลงคะแนน ชื่นชอบตัวนาย ก ซึ่งเคยสังกัดอยู่พรรคการเมืองเอ แต่ล่าสุด นาย ก ดันถูกดูด หรือย้ายไปอยู่พรรคการเมืองบี ซึ่งไม่ใช่พรรคที่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งต้องการจะลงคะแนนให้ แบบนี้ น่าคิดว่า สุดท้ายแล้วผู้เลือกตั้งรายนั้น ยังต้องการจะเลือกนาย ก ที่ย้ายไปสังกัดพรรคใหม่อยู่อีกหรือไม่...

ยิ่งกว่านั้น ตามกติกาใหม่ เมื่อได้ ส.ส.เขตจำนวน 350 คน และได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อครบทั้ง 150 คนแล้ว เรื่องยังไม่จบง่ายๆ...ต้องมาดูอีกว่า แต่ละพรรคการเมืองได้สัดส่วนเท่าไรในคะแนนเสียงรวมกันทั่วประเทศ ตามสูตรการคำนวณที่หลายคนบอกว่า สลับซับซ้อนจนเวียนหัว

เพราะตามกติกาใหม่ ระบุว่า การนับคะแนนตามระบบจัดสรรปันส่วนผสม กรณี ส.ส.เขต 350 คน จาก 350 เขตนั้น ผู้สมัคร ส.ส.เขตที่ได้รับคะแนนสูงสุดในเขตนั้นจะได้เป็น ส.ส.ก็ต่อเมื่อคะแนนที่ได้ต้องมากกว่าคะแนน Vote No ในเขตเลือกตั้งนั้น

หากไม่มีผู้สมัคร ส.ส.เขตคนใดได้คะแนนมากกว่าคะแนน Vote No ในเขตเลือกตั้งนั้นให้จัดเลือกตั้งในเขตนั้นใหม่ กรณีที่ได้คะแนนเสียงเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับสลากต่อหน้า กกต.ประจำเขตเลือกตั้ง

หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อนำคะแนนจากผู้ที่มาใช้สิทธิทั่วประเทศลบด้วย Vote No และบัตรเสียก่อน จากนั้นนำไปหารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้ง 2 ระบบซึ่งมีจำนวน 500 คน จะได้ จำนวนคะแนนโหวต ต่อ ส.ส. 1 คน

ต่อมาให้เอาคะแนนที่แต่ละพรรคได้จากทุกเขตรวมกัน (ไม่ว่าชนะหรือแพ้) หารด้วยจำนวนคะแนนโหวต ต่อ ส.ส. 1 คน จะได้ตัวเลขที่เรียกว่า จำนวน “ส.ส. ที่แต่ละพรรคพึงมี”

สุดท้าย การคำนวณว่าแต่ละพรรคจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเท่าไร ให้เอา ‘ส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี’ ตั้ง ลบด้วย ‘ส.ส.เขต’ ที่พรรคนั้นได้ไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ คือ จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคนั้นจะได้

แต่ถ้า ส.ส.เขตที่พรรคได้ มากกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี ให้ถือจำนวน ส.ส.เขตที่ได้เป็นหลัก และจะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มอีก


อีกประเด็นที่ต่างจากกติกาการเลือกตั้งปี 2554 อย่างสุดโต่ง ก็คือ กติกาเลือกตั้งปี 2562 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 นี้ กำหนดให้วุฒิสมาชิก (ส.ว.) จำนวน 250 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. มีสิทธิเลือกตัวผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นครั้งแรก

เท่ากับเอื้อให้บางพรรคการเมืองที่มี ส.ว.หนุนหลังบางพรรคได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นที่เป็นคู่แข่งอย่างมหันต์ เพราะยังไม่ทันลงกรำศึกในสนามเลือกตั้ง ก็มี 250 ส.ว.อยู่ในมือ...นอนตีพุงสบายใจเฉิบแล้ว

หลายคนจึงมองว่า ผลการเลือกตั้งที่น่าจะออกมากระจายเป็นเบี้ยหัวแตกครั้งนี้ ไม่น่าจะมีพรรคใดได้เสียงข้างมาก เกมนี้ จึงเท่ากับทำให้การเมืองย้อนกลับไปสู่การให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากกว่าพรรค ซึ่งเปิดโอกาสให้คนนอก หรือบุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป.


โจทย์ไม่ใช่ทักษิณแล้ว

หลัง 7 มีนาคม สึนามิจะเกิด

ไม่ใช่คำทำนายทายทักดวงเมืองของโหร แต่เป็นการแทงหวยแบบโคตรเซียนการเมือง

ตามท้องเรื่องจุดพลิกผันใหญ่เลือกตั้งรอบนี้ จะเริ่มจากศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษา

คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ จากปม “บิ๊กเซอร์ไพรส์” แคนดิเดตพิเศษบัญชีนายกรัฐมนตรี

นาทีนี้วงการเซียนบอลต่อลูกครึ่งควบสอง วงการมวยราคาต่อรองไหลไปที่ 7–1 ถึง 8–1 ไม่มีคนรอง

เพราะส่วนใหญ่แทงหวย “ยุบ” มากกว่า “รอด”

และตามภาพข่าวแบบที่ “เดอะอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคไทยรักษาชาติ พายเรือให้ “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ช่วยกันตะโกนเรียกแขก

โชว์ฟอร์มกันคึกคัก กระตุ้นต่อมฮึกเหิมกองเชียร์

แต่จริงๆสิ่งที่แฝงอยู่ นั่นคือยุทธศาสตร์โหมโรงกระแส หาจังหวะ หาช่องผ่องถ่ายฐานคะแนนของพรรคไทยรักษาชาติ ถ้าโดนล้มโต๊ะ ยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันไม่เป็นไปตามแผน

บางพื้นที่ส่อ “แต้มโบ๋” ไม่มีทั้งไทยรักษาชาติและเพื่อไทย

ทีมดูไบต้องแก้เกมสลับคิวกันวุ่นแน่ และต่อจากปมยุบพรรคก็ยังไม่จบง่ายๆ ตามปรากฏการณ์ทางกระแสที่ประเมินล่วงหน้าได้ กับ “Side Effect” ผลกระทบที่จะลามไปถึงพรรคเพื่อไทย ทัพหลวงของดูไบ

ตามไกด์ไลน์ที่นายเจษฎ์ โทณวณิก ที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ สายตรง “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นำร่อง โยงถึงปม “ยุบพรรค” ตามปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เห็นๆกัน การสับขาหลอก แบ่งโซน แยกพื้นที่กันลง ส.ส.เขตกับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ระหว่างพรรคไทยรักษาชาติกับพรรคเพื่อไทย

ส่อเข้าข่าย “ฮั้ว” เสี่ยงโดนลากขึ้นเขียงฟันได้อีกช็อต

แต่นั่นยังไม่ “ลุ้นตัวโก่ง” เท่ากับ “มาตรา 112” โดยกระแสที่จะไหลลามโดยอัตโนมัติ กับพวกรักสถาบันที่จ้องเอาเรื่อง ฟ้องเอาผิดพฤติการณ์ดึงเบื้องสูงมายุ่งการเมืองโดยผิดจารีตประเพณี

เป็นเรื่องที่คนไทยผู้มีสามัญสำนึกไม่กล้าแม้แต่จะคิด

มันคือจุดที่ฝ่ายคุมอำนาจ ต้องรีบสกัด “ลูกติดพัน” เกมโหนเบื้องบน เสริมพลังอำนาจชนทหาร

สถานการณ์ทีม “ทักษิณ” ไม่อยู่ในจุดที่จะชิงความได้เปรียบในเกมถนัดเลือกตั้ง

ขณะที่อีกฝั่ง กำลังเร่งจังหวะปิดเกม ในสถานการณ์ที่คู่แข่งสะดุดหัวคะมำ “ทำแต้มหก”

ตามโปรแกรมลุ้นกัน วันที่ 10 มีนาคมนี้ เวทีเมืองย่าโมโคราช บ้านเกิด “นายกฯลุงตู่”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. จะประเดิมขึ้นเวทีเดี่ยวไมโครโฟน

“เชียร์แขก” ให้พรรคเพื่อไทย

ในจังหวะโหมโรง “นายกฯลุงตู่” กับ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ประสานเสียงบนเวทีบีโอไอ ตอกย้ำความจำเป็นต้องให้ “นายกฯลุงตู่” ไปต่อ ไม่ใช่สืบทอดอำนาจ

แต่เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงานตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติเพื่อรองรับอนาคตระยะยาว

ไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยมีโครงการลงทุน

และขับเคลื่อนได้เท่ารัฐบาลนี้

ตามเกมที่เหล่า “อ๋องการเมือง” พรรคพลังประชารัฐ เร่งเร้าให้ “แคนดิเดตนายกฯ” เดี่ยวๆของบัญชีพรรค เดินสายโชว์ตัวกับประชาชนผู้สนับสนุน ตามความชอบธรรมในวิถีเลือกตั้ง

เพราะไม่เช่นนั้น สถานการณ์ความยากลำบากจะตกไปอยู่ที่

“จอมยุทธ์กวง” ต้องไขก๊อกจากตำแหน่งมาลงพื้นที่หาเสียงช่วยทีมพลังประชารัฐแทน

และถ้า “สมคิด” ทิ้งหางเสือคุมเศรษฐกิจ นักลงทุนแกว่งแน่

เรื่องของเรื่อง การได้ “ลุงตู่” ขึ้นเวทีเป็นทีเด็ด นาทีนี้ข่าววงในพรรคพลังประชารัฐมั่นใจ แต้มแซงขึ้นมาอยู่อันดับที่สอง รองแค่พรรคเพื่อไทย แต่เหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์

โจทย์เหลือแค่ปั่นตัวเลข บล็อกพรรคร่วมกดดันต่อรอง “ลุงตู่”

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในจังหวะทีมหนุน “ลุงตู่” เร่งแซงเข้าป้าย มันก็มีอะไรที่แฝงอยู่

ตามร่องรอยร้าวๆที่มองเห็นแต่ไกล กับลีลาล่าสุดของนายสุชาติ ตันเจริญ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา ในฐานะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ประกาศดังๆบนเวทีปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดยโสธร ยืนยันเลยว่า รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” รอบต่อไป ไม่ใช่รัฐบาลทหาร

จะไม่มีทหารอยู่คณะรัฐมนตรี

ในอารมณ์ย้อนศรแก้เผ็ดกันในที ก่อนหน้านี้นายสุชาติก็ถูกทีมทหารข้างตัว พล.อ.ประยุทธ์ สะกิดให้ “ลุงตู่” ออกมาเตะสกัดนโยบาย “ส.ป.ก.ทองคำ” จนหัวทิ่มหัวตำ

“สุชาติ” หัวคะมำ อดตีกินแต้มเนื้อๆกับชาวบ้าน

เรื่องของเรื่อง โดยสถานการณ์มันสะท้อนภาพ “สารแขวนลอย” อย่างเด่นชัด ภายในค่าย “พลังประชารัฐ” แยกเป็นสองเนื้อระหว่างนักการเมืองกับทหาร “หัวเหลี่ยม” ที่คานเกมอำนาจกัน

โจทย์การบ้านยากๆหลังเลือกตั้ง ถ้า “นายกฯลุงตู่” ได้ตีตั๋วต่อ

งานหินเลย ต้องจูนนักการเมืองกับทหารเป็นเนื้อเดียว.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ไพศาล:วุฒิสภา

ใครบอกว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้งวุฒิสภา 250 คน ลองดูบทเรียนจาก "ข้อสังเกตพระราชทาน" กรณีรัฐธรรมนูญ 2560 เสียก่อน

.............

แทบทุกบทวิเคราะห์การเมืองหลังเลือกตั้งจะออกมาในทิศทางเดียวกันว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง 2562 อย่างสูงเนื่องจากมีวุฒิสภาจำนวน 250 คนที่ "ตั้งมากับมือ" พร้อมที่จะยกมือให้อย่างแน่นอน

สำหรับผมแล้วการมองเช่นนั้น เป็นการมองตามตัวอักษรคือรัฐธรรมนูญ 2560 เพียงอย่างเดียวไม่มองมิติประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์เชิงอำนาจ

ไม่มีใครในประเทศนี้จะปล่อยให้คณะรัฐประหารมีอำนาจเด็ดขาไปถึง  20 ปีได้หรอก

ถามว่ากรณีไหนที่จะมาเสริมข้อโต้แย้งว่าการมองแต่เพียงตัวบทของรัฐธรรมนุญแต่เพียงอย่างเดียวไม่พอ ก็ต้องยกกรณี ก่อนจะมาเป็นรัฐธรรมนุญ 2560 แม้จะผ่านประชามติ 7 สิงหาคม 2559 แต่คณะรัฐประหารก็่จำต้องมีการแก้ไขตาม "ข้อสังเกตพระราชทาน" ของในหลวงรัชกาลที่ 10 ก่อนที่จะมีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560

ดังนั้นการที่พระองค์จะต้องลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 2562 ที่มาจากการถวายคำแนะนำของหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือพูดภาษาบาน ๆ คือจะลงพระปรมาภิไธยตามมที่ประยุทธ์ เสนอใครก็ได้ โดยไม่มี "ข้อสังเกตพระราชทาน" นั้นเป็นไปได้จริงหรือไม่

....................

1.

ภายหลังจาก "ประชามติฉบับลายพราง" ของคณะรัฐประหารเสร็จสิ้นลงในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ด้วยคะแนนเสียง เห็นชอบ 16,820,402 (61.35%) ไม่เห็นชอบ 10,598,037 (38.65%) จากผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด 29,740,677 คน

นอกจากนั้นคณะรัฐประหารยังได้มีคำถามพ่วง 2 คำถามด้วย ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นคณะรัฐประหารก็ย่ามใจว่าอำนาจทั้งหมดนั้นอยู่ในมือของตนเองแล้ว ด้วยความชอบธรรมของประชามติดังกล่าว

แต่สิ่งที่คณะรัฐประหารไม่เคยคาดคิดมาก่อนคือการเปลี่ยนรัชสมัยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 หรือเพียง 2 เดือนหลังประชามติ ได้ทำให้สถานของร่างรัฐธรรมนูญฉบับลายพรางมีปัญหา

เนื่องจาก รัฐธรรมนูญ 2557 กำหนดไว้ว่าพระมหากษัตริย์ต้องลงนามในเวลา 90 วันหลังจากที่มีการทูลเกล้าถวายร่างรัฐธรรมนูญเพื่อลงพระปรมาภิไธย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า ในหลวง ร.10 ไม่ได้ได้ลงนาม และได้ส่งร่าง รธน. คืนมาให้ปรับปรุงแก้ไข ดังที่วิษณุ เครืองามได้ชี้แจงว่า

"วิษณุ" เผย ร.10 พระราชทาน ร่าง รธน. คืนมาให้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 39/1 วรรคสิบเอ็ด ระบุไว้ว่า เมื่อนายกฯ นำร่างรัฐธรรมนูญฯ ที่แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวาย หากพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ แต่กรณีที่ทรงไม่เห็นด้วยและพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้น 90 วันนับแต่วันที่นายกฯ ทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญฯ นั้นเป็นอันตกไป

https://www.bbc.com/thai/thailand-38977996

การจะแก้ไขร่างรัฐธรรมนุญได้นั้นต้องแก้ รัฐธรรมนูญ 2557 ก่อน หลังจากนั้นจึงมีการแก้ไขตามพระราชประสงค์ใน 7 มาตรา โดยมีรายละเอียดดังนี้

เทียบมาตราต่อมาตรา รธน. ฉบับผ่านประชามติ กับ ฉบับแก้ไขและประกาศใช้
https://www.bbc.com/thai/thailand-39514040

กรณีดังกล่าวนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ปรากฎเป็นจริงในทางปฏิบัติ

2.
สำหรับการแต่งตั้งวุฒิสภา 250 คน ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 269 นั้นให้อำนาจพระมหากษัตริย์แต่งตั้งจาก หัวหน้าคณะรัฐประหาร คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทรืโอชา ถวายคำแนะนำ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2252608584805968&set=pb.100001705461683.-2207520000.1551548694.&type=3&theater

ซึ่งต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรร เป็นประธานสรรหา

เปิดรายชื่อ กรรมการสรรหา ส.ว. ชุด พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน บิ๊กคสช.พรึ่บ!
https://www.khaosod.co.th/election-2019/news_2257905

นอกจากนั้นประยุทธ์ ยังมารับรองว่าทั้ง  250 คนนั้นมี "สมอง"  อย่างเพียงพออีกด้วย

'ประยุทธ์' ชี้อดีตส.ว.เครือข่ายการเมือง ถึงต้องตั้งเอง250คน
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/827720

แนนอนว่าตามหลักแล้วอำนาจในทางปฏิบัติในการแต่งตั้งวุฒิสภา 250 คนนั้น คือหัวหน้าคณะรัฐประหารในฐานะผู้รับสนองพระบรมราขโองการ

แต่ถ้าเรามาพิจาณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับลายพรางจะพบว่ามันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเพราะการไม่ลงพระปรมาภิไธยนั้นยังเป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ทั้งในทางกฎหายและราชประเพณี นอกจากนั้นในทางปฏิบัติอาจจะมี "ข้อสังเกตพระราชทาน" ถึงรายชื่อวุฒิสภา เหมือนดังที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้เช่นกัน

อีกทั้งในรัฐธรรมนูญก็เขียนเองว่าการแต่งตั้งวุฒิสภานั้นจะทำหลังมีการเลือกตั้ง ส.ส.ผ่านไปแล้ว 3 วัน

รวมทั้งความเห็นของนายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ภายหลังจากที่มีการแต่งตั้ง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งตำแหน่งประธานสรรหา ส.ว. จำนวน 250 เสียง ว่า

"อย่าลืมว่ายังมี อีก 2 ขั้นตอน คือ คสช.ต้องเห็นชอบ และต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งด้วย"
ไพศาล เบรกกระแสวิจารณ์ “บิ๊กป้อม” หลังนั่ง ปธ. สรรหา สว. แนะอย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน
http://www.amarintv.com/…/…/news-politics/news-17402/343758/

3.

ดังนั้นแล้ว ผมบอกได้เลยว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สามารถแต่งตั้งวุฒิสภา 250 คน ได้ตามใจชอบ ดูได้จากบทเรียน "ข้อสังเกตพระราชทาน" กรณีรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่าง

ข้อควรระวังช่วงเลือกตั้ง

ข้อควรระวังช่วงเลือกตั้ง!
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 6 มีนาคม 2562

นับแต่มีการปลดล็อคให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ในท่ามกลางความคึกคักของการรณรงค์เลือกตั้งนั้นกลับมีความแตกแยก แตกสามัคคี และมีความขัดแย้งกว้างขวางมากยิ่งขึ้น มีการใส่ร้ายป้ายสี โกหกพกลม รวมทั้งใช่เล่ห์กลอุบายต่าง ๆ เพื่อทำลายล้างกันในทางการเมือง จนสถานการณ์น่าวิตกอย่างยิ่ง 

ความจริงการรณรงค์เลือกตั้งแต่ก่อนมานั้น พรรคไหนใครมีนโยบายหรือมีวิธีการหาเสียงที่น่ารักน่าชังอย่างไร จะคุยโวโอ้อวดกันอย่างไร หรือจะทุเรศทุรังประการใดก็ยังเป็นเรื่องที่จำกัดอยู่เฉพาะการเสนอรณรงค์ของฝ่ายตน 

ไม่มีการทำลายล้างทางการเมืองกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งพวกกันราวกับว่าเป็นศัตรูที่จะต้องล้างผลาญกันจนถึงที่สุด และไม่มีการใช้วิธีอุบาทว์ชาติชั่วนานาชนิด หรือวิธีการที่วิปริตผิดมนุษย์ แต่บัดนี้สิ่งเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นเพียงหวังผลอย่างเดียวคือขอให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง 

ไม่รวมถึงกระบวนการเอาเปรียบและกระบวนการฉ้อโกงนานาชนิดที่คิดสรรสร้างสรรค์หากันจนวิปริตพิสดาร และมิได้คำนึงถึงผลกระทบและความเสียหายใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นส่วนรวม 

ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป แพ้ชนะในการเลือกตั้งจะมีความหมายได้อย่างไร ชัยชนะที่ได้มาท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงแตกแยกเป็นศัตรูกันทั้งบ้านทั้งเมืองจะมีประโยชน์อันใด และความพ่ายแพ้ให้แก่ความโสมมเช่นนั้นกลับจะเป็นเชื้อไฟให้แก่ความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติรุนแรงยิ่งขึ้น 

อะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้เห็นทีว่าไม่ต้องกล่าวถึง ทุกคนก็รู้กันทั่วไปแล้ว ดังนั้นในวันนี้จึงสมควรที่จะได้แสดงพฤติกรรมหรือการกระทำในการรณรงค์เลือกตั้งในบางเรื่องบางสิ่งที่กำลังจะก่อเกิดอันตรายใหญ่หลวงในบ้านเมือง รวมทั้งสถาบันทั้งหลายในบ้านเมืองของเรานี้ด้วย ที่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญและอันตรายอย่างยิ่งจะมีดังต่อไปนี้ 

ประการแรก การใช้เล่ห์กลอุบายนานาชนิดโดยคิดว่าการรณรงค์เลือกตั้งคือสงครามชิงอำนาจรัฐที่จะต้องทำลายล้างกันให้ราบคาบไปข้างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่พึงเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา เพราะนั่นเป็นสถานการณ์ที่มีการชูเป็นประเด็นหลักในสงครามปลดแอกประเทศจีน เพื่อการปฏิวัติประเทศจีนจากการตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ และจากการกดขี่ข่มเหงของอำนาจรัฐทรราชที่เป็นหุ่นให้กับต่างชาติจนประเทศชาติล่มจม ประชาชนล่มสลายทั้งประเทศ 

การใช้เล่ห์กลสารพัดชนิดนั้น หากถึงขั้นใช้เพื่อการทำลายล้างกันโดยวิถีแห่งการทำสงครามแล้ว ไม่ว่าแพ้ชนะหรือปราชัยประเทศไทยก็ย่อยยับอับจน 

ประการที่สอง คือการเอาเปรียบและการฉ้อโกงในการเลือกตั้งที่กำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ด้วยกรรมวิธีโกงเลือกตั้งที่เคยใช้มาในอดีตบ้าง ที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้การโกงได้ผลมากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงผิดถูกและความยุติธรรมในบ้านเมืองบ้าง โดยเฉพาะการอวดดื้อถือดีว่ากรรมการที่ดูแลเรื่องนี้ทั้งในระดับเขต ระดับจังหวัด และระดับชาติ อาจจะเป็นฝักเป็นฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งเสียไปซึ่งความสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นเจตนารมณ์สำคัญของการเลือกตั้ง 

การเอาเปรียบและการฉ้อโกงนั้นจะทำให้เกิดการไม่ยอมรับในผลการเลือกตั้ง และจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วในอดีตหลายยุคหลายสมัยจนแผ่นดินเกิดเป็นจลาจล แล้วคนรุ่นเราท่านจะเดินตามซ้ำรอยให้วิกฤติของชาติเหล่านั้นกลับฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่งหรืออย่างไร 

ประการที่สาม คือการแอบอ้างและฉวยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในทางการเมืองเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้าม ถึงขั้นตั้งเป็นประเด็นชี้นำให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายที่ต้องการเป็นประธานาธิบดีกับฝ่ายประชาธิปไตย ว่าแล้วก็ชี้หน้าด่าอีกฝ่ายหนึ่งหรืออีกพวกหนึ่งว่าพวกนั้นคือพวกต้องการเป็นประธานาธิบดี แล้วอวดอ้างตนเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย 

มีบ้างที่เลยเถิดไปมากถึงขั้นออกความคิดความเห็นต่อสาธารณะว่าพวกตนเท่านั้นที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน ส่วนพวกอื่นเป็นพวกไม่จงรักภักดี 

พฤติกรรมเหล่านี้คือพฤติกรรมโหนเจ้าและล้มเจ้าตัวจริง เพราะนี่คือการแอบอ้างอิงเอาสถาบันให้เป็นฝักเป็นฝ่าย ทั้ง ๆ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่เคยเลยที่จะทรงเห็นราษฎรคนใดเป็นศัตรู มีแต่น้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณที่เห็นราษฎรทั้งหลายเป็นบุตรของแผ่นดิน เป็นกำลังของแผ่นดิน ที่ทรงอนาทรและทรงปกปักรักษาช่วยเหลือตลอดมา 

การแอบอ้างอิงเช่นนี้เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด แต่ไม่อยากจะกล่าวเลยไปกว่านี้ เพราะไม่อาจหยั่งน้ำใจใครได้ว่ามีความมุ่งร้ายหมายบ่อนทำลายสถาบันสำคัญของชาติ โดยลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ที่สำคัญคือพวกที่แอบอ้างแบบนี้มักจะเป็นพวกสิ้นไร้ไม้ตอก ประชาชนไม่นิยมเชื่อถือในทางการเมือง จึงต้องอิงแอบสถาบัน ดังนั้นจึงมีโอกาสแพ้เลือกตั้งสูงมาก 

และถ้าแพ้เลือกตั้งแล้วจะไม่เท่ากับการดึงเอาความศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองให้พ่ายแพ้ตามไปด้วยดอกหรือ! และอย่างน้อยที่สุดการแอบอ้างอิงเช่นนี้มีแต่จะก่อให้เกิดความแตกแยกภายในชาติ เพราะบางพวกก็น้อยเนื้อต่ำใจ บางพวกก็ไม่พอใจ อันเป็นวิสัยธรรมดาของคน 

ดังนั้นประชาชนชาวไทยทั้งผองจึงต้องรู้เท่าทันเล่ห์กลอุบายอิงแอบอ้างเจ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงกันข้าม และจงมั่นใจเถิดว่าการอ้างอิงแอบเช่นนี้ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความปรารถนาดี และไม่ใช่ความจงรักภักดีใด ๆ เลย แต่เป็นความเห็นแก่ตัวซึ่งอาจมีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ก็ได้ 

พรรคไหนใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็รู้แก่ใจดีกันอยู่ จึงควรจะหยุดได้แล้ว ไปคิดอ่านวิธีรณรงค์เลือกตั้งในทางที่ชอบที่ควรจะดีกว่า 

ประการที่สี่ การธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ความศรัทธาเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการเลือกตั้งที่จะต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งจะเป็นทั้งประโยชน์ชาติ ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมกัน 

ไม่มีใครต้องการให้ กกต. ไปติดคุกติดตะรางเหมือนกับรุ่นพี่ที่ติดคุกติดตะรางกันมาหลายคนในหลายชุดแล้ว และในปัจจุบันนี้บรรดาหมอดูหมอเดาทั้งหลายก็เริ่มออกคำพยากรณ์กันบ้างแล้วว่าให้ กกต. ระมัดระวังในการทำหน้าที่ให้จงหนัก เพราะฤกษ์ผานาทีในการตั้ง กกต. ชุดนี้เป็นเพชฌฆาตฤกษ์ หากพลาดพลั้งอาจจะติดคุกติดตะรางกันทั้งคณะ ซึ่งขอภาวนาอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย 

กกต. จะต้องตระหนักในเจตนารมณ์ของการเลือกตั้งและภาระหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมสถานหนึ่ง และต้องกำราบปราบปราม รวมทั้งขจัดผู้ที่กระทำผิดกฎหมายหรือฉ้อโกงการเลือกตั้งมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป เพื่อทำให้ทุกฝ่ายยอมรับในการดำเนินงานของ กกต. ให้ได้ 

มิฉะนั้นก็จะเกิดเป็นกลียุคขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีลักษณะพิเศษกว่าทุกครั้ง ซึ่งจะเกิดจากใครมีเจตนาอะไรก็ยากจะคาดเดา แต่ต้องไม่ลืมว่าเมื่อกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปเป็นวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งจะมีระยะเวลาตรวจสอบไต่สวนเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ไม่ชอบในระดับต่าง ๆ และจะต้องประกาศผลการเลือกตั้งภายในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 

ก็จะไปทับเขตการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และทำให้ไม่คิดไม่ได้ว่าใครหนอช่างวางเวลาให้เป็นไปเช่นนี้ เพราะช่วงตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม จนไปถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 นั้นย่อมเป็นช่วงเวลาที่โกลาหลมากที่สุด เพราะจะเป็นช่วงของการร้องเรียน ตรวจสอบ ไต่สวน เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเพิกถอนการเลือกตั้ง และการจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเขตการพระราชพิธีทั้งสิ้น ดังนั้นหากการไม่เป็นไปตามกฎหมายโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้วไซร้ ก็เท่ากับเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นในห้วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์ของชาติ 

เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนจะต้องทำความเข้าใจร่วมกันและสามัคคีกันทุกฝ่าย เพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปเป็นไปโดยเรียบร้อย ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมด้วย.