PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หน้ากากขาว กลิ่นไอสงครามกลางเมือง?

หน้ากากขาว กลิ่นไอสงครามกลางเมือง?
บทความ วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2556 17:53น.
456370
มีความน่าสนใจใน ปรากฎการณ์การ "รุก" ทางการเมืองของกลุ่มมวลชนสัญลักษณ์ "หน้ากากขาว"
เป็น "ความไม่ธรรมดา" ทั้ง ตัวละคร "ผู้อยู่เบื้องหลัง"และ "เบื้องหน้า" อันเป็น มวลชนจัดตั้ง ทั้งเปิด และปิด ภายใต้"โลกไฟเบอร์เสมือนจริง" สู่ "โลกจริงอันจับต้องได้ ผ่านการ" ขับเคลื่อน "แบบจัดตั้ง สู่ถนนอย่างแยบยลใน" จุดพื้นที่เดียวกันของ "ทุนเก่า" (โรงแรมดุสิตธานี)" ที่เคยมีการเคลื่อนของ "ม็อบคนหลากสี" และ "องค์กรพิทักษ์สยาม" เดิม ที่ "แปรรูป" มาเป็น การ "ปิดหน้า" ดูลึกลับ ผ่านเรื่องราว "กฎบดินปืน" นวนิยายการเมืองต่างประเทศ ผสมเรื่องราวจริงทางประวัติศาสตร์ อันเป็นวิธีทางสัญลักษณ์ที่ "ฝ่ายยุทธวิธี" คิดขึ้น ในลักษณะสร้างภาวะความสับสนใน "เป้าหมาย" โดยสร้าง "เงื่อนไข" การติดตามค้นหาตามนิสัยคนชั้นกลางที่อดไม่ได้ ที่ต้องอยากรู้ ที่มาที่ไปของ "หน้ากากขาว"
และนำมาสู่การสร้างเงื่อนไขใน "บทละครเสมือนจริง" จากภาพการเมืองความขัดแย้ง ที่มีการปะทะกันระหว่าง "กลุ่มอำนาจ" เก่าและ "ใหม่" ที่ถูกทำให้พร่าเลือน ผ่าน ความขัดแย้งระหว่าง กลุ่มผลประโยชน์ทางสังคม ระหว่าง "ทุนเก่า"กับ "ทุนใหม่" ที่ปะทะกันแบบเปิดเผยรุนแรงสร้าวความเสียหายให้กับประเทศไทยมาตลอด 8 ปีที่ผ่านมา(2548-2556)

น่าสนใจ ที่ "ความน่ากลัว" หนนี้ ยังอยู่ใน "ระบบคิดเดิม" (บทเรียนม็อบเสธอ้าย) ที่ยัง "มุ่งเห็นผลเร็ว" โดยไม่คำนึงถึงวิธีการและผลลัพธ์ ที่ อาจเกิดขึ้นจาก การใช้ความรุนแรง เพื่อหวังผลการรุกฮือ และนำไปสู่การนองเลือดของประชาชนบริสุทธิ์แต่ละฝั่ง อันเป็นแนวคิดของนักยุทธวิธีทางทหาร ที่ อยู่ในวง "วอร์รูม" อันมักรวมและจะแยกต่างหากทันทีหากความสุกงอมในทางกายภาพปรากฎ วิธีคิดนี้ยังคงอยู่

เป็นการแยะผละออกจากกระบบในความคิดของ "นักคิดยุทธวิธีมวลชนบริสุทธิ์" ที่มี "เป้าหมายเดียวกัน" คือ การต่อต้านล้มล้าง "ฝ่ายทักษิณ" ละ "อำนาจรัฐ" ของ "พรรคเพื่อไทย" ที่มี "คนเสื้อแดง" เป็น "มวลชนสนับสนุน" เป็นเกราะกำบังทางการเมือ

เป็นการ ช่วงชิงการเข้าตี ที่ถึงที่สุดมัก "ลับลวงพราง" ทั้งฝ่ายตรงข้าม และ ฝ่ายเดียวกันเอง จนมักก่อให้เกิดผลร้ายรุนแรงกับ "สังคมองค์รวม" ที่บางครั้งฝ่ายเดียวกันก็พูดไม่ออก ต้องเออออห่อหมก เพราะลงเรือลำเดียวกันมาแล้ว ยากที่จะถอนตัวกลางครัน และจำต้องร่วมเป็นส่วนหนึ่ง แม้จะรู้ว่า "บางอย่าง" ไม่ถูกต้องก็ตาม

น่าสนใจอีกว่า ยุทธวิธี หนนี้ แม้ภายนอกทางหนึ่ง เลี่ยงที่จะให้ "ผลรวม" ของการไหลไปสู่ เงื่อนไขเดิมๆคือการออกมาของกองทัพ แต่ในทางปิด กลับมีการเชื่อมต่อ และร้อยโยงไปสู่รูปแบบ การติดอาวุธ และการผสมในทางไม่เปิดเผยจาก "กองกำลังอำนาจแฝงในรัฐ" คล้ายยุคสมัย "ทักษิณ" (2548)ที่หนนี้ ไม่มีใครต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบถึงตัวเองเพราะมี "หน้ากากขาว" สวมทับ ซึ่งเป็นการจับจริตคนไทยชั้นกลางได้ ว่า "ชอบผสมโรง" สำหรับความไม่ชอบใจใคร และ "คนคิด" ก็ฉลาดที่จะยังคงเอาชื่อ "ทักษิณ" เป็น "เป้าเชิงสัญลักษณ์" โดยยกระดับเป็น "ระบอบ"ภายใต้การจับจุดคนไทย ที่ว่าจะมาร่วม ต้องไม่กระทบผลประโยชน์"ตัวเอง"ด้วย

กระนั้น ทุกฝ่ายต้องไม่ลืมว่า ในขณะที่สร้างเงื่อนไขแบบ "บ่มเพาะเร็ว" นี้ ยังมี "เสื้อแดง" ที่ขยายแนวคิด การศึกษารูปแบบทางการเมือง และการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่ปรากฎ ผ่านโรงเรียนการเมือง ของพวกเขา ไปหลายพื้นที่รอบนอกทั่วประเทศเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อถึงเวลานั้น ที่ฝ่ายทุนเก่าสัมฤทธิ์โดยกระบวนการสนับสนุนจากอำนาตตุลาการ ที่ปะทะกับบริหาร นิติบัญญัติ อีกฟากข้างหนึ่งของมวลชนเสื้อแดงหาก "ผลลัพธ์" ปรากฎเข้าอิหรอบเก่าๆการชิงอำนาจการเมืองกันของ "สองขั้วอำนาจ" ที่มีสองขั้วทุนหนุนหลัง ก็ควรต้องระวัง อาการแบบเดียวกันกับ "หน้ากากขาว" ที่อาจจะปรากฏโดยขยายจาก"หน้ากากแดง" ที่เคลื่อนคู่ขนานเวลานี้ และกลายเป็นสภาพ มวลชน ปะทะมวลชน ยิ่งเมื่อมีการสนับสนุนอาวุธ ก็จะกลายเป็น "สงครามกลางเมือง" แบบไม่รู้จบได้ในที่สุด.


โดย ศักดา จิวัธยากูล
2 มิ.ย.2556

“ทักษิณ” คิดใหม่ ทำใหญ่

คอลัมน์ ในวงเล็บ
โดย โก่ง บางกอก/สำนักข่าวอิศรา

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เครือข่าย “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดฉากถล่ม “คู่แค้น” แบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

หลังรัฐบาลถูกโค่นอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ผู้นำสูงสุดต้องหนีโทษจำคุกไปนอนต่างแดน และฝันจะมีโอกาสกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้ง

ทว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดคล้ายมีการจัดรูปขบวน-จัดเตรียมข้อมูลเป็นพิเศษ เมื่อ “แกนนำสำคัญ” ประสานเสียงบอกใบ้-ให้ชื่อ “ศัตรูใหญ่” โดยมีเป้าหมายแฝงร่วมกันบางประการ

ไล่ตั้งแต่ “นายใหญ่” ที่สไกป์มายังเวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

โดยระบุว่า “นายตำรวจแก่ๆ ที่กระเด็นมาจากวัง” และ “อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ขายจิตวิญญาณเกาะเผด็จการ” ในฐานะหัวหอกตั้งกลุ่ม “ไทยสปริง” แท้จริงคือ “ปลิงดูดเลือดประเทศไทย”

ถือเป็นการ “สาดกระสุนน้ำลาย” ใส่ขั้วตรงข้าม หลังปรากฏความเคลื่อนไหวของ “พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร” อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำและอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ และ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในการรวมพลตั้งกลุ่ม “ไทยสปริง” เพื่อปฏิเสธการบริหารงานและการเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

เพราะรับไม่ได้กับคำกล่าวปาฐกถาของ “นายกฯ ผู้น้อง” ที่ประเทศมองโกเลีย ซึ่งมีเนื้อหาคร่ำครวญและเรียกหาความเป็นธรรมให้ “นายกฯ ผู้พี่” อย่างมิปิดบัง

ตามด้วยคิว “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี เจ้าของ “ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย” ที่นำข่าวเก่ามาเล่าใหม่ โดยปูดข่าวผ่านสื่อว่ามี “นักธุรกิจ 3 คน” ประกอบด้วย “นายธนาคาร” “พ่อค้าหมูเห็ดเป็ดไก่” และ “คนขายของมึนเมา” ลงขันกันสนับสนุนม็อบต้านรัฐบาล พร้อมขู่ว่า “อย่ามายุ่ง เพราะผมไม่ยอม และจะประจาน”

และปิดท้ายที่คิว “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช. พาณิชย์ และแกนนำคนเสื้อแดง ที่ออกมาไล่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้ไปเปิดสาขาที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ศาลรัฐธรรมนูญก็ไปเปิดส่วนงานเฉพาะที่ปชป. เพื่ออำนวยความสะดวก หลังขุนพลพรรคสีฟ้าแยงสารพัดเรื่อง-ยื่นสารพัดปมให้ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตีความ

โดยคำพูดของ “ทักษิณ-เฉลิม-ณัฐวุฒิ” หาใช่การพล่ามพล่อยๆ แต่จงใจตีแรง-แทงเฉียดเพื่อเฉี่ยวไปยัง “เป้าหมายหลัก”

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าก่อนหน้านี้ “ทักษิณ” ได้ประเมินสถานการณ์ร่วมกับ “นายทหารเก่า-นายทหารปัจจุบัน” หลายครั้งหลังสถานการณ์การเมืองเริ่มคุกรุ่น โดยผู้ได้รับเชิญให้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นเตรียมทหาร (ตท.) ใน 3 รุ่นเป็นหลัก ประกอบด้วย ตท. 10 เพื่อนร่วมรุ่น “ทักษิณ” ตท. 9 ที่เข้ามาช่วยค้ำบัลลังก์ให้พรรคเพื่อไทย นำโดย “เสธ.จง-พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และตท. 14 รุ่นของ “เสธ.แมว-พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่อำนาจกำลังเฟืองฟูแบบสุดๆ ในปัจจุบันและอนาคต

“เสธ.รายหนึ่ง” ได้ถาม “นายใหญ่” ถึงเปอร์เซ็นต์ความตั้งใจในการกลับบ้านเกิด พร้อมแสดงความเป็นกรณีการเคลียร์ข้อกล่าวหา “ไม่จงรักภักดี” ซึ่งยังติดตัวไม่หาย โดย “ทักษิณ” เปรยว่า “ถึงกลับมาก็นอนไม่หลับ วันดีคืนดีเกิดมีคนอยากให้ผมเป็นฮีโร่ ผมก็ถูกเก็บ” เล่นเอาผู้โยนคำถามถึงกับอึ้งไปพักใหญ่

ว่ากันว่าบทวิเคราะห์หนึ่งที่เกิดขึ้นในวงเกี่ยวพันกับ “ผู้ค้ำบัลลังก์” ซึ่งมี 4 องค์ประกอบหลักคือ “พระ-ศาล-ทหาร-เจ้า” ดังนั้นอย่าได้แปลกใจหาก “เครือข่ายทักษิณ” จะพยายามล้างข้อหา โดยวางยุทธศาสตร์ “คิดใหม่-ทำใหญ่” เพื่อแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ”

ในส่วนของ “พระ” ปล่อยให้สื่อและสังคมสะท้อนภาพตามความเป็นจริงไป

“ศาล” ก็ถูกมวลชนสารพัดกลุ่มร่วมด้วยช่วยเขย่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ทหาร” ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ให้กินอิ่ม พวกเขาก็จะนอนหลับอย่างสงบในกรมกอง และไม่ลืมสะกดจิตกองทัพว่าต้องปรับทัศนคติใหม่เป็น “ทหารของประชาชน”

และสุดท้ายคือ “เจ้า” มีข้อวิเคราะห์ว่าระยะหลังเครือข่ายเริ่มอ่อนกำลังลง ทำให้บทบาทย้ายไปอยู่ที่ “ทุนเก่า” ที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยม กลายเป็นที่มาให้ “เฉลิม” ออกมาปูดข่าวเรื่อง “นักธุรกิจ 3 คน”

โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การแยก “เศรษฐี-อำมาตย์” ออกจากเครือข่ายราชสำนัก แล้วมุ่งกระทำต่อ “ศัตรูแท้จริง” ไม่ใช่ “บุคคลระดับสูงที่ถูกดึงมาใช้เป็นหลังพิง”

จากนี้ต้องจับตาดูว่ายุทธศาสตร์ “คิดใหม่ทำใหญ่” จะช่วยล้างข้อกล่าวหาให้ “นายใหญ่” ได้ หรือตอกย้ำให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น!!!

ป.ป.ช. ชี้ "ถวิล" ฟ้องนายกฯได้

ป.ป.ช. ชี้ "ถวิล" ฟ้องนายกฯได้ ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ปชป.จี้รัฐบาลยุติการยื่นอุทธรณ์

นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า หากนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ จะฟ้องร้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157ในกรณีที่นายกฯไม่ยอมคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) และยื่นคำอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ก็สามารถกระทำได้โดยนายถวิลจะต้องแจ้งข้อกล่าวหามายังป.ป.ช.ตามขั้นตอนของกฎหมาย

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้รับเรื่องลักษณะนี้ไว้พิจารณาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรณีนี้นายถวิลสามารถดำเนินการฟ้องที่ป.ป.ช.ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีคำวินิจฉัยจากศาลปกครองสูงสุด

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีเหตุผลที่ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง ในการคืนตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้กับ นายถวิล เนื่องจากทราบดีอยู่แล้วว่า การโยกย้ายขณะนั้นเพื่อจะเปิดทางให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรี หยุดทำร้ายระบบราชการ คืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับ เลขาฯ สมช. ตัวจริง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการไปพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ หรือไม่ ว่ารัฐบาลส่งเลขาฯ สมช. ตัวปลอม ไปคุยกับแกนนำกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบตัวปลอมเช่นกัน

ข่าวจากโพสต์ทูเดย์

ร.8เสด็จเยาวราชแก้ปัญหาท่าที่ไม่พอใจชาวจีน

วันนี้ในอดีต วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช-ในปัจจุบัน) เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรด้วยการพระราชดำเนินที่เยาวราช สำเพ็ง ตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเที่ยง เป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร และเสวยพระกระยาหารเที่ยงที่ชาวเยาวราชจัดถวายด้วย

เนื่องด้วยในเวลานั้นมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีนหรือชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยเฉพาะบริเวณเยาวราช ถึงกับมีการทำร้ายร่างกายคนไทยที่เข้าไปในบริเวณนี้ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรครั้งนี้นับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งที่ต้องจารึกไว้ และเป็นการสลายความขัดแย้งทั้งหมดไปได้

ก่อนหน้าที่จะเสด็จพระราชดำเนินไม่นาน มีการเคลื่อนไหวของคนจีนในประเทศไทยที่แสดงออกถึงความไม่พอใจรัฐบาลไทยในขณะนั้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และประเทศไทยซึ่งถูกบีบบังคับให้เป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่นก็ต้องอยู่ในฐานะประเทศที่พ่ายแพ้สงครามเช่นกัน และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งมีเงื่อนไขประการหนึ่งก็คือ ให้กองทัพจีนส่งกำลังทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย แต่เนื่องจากรัฐบาลไทยห่วงใยในเรื่องความมั่นคงของชาติ และต้องการพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร จึงขอให้ทหารญี่ปุ่นยอมวางอาวุธ ต่อลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเตน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอังกฤษ ประจำภาคเอเชียตะวันออกไกล ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวจีนขณะนั้น

กอรปกับการที่ประเทศจีนได้ให้สัญชาติจีนกับคนจีนที่เกิดนอกประเทศ ยิ่งทำให้เกิดกระแสชาตินิยมในหมู่ชาวจีนเป็นอย่างมาก คนจีนที่พักอาศัยในบริเวณย่านเยาวราช ราชชวงศ์สำเพ็ง ต่างได้แสดงออกถึงความรู้สึกชาตินิยมด้วยการประดับธงชาติจีนตามร้านค้า บ้านเรือน เพื่อแสดงออกว่าตนเป็นคนจีนไม่ใช่คนไทย นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ทำร้ายคนไทยที่ผ่านเข้าไปในย่านของคนจีนที่เรียกกันว่า “เลี๊ยะพะ” รวมทั้งการหยุดงาน ปิดร้าน ทำให้เกิดภาวะสินค้าขาดแคลน นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนไทยกับคนจีนในประเทศ

การตัดสินพระทัยของพระองค์ท่านในขั้นต้น ได้รับการทักท้วงเพราะรัฐบาลเกรงว่าจะผิดราชประเพณี แต่ทรงมีรับสั่งให้สำนักราชเลขานุการในพระองค์ แจ้งยืนยันให้รัฐบาลทราบ เพราะทั้งรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินมาแล้ว จึงมีหมายกำหนดการเสด็จประพาสเยี่ยมชาวจีนที่สำเพ็ง ในวันที่ 3 มิถุนายน 2489 และเมื่อชาวจีนในสำเพ็งได้ทราบข่าวอันน่ายินดีนี้ ต่างได้ร่วมแรงร่วมใจกันเก็บกวาดขยะสิ่งรกรุงรังเพื่อเตรียมสถานที่รอรับเสด็จ

เมื่อล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถึงในเวลา 9 นาฬิกาแล้ว นายกเทศมนตรีพระนคร เป็นผู้ถวายบังคมทูลเบิกผู้รักษาการแทนนายกสมาคมพาณิชย์จีน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเสด็จฯทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสำเพ็ง โดยชาวสำเพ็งได้จัดสร้างซุ้มรับเสด็จถึง 7 ซุ้ม มีการจัดตั้งโต๊ะหมูบูชา และประดับธงไตรรงค์ดูสวยงาม โดยที่ตลอดสองข้างทางมีคนจีนที่อาศัยในย่านนั้นเดินทางมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นจำนวนมาก และในระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน บรรดาพ่อค้าชาวจีนได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของมีค่า เช่น เครื่องกระเบื้อง และสิ่งของที่ทำด้วยหยก รวมทั้งถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล รวม 13,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนมากในสมัยนั้น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวได้ทรงตั้งเป็น “ ทุนพ่อค้าหลวง”และพระราชทานแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อให้เก็บดอกผล สำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ยากไร้

Chicago Sun-Times เริ่มฝึกให้นักข่าวถ่ายรูปด้วย iPhone แทนการจ้างช่างภาพ

หนังสือพิมพ์ Chicago Sun-Times เริ่มฝึกให้นักข่าวถ่ายรูปด้วย iPhone แทนการจ้างช่างภาพ

Mon, Jun 3, 2013 8:08 am
ถือเป็นข่าวที่ทำให้ประหลาดใจมาก ๆ เมื่อหนังสือพิมพ์ Chicago Sun-Times เลิกจ้างช่างภาพมืออาชีพและหันมาฝึกผู้สื่อข่าวให้ถ่ายรูปและวิดีโอด้วย iPhone แทน
Chicago Sun-Times เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอายุกว่า 60 ปีได้ออกมาประกาศเลิกจ้างพนักงานในตำแหน่งช่างภาพรวมทั้งหมด 28 คนออกจากบริษัท และจะมีการฝึกสอนผู้สื่อข่าวในการใช้ iPhone ในการถ่ายรูปและวิดีโอแทนในคอร์ส ‘iPhone photography basics’ โดยหนึ่งในช่างภาพที่ถูกเลิกจ้างให้ความเห็นว่าเป็นความคิดที่งี่เง่ามาก ๆ ที่จะใช้รูปภาพจาก iPhone แทนภาพแบบคมชัดจากกล้อง DSLR
เหตุการณ์เลิกจ้างช่างภาพของหนังสือพิมพ์ Chicago Sun-Times ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนว่าสาเหตุมากจากอะไรกันแน่ แต่มีการพูดว่าการใช้ iPhone ทำได้หลายหลากกว่ากล้อง DSLR และบางส่วนมีการพูดถึงเรื่องการประหยัดของบริษัทที่ตอนนี้หนังสือพิมพ์กระดาษต้องมาต่อสู้กับสื่ออย่างอินเตอร์เน็ททำให้ยอดขายฉบับกระดาษลดลงในขณะที่การอ่านแบบออนไลน์ก็ยังไม่ทำรายได้สักเท่าไหร่
การใช้ iPhone ถ่ายรูปในเหตุการณ์สำคัญ ๆ มีข่าวออกมาเรื่อย ๆ อย่างในปีที่ผ่านมาเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ในนิวยอร์คผู้สื่อข่าวของ Times ได้ใช้ iPhone ถ่ายภาพและอัพโหลดรูปภาพบางส่วนขึ้น Instagram ของ Times ในการรายงานข่าว แม้ iPhone จะไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เหมือนกล้องมืออาชีพ แต่ iPhone ถือว่าเป็นเครื่องมือในการถ่ายแล้วแชร์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ
…หรืออาจจะถึงยุคที่ภาพข่าวไม่ต้องการภาพคมชัดมาก ๆ แค่ภาพชัดและสื่อสารออกมาได้ก็พอแล้วรึเปล่า ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถฝึกถ่ายภาพให้สื่อสารออกมาได้ ส่วนถ้าอยากได้ภาพชัด ๆ ระดับมืออาชีพก็ไม่ต้องมีช่างภาพประจำ แต่เป็นการจ้างช่างภาพฟรีแลนซ์เป็นครั้งคราวแทน
ที่มา : cultofmac.com

chicago-sun-times_02062013

ปากคำ"ชัย ราชวัตร"กับ"ภารกิจสุดท้าย"

ปากคำ"ชัย ราชวัตร"กับ"ภารกิจสุดท้าย"

  • 02 มิถุนายน 2556 เวลา 22:00 น. |โพสต์ทูเดย์

ปากคำ"ชัย ราชวัตร"กับ"ภารกิจสุดท้าย"
เรื่อง...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม / ภาพ...นสพ.ไทยรัฐ
ใครล่ะจะคิดว่า "ชัย ราชวัตร" จะวางปากกา ปิดตำนาน "ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน" ที่อยู่คู่หน้า 5 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมานานถึง 34 ปี
ที่พูดคือเรื่องจริงจากปากบรมครู"ชัย ราชวัตร" หลังเจ้าตัวยืนยันกับโพสต์ทูเดย์ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะเลิกเขียนแน่เพราะอายุมาก เหนื่อยและล้าเต็มที
"ผมลากสังขารมานานเต็มที และก็ 72 อายุมากแล้วด้วย การ์ตูนมันก็เหมือนตัวคนเขียนแหละ คือ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันควรจะวางมือตั้งนานแล้ว ถึงแม้ใจผมชอบการเขียนการ์ตูน แต่พอเขียนนานๆ เข้ามันกลายเป็น หน้าที่ที่ต้องทำ ชอบไม่ชอบก็ต้องทำ ไม่มีอารมณ์จะเขียนก็ต้องทำ มันบังคับไปแล้ว และมันก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้ว ที่ผ่านมาโรงพิมพ์ก็ต่ออายุให้เราเรื่อยๆปกติไทยรัฐเขาเกษียณอายุ 60 ตอนนี้ต่ออายุมา 72 แล้ว ไหนยังต้องคอยหลบภัยจากเรื่องการเมืองนี่มันไม่สนุกหรอก ผมคง หาทางลงที่มันค่อยๆ ลง แต่ไม่ใช่ปุ่บปั๊บ โดดลงจากเวทีเลย"
อาการเหนื่อยที่"ชัย ราชวัตร" หมายถึง คือ ทำงานช้าลงกว่าจะเขียนงานแต่ละชิ้นเสร็จ คิดนานไม่เหมือนเมื่อก่อน
"ความจริง กว่าจะเป็นการ์ตูนช่องแต่ละชิ้น ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน เพราะหนึ่ง เราต้องตามข่าวเพื่อหาประเด็นมาเขียน ต้องอ่าน หนังสือพิมพ์ อ่านคอลัมน์วิจารณ์แทบทุกฉบับ อ่านเพื่อสะสมเอาข้อมูล แล้วก็มาจดไว้ว่า สิ่งไหนเป็นประเด็นที่เราจะเอามาวิจารณ์ได้บ้าง แล้วก็คิดมุก มันไม่ใช่การเขียนภาพประกอบนะ เพราะอันนั้นมันง่าย อ่านเสร็จปั๊บ ก็เลือกเอาตอนนึงมา แล้วก็เขียนภาพไปเลย อันนี้มันต้องคิดมุก คือ การ์ตูนที่มีมุกหักมุม ในช่องสุดท้าย มันเป็นกับดักตัวเอง คือ มันคิดอะไรมันยากนะ เพราะบางทีเรามีประเด็นจะเขียน แต่เราไม่มีมุก เพราะมันไม่มีมุกตลก เสน่ห์ของการ์ตูนช่อง มันอยู่ที่มุกตลก ต้องหักมุมช่องสุดท้าย บางทีเราคิดมุกอยู่ 2-3 ชั่วโมง 
"ส่วนฉบับวันอาทิตย์ มันยากตรงที่ว่า มันต้องมีหัวข้อ แค่คิดหัวข้อก็ยากแล้ว แล้วก็หาเรื่องทุกเรื่องคือ 6 เรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามีเรื่องไรบ้างที่จะเข้ากับหัวข้อที่เราตั้งไว้  บางทีคิดได้ 3 เรื่องที่เหลือคิดไม่ออก ตัน ก็นั่งอยู่ครึ่งวัน กว่าจะหาอะไรมายัดให้มันเต็ม 6 เรื่องได้ มันก็เหนื่อยไปอีกแบบ  ดังนั้น ใครบอกว่า เขียนง่ายๆ ผมโกรธมากเลย"
“มีพรรคพวกมาขอให้ช่วยเขียนการ์ตูนลงแม็กกาซีนให้ ก็บอกไม่ไหวแล้ว เขาก็บอก เฮ้ยอะไรหว่ะ  เขาคงคิดว่า หยิบขึ้นมาแล้วเขียนได้เลย เป็นงานที่ไม่ต้องใช้สมอง ความจริงเขียนการ์ตูนมันไม่ได้หนักตรงเขียนเส้น แต่มันหนักตรงที่ใช้ไอเดีย  แล้วเมื่อเขียนมาถึงจุดหนึ่งเป็นที่รู้จักแล้ว ก็มั่วไม่ได้เราก็ไม่อยากฆ่าตัวตาย คือ เขียนไปแล้วจืดชืด ไม่มีอะไร มันก็ฆ่าตัวตายเปล่า         
....อย่างสมัยก่อนเราเขียนการ์ตูนใหม่ๆ เราก็พยายามว่า วันนี้ เขียนได้เท่านี้ พรุ่งนี้ต้องเขียนให้ดีกว่านี้ มะรืนนี้จะต้อง เขียนให้ดีกว่าพรุ่งนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งแล้วมันกลายเป็นว่า วันนี้ต้องพยายามเขียนให้ได้เหมือนเมื่อวานมันกลับกัน เพราะมันถึงจุดสูงสุดของเราแล้ว เราจะเขียนให้ดีกว่านี้ ไม่ได้แล้ว”
ชัย ราชวัตร บอกว่า ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ในที่สุดมันก็ต้องปิดฉาก หยุดงานประจำ แต่อาจเป็นนานๆ อาจปล่อยของออกมาที
"ถึงผมจะหยุดไปก็ไม่ได้หมายความว่า เหนื่อยอ่อนเพราะเราเบื่อการเมืองแล้วบ้านเมืองเป็นยังไงช่างมัน แต่ผมอยากให้คนอื่นได้แสดงบ้างส่วนตัวขอมาเป็นกองเชียร์อยู่ข้างๆ แล้วก็มีโอกาสตอดนิดตอดหน่อยบ้าง ก็คงมี นักเขียนการ์ตูนคนต่อไปที่จะสร้างการ์ตูนชุดใหม่ขึ้นมา"
ที่มาไอ้จ่อย-ผู้ใหญ่มา
34 ปีกับการ์ตูนล้อการเมือง "ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน" ได้ทำหน้าที่สะท้อนเหตุบ้านการเมืองในแต่ละยุคสมัยเป็น อย่างดีจุดกำเนิดเริ่มที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ แต่ไม่กี่ปี จากนั้นก็ย้ายวิกมาอยู่ไทยรัฐกระทั่งปัจจุบัน ส่วนที่มาของ ตัวละคร "ผู้ใหญ่มา" กับ "ไอ้จ่อย" สนทนากันเรื่องปัญหาบ้านเมือง "ชัย ราชวัตร" เล่าเบื้องหลังว่าได้ไอเดียมาจาก ช่วงที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนเรื่องสั้นวิจารณ์ระบอบเผด็จการทหารโดยใช้สัญลักษณ์จดหมายจาก นายเข้ม เย็นยิ่ง ถึง นายทำนุ เกียรติก้อง นายเข้ม คือ ตัวอาจารย์ป๋วย ซึ่งเป็นชื่อจัดตั้งตอนเป็นเสรีไทยต้านญี่ปุ่น ทำหน้าที่เป็นชาวบ้านวิจารณ์การปกครองของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อทำนุ เกียรติก้อง แปลมาจาก ถนอม กิตติขจร นั่นเอง
"ผมได้ไอเดียจากตรงนั้น เพราะรัฐบาล พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมาจากการปฏิวัติ แม้จะให้เสรีภาพกับประชาชน แต่การจะเขียนอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ ผมเลยสมมติประเทศขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน ใช้ชื่อว่าทุ่งหมาเมิน แล้วก็สมมติตัวผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งก็คือนายกฯ ที่เป็นผู้ปกครอง หมู่บ้าน และก็มีไอ้จ่อยเป็นลูกบ้าน คอยทักท้วงกับผู้ใหญ่มาซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน วันแรกก็คิดแค่ตัวละครสองตัว ถกเถียงปัญหาบ้านเมือง แล้วก็มีตัวอื่นๆตามมาทีหลัง แล้วแต่เหตุการณ์แต่ละเรื่อง"
"ชัย ราชวัตร" ชื่อจริงสมชัย กตัญญุตานันท์ เป็นชาว จ.อุบลราชธานี เดิมทำงานธนาคาร ก่อนลาออกมาเข้า สู่วงการหนังสือพิมพ์เมื่อปี2515 ขณะที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้ เผด็จการทหาร เริ่มเขียนการ์ตูนที่แรกให้หนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ จากนั้นไม่นานเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ประชาธิปไตยเบ่งบาน มีหนังสือพิมพ์ออกมาหลายฉบับ มหาราษฎร์ปิดตัวเองลง "ชัย ราชวัตร" ย้ายไปอยู่หนังสือ พิมพ์เดลินิวส์ โดยวาดภาพประกอบ "งิ้วการเมือง" กระทั่ง เกิด 6 ตุลา 2519 เขาไม่ต่างจากนักหนังสือพิมพ์รายอื่นที่ต้องหลบลี้หนีภัยอำนาจมืด เพราะ "รัฐบาลหอย" ไล่จับกุม ปิดหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาล
หลบภัยไปสหรัฐยุคเผด็จการ
"ยุคปฏิวัติมีการจับกุมนักศึกษากับกลุ่มปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์ สมัคร สุนทรเวช เป็น รมว.มหาดไทย สมัครก็เรียก บก.เข้าไป แล้วก็สั่งห้ามฉบับนั้น คนนั้นคนนี้ เขียน แต่ละฉบับก็จะมีลิสต์ถูกห้ามเขียน ผมเองก็ถูกห้ามด้วย มันก็ต้องหนี ถ้าไม่หนีก็ไม่รู้จะโดนตั้งข้อหาอะไร เพราะตอนนั้นพอจับกุมแล้วก็ขึ้นศาลทหารไม่ใช่ศาลปกติ ซึ่งศาลทหารก็ขังลืมไปเลย ไม่มีใครฟ้องร้อง"
"ชัย ราชวัตร" ตัดสินใจหนีไปอยู่สหรัฐ ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการล้างถ้วยชามในบาร์ ผับ แต่ก็ไม่ทิ้งเลือดผู้รักความเป็นธรรม เพราะยังเข้าร่วมงานกับชมรมชาวไทยเพื่อประชาธิปไตยรณรงค์ต่อสู้ช่วยเหลือนักศึกษาที่ถูกจับตอน 6 ตุลา 2519 พร้อมกับทำหนังสือพิมพ์ไทย ชื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นแนวต่อต้านรัฐบาล อยู่อเมริกาได้ 2 ปี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ปฏิวัติ รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร เริ่มคืนเสรีภาพให้ประชาชน หนังสือพิมพ์สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้ จึงวางแผนกลับเมืองไทย
"ผมอยากกลับเมืองไทย เพราะการไปอยู่เมืองนอก มันก็เหมือนเป็นพลเรือนชั้นสอง พอดีทางเดลินิวส์ตอนนั้นมี เปลว สีเงิน เป็นหัวหน้ากอง บก. เขาโทรทางไกลไป หาผมว่า จะกลับเมืองไทยไหม ถ้ากลับก็มาเลย เพราะบ้านเมืองเริ่มมีเสรีภาพในการเขียนแล้ว จึงตอบตกลงทันที พออยู่เดลินิวส์ได้ 2-3 เดือน ก็มีปัญหาขัดแย้งกับนายทุนหนังสือเกี่ยวกับการบริหาร เมื่อเปลว สีเงิน ลาออก ผมก็ เลยลาออกตาม แต่โชคดีที่ไทยรัฐชวนไปเขียนการ์ตูนผู้ใหญ่มาต่อในปี 2522"
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุค "ชัย ราชวัตร" ยอมรับว่าถูกคุกคามเป็นธรรมดา แต่ไม่ถึงกับสาหัส หรือ ถูกฟ้องร้อง ส่วนใหญ่จะเป็นจดหมายเตือนหรือขู่จะฟ้อง เพราะแต่ก่อนไม่มีเฟซบุ๊กเหมือนปัจจุบัน มีครั้งหนึ่งมี นายทหารออกมาขู่ว่า ทหารจะเอกเซอร์ไซส์ ความหมายคือ จะปฏิวัติอีก และโจมตีสื่อว่าขัดขวางไม่ให้ทหารมา บริหารประเทศทั้งที่ทหารเรียนจบ จปร.มา เขาเขียนการ์ตูน แซวว่า จปร. ย่อมาจากเจ๋งเป้งทุกเรื่องเท่านั้นแหละ เลขานุการกองทัพบกทำจดหมายมาว่า จะฟ้องร้องข้อหาหมิ่นสถาบัน เพราะ จปร.เป็นพระปรมาภิไธย เอามา ล้อเลียนไม่ได้ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบ
ยุคไหนเขียนยาก-ง่าย
อย่างไรก็ตาม "ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน" เคยขาดหายไปจากไทยรัฐช่วงหนึ่ง คือ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ถึงขั้นที่เจ้าตัวคิดจะหยุดเขียนไปตลอดชีวิต
"ช่วงนั้นทหารปฏิวัติ ก็หยุดเขียน เพราะไม่รู้ทิศทางลมเป็นอย่างไร ตอนนั้นนึกว่าจะหยุดเลย ไม่นึกว่าจะเอากลับมาแล้ว ชิ้นสุดท้ายที่เขียนก็เขียนในลักษณะว่า ตอนนี้ เกิดมีโรคห่าลงมาหมู่บ้าน เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่เคย มีอยู่ก็เงียบหายไป หมู่บ้านทุ่งหมาเมินกลายเป็นทุ่งร้าง ผมก็ทิ้งปริศนาไว้อย่างนั้น แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบไม่มีการจับกุม พอเปิดหนังสือพิมพ์ผมก็เริ่มกลับมาเขียนใหม่ เพราะคนอ่านที่เป็นแฟนเรียกร้องอยากอ่านผู้ใหญ่มาต่อ ก็กลับมาเขียนผู้ใหญ่มาอีกครั้ง เรียกได้ว่าขาดช่วงไปแค่สัปดาห์เดียว"
ช่วงไหนเครียดสุด? เขาตอบว่า มักอยู่ในช่วงปฏิวัติ เพราะปฏิวัติแต่ละครั้งเราไม่รู้ว่ารุนแรงแค่ไหน หลายครั้งเขาก็ไล่จับกุม ปิดหนังสือพิมพ์บ้าง พอปฏิวัติทีเราก็ต้องคอยสังเกตทิศทางลม และต้องเบรกตัวเองพักหนึ่งเพื่อดูว่าเขาเล่นงานแค่ไหนถ้าเขาปล่อย เราก็เริ่มเขียนเหมือนเดิม
แล้วช่วงไหนเขียนการ์ตูนสบายที่สุด? "มันมีอยู่สองช่วง คือ ช่วง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ เพราะมันมีเรื่องให้ล้อเลียนตลอดและประชาชนก็มีอารมณ์ร่วมด้วย เขียนอะไรไปก็ถูกอกถูกใจ ฉะนั้นในช่วง พล.อ.ชวลิต กับ บรรหาร ถึงขั้นที่เขียนล่วงหน้าทิ้งได้หลายชิ้นเลย ทำให้ผมเที่ยวต่างจังหวัด ไปต่างประเทศได้บ่อย เพราะสามารถเขียนทิ้งไว้หลายชิ้น โดยที่ว่าผลงานก็ออกมามีคุณภาพ เขียนไปแล้วคนก็ยังชอบอยู่ ทั้งที่เขียนล่วงหน้าหลายวัน
ความยากในการเขียนการ์ตูนแต่ละยุคแตกต่างกันหลายลักษณะ "ชัย ราชวัตร" สรุปให้ฟัง โดยยกตัวอย่างช่วง 3 อดีตนายกฯ "อานันท์-ชวน-ทักษิณ" ว่า เขียนยาก กันคนละแบบ
"ตอนนายกฯ อานันท์ มันยากตรงที่ว่า แกเป็นนายกฯ ในดวงใจ ซึ่งเราก็ชอบ เราศรัทธา อยากได้คนอย่างนี้มาเป็นนายกฯ และเราก็ไม่อยากโจมตี ก็เลยเขียนไม่ออก หรือ อย่างคุณชวนเป็นนายกฯ เราก็เห็นว่าเป็นนายกฯ ที่เราอยากได้ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตก็เลยเขียนไม่ออก เลยไม่มีมุขจะล้อ เพราะนักเขียนการ์ตูนถ้าจะให้เขียนให้สนุกก็คือ นักการเมืองขี้โกงในยุคคอร์รัปชั่น แต่พอไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็เขียนไม่ออก"
"แต่ยุคทักษิณนี่ มาเขียนยากอีกอย่าง ตรงที่ว่า ทั้งประชาชน ทั้งสื่อถูกแบ่งแยกเป็นสองขั้ว ไม่เหมือนยุคเผด็จการในอดีต ยุคถนอม ซึ่งประชาชนกับสื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ต่อต้านรัฐบาล เราเขียนอะไรไปคนอ่านก็ชอบ แต่ว่าพอยุคทักษิณเขียนไป คนจำนวนหนึ่งชอบ แต่อีกจำนวนหนึ่งเกลียด โกรธ แปลกมาก เพราะการทำงานหนังสือพิมพ์ เราก็ไม่อยากให้คนออกมาต่อต้านหนังสือพิมพ์ที่เราสังกัดอยู่ พอต่อต้านมากๆ นายทุน เจ้าของหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องคิดมาก เราก็ต้องพยายามเขียนอะไรให้มันเบาลง ไม่รุนแรง อย่างทุกวันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนจำนวนมากสนับสนุนอยู่ เขียนอะไรบางทีก็ต้องเบรกเหมือนกัน คือ เขียนได้แต่ไม่เต็มที่ ในวงการสื่อด้วยกันก็ไม่ได้สามัคคีเป็นทิศทางเดียวกัน มันก็เลยยาก"
ผมไม่เป็นกลาง-เกลียดคนโกงกิน
ปรัชญาการเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในทัศนะของ "ชัย ราชวัตร" คือ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนทุจริตโกงกิน ลิดรอนเสรีภาพสื่อไม่ว่านักการเมืองคนนั้นจะมาจากการเลือกตั้งคะแนนเสียงมหาศาลแค่ไหนก็ตาม
"สิ่งที่อยากพูด คือ ผมมักถูกโจมตีว่าไม่เป็นกลาง ซึ่งผมเกลียดที่สุดคำนี้ เพราะผมไม่เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะต้องเป็นกลาง หนังสือพิมพ์ คือ คนชี้นำประชาชน คอยบอกประชาชนว่า อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว แล้วมันจะเป็นกลางได้อย่างไร หนังสือพิมพ์เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เมื่อโจรมันปีนรั้วเข้ามาสุนัขมันก็ต้องเห่า ดังนั้น ผมไม่เคยเป็นกลางตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าสู่วงการเลย วันแรกนั้นเป็นยุคเผด็จการทหาร ยุคที่ศูนย์นิสิต นักศึกษาออกมาเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล ผมก็ยืนข้างนิสิต นักศึกษา เพราะเห็นว่านั่นคือความถูกต้อง และทุกยุคมารัฐบาลก็โกงกินคอร์รัปชั่นจนเอิกเกริก ผมก็ต้องมายืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ผมจะเป็นกลางได้อย่างไร"
"แต่ถ้าไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์โดยอ้างว่าต้องเป็นกลาง ถ้าอย่างนั้นใครก็มาเป็นนักหนังสือพิมพ์ได้ จบ ป.4 ก็มาเขียนได้ เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นกลางอย่างเดียว แล้วอย่างนี้มันถูกต้องหรือไม่ ฉะนั้นความเป็นกลางมันคือหลุมหลบภัยของคนขี้ขลาด"
การเขียนการ์ตูนบนความขัดแย้งสองขั้วเหนื่อยแค่ไหน?"มันเหนื่อยหลายแง่เช่น เหนื่อยตรงที่ว่าบางทีเราจะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนกันเพราะบางชิ้นที่เขียนไป เป็นเรื่องที่หนังสือพิมพ์ไม่มีใครกล้าเขียน ไม่เหมือนสมัยก่อน ร่วมมือร่วมใจกัน ต่อสู้เรื่องอะไรก็ไปในทิศทางเดียวกัน"
"การเขียนเราก็ต้องเกรงใจเจ้าของหนังสือพิมพ์ เพราะหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องอยู่รอดด้วยโฆษณาที่คนอ่านจำนวนเยอะๆ แต่ถ้าเสียงจำนวนมากคัดค้านทัศนะของเรา เราก็คงลำบาก อีกอย่างถ้าหนังสือพิมพ์ ถูกปิดก็จะลำบาก หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เขาก็จะคอยห้ามปรามไม่ให้นักเขียนเขียนอะไรจนเลยขอบเขต"
ไม่เคยทรยศคนอ่าน
กลัวอันตรายกับชีวิตบ้างไหม? "ก็มีนะ ... มันปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ไม่กลัว เพียงแต่เรามั่นใจว่า สิ่งที่เราเขียนคือความถูกต้อง ถ้าเราไม่กล้าเขียน เพราะเรากลัว เราก็ควรเลิกเขียน หันไปทำอาชีพอื่นซะ แต่ถ้ารักที่จะทำอาชีพนี้ มันก็ต้องเสี่ยงเอา ไปถามทหารที่รบตามชายแดนเขาเสี่ยงไหม เขาก็กลัว แต่ในเมื่อมันเป็นหน้าที่เขาเขาก็ต้องเสี่ยง ทุกอย่างมันขึ้นกับยุคสมัย บางครั้งมันก็แค่ขู่ๆ หรือถ้าหนักที่สุดในยุคเผด็จการทหาร ก็จับขังคุก มันก็แค่นั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างตอนอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็เห็นอยู่แล้วว่า ขนาดนายกฯ ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด ถูกรุมทำร้าย ฉะนั้นประชาชนอย่างเราธรรมดาก็ยิ่งอันตรายหนัก"ยิ่งอันตรายหนัก"
ถามไปว่า อยากฝากอะไรกับสังคม "ชัย ราชวัตร" ตอบเพียงว่า "ตลอดที่ผ่านมา ผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ายืนอยู่ข้างความถูกต้อง"
"แม้จะมีคนอื่นบอกว่าผมเป็นฝ่ายอำมาตย์ล้าหลัง แต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ผมก็ยืนในแนวทางของผมชัดเจน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งผมขอบอกคนอ่านว่า ผมไม่เคยทรยศต่อคนอ่าน แล้วก็ไม่เคยทรยศต่อจุดยืนของตัวเอง และเมื่อไรวันไหนวางมือไปผมก็จะวางมือลักษณะนี้ ไม่ใช่วางมือไปเพราะเปลี่ยนจุดยืนตัวเอง"
"ไม่เหมือนนักการเมืองบ้านเราเปลี่ยนแปลงตลอด ทุกวันนี้ไม่ได้โกงกินอย่างเดียว แต่มีลักษณะยึดครองประเทศไทยไปถาวรเลย ขนาดคิดจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง มันร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนนี้เยอะแต่ประชาชนไม่ได้ตื่นตัวขึ้นจำนวนมากก็ยังพร้อมขายเสียงเหมือนเดิม คล้ายๆ ว่าค่าตัวแพงขึ้น แต่ก่อนซื้อ 20 บาท เดี๋ยวนี้ซื้อกันเป็นพัน"
ปิดท้าย "ชัย ราชวัตร" ไม่ขอพูดถึงคดีที่ตำรวจตั้งข้อหาหมิ่นประมาทนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก กระทั่งกลุ่มเสื้อแดงไปชุมนุมประท้วงที่หน้าอาคารไทยรัฐ เขาบอกเพียงว่า "ขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ บางคนก็ช่วยเยอะ เสนอจะให้บ้าน ให้รถใช้ เปลี่ยนที่หลบภัย มันทำให้ผมรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจริงๆ"
ไม่โดดเดี่ยวในวัย 72 ปี ...


ความภาคภูมิใจในชีวิต
ผลงานที่สร้างความภูมิใจในชีวิตของ "ชัย ราชวัตร" คือ การได้เขียนการ์ตูนฉบับพระมหาชนกและคุณทองแดง ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง โดยเฉพาะการ์ตูนคุณทองแดง สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 3 ล้านเล่ม
"การ์ตูนพระมหาชนกฉบับขาวดำ ยอดพิมพ์ประมาณ 3 ล้านเล่ม ผมว่าไม่ใช่สูงสุดของประเทศไทยเท่านั้น แต่เมืองนอกด้วย ตอนนั้นพระองค์ท่านเห็นว่า หนังสือการ์ตูน พระมหาชนกเล่มใหญ่ คนที่ซื้อกลับไปเอาขึ้นหิ้งเก็บใส่ตู้เพราะหนังสือแพงมาก ไม่กล้าให้ใครแตะ ในหลวงเลยรับสั่งให้ทำฉบับที่ ย่อมเยากว่านี้ ก็เลยพิมพ์ฉบับพ็อกเกตบุ๊กย่อส่วนลงมา ราคาเหลือ 35 บาท จน หนังสือทำยอดได้ 3 ล้านเล่ม ช่วงนั้นในหลวง ตรัสว่า หนังสือพระมหาชนกขาวดำ ถูกก็จริง แต่มันไม่สวย พระองค์เลยมีรับสั่งให้ทำอีกฉบับหนึ่งให้เป็นฉบับสี่สี การ์ตูนก็เลยมีสองเวอร์ชั่นขาวดำกับสี่สี ราคาแพงขึ้นมานิด 65 บาท ส่วนคุณทองแดงก็ขายได้ เพราะเป็นช่วงที่คนเอาไปซื้อแจกปีใหม่ค่อนข้างเยอะ บริษัท องค์กรใหญ่ๆ การบินไทย ให้คนอ่านบนเครื่องแล้วหยิบไปได้ด้วย"
"ผมถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ และมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ หลังจาก เสร็จงานแล้ว พระองค์ก็พระราชทานเครื่องราชฯ มาให้ ก็ถือว่าทำงานเป็นที่โปรดปราน"ราชฯ มาให้ ก็ถือว่าทำงานเป็นที่โปรดปราน"
เหตุถูกเลือกให้ทำงานครั้งสำคัญชิ้นนี้ "ชัย ราชวัตร" เล่าว่า เพราะตอนนั้นทางอมรินทร์ ซึ่งดูแลเรื่องพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีโครงการจะทำฉบับการ์ตูน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งกับทางอมรินทร์ว่า อยากได้การ์ตูนที่ดูแล้วตลกแบบขายหัวเราะ อมรินทร์ก็เลยทาบทามให้มาวาด ก็ได้ทดลองเขียนตัวอย่างกันอยู่ 2-3 ครั้ง ก็นำทูลเกล้าฯ ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินใจ เมื่อทรงโปรดกับที่ผมเขียนขึ้นไปดูเลยมอบหมายผม พอเขียนเสร็จ จากนั้นอีก 2-3 ปี ทรงมีพระราชประสงค์อยากได้คุณทองแดงเป็นการ์ตูน ทางอมรินทร์เขาก็ตั้งทีมขึ้นมาช่วยให้ผมเป็นหัวหน้าทีม
ความยากง่ายระหว่างพระมหาชนกกับคุณทองแดง "ชัย ราชวัตร" อธิบายว่า คุณทองแดงค่อนข้างยาก เพราะพระมหาชนกเป็นเรื่องในพระไตรปิฎกฉะนั้นเราสามารถจินตนาการทุกอย่างขึ้นมาได้ ทั้งเรื่องฉากการแต่งกาย ขณะที่คุณทองแดงยากตรงที่ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงต้องหาข้อมูล ไปในพื้นที่จริง ตามท้องเรื่อง
"คุณทองแดงเป็นสุนัขจรจัด อยู่ในซอย ข้างศูนย์การแพทย์ ผมก็ต้องไปสถานที่จริง เอากล้องไปถ่ายอาคารบ้านช่องแถวนั้น เพราะเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรแล้ว พระองค์ท่านจะได้ว่า ใช่ๆ ตรงนี้ ไม่ใช่เราจินตนาการไปเอง หรือฉากตรงนี้ ไม่ใช่เราจินตนาการไปเอง หรือฉากตอนเข้าไปอยู่ในวัง แล้วเราก็ต้องดูว่าเลี้ยงยังไง แล้วกรงอยู่ยังไง เป็นกรงสุนัขแบบชาวบ้าน หรือเป็นกรงพิเศษ แล้วการฝึก มีเครื่องแต่งกายไหม ก็ต้องไปถ่ายข้อมูลจากในวัง"
"ทุกอย่างต้องมีข้อเท็จจริง แล้วสุนัข ทุกตัวที่เป็นลูกของคุณทองแดงทั้งหมด 9 ตัว แต่ละตัวจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีสี ลาย ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องถ่ายแต่ละตัว หน้าตรง ด้านข้าง ต้องเก็บเป็นแฟ้ม เวลาวาด ก็ต้องเปิดเลยตัวไหนลักษณะเป็นอย่างไร พอดูปั๊บ ในหลวงจะได้ทรงรู้เลยว่าตัวนี้ใช่ เพราะมันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาไม่ได้เลยมันเลยยากตรงนี้"
"เขียนเสร็จก็ต้องส่งให้ในหลวงทรงดู เป็นระยะ ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่หัวหิน ผมก็ส่งไปอาทิตย์สองอาทิตย์ ก็ต้องมีคนประสานงานนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วพระองค์จะหมายเหตุกลับมาว่า ตรงนั้น ตรงนี้ ต้องแก้ ผ่านขั้นตอนค่อนข้างเยอะ แต่ละเล่มทั้งคุณทองแดง พระมหาชนก ก็ใช้ เวลากว่าครึ่งปี"