PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เปิดลายแทง “เครือข่ายสมคิด” นักธุรกิจ-มืออาชีพ พรึบ!

เปิดลายแทง “เครือข่ายสมคิด” นักธุรกิจ-มืออาชีพ พรึบ!
ตั้งแต่ประกาศโผ “ครม.ประยุทธ์5” ทุกสายตาต่างจับจ้องชนิดไม่กระพริบตาคอยดูว่า ครม.เศรษฐกิจที่อยู่ในกำมือ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เกือบจะ100% (เว้นไว้เพียงพลังงานกับแรงงาน) จะกระชากศรัทธาที่ดำดิ่งกลับคืนมาได้หรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้เรตติ้งทีมเศรษฐกิจหากเป็นบัว 4 เหล่า เผลอๆ จัดเป็นบัวเหล่าที่ 5 คือ เรตติ้งติดลบเอาดื้อๆ
ก่อนหน้านี้การทำงานอาจจะไม่เต็มไม้เต็มมือเท่าไหร่ มีปัญหา 2 กระทรวงสำคัญ คือเกษตรและสหกรณ์ที่อยู่ในมือ “บิ๊กนมชง”พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ และการท่องเที่ยวและกีฬาที่ “กอบกาญน์ วัฒนวรางกูร” ดูแล ตั้งตัวเป็นรัฐอิสระมีอะไรจะรายงานสายตรงกับ“บิ๊กตู่”คนเดียว การประสานงานจึงเข้าตำรา “ชักตื้นติดกึ๊กชักลึกติดกั๊ก” มาตลอด ต่อจากนี้ไปจะอ้างหรือโยนกลองไม่ได้แล้ว....
ที่สำคัญ ทีมงานใกล้ชิดมือซ้ายมือขวายังอยู่กันพรึบ ไล่เรียงตั้งแต่มือขวา “ดร.อุตม สาวนายน”รัฐมนตรีอุตสาหกรรมก็ยังอยู่ที่เดิมเพื่อดัน “โครงการEEC”เกิดให้ได้ เช่นเดียวกับ “อภิศักดิ์ ตันติวรงค์” ที่ยังยึดกระทรวงคลังเหนียวแน่น ตอนแรกมีข่าวว่าจะมานั่งคมนาคมเพื่อดันรถไฟไทย-จีน ในที่สุดก็ยังอยู่ที่เดิม
ขณะที่คนใกล้ชิดอีกคนอย่าง “สนธิรัตน์ สนธิจิระวงศ์” จากรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์เลื่อนชั้นนั่งเก้าอี้ใหญ่กว่าเดิมเพื่อผลักดันร้านค้าประชารัฐและเศรษฐกิจฐานราก ส่วนมือซ้าย “ดร สุวิทย์ เมษินทรีย์” ก็โยกจากรัฐมนตรีสำนักนายกฯ มานั่งคุมกระทรวงวิทย์ฯ มาผลักดันสตาร์ทอัพ เพื่อก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 เช่นเดียวกับ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” ภาพอาจจะไม่ใช่คนใกล้ชิดแต่ก็ทำงานเข้าขากันอย่างดี
แต่เที่ยวนี้ น่าจับตา “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” อดีตนักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่ง นักเรียนทุนและอดีตผู้บริหารแบงก์ชาติแล้วผันตัวไปเป็นผู้ช่วยเอ็มดี.แบงก์บัวหลวง หลังจากถูกดึงช่วยงาน ระยะหนึ่งเข้าตา “บิ๊กตู่” ได้รับความไว้วางใจให้ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ภารกิจหลักๆ เข้ามาดูเศรษฐกิจภาพรวมและงานด้านประชาสัมพันธ์ ด้วยเป็นคนมีความรู้แน่นและสุภาพเรียบร้อย
ขณะที่ กระทรวงเกษตร “กฤษฎา บุญราช” รัฐมนตรีว่าการ อดีตปลัดมหาดไทยลือกันว่าสายตรงลุงกำนันกลายเป็นม้ามืดแซงโค้งนาทีสุดท้าย จุดแข็งที่มีเครือข่ายผู้ว่าราชการจังหวัดมาช่วยขับเคลื่อนงานด้านการเกษตร มี“ลักษณ์ วจนานวัช” ผู้จัดการ ธ.ก.ส. แม้ไม่ใช่สายตรงแต่ก็เคยทำงานร่วมกันจนเป็นที่ไว้วางใจ จะมาดูแลราคาสินค้าเกษตร มีเครือข่าย ธกส.เป็นมือไม้ ขณะที่ “อาจารย์ยักษ์” วิวัฒน์ ศัลกำธร ก็คงมาตอบโจทก์เรื่องเกษตรทางเลือก เกษตรอินทรีย์ ดูแล้วกระทรวงเกษตรกลายเป็นสูตรที่ลงตัวที่สุด
ฟากท่องเที่ยวและกีฬาฯ ก็ได้ “วีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์” อดีตรัฐมนตรีกลับมานั่งเก่าอี้ตัวเก่า แม้จะใกล้ชิดสายชาติไทยพัฒนาแต่กับดร.สมคิด ก็ถือว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล นี่คือ เครื่องจักรสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้า แต่หลังฉากยังมี “ขุมกำลังนอกทำเนียบ” ที่ “ดร.สมคิด”ได้วางเครือข่ายมานาน ทั้งภาคธุรกิจเอกชน เทคโนแครต รวมถึงภาคประชาสังคม
“วิระไท สันติประภพ” คือคนในเครือข่ายคนแรกๆ ที่ถูกดันให้มานั่งเก้าอี้ผู้ว่าแบงก์ชาติ ก่อนหน้าที่จะเข้ามาคุมทีมเศรษฐกิจด้วยซ้ำ “ยุทธศักดิ์ สุภสร” อดีต ผอ.ส.ส.ว. ผันตัวมานั่งเก้าอี้ ผู้ว่า ท.ทท. ก็เคยอยู่ใต้ร่มเงาสมคิดมาก่อน
แต่ขุมกำลังหลักจริงๆ น่าจะวางน้ำหนักไปที่นักธุรกิจ เอกชน ผู้บริหารมืออาชีพที่ถูกดึงมาช่วยงานหน้าฉากในนาม “สานพลังประชารัฐ” ที่มั่นสำคัญอยู่ที่ “หอการค้าไทย” และ “สภาหอการค้าไทย” มี “อิสระ ว่องกุศลกิจ” อดีตประธานหอการค้าไทยและบิ๊กบอสค่ายน้ำตาลมิตรผลเป็นแกนนำ และมี “กลิน สารสิน” ผู้บริหารเครือ เอสซีจี.ประธานหอการค้าคนใหม่มาเสริมทัพ
แต่ที่ยืนเคียงข้างมานานนับสิบปีจะเป็นใครไม่ได้ ต้อง “เสี่ยบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา” บิ๊กบอส “ค่ายสหพัฒน์” ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ดร.สมคิด เคยเป็นที่ปรึกษาอยู่ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วงการการเมือง ออกโรงเชียร์ทุกครั้งที่ “ดร.สมคิด” พลาดพลั้ง แถมยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งเครือซีพี ค่ายไทยเบรฟ เข้ามาสมทบ แรกๆ ได้ “ดร.สม” พี่ชายแท้ๆ เป็นตัวเชื่อม.. แต่ทุกวันนี้ “คอนเน็คชั่น”ดร.สมคิดล้วนๆ ขนาดดึง “ศุภชัย เจียรวรานนท์” มาช่วยงานด้านการศึกษา “ฐาปน สิริสัฒนภักดี” ลูกชายเสี่ยเจริญ มาช่วยงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ เช่นเดียวกับ “เครือเซ็นทรัล” ยักษ์ใหญ่วงการค้าปลีก ก็มี “ทศ จิราธิวัฒน์” ยืนตระหง่าน ขาดไม่ได้ แบงก์กรุงเทพฯ ก็มี “ชาติศิริ โสภณพณิช” มาช่วยเรื่องการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
เหนือสิ่งใดผู้บริหารมืออาชีพอย่าง “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” ซีอีโอ.ค่ายเอสซีจี.ช่วยพัฒนาบุคลากรด้านอาชีวะ แต่ที่ไม่เปิดตัวก็มีอีกไม่น้อย ทั้งกลุ่มไทยยูเนี่ยนโฟรซเซ่น ผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่ากระป๋องที่ติดอันดับต้นๆ ของโลก รวมถึงกลุ่มโอสถสภาฯ และ มหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็นแบ็กอัพ
ขณะที่ “มูลนิธิอนาคตไทยศึกษา” มี “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” เป็นหัวเรือใหญ่ทำงานด้านวิจัยเรื่องเศรษฐกิจและสังคมเป็น “คลังข้อมูล” คอยซับพอร์ตแต่ในระยะหลังๆ ดูเหมือนบทบาทดูจะแผ่วๆ ไปบ้าง
ยิ่งกว่านั้นยังมีคลังสมอง “ระดับซือแป๋เรียกอาจารย์” เล่นบท “เดอะแมน บีไฮน์” เป็นกุนซืออยู่ข้างหลังทั้งอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ “สมพล เกียรติไพบูลย์” อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ “ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลสวัสดิ์” อดีตรัฐมนตรีคลังและอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ “ดร.คณิต แสงสุพรรณ” อดีตข้าราชการระดับสูงในกระทรวงคลัง ตอนนี้มาช่วยดูโครงการ EEC. และ ดร.ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงคลังที่ช่วงหลังอาจจะห่างๆ ไปบ้าง
ผู้บริหารมืออาชีพ อาทิ “กานต์ ตระกูลฮุน” อดีตซีอีโอ.เอสซีจี.มาผลักดันโครงการ EECรวมถึง “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” อดีตซีอีโอ.ปตท. และที่ไม่เปิดตัวอีกไม่น้อย
ในภาคประชาสังคม ก็มี “เอ็นนู ซื่อสุวรรณ์” อดีตรองเอ็มดี.ธกส.ช่วยงานด้านเศรษฐกิจฐานราก วิสาหกิจชุมชนต่างๆ “หมอพลเดช ปิ่นประทีป”ดูเรื่องประชารัฐ
สำรวจขุมกำลังแล้วแน่นปึ๊ก! ทั้งกองหน้ากองหลัง เหลือแต่เพียงในห้วงเวลาที่เหลืออยู่จะเฉียบคมพอยิงเข้าเป้าหรือไม่ จะผลักดันผลงานถูกใจกองเชียร์หรือไม่ เท่านั้น.

ทุกคนต้องมา!อัยการนัดสั่งคดีกบฏ53กปปส.24ม.ค.ปีหน้า

ทุกคนต้องมา!อัยการนัดสั่งคดีกบฏ53กปปส.24ม.ค.ปีหน้า
Cr:http://www.naewna.com/politic/309064
15 ธ.ค.60 ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ได้นัดผู้ต้องหาในสำนวนคดีพิเศษที่ 261/2556 หรือคดีร่วมกันเป็นกบฏในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 53 คน ผู้ต้องหา มาเพื่อรายงานตัวและฟังการสั่งคดี
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มีเพียงทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกลุ่มผู้ต้องหาเดินทางมาเพื่อมารับฟังคำสั่งแทนเท่านั้น โดยคณะทำงานอัยการได้แจ้งแก่ทนายความ ให้มารับทราบคำสั่งอีกครั้งในวันที่ 24 ม.ค.61 นี้ เวลา 10.00 น.โดยได้กำชับให้ผู้ต้องหาทุกคนเดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง เนื่องจากในวันดังนั้นกล่าว ทางอัยการจะมีคำสั่งเลยว่าจะฟ้องผู้ต้องหารายใดและข้อหาใดบ้าง ซึ่งตัวผู้ต้องหาจะต้องเตรียมหลักทรัพย์มาให้พร้อมเพื่อประกันตัวในชั้นศาล
ด้าน นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของกลุ่มแกนนำ กปปส.เปิดเผยว่า วันนี้อัยการยังไม่ได้แจ้งความเห็นเรื่องการสั่งคดีใดๆ โดยนัดให้กลุ่ม กปปส.มารายงานตัวอีกครั้งช่วงปลายเดือน ม.ค.61 ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าในวันนั้นอัยการจะแจ้งคำสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้องในวันนัดนั้นเลยหรือไม่ โดยปกติหากสั่งฟ้องอัยการจะนัดไว้ก่อนเพื่อเตรียมหลักประกันให้พร้อม
ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่ม กปปส.ก็เตรียมหลักประกันไว้ ซึ่งอิงเกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ประกันตัวของ 4 กปปส.ที่เคยถูกฟ้องไปแล้ว คือ น่าจะอยู่ที่คนละ 600,000 บาท หากไม่มีข้อหาก่อการร้าย อาจจะอยู่ที่คนละ 400,000 บาท

“นิพิฏฐ์ โต้ คนเสนอส.ส.ไร้พรรค สะท้อนไร้หลักการ-ไม่เรียนรู้อดีต ปูทางเลื่อนเลือกตั้ง

“นิพิฏฐ์ โต้ คนเสนอส.ส.ไร้พรรค สะท้อนไร้หลักการ-ไม่เรียนรู้อดีต ปูทางเลื่อนเลือกตั้ง


“นิพิฏฐ์ โต้ “สมศักดิ์” เสอนแก้รธน.สะท้อน ไร้หลักการ ตอกย้ำทฤษฎีสมคบคิด ปูทาง เลื่อน-ไร้เลือกตั้ง เชื่อแก้กม.พรรคการเมือง ใช้เป็นข้ออ้างล้มกฎหมายเลือกตั้งส.ส. ตามแผนผู้มีอำนาจ เหน็บอวยพร “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” อยู่ต่อจนถือไม้เท้ากลับบ้าน
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยม ที่ให้แก้รัฐธรรมนูญให้ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง และมีแต่ส.ส.เขต 400 คน ว่า ในขณะที่มีการร่างรัฐธรรมนูญมีการถกเถียงจนตกผลึกแล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยจะเดินไปได้ส.ส.ต้องสังกัดพรรค และในอดีตก็เห็นความล้มเหลวของระบบรัฐสภาที่ส.ส.ไม่สังกัดพรรคมาแล้ว ทำให้รัฐบาลอยู่ยาก การกำหนดนโยบายแต่ละเรื่องทำไม่ได้เลย เมื่อสิ่งนี้ตกผลึกไปแล้วจะกลับมารื้อฟื้นใหม่แสดงให้เห็นถึงความไม่มีหลักการของคนที่คิดเรื่องนี้ ส่วนประเด็นเรื่องส.ส.เขต 400 คนก็ตกผลึกแล้วเช่นกันว่า การที่เอาระบบสัดส่วนผสมมาเพราะไม่ต้องการให้คะแนนตกน้ำ ทำให้ทุกคะแนนมีความหมาย ข้อเสนอเรื่อง 400 คน 400 เขตเป็นระบบเก่า
“รัฐธรรมนูญก็ผ่านการประชามติมาแล้ว อย่าทำให้เป็นปัญหาอีกเลย และหากมีการเสนอเรื่องนี้แล้วสภานิติบัญญัติ(สนช.).รับลูก ถ้าสมมติว่าผมไปเสนอบ้างว่ารัฐธรรมนูญนี้มาจากประชามติ ขอให้คงไว้ ไม่ขอให้แก้ไข สนช.จะรับลูกหรือไม่” นายนิพิฎฐ์ กกล่าว

แก้ไขให้ถูกต้อง

แก้ไขให้ถูกต้อง


การสรรหา กกต.ใหม่ 2 คน (จากทั้งหมด 7 คน) ซึ่งท่ีประชุมใหญ่ศาลฎีกาดำเนินการคัดเลือกเสร็จเรียบร้อย

มีแนวโน้มว่าอาจต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ซ้ำอีกรอบ??

เพราะ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ชุดปัจจุบัน ออกมาทักท้วงว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาใช้วิธีเลือก กกต.ไม่ถูกต้อง

เนื่องจาก พ.ร.บ.กกต.ฉบับใหม่ กำหนดให้ “ลงคะแนนโดยเปิดเผย” แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ผู้พิพากษาแต่ละท่านลงคะแนนในบัตรที่จัดให้

โดยไม่มีชื่อเจ้าของบัตรกำกับไว้ด้วย

นายสมชัย ชี้ว่าการลงคะแนนเลือกว่าที่ กกต. 2 คนของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงไม่ใช่ “ลงคะแนนโดยเปิดเผย” ตามที่กฎหมายกำหนด

เพราะตรวจสอบไม่ได้ว่าบัตรเลือก ตั้งแต่ละใบเป็นของท่านใด? และใครลงคะแนนเลือกใครกันบ้าง?

ถือเป็นข้อท้วงติงจาก กกต.ที่สมควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หน.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่าหลักสำคัญของการ “ลงคะแนนโดยเปิดเผย”

คือ ต้องเปิดเผยว่าใครลงคะแนนให้ใคร

ส่วนการนำบัตรไปหย่อนในหีบ (โดยไม่ระบุชื่อเจ้าของบัตร) ไม่ใช่การลงคะแนนโดยเปิดเผย แต่เป็นการ “ลงคะแนนลับ” แบบเดียวกับที่เราไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่าการสรรหา กกต.ต้องดูกฎหมายให้รอบคอบ เพราะถ้ามีปัญหาวิธีการสรรหาไม่ถูกต้องก็จะเป็นอุปสรรคต่อไปในวันข้างหน้า

ถ้าจำเป็นต้องลงคะแนนใหม่อีกครั้งก็ไม่น่าเป็นเรื่องยาก

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าวิธีลงคะแนนโดยเปิดเผยที่ใช้ปฏิบัติกันอยู่ทำได้ 4 อย่าง ได้แก่...

1, วิธีขานชื่อ 2, วิธียกมือ 3, วิธีกดปุ่ม 4, วิธีใช้บัตรลงคะแนน โดยระบุชื่อผู้ลงคะแนนในบัตรด้วย

ดังนั้น กรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาใช้วิธีให้ผู้พิพากษาแต่ละท่านนำบัตรลงคะแนนไปหย่อนในหีบจึงเป็นการ “ลงคะแนนลับ” เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบัตรใบไหนเป็นของผู้พิพากษาท่านใดกันบ้าง
(ยกเว้น...ต้องตรวจดีเอ็นเอถึงจะพิสูจน์ได้)

“แม่ลูกจันทร์” โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่ พ.ร.บ.กกต.ฉบับใหม่ กำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา “ต้อง” ใช้วิธีลงคะแนนโดยเปิดเผย

แถมระบุให้กรรมการสรรหาแต่ละคนต้องบันทึกเหตุผลในการเลือกไว้ด้วย

เหตุผลที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีเพียง 200 ท่าน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนฝูงรู้จักมักคุ้นสนิทสนมกันทั้งสิ้น

ดังนั้น การบังคับให้ลงคะแนนโดยเปิดเผยว่าจะเลือกใคร หรือไม่เลือกใคร จึงเป็นเรื่องลำบากใจมากๆ
แถมการลงคะแนนเปิดเผยยังทำให้เกิด “คะแนนเกรงใจ” ตามมาด้วย

ส่วนข้อดีของวิธี “ลงคะแนนลับ” คือผู้พิพากษาแต่ละท่าน สามารถตัดสินใจเลือกใคร หรือไม่เลือกใครได้อย่างเต็มที่

แต่เมื่อ พ.ร.บ.กกต.ฉบับใหม่ เขียนล็อกไว้แบบนี้ ก็จำเป็นต้องทำตามกติกาที่กำหนดไว้ให้ถูกต้อง

ฉะนั้น เพื่อป้องกันปัญหาปลายเหตุ ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือต้องลงคะแนนใหม่ซ้ำอีกรอบ.

“แม่ลูกจันทร์”

เลี้ยวหักศอกสู่ธงเดิม?

เลี้ยวหักศอกสู่ธงเดิม?


ทัวร์พิเศษ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ยกคณะ ครม.ไปลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ แค่ไปเช้า-ค่ำกลับ ก็ทำเอาครึกครื้นไปทั้งเมืองน้ำดำ

ไม่ใช่แค่ทุ่มงบฯโครงการพัฒนาลอตแรก อาทิ อุโมงค์ผันน้ำลำพะยังภูมิพัฒน์ 305 ล้านบาท เส้นทาง 4 ช่องจราจร 1,400 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องสาวไหม ปรับปรุงต่อเติมศูนย์การเรียนรู้ ก่อสร้างเส้นทางสายไหมในประเทศ

ยกเป็นโมเดลอัดฉีดต้นแบบ “กาฬสินธุ์ แฮปปี้เนส” จังหวัดนำร่อง “แก้จน”

แต่สีสันรอบนี้ครบครัน “บิ๊กตู่” เล่นได้ทุกบทไม่แพ้นักการเมืองลงพื้นที่ ทั้งโชว์ตัวบนรถอีแต๊ก ชิมดักแด้ไหม ร่วมรำฟ้อนภูไท หยอกเย้าชาวบ้าน เบ่งกล้ามโชว์ ฯลฯ และไม่พลาดก็รายการเดี่ยวไมโครโฟน

ทั้งเนื้อหาสาระจริงจัง แถมมีมุกแทรกเป็นระยะๆ ตามสไตล์ “นายกฯเป็นคนตลก”

โดยเฉพาะที่ “ทีเล่นโยงทีจริง” ต่อเสียงเชียร์ชาวบ้าน จะให้อยู่ไปนานๆเป็น 10 ปี “เดี๋ยวค่อยว่ากัน”

“อยู่ที่พวกเราจะให้อยู่ต่อหรือไม่ ถ้าบอกให้อยู่ต่อก็อยู่ได้”

ในจังหวะที่อาการเป๋ๆเอียงๆในภาพรวมของรัฐบาล คสช. ก็ประคองตัวให้กลับมาตั้งหลักได้

แรงต้านนอกประเทศลดดีกรีลง ล่าสุดกลุ่มอียูฟื้นสัมพันธ์กับประเทศไทย ธนาคาร โลกปรับตัวเลขความยากจนในไทยดีขึ้น และเอดีบีชี้เศรษฐกิจไทยดีเกินคาด ปรับตัวต่อเนื่อง

ด้านแรงกระเพื่อมการเมืองภายในคิวร้อนกระแทกใส่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ต้องแจงปมแหวนเพชร-นาฬิกาหรู ก็ได้เครดิตของ “บิ๊กตู่” ช่วยการันตี

ที่สำคัญ ว่ากันว่า “ลุงป้อม” มั่นใจเคลียร์ได้ ทั้งนาฬิกาที่หยิบยืมเพื่อนนักธุรกิจ ส่วนแหวนเพชรมีข้อมูลว่ามารดาให้ใส่ตั้งแต่ไปร่วมรบสงครามอินโดจีน

ยิ่งเมื่อน้องรักเข้าใจดี-พี่เลิฟก็ดีใจยิ่ง โดยเฉพาะคำพูดผู้นำ “เสี้ยมยังไงก็ไม่แยกกัน” กินใจมาก

ถึงจุดนี้เลยมีช็อตพิเศษ สยบแรงกระเพื่อมจากคนการเมือง สารพัดขั้วค่ายที่ส่งเสียงเรียกร้องให้ปลดล็อกทางการเมือง ขอขยับทำตามกติกาเงื่อนไข และเวลาที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด

ปล่อยให้ส่งเสียงเรียกร้องอื้ออึง “อำนาจพิเศษ” คอยยื้อ พาคนการเมืองออกทัวร์มาพักใหญ่

จนเวลากระชั้นใกล้เดดไลน์ ก็มีสัญญาณพา “เลี้ยวหักศอก”

ไม่ต้องเล่นเอง แต่มีแม่น้ำสายแยกย่อย “ไพบูลย์ นิติตะวัน” อดีต สปช. และผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปที่ประกาศหนุน “ลุงตู่” ไปต่อบนเก้าอี้ “ผู้นำคนนอก” ออกมาเสนอแก้กฎหมายพรรคการเมือง

โละสมาชิกพรรค เริ่มต้นค่ายต่างๆใหม่หมด เหตุผลเพื่อแก้ปมเหลื่อมล้ำพรรคเก่า-พรรคใหม่

ไม่ต่างจากปม “เซ็ตซีโร่”

อีกทางหนึ่ง “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำหนังสือส่งถึง สนช. เพื่อขอให้แก้กฎหมาย
พรรคการเมืองเช่นกัน และเหตุผลก็ใกล้เคียง แต่ที่น่าสังเกต รอบนี้ “ลุงกำนัน” มาโฉมใหม่

จากที่ช่วงหลังออกโรงในนาม “ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ”

หนนี้กลับมาใช้หัวหนังสือ และตำแหน่ง “เลขาธิการ กปปส.” อีกครั้ง

ในห้วงที่การเมืองในค่าย ปชป.ชักมันหยด “ลุงกำนัน” รุกเงียบ หาช่องทาง “ทอนเสียง” ค่ายเก่า ลดดีกรีเฮี้ยว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ “นายชวน หลีกภัย” มาเติมกำลังภายใน
หมากนี้ “สุเทพ” รุกอีกขั้น ประลองพลังปรมาจารย์

ยิงสูตรเข้าทางลูกไม้ “อำนาจพิเศษ” ที่แม้ยังไม่แสดงท่าทีชัด แต่ภาพรวมอ่านผ่านทาง “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธาน สนช. และบรรดา สนช.ในแม่น้ำสายนิติบัญญัติรับลูกข้อเสนอ “ไพบูลย์-ลุงกำนัน”

ขณะที่ “ดร.วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ มือกฎหมายรัฐบาล แบะท่ารับเรื่องเข้า คสช.

สัญญาณแรง สูตรโละรื้อ “เซ็ตซีโร่” พรรคการเมือง ท่าทางจะมาจริง

ทางเลี้ยวหักศอก กลับมาหา “ธงแรก” ของ คสช.อีกครั้ง.

ทีมข่าวการเมือง