PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อัยการชี้คำสั่งคสช.ให้คนมารายงานตัวสิ้นสภาพไปแล้ว

วันที่ 14 ก.ค. ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสุงสุด โพสต์เฟซบุ๊ก ให้ความเห็นถึงคำสั่ง คสช. ที่สำคัญที่สิ้นสภาพไปพร้อมกับ คสช. แม้ไม่มีประกาศยกเลิก ระบุว่า


ตามที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า คำสั่งและประกาศ คสช. ที่ออกมานับตั้งแต่ คสช. เข้าบริหารประเทศ ซึ่งมีทั้งสิ้นจำนวน 465 ฉบับ บางส่วนได้สิ้นผลในตัวเองไปแล้วเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ และมีอีกบางส่วนจะสิ้นผลไปเมื่อ คสช. พ้นจากตำแหน่ง จึงน่ามาพิจารณาดูว่า คำสั่ง และประกาศ คสช. ที่มีความสำคัญ ที่ได้สิ้นผลในตัวเองไปแล้วเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ และจะสิ้นผลไปเมื่อ คสช. พ้นจากตำแหน่งโดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ประกาศยกเลิก ได้แก่ คำสั่งและประกาศใดบ้าง


ก่อนอื่นเลย คงต้องกล่าวถึงคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และที่ 13/2559 ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากว่าเป็นคำสั่งที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขัดกับรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักนิติธรรม ภายหลังจากที่มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2562    ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ยกเลิกประกาศ คสช. คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. แต่ไม่มีการยกเลิกคำสั่งทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว


คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เป็นคำสั่งที่ให้เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจในการเรียกบุคคลให้มารายงานตัว เข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวน และที่สำคัญคือมีอำนาจในการจับกุม ค้น ยึดอายัดทรัพย์สิน และควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกิน 7 วัน ในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล ส่วนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559 เป็นคำสั่งที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจเช่นเดียวกัน แต่ว่าเป็นคำสั่งที่ใช้บังคับกับคดีต่างประเภทกัน ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีความผิดท้ายคำสั่งจำนวน 27 ฐานความผิด


  สำหรับข้อสังเกตที่มีต่อคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และที่ 13/2559 มีดังนี้

1.การใช้อำนาจหลายอย่างตามคำสั่งดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ทหาร มีความเชื่อมโยงกับการใช้อำนาจของ คสช. และการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้อำนาจโดยหัวหน้า คสช. ดังนั้น เมื่อ คสช. พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว การใช้อำนาจตามคำสั่งย่อมต้องสิ้นสภาพในตัวเองไปด้วย


2.ตามวรรคท้ายของคำสั่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า การใช้อำนาจตามคำสั่งมีความเชื่อมโยงกับการใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจของ คสช.  ดังนั้น เมื่อ คสช. พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว คำสั่งเหล่านี้จึงย่อมต้องสิ้นสภาพไปในตัวเองด้วย


คำสั่งทั้ง 2 ฉบับนี้ จึงอยู่ในสถานะที่ต้องสิ้นสภาพและสิ้นผลการใช้บังคับไปในตัวเองเมื่อ คสช. พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ คสช. อยู่ในตำแหน่งจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ โดยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 วรรคหนึ่ง คณะรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่ภายหลังการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 คำสั่งทั้ง 2 ฉบับ จึงต้องสิ้นผลในตัวเองไปทันที 


อีกทั้ง การจะให้คำสั่งทั้ง 2 ฉบับนี้มีผลใช้บังคับต่อไปในรัฐบาลใหม่ภายหลังจากที่ คสช. พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะด้วยลักษณะของคำสั่งที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และขัดกับรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักนิติธรรม อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 279 จะรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของคำสั่งไว้ก็ตาม อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยภายหลังการเลือกตั้งที่ คสช. ได้พ้นจากอำนาจไปแล้ว การจะคงไว้ซึ่งการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ทหารแบบสมัยที่ คสช. ยังอยู่ในอำนาจจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดมีขึ้น


นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งและประกาศ คสช. ให้บุคคลมารายงานตัว ที่ถือว่าได้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว สำหรับกรณีที่มีบุคคลมารายงานตัวตามคำสั่ง ส่วนกรณีที่ไม่มีบุคคลมารายงานตัวตามคำสั่ง ก็ต้องถือว่าคำสั่งเหล่านี้สิ้นผลไปเมื่อ คสช.พ้นจากตำแหน่งด้วย เนื่องจาก เมื่อ คสช. พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ย่อมไม่มีการดำรงอยู่ของ คสช. ที่จะให้บุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งได้อีก คำสั่งเหล่านี้จึงต้องสิ้นผลไปในตัวเองด้วย โดยไม่ต้องมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ประกาศยกเลิก โดยนับจากที่ คสช.เข้าบริหารประเทศมีการออกคำสั่ง คสช. ให้บุคคลมารายงานตัวแล้ว จำนวน 37 ฉบับ และประกาศ คสช. ให้บุคคลมารายงานตัว จำนวน 3 ฉบับ

ประยุทธแถลงยุติคสช.


ก.ค.62 - เวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(คสช.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในโอกาสสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีนื้อหาดังนี้

พี่น้องประชาชนที่เคารพ

ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งให้ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562  และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 อันนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

บัดนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้คณะรัฐมนตรีคณะใหม่ซึ่งจะเป็นคณะแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในวันพรุ่งนี้คือวันที่  16 กรกฎาคม 2562 ซึ่งแม้จะเป็นการเริ่มการปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินหรือดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามหน้าที่และอำนาจได้เต็มที่จนกว่าจะได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาแล้ว ซึ่งคาดว่าทุกขั้นตอนจะสำเร็จเรียบร้อยลงได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ นับแต่นั้นไป การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง  ราคาสินค้า  ราคาผลผลิตการเกษตร การแก้ปัญหาสังคม  ความเป็นอยู่ สวัสดิการ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การแก้ปัญหาการปกครอง การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การออกกฎหมาย และการเร่งรัดเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ทุกกลุ่มอาชีพรายได้ ทุกพื้นที่ต่างรอคอย   ก็จะได้รับการสานต่อและเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้รัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา 

พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งหลาย

ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เมื่อคณะรัฐมนตรีคณะใหม่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณและรับหน้าที่แล้ว คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ก่อนหน้านั้น และคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ลง ดังนั้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีคณะเดิมจะสิ้นสุดภารกิจและการปฏิบัติหน้าที่ในวันพรุ่งนี้ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีคณะเดิม ผมจึงขอถือโอกาสนี้อำลาพี่น้องประชาชนทั้งหลายและขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่าน โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี  เจ้าหน้าที่ของ คสช. ข้าราชการการเมือง ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่าย รวมถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป และคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญซึ่งได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนหน้านี้แล้ว และขอขอบคุณพี่น้องประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการและภาคท้องถิ่นที่ให้ความร่วมมือกับ คสช. และรัฐบาลด้วยดีตลอดมา หลายเรื่องท่านดำเนินการไปเองตามกฎหมายตามหน้าที่หรือด้วยจิตอาสาด้วยความเรียบร้อย  หลายเรื่องได้ดำเนินการคู่เคียงกับภาครัฐในรูปแบบการร่วมทุนหรือรูปแบบประชารัฐ ดังนั้นความสงบสุข การพัฒนาประเทศ และการแก้ปัญหาต่าง ๆ จึงสามารถเป็นไปได้ด้วยดี คสช. และรัฐบาลตระหนักดีว่า ความสำเร็จในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาชนทุกอาชีพรายได้ การเรียกความเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามพันธสัญญาและการลงทุนจากต่างประเทศให้กลับคืนมา รวมทั้งการแก้ปัญหาเดิมๆ ที่ค้างคาหมักหมมมานานปี การแก้ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ การพิจารณาคดีต่าง ๆ ที่ค้างคาในกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องเป็นธรรม การออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเก่าและเดินหน้าไปสู่การพัฒนาใหม่อย่างยั่งยืน การดำเนินการเพื่อการปฏิรูปประเทศและการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ   ล้วนเป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนัก ความเสียสละ ความอดทน และความร่วมมือร่วมใจของท่านทั้งหลายโดยแท้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้ในยามวิกฤติที่บ้านเมืองมีความรุนแรง ความขัดแย้งและความเห็นต่าง การบริหารราชการ รวมถึงการบริหารจัดการด้านงบประมาณมีปัญหาอุปสรรคด้วยข้อกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับ  จนครั้งหนึ่งเมื่อ 6 – 7 ปีที่ผ่านมาต่างชาติเคยมองว่าเราแทบจะเป็นประเทศที่ล้มเหลวอยู่แล้ว แต่เมื่อเราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะฟื้นฟูชื่อเสียงเกียรติคุณ ความสงบเรียบร้อยและสิ่งดีงามของประเทศให้กลับคืนมาให้จงได้ เราก็สามารถดำเนินการได้อย่างดี เช่น เรียกเอาความเป็นเมืองน่าอยู่ น่าลงทุน น่าท่องเที่ยวกลับมา การจัดลำดับความยากง่ายในการทำธุรกิจเริ่มดีขึ้น การกำหนดดัชนีชี้วัดความโปร่งใส การกำหนดขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ การแก้ปัญหาการบินพลเรือน การแก้ปัญหาค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าว การประมงผิดกฎหมาย ล้วนได้ผลดีขึ้นเป็นลำดับจนเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ แม้แต่การแสดงออกซึ่งเมตตาธรรม มนุษยธรรม ความรอบรู้รอบคอบ และความรู้รักสามัคคีในการช่วยเหลือทีมเยาวชนหมูป่าออกมาจากถ้ำหลวง เชียงรายเมื่อปีที่แล้วและอื่นๆอีก นับเป็นการแสดงออกที่ประทับใจผู้คนไปทั่วโลก ล่าสุดคือการที่ไทยได้ทำหน้าที่ประธานการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 34 เมื่อปลายเดือนที่แล้วซึ่งต่างชาติชื่นชมว่าเราสามารถจัดได้เรียบร้อยน่าประทับใจและบรรลุตามวัตถุประสงค์ทุกประการ

มาถึงบัดนี้ ผมใคร่ขอให้พี่น้องประชาชนได้นึกทบทวนว่า บ้านเมืองของท่านในวันนี้มีอะไรดีขึ้นบ้าง เปลี่ยนแปลงบ้าง  หากมีส่วนที่ดีขึ้นกรุณาภาคภูมิใจเถิดว่านั่นคือผลจากความตั้งใจและความร่วมมือของเราทุกคนภายใต้พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลปัจจุบัน สิ่งใดที่ยังไม่สำเร็จก็ต้องดำเนินการในรัฐบาลต่อไป ด้วยความรักความสามัคคีของคนในชาติ

ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เราได้แสดงออกถึงพลังแห่งความสามัคคีและการมีวัฒนธรรมอันวิจิตรอลังการให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกเมื่อประเทศไทยประสบกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ คือการเสด็จสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 แม้พี่น้องประชาชนทั้งหลายจะอยู่ในความวิปโยคอาลัยก็ได้ร่วมใจในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับรัฐบาลในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างน่าประทับใจด้วยความจงรักภักดี เมื่อเร็ว ๆ นี้เรายังได้ร่วมใจกันทั้งชาติอีกครั้งด้วยการร่วมกิจกรรมยิ่งใหญ่กับรัฐบาลในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติยศและสง่างาม เหตุการณ์สำคัญทั้งสองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 5 ปีนี้จะจารึกอยู่ในความทรงจำของเราทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศตลอดไป

พี่น้องประชาชนที่เคารพรักครับ

บัดนี้ ประเทศไทยได้เข้าสู่ขั้นตอนของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์ มีสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากความเห็นชอบของรัฐสภา สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ได้รับหลักประกันคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขตามกฎเกณฑ์ปกติในระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีอำนาจพิเศษใด ๆ อีกต่อไป แม้การปกครองเช่นนี้อาจล่าช้าไม่ทันต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนบางกลุ่มบ้าง อาจติดขัดที่ขั้นตอนข้อจำกัดทางกฎหมาย การเมือง และงบประมาณบ้าง ต้องรับฟังความคิดเห็นโต้แย้งที่แตกต่างกันบ้าง แต่ก็เป็นไปตามครรลองของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งทุกคนทุกฝ่ายต้องเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อดทน อดกลั้น ไม่ขัดแย้งรุนแรง มีเหตุผล มีวินัย เคารพเสียงข้างมาก ยึดมั่นในธรรมาภิบาลและหลักนิติธรรมโดยคำนึงถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิตของไทย ผมได้เคยกราบเรียนพี่น้องทั้งหลายแล้วว่าการปกครองของประเทศเราจะอยู่ได้ก็ด้วยสามเสาหลักทำงานประสานกัน คือ ภาคการเมือง ภาคข้าราชการ และภาคประชาชนซึ่งต้องร่วมมือร่วมใจกัน สิ่งที่ คสช. รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ดำเนินการสอดประสานกันในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้นหลายเรื่องน่าจะเป็นรากฐานให้รัฐบาลใหม่ ซึ่งจะเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ของประชาชนชาวไทยทุกคน  ที่ไม่มีการแบ่งแยกภาคหรือจังหวัดหรือแบ่งพื้นที่ตามฐานเสียงพรรคการเมืองใดๆ โดยจะต้องสามารถทำงานต่อไปได้อย่างมั่นคงเพื่อสร้างความมั่งคั่ง และความยั่งยืนวัฒนาสถาพร แต่หากเรื่องใด โครงการใด กฎหมายใดไม่เป็นที่พึงปรารถนาหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็สามารถปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกเพิกถอนได้อยู่แล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นหรือหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ามา วันหนึ่งย่อมจากไปหรือผ่านพ้นไปได้เป็นธรรมดา แต่ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเรา เป็นที่เกิด ที่อยู่อาศัยของลูกหลานเราจะต้องอยู่ต่อไป ทุกคนมีหน้าที่ต้องสนองพระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอันที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด และปกป้องรักษาแผ่นดินไทยนี้เพื่อประโยชน์สุขแก่เราทั้งหลายร่วมกัน ด้วยความรักความสามัคคี เผื่อแผ่แบ่งปัน มีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนอันเป็นที่รักยิ่งตลอดไป

ขอทุกท่านได้รับความขอบพระคุณและความปรารถนาดีอย่างจริงใจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของรัฐให้ความร่วมมือกับรัฐบาลใหม่ ฝ่ายนิติบัญญัติใหม่ ในอันที่จะรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทยให้คงไว้ รวมทั้งสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดองสมานฉันท์ จิตอาสา เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติสืบไป

สวัสดีครับ