PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561

หลัง‘เลือกตั้ง’

สถานีคิดเลขที่ 12 : หลัง‘เลือกตั้ง’ : โดย นฤตย์ เสกธีระ


สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีกำหนดประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค
พรรคการเมืองนี้ได้รับการผลักดันจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส.
เดิมตัวเต็งหัวหน้าพรรค คือ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์
แต่ผลการประชุมเมื่อสุดสัปดาห์ ปรากฏว่านายเอนกถอนตัว ไม่ขอชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
มีเหตุผลว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หรือหม่อมเต่า มีความเหมาะสมอยู่แล้ว
ในที่สุดที่ประชุมเลือก ม.ร.ว.จัตุมงคล เป็นหัวหน้า
ในช่วงเย็น วันเดียวกันนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ได้ไปพบปะสมาชิก
นายจตุพร เพิ่งพ้นโทษจำคุกเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม
วันนั้นทั้ง ม.ร.ว.จัตุมงคล และ นายจตุพร ต่างให้สัมภาษณ์
ต่างคน ต่างให้สัมภาษณ์ ในต่างสถานที่ ต่างวาระ
แต่จับความแตกต่างในมุมมองหลังการเลือกตั้งได้ดี
ม.ร.ว.จัตุมงคลให้สัมภาษณ์ว่า เชื่อเหมือนกับนายสุเทพว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทยมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล
เมื่อสื่อถามถึงการร่วมกับพรรคพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล
ม.ร.ว.จัตุมงคลตอบว่า ขณะนี้ไม่มีอุดมการณ์หรือนโยบายที่ขัดแย้งกับพรรคพลังประชารัฐ
ถ้าจะร่วมรัฐบาลกันก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ม.ร.ว.จัตุมงคลบอกกล่าวให้ฟังว่า ได้รับการทาบทามให้เข้าสังกัดพรรค และตอบรับทันที เพราะต้องการแก้ปัญหาให้ประเทศ
และเมื่อกติกาตามรัฐธรรมนูญมีวิธีคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ใหม่ ทำให้พรรคการเมืองที่เคยได้เสียงข้างมากมีโอกาสน้อย
รัฐบาลที่บริหารประเทศน่าจะเป็นรัฐบาลผสม
แม้ ม.ร.ว.จัตุมงคลไม่ได้ย้ำ แต่ก็พอมองออกว่า พรรคหนึ่งที่จะร่วมตั้งรัฐบาลคือ “รวมพลังประชาชาติไทย”
ฟังมุมมองของ ม.ร.ว.จัตุมงคลแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวย
หลังเลือกตั้งน่าจะมีอะไรดีๆ

แต่ลองมาฟังนายจตุพรกันบ้าง
นายจตุพรให้สัมภาษณ์เตือนใจเพื่อนๆ นักการเมืองด้วยกันว่า ระวังอย่าทำอะไรที่จะเป็นข้ออ้างให้ใครนำไปใช้ล้มกระดาน
เข้าใจว่านายจตุพรหมายถึงล้มกระดานประชาธิปไตย
นายจตุพรขยายความว่า ฝ่ายการเมืองต้องระมัดระวัง และต้องประคับประคองมิให้ถูกหยิบยกเรื่องราวต่างๆ ไปเป็นสาเหตุในการยึดอำนาจ
นายจตุพรมองอนาคตการเมืองไทยว่า ผลคะแนนการเลือกตั้งมิใช่เรื่องใหญ่แล้ว
เพราะเรื่องที่ใหญ่กว่าผลคะแนนคือวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้น
ดูเหมือนขณะนี้ บรรดาผู้รู้ได้มองเลยผลการเลือกตั้งไปแล้ว
บรรดาผู้รู้และคนในแวดวงกำลังมองผลกระทบหลังการเลือกตั้งผ่านไป
มองกันว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชนะจะเกิดอะไรขึ้น
มองว่า ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ชนะจะเกิดอะไรขึ้น
ม.ร.ว.จัตุมงคล มองด้วยสายตาที่มีความหวัง
ขณะที่นายจตุพรมองด้วยความเป็นห่วง
ม.ร.ว.จัตุมงคล มองด้วยความหวังว่าจะแก้ปัญหาให้ประเทศ
ส่วนนายจตุพรยังห่วงว่า จะเกิดความเสื่อม จะเกิดการล้มกระดาน
จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีก หลังการเลือกตั้งผ่านพ้น
มุมมองใครจะถูก ไม่อาจทราบได้
แต่มุมมองที่ปรากฏ สะกิดให้รู้ว่าอย่าได้ประมาท
แม้การเลือกตั้งจะคลี่คลายปัญหาหลายๆ อย่างไปได้
แต่ผลการเลือกตั้งก็อาจก่อให้เกิดปัญหาอีกหลายๆ อย่างได้เช่นกัน
นฤตย์ เสกธีระ
maxlui2810@gmail.com

โยนหินถามทาง

คอลัมน์เดินหน้าชน โยนหินถามทาง โดย : เทวินทร์ นาคปานเสือ


ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียลมีเดีย สำหรับ “กฎเหล็ก” เกี่ยวกับการทำข่าว “นายกรัฐมนตรี” ขณะไป เปิดงานที่เมืองทองธานี เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยมีการตั้งโต๊ะเช็กชื่อ สังกัด เบอร์โทรศัพท์ จดหมายเลขบัตรประชาชนสื่อมวลชน พร้อมงัดมาตรการมาโชว์ สรุปสาระสำคัญดังนี้
หนึ่ง ต้องเคารพทั้งก่อน-หลังถ่ายภาพ
หนึ่ง สุภาพบุรุษใส่สูท สุภาพสตรีสวมชุดกระโปรง รองเท้าหุ้มส้น
หนึ่ง กล้องต้องผ่านการตรวจสอบจากตำรวจสันติบาล
หนึ่ง อนุญาตเฉพาะช่างภาพที่ลงทะเบียนพร้อมอนุญาตเท่านั้น
หนึ่ง การถ่ายภาพควรอยู่ห่างจากนายกฯ 5 เมตรเป็นอย่างน้อย ฯลฯ
รวมถึงกำหนดมารยาทการบันทึกภาพดังนี้
ห้ามถ่ายภาพหน้าตรงขณะนายกฯอยู่ในห้องรับรอง
ห้ามถ่ายภาพขณะเดินขึ้น-ลงจากที่สูง เช่น บันได
ห้ามถ่ายขณะรับประทานอาหาร
และหากฝ่าฝืนจะถูกริบปลอกแขนและห้ามบันทึกภาพ และอื่นๆ
โดยมาตรการดังกล่าวออกโดยกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1
ย้อนกลับไปดูโครงการของกองบัญชาการตำรวจสันติบาลและขอบเขตอำนาจหน้าที่สำคัญดังนี้
หนึ่ง กองบังคับการอำนวยการ ดูแลงานธุรการ งบประมาณ สวัสดิการ
หนึ่ง กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 ดูแลด้านการข่าว ความมั่นคง กระจายอยู่ทั่วประเทศ
หนึ่ง กองบังคับการตำรวจสันติบาล 2 ดูแลด้านการข่าว ความมั่นคงในเขต กทม.เป็นหลัก
หนึ่ง กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 ดูแลบุคคลสำคัญ และสถานที่สำคัญต่างๆ
หนึ่ง กองบังคับการตำรวจสันติบาล 4 วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประมวลผลข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

นอกจากนี้ยังมีศูนย์พัฒนาด้านการข่าว ที่มีระดับรองผู้บังคับการเป็นหัวหน้าศูนย์ฯ รับผิดชอบเกี่ยวกับการอบรม
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ยืนยันว่า ปกติการทำงานของตำรวจสันติบาลกับสื่อก็เข้าใจกันมาตลอด พูดคุยประสานกันด้วยดี ไม่ได้มีข้อกำหนดอะไรเป็นพิเศษเช่นนี้
ก่อนตั้งข้อสังเกตปกติอำนาจหน้าที่ในการดูแลปฏิบัติร่วมกับสื่อมวลชนในภารกิจของนายกฯ เป็นอำนาจหน้าที่ของกองบังคับการตำรวจสันติบาล 3
ไม่ใช่กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1
ระเบียบเอกสารดังกล่าวจึงไม่ปกติ!
ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลสั่งให้ตรวจสอบ “ต้นตอ” มาตรการดังกล่าวแล้ว
ส่วนผลจะเป็นอย่างไรไม่นานคงรู้กัน!?
และท้ายสุด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจงว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นของเก่าตั้งแต่ปี 2558 พร้อมระบุว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สงสัยคือทำไมเพิ่งมาใช้วันนี้ เพราะไม่ใช่นโยบายของนายกฯ
และขอให้ไปทบทวนและยกเลิกคำสั่งซะ!
ทำให้ประหวัดไปถึงคำสั่ง ม.44 ของ คสช. ออกกฎเหล็ก 2 ฉบับ เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพ การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก และเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนา
โดยรถปิกอัพห้ามนั่งกระบะท้าย นั่งแค็บ
ครั้งนั้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ต่อต้าน-ล้อเลียน อย่างหนักในโลกโซเชียลมีเดีย
จนรัฐบาล “ยอมถอย”!
พร้อมอนุโลมนั่งกระบะหลังหรือแค็บไปพลางๆ ก่อน จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามระเบียบคำสั่งคุมสื่อมวลชนครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกต ไม่ว่าจะออกโดยกองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 หรือ 3 ก็ตาม น่าจะมีการประสานกับทีมอารักขานายกฯ หรือสำนักนายกรัฐมนตรีก่อนหรือไม่?
จู่ๆ สันติบาลจะงัดระเบียบมาใช้เลยละหรือ
หรือเป็นความคิดแบบศักดินาที่ต้องการ “โยนหินถามทาง”!?!
เทวินทร์ นาคปานเสือ
https://www.matichon.co.th/politics/news_1072740

หม่อมเต่าเปิดตัว

หม่อมเต่าเปิดตัว



พรรคพลังประชารัฐภายใต้ ยี่ห้อ “กลุ่ม 3 ส.” ของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งโชว์ฟอร์มกระฉูด เปิดท่อดูดอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน และภาคเหนือมาเข้าก๊วนได้แล้วกว่า 30 คน
ประกาศจะอุ้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง อย่างสะดวกโยธิน
ล่าสุดมีข่าวว่า “กลุ่ม 3 ส.” อาจเปลี่ยนใจไม่เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐตามแผนเดิม
จะขอแยกวงไปตั้งพรรคการเมืองของกลุ่ม 3 ส.โดยตรง??
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่ามีแนวโน้มสูงที่ “กลุ่ม 3 ส.” จะตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง
เพราะถ้าทุนพร้อม คนพร้อม ตั้งพรรคเองดีกว่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ
ระหว่างที่ “กลุ่ม 3 ส.ซุปเปอร์ดูด” ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐต่อไป?
หรือจะตัดสินใจเปิดตัวตั้งพรรคใหม่เอง?
พรรครวมพลังประชาชาติไทย ของ ลุงกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเปิดตัวทีหลังได้แซงตัดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
มีการจัดประชุมใหญ่สมาชิกก่อตั้งพรรคเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
โดยมีสมาชิกสายนกหวีดร่วมประชุมราว 400 คน
ปรากฏว่า ที่ประชุมลงมติเลือก “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล” หรือ “หม่อมเต่า” อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติเป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ 331 คะแนน
และเลือก นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทนายความประจำตัว “นายสุเทพ” เป็นเลขาธิการพรรค พร้อมคณะกรรมการพรรครุ่นก่อตั้งอีก 5 คน
สำหรับ “ลุงกำนัน” ซึ่งเอาลิ้นพันคอตัวเองว่าจะไม่เล่นการเมือง ไม่ลงสมัคร ส.ส. ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี
ประกาศขอสละสิทธิ์ไม่รับตำแหน่งใดๆในพรรคของตัวเอง
ขอทำหน้าที่เป็นโค้ช เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้นำเดินสายขึ้นเวทีปราศรัยทุกสนามเลือกตั้งทั่วประเทศไทย
ขอใช้ประสบการณ์ 40 ปี เป็นที่ปรึกษาแนะแนวให้พรรครวมพลังประชาชาติไทยให้ได้ร่วมรัฐบาลอย่างเดียว
“ลุงกำนัน” ฟันธงว่า รัฐบาลหลังเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคแน่นอน
เรานั่งรอเฉยๆ จะมีคนยกขันหมากขอไปร่วมรัฐบาลพันเปอร์เซ็นต์
ไม่มีทางเป็นฝ่ายค้าน ต้องได้เป็นรัฐบาลชัวร์!!
“แม่ลูกจันทร์” ยินดีต้อนรับ “คุณชาย จัตุมงคล” ซึ่งเปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรค การเมืองชื่อยาวๆของลุงกำนัน!!
นับว่าการผงาดขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคของ “หม่อมเต่า” เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายพอสมควร
เพราะคาดล่วงหน้าว่า ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นเต็งหนึ่งจองเก้าอี้หัวหน้าพรรคแบเบอร์
แต่ปรากฏว่า...เบอร์ไม่แบ
ดร.เอนกแสดงสปิริตถอนตัวไม่เข้า ประกวดชายงาม
เพราะเห็นว่า “หม่อมเต่า” เป็นผู้มีความรู้ มีความสามารถ และมีภาพลักษณ์โดดเด่น เหมาะสมตรงสเปกที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมือง
“แม่ลูกจันทร์” ยอมรับว่า “หม่อมเต่า” คุณสมบัติเหนือกว่า “ดร.เอนก” เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์
เอกลักษณ์ของ “หม่อมเต่า” คือเป็นคนแข็งโป๊กยอมหักไม่ยอมงอ
การรับบทหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งมี “ลุงกำนัน” เป็นผู้มีบารมีตัวจริง จึงต้องจูนคลื่นความถี่ให้อยู่ในพิกัดเดียวกัน
ปัญหาคือ หากมีประเด็นการเมืองที่ “หม่อมเต่า” หัวหน้าพรรค กับ “ลุงกำนัน” หัวหน้าโค้ช มีจุดยืนต่างกัน หรือมีทัศนคติไม่ตรงกัน
จะหาจุดร่วมสงวนจุดต่างอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดความขัดแย้งตามมา??
ปัดโธ่...มันไม่ง่ายนะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

โจทย์บังคับยากทั้งคู่

โจทย์บังคับยากทั้งคู่



ภาพประกอบรายการคุยคำโต “พรรคเพื่อไทยจะชนะแบบหิมะถล่ม”
ควันหลงงานแฮปปี้เบิร์ธเดย์ 69 ปี ที่ลอนดอน อังกฤษ ที่ตามติดมาด้วยกระแสข่าวแนวเซอร์ไพรส์ “นายใหญ่” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จ่อดัน “หลานชาย” นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรคนโตของนายสมชาย และ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่
เคาะโต๊ะ ประทับตราสายตรง “ตระกูลชิน”
“ทักษิณ” ตัดสินใจเลือกคนในสายเลือดใกล้ชิด ให้เหล่าสาวกในพรรคเพื่อไทยและกองเชียร์มั่นใจ
สัญญาณ “นายใหญ่” พร้อมเกหน้าตักสู้
นั่นไม่สำคัญเท่าการทำให้ “เจ๊แดง” ยอมเปิดหัวจ่ายท่อน้ำเลี้ยงได้แบบเต็มที่ จากที่ออกลูกกั๊กไม่มีทางจ่ายให้คนอื่นหยิบชิ้นปลามัน นอกจากสามีและลูกชายเท่านั้น
ลูกชาย “เจ๊แดง” ตอบโจทย์ “ทักษิณ” ได้หลายข้อ
โดยสถานการณ์จึงส่อเค้าใกล้เคียงความจริงมากสุด
ถึงจุดที่น่าจะบวกลบคูณหารกันแล้ว กับมุมบวกในการสยบแรงกระเพื่อม โยนชื่อหลาน “นายใหญ่” สยบปมป่วนการบริหารจัดการบรรดาเจ๊ๆเฮียๆภายในพรรคเพื่อไทย
ที่ต้องแลกกับด้านลบ แรงต้านตระกูลชินแถมพะยี่ห้อ “เจ๊แดง” ประทับหรา
“ทักษิณ” ต้องชิงปิดกล่อง ปิดเกมนอมินีรุ่นสามนำทัพเพื่อไทย
รีบสกัดเลือดไหล เบรกอดีต ส.ส.จ่อย้ายพรรคเพราะไม่แน่ใจในทิศทางที่อึมครึม
และที่จบก่อนใครก็คือ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ถ้าออกมุกนี้ก็เท่ากับจบข่าว “นอมินี” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ต้องเก็บกระเป๋าลาบ้านเก่าไปตายดาบหน้า
คงไม่ต้องรอคำตอบที่ท้าให้ “นายใหญ่” ประกาศชัดๆจะไม่ใช้งานเจ้าแม่เมืองกรุง
ในเมื่อคำตอบสุดท้ายก็เป็นไปอย่างที่เซียนการเมืองแทบทุกวง อ่านไต๋ เดาทางสไตล์ “ทักษิณ” ไม่มีทางไว้วางใจใครมากไปกว่าคนในตระกูลชิน
ยิ่งภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์โจทย์บังคับ เกมอำนาจสลับซับซ้อน
ถึงพรรคเพื่อไทยจะนอนมา ชนะเลือกตั้งไปก็ใช่ว่าจะได้เป็นรัฐบาล
โอกาสเดียวคือต้องกุมความได้เปรียบในเกมเลือกตั้ง รักษาสถานภาพการต่อรองไว้ก่อน
“นายใหญ่” จำเป็นต้องเฟ้นคนในสายเลือดที่ไว้ใจได้ในการประคองความปลอดภัย
เดาทาง “ทักษิณ” เลือกคั่วไพ่หน้าเดียวแล้ว
แต่โดยแนวโน้มสถานการณ์ที่ยากกว่า เทียบกับคนยี่ห้อประชาธิปัตย์ที่ต้องเล่นไพ่หลายหน้า
ภายใต้เงื่อนไขไฟต์บังคับรับศึกหลายทาง
ด้านหนึ่งก็ต้องฟัดกับโจทก์หลัก สกัดเครือข่าย “ทักษิณ” คู่รักคู่แค้น
แบบที่ล่าสุดก็เพิ่งเจอแผนหักเหลี่ยมโหด เมื่ออดีตคนในค่ายอย่างนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก เปิดปฏิบัติการเผาเรือน แฉประจานประชาธิปัตย์มีเอี่ยวกับขบวนการอำนาจนอกกติกา อยู่เบื้องหลังยุทธการ “สมคบคิด” ล้มอดีตรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ลอกคราบนักประชาธิปไตยที่อิงแอบอยู่กับเผด็จการ
ตอกย้ำเรื่องเก่าเล่าใหม่ เขี่ยแผลเป็นให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สะดุ้ง
อีกด้านหนึ่งก็เป็นฉากที่ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ กปปส. เสนอชื่อ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ขึ้นแท่นหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)
ป้อมค่ายที่จะตัดแต้มยี่ห้อประชาธิปัตย์ในปักษ์ใต้และอีกหลายพื้นที่ฐานคะแนนทับซ้อน
โฟกัสหน้าตา ตัวละครที่เปิดตัวในพรรค รปช. ป้อมค่ายของ กปปส.
ล้วนแต่คนเก่าแก่ที่ออกมาเป็นหอกข้างแคร่ ปชป.
และนั่นก็ยังมีโจทย์ที่เหนื่อยๆ ยากๆ แบบที่ “อภิสิทธิ์” และคนประชาธิปัตย์ต้องเล่นบทนักการเมืองอาชีพ สลับหน้าปรับอารมณ์ไปแตะมือกับพรรคเพื่อไทยในการยื้อกระแสสู้กับทหาร
ตีกัน เตะตัดขา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไม่ให้ติดปีก ติดลมบนเกินไป
เผื่อโอกาสต่อรองไว้หลังเลือกตั้ง
ตามโพลที่โดนยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” เบียดตกขอบไปแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง

สู่ยุค3ก๊กการเมือง

สู่ยุค3ก๊กการเมือง 'มาร์ค'ปลุกปชช.ตัดสิน'ทักษิณ-คสช.-ปชป.'ใครชนะก็จบ


“มาร์ค” ประเมินสถานการณ์การเมือง ชี้เข้าสู่ยุคสามก๊ก มีทั้ง “ทักษิณ-คสช.-ปชป.” ลั่นก๊กใดชนะเบ็ดเสร็จก็จบ แต่ก้ำกึ่งต้องตั้งรัฐบาลผสม กั๊กร่วม ”รปช.-พปชร.” บอกหากผลักดันนโยบายตามเป้าไม่ได้ก็พร้อมเป็นฝ่ายค้าน รับ “เพื่อไทย” ฐานเสียงแน่น แต่ต้องวัดใจสาวกอยากเดินซ้ำรอยไหม “เด็กแม้ว” ซัดหม่อมเต่ารู้ข่าววงในจ้องสลายพรรค 
      เมื่อวันจันทร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันว่า คนจำนวนไม่น้อยในสังคมกังวลกับปัญหาระบอบทักษิณาจะกลับมาหรือไม่  พรรคการเมืองไหนบ้างเป็นแนวร่วม แต่ไม่ใช่แนวทางเดียวที่คนมอง ขณะนี้อีกส่วนหนึ่งก็มีการพูดถึงว่าเอาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับไม่เอา คสช.เหมือนกันในมุมที่ว่า คสช.หลังจากเข้ามายึดอำนาจตอนแรกเหมือนกับจะเป็นกรรมการ แต่ตอนหลังก็แสดงตัวค่อนข้างชัดว่าจะเป็นผู้เล่นด้วย จึงเกิดกระแสว่าจะยอมรับแนวทางของ คสช.ที่จะสืบทอดอำนาจหรือไม่ ส่วน ปชป.หรือไม่ ปชป.เป็นเรื่องตัวเลขมากกว่าในการเอาชนะกัน
      “ตอนนี้มันเข้าไปสู่ลักษณะการเมืองสามก๊กมากกว่า คือ 1.พรรคการเมืองที่อิงอยู่กับตัวนายทักษิณ  ชินวัตร หรือมีแนวทางคล้ายคลึงกับนายทักษิณ 2.พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาหรือแสดงท่าทีว่าพร้อมสนับสนุนผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หรือผู้มีอำนาจใน คสช.ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และ 3.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเราคือทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะเราต่อสู้กับระบอบทักษิณมาตลอด และยืนยันจะต่อสู้อยู่  ขณะเดียวกันเรามองว่าแนวทางของ คสช.หรือรัฐบาลปัจจุบันหลายอย่างก็ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของเรา” นายอภิสิทธิ์กล่าว
      นายอภิสิทธิ์ชี้ว่า พรรคจะเสนอแนวทางที่เป็นตัวของตัวเอง ต่างจากทั้งพรรคเพื่อไทยและ คสช.  ส่วนหลังเลือกตั้งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ถึงแม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคนมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ แต่ยืนยันว่าการตัดสินใจของประชาชนมีความหมาย เมื่อประชาชนได้มีโอกาสรับทราบแนวทางที่แตกต่างกัน ซึ่งประชาชนสนับสนุนแนวทางไหนเท่าไหร่ ตรงนั้นถ้ามีความเด็ดขาดก็จบ ถ้ามีความไม่เด็ดขาดก็เป็นธรรมดาที่ต้องมาเจรจาว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใครกับใคร  สำหรับพรรคยืนยันว่ายึดแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศเป็นหลัก
      เมื่อถามว่า ถ้านโยบายไปด้วยกันได้แสดงว่าก็ร่วมงานกันได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เห็นประโยชน์ของการที่พรรคจะไปเป็นรัฐบาลกับใคร ถ้าหากแนวทางที่พรรคนำเสนอต่อประชาชนไม่ได้รับการปฏิบัติหรือนำไปใช้ ปชป.อาจต่างจากบางพรรคที่พูดในขณะนี้ คือถ้า ปชป.คิดว่าการเป็นรัฐบาลแล้วไม่ได้นำพาบ้านเมืองไปในทางที่เราอยากจะเห็น ปชป.ก็ควรเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่อยากเป็น แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างการไปเป็นรัฐบาล แล้วบ้านเมืองไม่ได้ไปในแนวทางพรรค ไม่ใช่อุดมการณ์ของพรรค  ทั้งนี้ขณะนี้อย่าไปวิตกกังวลว่าจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะเราไม่ทราบตัวเลข เมื่อทราบตัวเลขค่อยมาดูอีกทีว่ามีวิธีการแก้ปัญหาที่ไปทางไหนไม่ได้อย่างไร
     “สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันคือ ประชาธิปัตย์ต้องการให้การเมืองเป็นเรื่องของอุดมการณ์ เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาของประเทศแบบระยะยาว ยั่งยืน ถ้าทุกพรรคคิดแต่เพียงว่าต้องไปเป็นรัฐบาล ผมคิดว่าก็ทำให้การเมืองกลับไปเรื่องของผลประโยชน์ เรื่องของอำนาจ โดยเฉพาะการไปเป็นรัฐบาลไม่ต้องคำนึงเลยว่านโยบายจะเป็นอย่างไร ขอให้ฉันมีตำแหน่ง ผมว่าเราควรมาช่วยกันทำให้การเมืองหลุดพ้นตรงนั้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ชี้สื่อโซเชียลจุดชี้ขาด  
      เมื่อถามว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญระหว่างโซเชียลมีเดียกับพลังดูด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเมินจากหลายประเทศถ้าการเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม คิดว่าโชเชียลมีเดียจะเป็นตัวเปลี่ยนมากที่สุด  ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการดูดไม่มีความหมาย เพราะการเมืองยังยึดกับตัวบุคคลกับผลประโยชน์ โดยเฉพาะระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบมาว่าทุกคะแนนเอาไปใช้คำนวณ ส.ส. ดังนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรเร่งทำความเข้าใจเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรี บริสุทธิ์เที่ยงธรรมให้ได้
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณระบุถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า พท.จะได้คะแนนถล่มทลายเหมือนหิมะถล่มว่า พท.ยังอยู่ในสถานะของพรรคที่มีความได้เปรียบ เพราะมีฐานเสียงค่อนข้างแน่นในพื้นที่ ซึ่งใหญ่ที่สุดคือภาคเหนือและภาคอีสาน อีกทั้งมีความพร้อมทั้งเงินและทอง ดังนั้นนายทักษิณก็มีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์จะคุย แต่ไม่แน่ใจว่าประชาชนพร้อมเสี่ยงกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะ พท.ยังไม่หลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ บ้านเมืองก็จะกลับมาอยู่ในภาวะที่เป็นแบบนี้อีก
      “สำหรับ ปชป.ผมก็บอกว่าตอนนี้อยากให้คนจะอยู่พรรคคิดเรื่องทิศทางประเทศ ตกผลึกร่วมกันว่าเราจะพาประเทศไปทางไหน ที่เรานำเสนอเป็นหลัก ถ้าเราทำได้เราก็เป็นรัฐบาล และเราก็หวังว่าจะเป็นรัฐบาล และเราจะสู้เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าแนวทางนี้ประชาชนไม่สนับสนุน เราทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่เราพึงยอมรับ ผมอยากให้เราเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างของพรรคการเมืองว่าการเมืองต้องไปแบบนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
      ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พท.กล่าวถึงกรณี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ว่าที่หัวหน้าพรรค รปช.วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้ง โดยเฉพาะกรณี รปช.จะถูกเทียบเชิญเข้าร่วมรัฐบาล และเมื่อถึงตอนนั้น พท.ไม่อยู่แล้วว่า ถ้าหากให้วิเคราะห์คำพูดของหม่อมเต่ามีอยู่ 2 กรณีคือ  1.พรรคส่งผู้สมัครทั่วประเทศแล้วและไม่ได้ ส.ส.แม้แต่คนเดียว และ 2.ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางยุบ พท. ซึ่งประการแรกเป็นไปไม่ได้เพราะเสียงของพรรคยังขายได้ในทุกพื้นที่ ส่วนประเด็นที่สองแสดงว่าหม่อมเต่าไปล่วงรู้หรือทราบเกี่ยวกับความพยายามของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองหรือถึงได้ฟันธงแบบนี้ 
      “แสดงว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกำลังเตรียมการทำลายพรรคเพื่อไทยที่ไม่ใช้ระบอบประชาธิปไตย เหมือนครั้งที่แล้ว และวันนี้ก็มาตั้งพรรคการเมืองลอยหน้าลอยตา ดังนั้นหม่อมเต่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรพูดออกมาในลักษณะอย่างนี้ ควรคำนึงถึงสมาชิกและประชาชนผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่มาระบายความรู้สึก ซึ่งพรรคเราไม่ได้สนใจ กังวลใจหรือหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะทำทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตย เพราะเสียงในพื้นที่ของพรรคยังแน่นปึ้ก และเมื่อนั้นพรรคเพื่อไทยอาจจะอยู่ แต่หม่อมเต่าอาจไม่อยู่ก็ได้” นายสามารถกล่าว  
'ตุ๊ดตู่' เตรียมเดินสาย
      พราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมชาติ แกนนำคนเสื้อแดงและประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สกลนคร กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ว่า  นายจตุพรอยากเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่น้องเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขังในเรือนจำจากเหตุการณ์ชุมนุมการเมืองเมื่อปี 2552 เป็นต้นมาในหลายจังหวัด เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่ทิ้งกัน โดยทั้งนายจตุพรและคณะแกนนำจะเดินทางไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ได้ไปในเร็ววันนี้ ต้องรอให้นายจตุพรพักฟื้นร่างกายสักระยะค่อยหารือกันอีกครั้งว่าจะเริ่มเดินทางไปในช่วงวันเวลาใด 
      “ไม่กังวลหากฝ่ายความมั่นคงจะมองเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่ เราเพียงอยากจะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจพี่น้องเสื้อแดงที่ถูกคุมขังในเรือนจำเท่านั้น ไม่มีนัยทางการเมือง และตั้งแต่นายจตุพรออกมาจากเรือนจำ ได้เน้นย้ำแล้วว่าจะไม่จัดรายการทางช่องพีซทีวี เพื่อไม่ให้บางหน่วยงานนำมาเป็นข้ออ้างในการหาเหตุมาปิดอีก แต่จะไปจัดรายการผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์แทน” พราหมณ์ศักดิ์ระพีกล่าว
      เขายังทำนายดวงชะตาของนายจตุพรอีกว่า ช่วงปีที่แล้วที่นายจตุพรถูกคุมขังถือว่าดวงตกต่ำอย่างที่สุดไปแล้ว และในอีก 5 ปีนี้ดวงจะดีขึ้นเรื่อยๆ และจะดีมากตอนเข้าปีที่ 6 ชะตานายจตุพรก็เหมือนลูกฟุตบอล เมื่อตกถึงพื้นเหมือนดวงที่ตกลงอย่างมากแล้วย่อมกระเด้งขึ้น เหมือนดวงที่จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  นั่นเอง โดยได้แนะนำให้นายจตุพรทำบุญ 9 วัด ปล่อยนกปล่อยปลา และร่วมสร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็นสาธารณกุศลจะช่วยในเรื่องดวง 
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงการเป็นประธาน
      สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในปี 2562 หลังจาการ์ตาโพสต์ สื่ออินโดนีเซียวิจารณ์ว่าไทยเป็นรัฐบาลรัฐประหารไม่เหมาะกับตำแหน่งประธานอาเซียน ว่าในปีหน้านี้เราจะเป็นประธานอาเซียน แต่ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นรัฐบาลเหมือนกัน เพราะการประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นภายหลังเลือกตั้งตามระบบของเรา ดังนั้นอย่ามากังวลอะไรว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่ต้องมาต่อต้านในวันนี้ และต้องเข้าใจว่าคนที่ต่อต้านก็เขียนกันไปเรื่อย
“ขอฝากกับทุกคนไปด้วย เพราะการประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นในไทยตามวาระ ส่วนใครจะเป็นรัฐบาลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอว่าอย่าเอามาปนเปกัน เพราะถ้าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในอาเซียนและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงได้ก็เป็นเรื่องดี และหลายประเทศก็เสนอเราควรเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬา แค่ 2-3 ประเภทก็ได้เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
หงุดหงิดสื่ออินโดฯ
      ในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ภายหลังมอบโอวาทแก่คณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ในกรณีนี้อย่างอารมณ์หงุดหงิดว่า จะชี้แจงทำไม ชี้แจงอะไร ชี้แจงกับใคร ใครว่าอะไร คนที่ออกมาวิจารณ์นั้นคือใคร จาการ์ตาโพสต์คือใคร เป็นประเทศอินโดฯ หรืออย่างไร ประเทศอินโดฯ เป็นผู้พูด หรือรัฐบาลอินโดฯ พูด เพราะถ้าเป็นแค่สื่อ สื่อก็ต้องไปชี้แจงกันเอง ไม่เกี่ยวกับตนเอง สื่อคือสื่อ จบ ขอคำถามเรื่องอื่น
      “ประเทศไทยก็ตั้งใจอยู่แล้วที่จะจัดการประชุม สื่อไม่อยากให้มีการประชุมอาเซียนหรืออย่างไร ถ้าอยากให้มีการประชุมก็อย่าต่อความยาวสาวความยืด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เป็นเรื่องของคนบางคน  เรื่องของสื่อบางสื่อ ต้องไปดูเจตนาว่าเขาเขียนเพื่ออะไร แล้วเราจะไปเป็นเครื่องมือให้เขาไปทำไม ผมถามหน่อยว่าที่ตั้งคำถามขึ้นมานี้ แล้วมันจะได้อะไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงอารมณ์หงุดหงิดก่อนพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ต่อไป ขอคำถามอื่น มีคำถามอะไรอีกไหมที่จะสร้างความขัดแย้งได้อีก ว่ามา”
      ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 จัดทำใบลงทะเบียนสำหรับช่างภาพสื่อมวลชน ที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับมารยาทในการถ่ายภาพว่า “เรื่องคำนับหรือไม่คำนับผม เป็นเรื่องของท่าน ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจกับการคำนับของทุกท่าน เพราะเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน” จากนั้นได้กล่าวขอบคุณและเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า จังหวะนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามถึงเหตุผลที่ทำให้วันนี้อารมณ์ไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวพร้อมเดินขึ้นตึก โดยไม่หันมามองทางผู้สื่อข่าวว่า  “จะเป็นอะไร ก็เป็นของฉัน”.
https://www.thaipost.net/main/detail/14841

ยังมีฝนคะนองหลายพท. เหนือ-อีสาน-กลาง-ตอ.-ใต้-กทม.ตก60-70%

กรมอุตุฯ เผยไทยมีฝนคะนองหลายพท. เหนือ-อีสาน-กลาง-ตอ.-ใต้-กทม.ตก60-70% ทะเลอันดามันสูงคลื่นสูง2ม.

วันนี้(7 ส.ค.61) กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองหลายพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากสำหรับบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง จนถึงวันที่ 9 ส.ค.61
ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองหลายพื้นที่กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้
ภาคเหนือ มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดสกลนคร นครพนม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคกลาง มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราดอุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก) มีเมฆเป็นส่วนมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-36 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก) มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนองและพังงา อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.