PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

900,000ล้านบาทที่ขาดไป!

900,000ล้านบาทที่ขาดไป!
ทำคนไทยตาโตกันครึ่งชาติ
●ฟังคุณธีรชัย ตอบคุณปีย์เอาครับ
"ขาดทุนแบงค์ชาติไม่น่าตกใจ"

คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ซึ่งผมเคารพนับถือ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับขาดทุนของแบงค์ชาติ 900,000 ล้านบาท

ถึงแม้ผมเองไม่ปลื้มกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. (ซึ่งบทความโดย สิริอัญญา เรียกว่า 'ตาอยู่') เอาเสียเลย แต่ก็เห็นว่าสมควรให้ข้อมูลแก่สังคมดังต่อไปนี้

1. สถานการณ์ที่แบงค์ชาติขณะนี้กลับทางกับต้มยำกุ้ง
ในช่วงก่อนต้มยำกุ้ง แบงค์ชาติผูกเงินบาทกับตะกร้าที่มีสัดส่วนดอลลาร์สหรัฐสูงมาก ปรากฏว่าดอลลาร์แข็ง พาให้เงินบาทแข็งไปด้วย ในเวลาเดียวกัน แบงค์ชาติเปิด BIBF ทำให้เอกชนคนไทยกู้เงินเป็นสกุลดอลลาร์อย่างกว้างขวาง ทำให้พ่อมดการเงินอย่างจอร์จ โซรอสและพวก วิเคราะห์ได้ว่า ระบบตะกร้าจะอยู่ไม่ได้ จึงรุมโจมตีเงินบาท
ในขณะนั้น มีวิกฤตระบบบริษัทเงินทุนที่ยังแก้ไขไม่จบ แบงค์ชาติพยายามผลักดันให้ควบรวม 5 แกน และจะยกระดับเป็นแบงค์ แต่ยังไม่สำเร็จ ในระหว่างหาทางแก้ปัญหาสถาบันการเงิน แบงค์ชาติจึงยังไม่สามารถเปลี่ยนระบบตะกร้าได้ จึงจำเป็นต้องใช้ทุนสำรองออกไปเพื่อสู้กับนักเก็งกำไรค่าเงิน สำรองที่เดิมมีอยู่ 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือไม่ถึง 2 พันล้าน สุดท้ายจึงต้องกู้ IMF
ทั้งนี้ ตัวเลข 1.4 ล้านล้านบาทในคอลัมน์นั้น ไม่ใช่ขาดทุนแบงค์ชาติ แต่เป็นขาดทุนในระบบแบงค์พาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ถูกปิดกิจการ และรัฐบาลขณะนั้นตัดสินใจอุ้มผู้ฝากเงิน 1.4 ล้านล้านบาท มิให้ได้รับความเสียหาย
แต่มาวันนี้ ปัญหาขาดทุนของแบงค์ชาติ ไม่ได้เกิดจากการเข้าไปต่อสู้กับนักเก็งกำไรในตลาดสากล แต่เกิดจากประเทศไทยมีสำรองมาก ร่วมสองแสนล้านดอลล่าร์ และเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
2. ขาดทุนเกิดจากมีสำรองมาก
ขาดทุนแบงค์ชาติขณะนี้ไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไร หรือจากซื้อๆ ขายๆ เงินตราต่างประเทศ หรือจากซื้อขายหลักทรัพย์ หรือเล่นหุ้น แต่เกิดจากการมีสำรองมาก
อธิบายง่ายๆ ตัวอย่างมีสำรองสองแสนล้านดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเทียบกับดอลล่าร์ 1 บาท แบงค์ชาติก็จะมีขาดทุนทางบัญชี 200,000 ล้านบาท แต่ในทางกลับกัน ค่าเงินบาทอ่อนลงเทียบกับดอลล่าร์ 1 บาท แบงค์ชาติก็จะกลับมีกำไรทางบัญชี 200,000 ล้านบาท
ถ้าคิดว่า กำไรหรือขาดทุนทางบัญชีของแบงค์ชาติไทยเป็นปัญหาใหญ่โตแล้ว ลองเทียบกับประเทศจีนซึ่งมีทุนสำรองหลายล้านล้านดอลล่าร์ ผลกำไรและขาดทุนก็จะเป็นตัวเลขใหญ่โตมหาศาลกว่านี้มากมาย
3. มีสำรองมาก เนื่องจากพยายามกดค่าเงินบาท
สำรองที่มีเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ นั้น เกิดจากแบงค์ชาติพยายามที่จะกดค่าเงินบาท มิให้แข็งขึ้น วิธีการกดค่าเงินบาท ก็คือเมื่อมีดอลลาร์ไหลเข้า อันจะทำให้เงินบาทแข็งขึ้น แทนที่แบงค์ชาติจะปล่อยให้เอกชนเป็นคนซื้อดอลลาร์เหล่านี้ แบงค์ชาติก็ต้องเข้าไปรับซื้อดอลล่าร์เอง
เมื่อแบงค์ชาติรับซื้อดอลล่าร์แล้ว ดอลลาร์ก็จะเข้ามาเป็นทุนสำรองที่แบงค์ชาติ ดังนั้น ยิ่งมีมาตรการกดเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเท่าไหร่ แบงค์ชาติก็ยิ่งต้องเข้าไปซื้อดอลล่าร์มากเท่านั้น และยิ่งทำให้สำรองเพิ่มขึ้น
การมีสำรองมากนั้น นอกจากแบงค์ชาติจะมีกำไรหรือขาดทุนทางบัญชี จากการที่เงินบาทแข็งขึ้น หรืออ่อนลง เทียบกับดอลลาร์แล้ว แบงค์ชาติยังจะมีขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย
เนื่องจากในมาตรการเพื่อที่จะกดเงินบาทไม่ให้แข็งขึ้นนั้น เมื่อแบงค์ชาติซื้อดอลล่าร์เข้ามาเป็นทุนสำรอง แบงค์ชาติก็ต้องออกพันธบัตรเป็นเงินบาท เพื่อจะดูดเงินกลับ และที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยเงินบาทที่แบงค์ชาติต้องจ่าย มักจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสกุลดอลล่าร์ ที่แบงค์ชาตินำทุนสำรองไปลงทุน ดังนั้น การมีทุนสำรองมาก จึงทำให้แบงค์ชาติมีภาระส่วนต่างดอกเบี้ยตรงนี้อีกด้วย
4. แบงค์ชาติควรเลิกพยายามกดค่าเงินบาทหรือไม่?
ในประเทศพัฒนาแล้ว แบงค์ชาติของเขามักจะไม่พยายามที่จะเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับค่าเงินของตนมากนัก กล่าวคือมักจะปล่อยให้ค่าเงินของตนเองเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดอย่างแท้จริง ส่วนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องบริหารจัดการดูแลตนเอง ถ้าเอกชนรายใดไม่สามารถรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ ก็จะสามารถซื้อเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจากแบงค์พาณิชย์ได้
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมประเทศที่พัฒนามากกว่าประเทศไทยหลายประเทศ มีสำรองในมือแบงค์ชาติของเขาไม่มากนัก เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้สำรองในการบริหารจัดการค่าเงินของเขานั่นเอง แต่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเอเซียที่เน้นการส่งออก มักจะใช้ในโยบายเข้าไปดูแลค่าเงินของตนเองมากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
ถามว่าประเทศไทยควรจะเลิกความพยายามที่จะกดค่าเงินบาทไม่ให้แข็งขึ้น แล้วปล่อยให้ภาคเอกชนรวมไปถึงเกษตรกร ต้องรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเองหรือยัง?
ผมมีความเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวโดยเสรีเต็มที่ เนื่องจากเมื่อค่าเงินบาทแข็งตัว การที่จะส่งออกได้ดีนั้น ผู้ผลิตสินค้าของไทยจะต้องสามารถทำให้มูลค่าเพิ่มในสินค้าสูงขึ้น เท่ากับค่าเงินบาทที่แข็งตัว เช่น ออกแบบสินค้าให้สวยหรูขึ้น เพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปในตัวสินค้ามากขึ้น ทำสินค้าเกษตรให้เป็นเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นต้น แต่การปรับตัวของผู้ผลิตในไทยนั้น จะต้องให้เวลา เพราะจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
5. จะต้องแก้ไขขาดทุนนี้หรือไม่?
ปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัว เริ่มแรงขึ้นนับแต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐ ซึ่งทำให้ประเทศพัฒนาต้องกดดอกเบี้ยลงต่ำ และทำให้เงินทุนไหลออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก รวมทั้งประเทศไทย เงินทุนเหล่านี้กดดันให้ค่าเงินของประเทศกำลังพัฒนาแข็งขึ้นเทียบกับดอลลาร์ บีบบังคับให้แบงค์ชาติไทยต้องเข้าไปซื้อดอลล่าร์เก็บไว้เป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้นๆ
แต่ในขณะนี้ สถานการณ์กำลังกลับทางแล้ว โดยธนาคารกลางของประเทศสหรัฐได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วระยะหนึ่ง และจะขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ และเมื่อส่วนต่างดอกเบี้ยของสหรัฐสูงขึ้น ในขณะที่ดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ก็จะทำให้เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งขึ้นมาตลอด จะค่อยเปลี่ยนกลับเป็นอ่อน
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาสองสามปี การลงทุนภาคเอกชนเกิดขึ้นน้อยมาก ถ้ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชนได้ และมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอย่างจริงจัง ก็จะมีการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ และจะลดการเกินดุลการค้าของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้แรงกดดันให้เงินบาทแข็งขึ้นนั้นหมดไปด้วย
แล้วเมื่อใดที่เงินบาทกลับอ่อน ตัวสำรองที่ตีราคาเป็นเงินบาท ก็จะกลับมาเป็นกำไรในอนาคต
ในระหว่างนี้ ขอให้รัฐบาล คสช. หาทางแก้ปัญหาระดับการลงทุนภาคเอกชนที่ต่ำเตี้ยมาตั้งแต่การปฏิวัติให้ได้ก็แล้วกัน
วันที่ 7 พฤษภาคม 2561
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
Facebook Thirachai Phuvanatnaranubala
.................................................................
'อ่านแล้วตกใจ จริงๆ เลยอยากให้เพื่อนๆระวังตัวและแต่ละคนให้หาทางออกให้ครบครัวตัวเองครับ
*ผลขาดทุนของ ธปท.*
โดย สิริอัญญา 
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2561

ในสัปดาห์นี้มีเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนก แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไป เพราะมัวไปวุ่นวายอยู่กับการต่อว่าด่าทอที่ไร้สาระในสารพัดเรื่อง ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสความชั่วร้ายที่ครอบงำสังคมไทยอยู่ในทุกวันนี้

แต่หามีใครออกหน้ารับผิดชอบแก้ไขแต่ประการใด

ก็เป็นธรรมดาของยุคตาอยู่ครองเมือง ที่อยู่ไปวัน ๆ เพื่อเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และผลประโยชน์ของครอบครัวตนเท่านั้น สังคมและประเทศชาติจะฉิบหายอย่างไร ก็ไม่ใช่ธุระที่จะยุ่งเกี่ยวให้เสี่ยงกับความรับผิดชอบตามลีลาเอาตัวรอดของตาอยู่

นั่นคือเรื่องที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่า ในปี 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลขาดทุน รวม 900,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวในยุคสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีการดำเนินคดีจนมีคนติดคุกติดตะรางไปหลายรายแล้ว

หลังจากข่าวคราวปรากฏออกไปก็ไม่มีใครมีความคิดเห็นว่าอย่างไร ไม่มีใครรู้สึกทุกข์ร้อนว่าอย่างไร ไม่มีใครสนใจไต่ถามหาสาเหตุว่าขาดทุนจริงหรือไม่อย่างไร และขาดทุนมาจากเรื่องอะไร ตลอดจนทำไมจึงต้องขาดทุนมหาศาลอย่างนี้

เพราะไม่ว่าองค์กรไหน ๆ ก็ตาม ถ้าหากผลประกอบการขาดทุนแล้ว ก็ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องแก้ไขอย่างรวดเร็ว ซึ่งการแก้ไขนั้นก็ต้องศึกษาหาสาเหตุและผู้รับผิดชอบที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดการขาดทุน ก็ต้องบอกให้รู้ความรู้สึกของประชาชนคนหนึ่งว่า

การขาดทุนถึง 900,000 ล้านบาทนั้น เป็นการขาดทุนจำนวนมหาศาลที่สุดในการดำเนินงานปกติของทุกองค์กรบนโลกนี้ เป็นเรื่องที่จะปล่อยให้ผ่านเลยตามเลยไปไม่ได้เด็ดขาด

ในอดีตประเทศชาติฉิบหายล่มจมมาครั้งหนึ่งแล้ว นั่นคือมีผู้บริหารในธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังทำการเก็งกำไรค่าเงินบาท ทำความผิดในการปกป้องค่าเงินบาทอย่างร้ายแรง นำเงินทั้งหมดของประเทศชาติไปใช้ในการปกป้องค่าเงินบาท ซึ่งเนื้อหาที่แท้จริงก็คือเอาไปใช้ในการต่อสู้ในเรื่องค่าเงินด้วยความผิดพลาดและโง่เขลา ถึงขนาดที่ใครทักท้วงก็ไม่ฟัง

และรัฐบาลในสมัยนั้นก็หลงผิดคิดว่าคนจบการศึกษาต่างประเทศ แต่งชุดหรูหรา พูดจาภาษาฝรั่ง แล้วจะคิดถูกทำถูกเสมอไป จึงทำความผิดพลาดไม่ฟังคำทีมงานที่ร่วมคิดร่วมสู้กันมา ไปหลงใหลได้ปลื้มกับพวกแต่งตัวหรูหรา ในที่สุดก็ขาดทุนจนหมดตัว และต้องเอาประเทศไปจำนำกับ IMF มิหนำซ้ำยังเอาภาคธุรกิจทั่วประเทศฉิบหายวายวอดตามไปด้วย

ผลขาดทุนในครั้งนั้นมีจำนวนสูงสุดถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังชำระหนี้ไม่หมด ทั้งที่ได้จ่ายค่าดอกเบี้ยไปแล้วหลายแสนล้านบาท

ดังนั้น เมื่อมีข่าวการขาดทุนครั้งใหม่อีก 900,000 แสนล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจ เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงแล้ว บรรดาคำพูดทั้งหลายที่ว่าเศรษฐกิจดีกำลังเติบโต ก็จะกลายเป็นการหลอกลวงคนไทยที่อำมหิต เพราะความจริงนั้นกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะฉิบหายวายวอดครั้งใหม่

ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา'

คดีฆ่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต

Tanakit Nakmanee
คดีนี้ ใครจำได้บ้างมั้ยครับ
--------------------
" พูดถึงอำนาจอัยการในการสั่งคดี ขอยกตัวอย่าง "คดีฆ่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต" ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการของตำรวจและปัญหาของกระบวนการยุติธรรม และความจำเป็นในการ "ถ่วงดุลคดี" ในคดีที่เคยอึกทึกครึกโครมเมื่อ ปี พ.ศ.2528-2529
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล "นายปรีดี สุจริตกุล" และ "นายแสงชัย ศักดิ์ศรีทวี" หรือ "โกโหลน" พ่อค้าแร่จังหวัดภูเก็ต ถูกคนร้ายลอบยิงตายระหว่างขับรถไปดูที่ดิน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมมือปืนได้ทั้งหมด และมือปืนก็ให้การรับสารภาพ ตลอดจนซัดทอดถึงผู้ว่าจ้างวานฆ่า ตำรวจนำมือปืนเหล่านั้นขึ้นฟ้องศาล และศาลก็ได้พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยไม่มีความประสงค์จะอุทธรณ์เพราะยอมรับผิด ในขณะเดียวกันอัยการจังหวัดก็ได้ออกหมายจับผู้จ้างวานฆ่า คือ"นายโสภณ กิจประสาน" ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคนหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตและพังงา
ในการทำคดีนี้ รัฐมนตรีมหาดไทยคือ "พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์" ได้ให้กำลังใจกับทีมงานที่ดำเนินการจับกุมคนร้าย ตลอดจนให้คำชมเชยเป็นอย่างมาก
ต่อมา...นายโสภณ กิจประสาน ได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยัง "กองบังคับปราบปราม" ซึ่งยุคนั้น "พล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์" เป็นผู้บังคับการ ตลอดจนทำเรื่องร้องเรียนมายังอัยการเขต 8 โดยกล่าวหาว่า ทีมงานตำรวจผู้ปฏิบัติงานจับผิดคน แล้วได้มีการซ้อมจำเลยเพื่อให้สารภาพ ความที่นายโสภณ กิจประสาน มีสายสัมพันธ์อันดีกับข้าราชการตำรวจในส่วนกลาง ก็เลยทำให้เกิดแรงกดดันให้มีการทบทวนเรื่องนี้ โดยตำรวจกองปราบฯ ได้ทำตนเป็นหัวหอกในการลงไปตรวจสอบการทำงาน ตลอดจนมีความพยายามในการเขียนสำนวนการจับกุมขึ้นมาใหม่ ด้วยพยานหลักฐานใหม่ที่ตำรวจกองปราบฯ อ้างว่าได้สืบค้นมา
ตำรวจทั้งทีมเดิมที่ทำคดีนี้ก็เลยโดนย้าย โดยคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าทีม คือ "พล.ต.ต.สล้าง บุนนาค" ได้ถูกย้ายจากกองปราบปราม ไปเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการศึกษา (คือไม่มีงานทำนั่นเอง) ตำรวจลูกทีมอีกหลายสิบคน ตั้งแต่สัญญาบัตรไปจนถึงประทวนถูกย้ายออกนอกพื้นที่ กระจัดกระจายไปทั่วราชอาณาจักร จากลูกเมียไปอย่างกะทันหันโดยไม่รู้อนาคตของตนเอง จากคำสั่งย้ายของเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย "พ.อ.เลิศ พึ่งพักตร์" จปร.รุ่น 5 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ พล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์ ผู้บังคับการกองปราบฯ
พร้อมกันนั้นอัยการเขต 8 ขณะนั้นก็ได้เสนอให้ "สั่งไม่ฟ้อง" นายโสภณ กิจประสาน โดยอ้างว่าหลักฐานที่ได้มาใหม่นั้นมีเหตุผลพอเพียงที่จะสั่งไม่ฟ้องได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นได้มีคำสั่ง "สั่งฟ้อง" ออกมาแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องของการต่อสู้กันทางกฎหมาย และได้มีการต่อสู้กันทางกฎหมายระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกับอัยการเขตนั้นว่า คำสั่งอันไหนถึงจะถูกต้องตามกฎหมาย??? แต่ในที่สุดกรมอัยการก็ต้องยอมสั่งฟ้องผู้ต้องหา ทั้งนี้เพราะจำนนด้วยข้อกฎหมาย อธิบดีกรมอัยการยุคนั้นคือ "นายสุจินต์ ทิมสุวรรณ"
การต่อสู้ระหว่างอัยการแผ่นดินและทนายฝ่ายโจทก์ผู้เสียหายกับฝ่ายจำเลย คือนายโสภณ กิจประสาน นั้นเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้นมาก เพราะฝ่ายจำเลยได้ขุดพยานและหลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ ซึ่งแม้กระทั่ง "พล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์" และ "พล.ต.ภุชงค์ นิลขำ" ก็ถูกเอาเข้ามาเป็นพยานฝ่ายจำเลย
ซึ่งก็นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีตำรวจที่ทำคดีนี้ทั้ง 2 ฝ่ายขัดแย้งกันอย่างหนัก โดยฝ่ายหนึ่งเป็นพยานของโจทก์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพยานของจำเลย นับเป็นเรื่องชวนหัวที่หัวเราะไม่ออกเสียจริงๆ
ในที่สุด...ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา มีความเห็นว่าจำเลยคือ นายโสภณ กิจประสาน นั้นมีความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาจึงพิพากษาให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาได้ตัดสินในช่วงระหว่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุครบ 60 พรรษา จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต
แต่กว่าจะมาถึงคำพิพากษานี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนที่ทำคดีนี้ต่างก็อยู่ในสภาวะหวาดหวั่นขวัญเสีย และท้อถอยต่อการทำงาน เพราะมันเหมือนกับว่าทำงานได้สำเร็จแทนที่จะได้รางวัลกลับถูกลงโทษ
อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้นคือ "พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์" ตลอดจนนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย พากันหลบเลี่ยงปัญหาเพื่อเอาตัวรอด ไม่มีใครที่จะกล้าพอลุกขึ้น มาปกป้องการทำงานของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานไปตามหน้าที่ ทั้งนี้เพราะกลัวความ กดดันที่จะทำให้ตัวเองต้องหลุดออกจากตำแหน่งหน้าที่
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยืนยันความผิดของจำเลยในคดีนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้เขียนออกมาอย่างชัดเจนในตอนหนึ่งว่า "พยานบุคคลที่จำเลยนำมาสืบนั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ขึ้น" แปลเป็นภาษาง่ายๆ ก็คือ "พยานนั้นเป็นพยานโกหก" ซึ่งประเด็นนี้ถ้าใครอยากจะสืบสาวเอาเรื่องต่อในเรื่องการให้การเท็จ ก็ย่อมจะได้เพราะอายุความยังไม่สิ้น (ขณะนั้น)
จะเห็นได้ชัดว่าเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทำตามหน้าที่ และเมื่อมีอิทธิพลภายนอกเข้ามาบีบ ผู้บังคับบัญชากลับไม่กล้าออกมาปกป้องการทำงานที่ถูกต้องของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้น
นั่นคือ...อีกหนึ่งบทเรียนสอนตำรวจรุ่นหลัง ว่ายังจะหวังให้ตำรวจมีความกล้าพอที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดฟาดฟัน หรือลุกขึ้นต่อสู้กับเจ้าพ่อตัวจริงได้อยู่หรือไม่ และทุกวันนี้เรากำลังไล่จับอะไรกันอยู่..."
Cr.ท่าน Thanawin kanjanavipat

ส่ง7คนไทยเข้าคุก บัวแก้วรับ ถูกจับในเขตเขมร

ส่ง7คนไทยเข้าคุก บัวแก้วรับ ถูกจับในเขตเขมร



'กษิต' บินเจรจาเหลว! แฉโดนตั้งข้อหาหนัก กัมพูชาตรึงชายแดน พธม.จี้ให้รัฐบาลช่วย ขู่ชุมนุมหน้าสถานทูต "อภิสิทธิ์" เรียกหน่วยงานความมั่นคงหารือเครียด ย้ำทางการกัมพูชาต้องปล่อยตัวทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข...

เขมรเอาจริงคุมตัว "พนิช" ลูกพรรค ปชป.และพวกรวม 7 คน ยัดคุก "เปรย์ ซาร์" แล้ว หลังศาลพนมเปญตั้งข้อหาข้ามพรมแดนผิดกฎหมายกับเข้าเขตทหารโดยมีเจตนาร้าย ชี้โทษหนักถึงจำคุก 18 เดือน ขณะที่ "กษิต" บินเจรจาล้มเหลว เขมรไม่ยอมปล่อยตัว 7 คนไทย ยอมรับทั้งหมดถูกจับในพื้นที่กัมพูชา "อภิสิทธิ์" เรียกหน่วยงานความมั่นคงหารือเครียด ย้ำทางการกัมพูชาต้องปล่อยตัวทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่ "สุเทพ" ซัด "วีระ" ตัวปัญหา กต.ส่ง ผอ.กองเขตแดนฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ถูกทหารเขมรตะเพิดกลับ

กรณีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมพวกรวม 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับตัวไปบริเวณตะเข็บชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตั้งแต่เมื่อตอนสายของวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีชาวบ้านร้องเรียนว่ามีทหารเขมรรุกล้ำที่นาของคนไทย ล่าสุดทางการกัมพูชานำตัว 7 คนไทยส่งตัวเข้าเรือนจำแล้ว หลังถูกศาลตั้งข้อหาหนัก

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. สำนักข่าวเอพีรายงานความคืบหน้ากรณีทหารกัมพูชาจับกุมคณะคนไทย 7 คน ซึ่งถูกกล่าวหาว่ารุกล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาควบคุมตัวนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และหญิงชายชาวไทย รวม 7 คนไปยังศาลในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ต่อจากนั้นจะถูกส่งตัวไปคุมขังในเรือนจำเพื่อรอการพิจารณาคดีในชั้นศาล ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานคำให้สัมภาษณ์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาปล่อยตัวคนไทยทั้ง 7 คน โดยทันที พร้อมระบุว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่ควรนำตัวชาวไทยขึ้นพิจารณาคดีในชั้นศาล เพราะจะยิ่งทำให้ประเด็นที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อนยุ่งยากขึ้นไปอีก

สำนักข่าวเอเอฟพียังรายงานเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกัน โดยอ้างถ้อยแถลงนายซก เรือน ผู้ช่วยอัยการศาลแขวงกรุงพนมเปญระบุศาลแขวงกรุงพนมเปญได้ตั้งข้อหากลุ่มคนไทย 7 คน รวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และนายวีระ สมความคิด กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากความผิดลักลอบข้ามพรมแดนเข้ากัมพูชาโดยผิดกฎหมายและเข้าเขตพื้นที่ทางทหารโดยไม่มีเหตุผลอันควร การตั้งข้อหากับกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน มีขึ้นภายหลังศาลดำเนินการการไต่สวนกลุ่มผู้ต้องหาโดยไม่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมรับฟัง จนกระทั่งได้ข้อสรุปดังกล่าวในช่วงเย็น หลังจากกลุ่มผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวโดยทางการกัมพูชาแล้ว 1 วัน

นายซก เรือน ผู้ช่วยอัยการศาลกรุงพนมเปญ กล่าวถึงการตั้งข้อหาแก่กลุ่มคนไทย 7 คน จากความผิดข้ามเข้าพรมแดนกัมพูชาโดยผิดกฎหมายและเข้าพื้นที่เขตทหารโดยมีเจตนาร้าย หากศาลกัมพูชาพิจารณาแล้วพบมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา แต่ละคนอาจถูกตัดสินโทษจำคุกมากกว่า 18 เดือน อย่างไรก็ตาม ศาลกัมพูชายังไม่ระบุวันนัดไต่สวนคดีนี้ครั้งต่อไปเมื่อใด

ข่าวแจ้งว่า ภายหลังกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน ถูกตั้งข้อกล่าวหา กลุ่มผู้ต้องหาได้ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาพาตัวออกจากศาลแขวงกรุงพนมเปญ แต่ละคนมีสีหน้าเศร้าซึม โดยถูกพาตัวไปคุมขังที่เรือนจำเปรย์ ซาร์ นอกกรุงพนมเปญ ตามคำกล่าวอ้างของพลโทเขียว โสเพียก โฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา

ขณะเดียวกัน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เดินทางถึงกัมพูชา ได้เข้าพบหารือกับนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา เพื่อหาทางออกเรื่องนี้ แต่ภายหลังการเจรจากันแล้ว นายฮอร์ นัมฮง แจ้งแก่ นายกษิตว่า ทางการกัมพูชายังไม่สามารถปล่อยตัวกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน ได้ในเวลานี้ เพราะต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงได้

นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศเข้าหารือนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาว่าจากข้อมูลที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตรวจสอบชัดเจนว่าทั้ง 7 คน ล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชา โดยน่าจะพลัดหลงเข้าไป เรื่องดังกล่าวได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา ฝ่ายไทยก็ให้ความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว และหวังว่าจะมีการพิจารณาคดีโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศ ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคนไทย 7 คนที่คุกเปรย์ ซาร์ กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จัดหาทนายความเพื่อสู้คดีให้แล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล ตอนสายวันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง เพื่อหารือแนวทางการช่วยเหลือนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด และคนไทย รวม 7 คน ที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป จากนั้นนายอภิสิทธิ์แถลงว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นกลุ่มคนเหล่านี้เข้าไปดูพื้นที่กรณีที่มีการร้องเรียนของประชาชนเรื่องที่ทำกิน รวมทั้งหลักเขตแดน ในนั้นมีนายพนิชร่วมด้วย โดยนายพนิชนั้นตนมอบหมายให้ประสานงานกับคนที่เคยแสดงความคิดเห็นกับบุคคลที่มีความคิดเห็นเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อทราบปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ และก่อนเดินทางนายพนิชบอกว่าจะไปลงพื้นที่ ตนเข้าใจว่าเป็นการดูพื้นที่ที่ชายแดนในพื้นที่ที่มีการร้องเรียน แต่รายละเอียดเรื่องเส้นทางไปนั้นไม่ทราบ จนปรากฏเป็นข่าวว่าถูกจับ

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า โดยหลักการพื้นที่ดังกล่าวจะมีหลักเขตแดนหมุดที่ฝ่ายไทยปักเอาไว้หลักที่ 46-48 และมีประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ มีการโต้แย้งเรื่องหลักเขตแดนว่าควรจะอยู่ตรงไหนจากฝ่ายกัมพูชา ความแตกต่างสองส่วนระยะทางเป็น 10 เมตร วันนี้ได้สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวปฏิบัติว่าพื้นที่ที่อยู่ในเขตแดนของไทยตามหลักเขตของเราจะไม่มีกำลังของต่างชาติเข้ามาอยู่ เราไม่อนุญาตเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นพื้นที่ของเรา ส่วนพื้นที่ซึ่งมีปัญหาเรื่องชุมชนชาวกัมพูชาที่อยู่ตั้งแต่สมัยสู้รบตั้งแต่ 2520 เป็นประเด็นที่มีการกำหนดแนวเขตชัดเจนและไม่ให้มีการขยายหรือเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น การจับกุมที่เกิดขึ้นถ้าจับกุมในเขตแดนของเราเป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้แน่นอนเด็ดขาด แต่การจับกุมครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นการจับกุมเลยหลักเขตแดนของไทยไปแล้ว แต่ไม่ใช่หลักของฝ่ายกัมพูชากำลังมีการตรวจสอบ โดยกระทรวงการต่างประเทศส่งคนลงไปในพื้นที่พร้อมกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อไปดูจุดต่างๆ

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่เราได้ข้อมูลตรงกับทุกฝ่ายคือ คนทั้ง 7 ได้ลงจากรถที่ถนนศรีเพ็ญ แล้วมุ่งหน้าไปทางหลักเขตที่ 46 แต่ที่ยังไม่ตรงกันจากข่าวที่มีการรายงานกับจากที่กัมพูชาอ้างคือ เดินไปไกลแค่ไหน ดังนั้น การที่รัฐบาลจะดำเนินการกำหนดท่าทีขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงตรงนี้เป็นสำคัญ กำลังเร่งให้ตรวจสอบ ส่วนที่กัมพูชาระบุว่ามีการพบคนของเราที่วัดโจ๊กเจีย ถ้าเป็นจริงตามนี้ชัดเจนว่าจะเลยเขตแดนของเราที่เรากำหนด แต่ขณะนี้ต้องตรวจสอบอีกครั้ง วัดโจ๊กเจียอยู่ห่างจากจุดที่ถูกควบคุมตัวลึกเข้าไปอีก แต่ไม่ว่ากรณีจับกุมจะเกิดขึ้นที่ฝั่งใดก็ตาม เราเห็นว่าบุคคลทั้ง 7 ควรจะได้รับการปล่อยตัวทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางฝ่ายนโยบายทั้งสองฝ่ายได้เคยคุยกันว่ากรณีที่เกิดปัญหาในชายแดนลักษณะนี้โดยเฉพาะไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทั้ง 7 มีอาวุธ ไม่ควรที่จะมีการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการของศาล

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวด้วยว่า เท่าที่รับฟังมาพื้นที่ตรงนั้นตำรวจ ตชด.เป็นผู้ดูแล คณะทั้ง 7 คนได้เดินทางผ่านด่าน ตชด.ไปและ ตชด.ติดตามไปแต่ไม่ทันเพราะกลุ่มคนเหล่านี้ลงจากรถไปก่อน เมื่อถามว่า ขั้นตอนของกัมพูชาขณะนี้ส่งตัวขึ้นศาลหรือยัง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ศาลจะนัดวันนี้และเรายืนยันว่าไม่ควรเข้าสู่กระบวนการนี้เราเห็นว่าควรจะปล่อยตัวบุคคลทั้ง 7 ส่วนการช่วยเหลือนั้นใช้ทุกช่องทาง ต่อข้อถามจะมีการปิดด่านเพื่อตอบโต้หรือไม่นั้น นายกฯกล่าวว่า ในชั้นนี้เราเห็นว่าควรจะเดินหน้าประสานแสดงจุดยืนของเราก่อน เสร็จแล้วจะดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป ถ้าเราต้องการให้ความสัมพันธ์สองประเทศราบรื่นควรจะยึดแนวทางพูดคุยเจรจา ปัญหาชุมชนบริเวณนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2520 เป็นต้นมา เป็นปัญหาผู้อพยพ ขณะนั้นเราได้กำหนดสิทธิ์ตามหลักเขตแดน และกัมพูชายอมรับว่าเมื่อไหร่ที่มีการสำรวจเส้นเขตแดนเรียบร้อยทุกคนต้องปฏิบัติตามข้อตกลง เราก็ไม่ได้บอกว่าเป็นดินแดนของเขา ขณะเดียวกัน เราจำกัดไม่ให้ขยายชุมชน เป็นแนวปฏิบัติที่ทำมา 33 ปีแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาลจะล่าช้าไปต่อการที่กัมพูชาจะนำตัวทั้ง 7 คนขึ้นศาล นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราไม่ทราบรายละเอียดขั้นตอนขณะนี้ แต่เรายืนยันจะประสานงาน และเวลา 16.00 น. วันเดียวกัน นายกษิตจะเดินทางไปกัมพูชาเพื่อยืนยันจุดยืนของไทยกับนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาก่อน เมื่อถามว่า นายกฯจะโทรศัพท์คุยกับสมเด็จฮุน เซน หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รมว.ต่างประเทศจะไปคุยก่อน แต่หากสามารถติดต่อกันได้ก็ไม่มีปัญหาเพราะตอนนี้มีการประสานงานกันหลายระดับ เมื่อถามว่า นายพนิชเป็นเหยื่อของใครที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการชุมนุมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ เพราะเจตนาของนายพนิชชัดเจนคือที่ผ่านมาเมื่อมีกลุ่มบุคคลแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอ้างว่ารัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์เพิกเฉยเขาก็ไปประสานฟังข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รวมถึงการลงพื้นที่ ส่วนลงพื้นที่แล้วใครพาใครไปทางไหนเรายังตรวจสอบไม่ได้ เมื่อถามว่าหาก 7 คนขึ้นศาลแล้วศาลตัดสินนายพนิชจะขาดคุณสมบัติเป็น ส.ส.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่สามารถให้ความเห็นทางกฎหมายได้

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ชาวกัมพูชาอยู่มานานแล้ว และค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา สำรวจเมื่อปี 2549 ส่วนหนึ่งแล้วเป็นหลักเขตที่เราไม่ยอมรับ ยังเป็นพื้นที่แย่งสิทธิ์กันอยู่ ตนอยู่ตั้งแต่ปี 2523 ไม่มี การให้องค์การสหประชาชาติที่ไหนเข้าไปดูแล พื้นที่บางส่วนเราดูแลอยู่เพราะเราก็มีหลักเขตยืนยัน ส่วนที่มีปัญหาก็มีคณะกรรมการเจบีซีกำลังตกลงกันอยู่ เป็นพื้นที่ไม่มีโฉนด ผู้สื่อข่าวถามว่า พูดเหมือนกับว่ากลาโหมละเลยในสิ่งที่ประชาชนร้องเรียน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ใช่ละเลย อย่าไปพูดว่าละเลยเพราะมันไม่มี เราดูแล ตนก็ดูแลมาตั้งนาน เป็นพื้นที่ที่คนกัมพูชาอยู่เป็นชมรมหนองจานประมาณ 500-600 ครอบครัว หรือประมาณ 2,000 คน อยู่ตรงนั้น 19 ปี เรานำลวดหนามไปกั้นไม่ให้ ชุมชนขยายออกนอกแนว

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นบ้าง ทีแรกกัมพูชาจะไม่ยอมเลย เราเจรจาจนทางกัมพูชายอมให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปเจรจา ทางกัมพูชาเขาอ้างว่าจับคนไทยทั้ง 7 คนได้ที่บริเวณวัดโจ๊กเจีย ซึ่งวัดดังกล่าวมันอยู่เลยเขตของไทยไปแล้ว เราจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ ถ้าถูกจับที่วัดจริงก็ไม่ต้องเถียงเลย จบ เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่ทั้งสองประเทศจะมาร่วมพิสูจน์ด้วยกัน นายสุเทพ กล่าวว่า ขณะนี้เขาถึงมีกรรมการขึ้นมา เมื่อถามว่า หากนายกษิตเจรจาไม่สำเร็จจะเปลี่ยนเอาใครไปเจรจา จะเป็นตัวท่านเองหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ใจเย็นๆดูไปทีละขั้น เมื่อถามว่า ทางกัมพูชาจะเชื่อหรือเพราะมีนายวีระ สมความคิด ถูกจับด้วย นายสุเทพกล่าวว่า นายวีระนั่นก็เป็นปัญหา เมื่อถามว่า รู้สึกเครียดหรือไม่ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น นายสุเทพกล่าวว่า ก็ธรรมดามันงานเข้า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทหารทำตามหน้าที่ดูแลทุกอย่าง เรื่องต่อไปรัฐบาลก็จะดำเนินการเข้าไปช่วยเหลือ กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องทำหน้าที่ไป ทหารก็ยืนยันได้ว่าจะดูคนไทยเป็นอย่างดี หากทางกัมพูชาเข้ามาจับในฝั่งไทยก็คงยอมไม่ได้ เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโดนจับได้อย่างไร อาจจะเป็นเพราะเข้าไปในพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่ และไม่ควรใช้ว่าพื้นที่เขาหรือพื้นที่เรา ควรใช้ว่าพื้นที่ที่มีปัญหา ที่ผ่านมาการอยู่ร่วมกันนั้นก็อยู่ด้วยการมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) และเมื่อแนวเขตแดนยังไม่มีความชัดเจน ทุกคนก็ต้องเคารพกติกา เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน เมื่อถามว่า เมื่อยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องพื้นที่คนเหล่านั้นควรจะถูกดำเนินการเพียงการควบคุมตัวได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คำว่า ที่กล่าวว่าชัดเจนหรือไม่ชัดเจนนั้น มันลึกไปกว่านี้หรือไม่ เข้าไปเขตแดนเขาหรือไม่ ตรงนี้ยังไม่มีความชัดเจน ส่วนการที่จะนำตัวคนไทยทั้งหมดไปขึ้นศาลนั้น ก็คงต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณา

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นางวาสนา ห่อนบุญเหิม ผอ.กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับตัว โดยมีนายศานิตย์ นาคสุขศรี ผวจ.สระแก้ว ให้การต้อนรับพร้อมนำคณะตรวจหลักเขตแดนที่ 46 บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง ซึ่งอยู่ห่างจากถนนศรีเพ็ญ (ถนนเลียบแนวชายแดน) ลึกเข้าไปประมาณ 600 เมตร พบว่ามีการขึงลวดหนามแสดงแนวเขตศูนย์อพยพบ้านหนองจานไว้อย่างชัดเจน และเมื่อพ้นลวดหนามเข้าไปจะเป็นชุมชนชาวเขมรปลูกบ้านเรียงรายกว่า 500 หลังคาเรือน โดยมีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธครบมือยืนเรียงรายอยู่บนถนนเคห้าของกัมพูชาซึ่งเป็นถนนคู่ขนานกับถนนศรีเพ็ญ

ระหว่างนั้นมีทหารกัมพูชาเดินเข้าไปหาคณะพร้อมสั่งห้ามเดินรุกล้ำเกินแนวลวดหนามเข้าไปอ้างว่าไม่ปลอดภัย คณะทั้งหมดจึงพากันย้อนกลับไปที่ถนนศรีเพ็ญ พร้อมสอบถามพยานที่เดินทางไปกับคณะคนไทยทั้ง 7 คน โดยพยานยืนยันว่าคนไทยทั้งหมดได้เดินรุกล้ำลวดหนามไปถึงถนนเคห้าฝั่งกัมพูชา และถูกทหารกัมพูชาจับตัวบริเวณหน้าวัดโจ๊กเจีย หรือวัดโชคชัย ในหมู่บ้านโจ๊กเจียของกัมพูชา ซึ่งห่างจากถนนศรีเพ็ญเข้าไปประมาณ 1,200 เมตร โดยนางวาสนากล่าวว่า จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดรายงานให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำไปเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ในช่วงเย็นวันที่ 30 ธ.ค.

ส่วนบรรยากาศบริเวณชายแดนตำรวจ กก.ตชด.12 และทหาร กกล.บูรพาได้นำรถยนต์หุ้มเกราะ วี-150 ออกวิ่งลาดตระเวนตามถนนศรีเพ็ญอย่างเข้มงวด หลังกองกำลังบูรพาประกาศคุมเข้มตลอดแนวชายแดน ห้ามคนไทย-เขมรลักลอบเดินทางผ่านเข้า-ออกตะเข็บแนวชายแดน ซึ่งจากคำสั่งดังกล่าวได้มีแรงงานชาวเขมรที่เดินทางเข้ามารับจ้างในฝั่งไทยกลัวอันตรายและกลัวถูกปิดพรมแดน ขนข้าวของเดินทางกลับกัมพูชาจำนวนมาก เช่นเดียวกับที่สถานกงสุลใหญ่กัมพูชาประจำประเทศไทย บริเวณสามแยกโคกสะแบง บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มี รปภ.ดูแลความปลอดภัยเข้มงวด หลังมีข่าวลือสะพัดว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะบุกไปประท้วง ส่วนในฝั่งกัมพูชา พบว่ามีความเคลื่อนไหวทางทหารจำนวนมากเข้ามาในพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา ด้านตรงข้าม อ.โคกสูง จ.สระแก้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งใดๆเกิดขึ้น

ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กรรมการเครือข่ายประชาชนชาวไทยหัวใจรักชาติ พร้อมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 20 คน เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เร่งรัดช่วยเหลือคนไทย 7 คน ที่ถูกทหารกัมพูชาจับตัว โดยนายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเครือข่ายประชาชนชาวไทยหัวใจรักชาติจะชุมนุมค้างคืนที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อรอคำตอบจากรัฐบาล

ในขณะที่นายทศพล แก้วธิมา กรรมการเครือข่ายประชาชนชาวไทยหัวใจรักชาติ กล่าวว่า หากรัฐบาลยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน กลุ่มเครือข่ายฯจะไปยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และหากยังไม่มีคำตอบชัดเจนจะไปชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานทูตกัมพูชา เพราะจุดที่คนไทย 7 คน ถูกจับไปเป็นพื้นที่ของไทย และหากยังไม่มีความชัดเจนอีก จะมีมาตรการสุดท้ายคือกลุ่มเครือข่ายฯทั้งหมดจะเดินทางไปยังจุดที่ 7 คนไทยถูกจับเพื่อให้ทหารกัมพูชาจับไปอีก เพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับทั้ง 7 คน

หนองจานสตอรี่ถึงป.ป.ช.

หนองจานสตอรี่ถึงป.ป.ช.
เรื่องบ้านหนองจาน ,นายกอภิสิทธิ์ ,รองนายกสุเทพ,พลเอกประยุทธ,พลเอกประวิตร กับกัมพูชา
เรียนท่านประธาน ป.ป.ช.
ผมถือเป็นเรื่องความรับผิดชอบของท่าน เพราะผมกับอาจารย์ปานเทพ ได้ดำเนินการรวบรวมเอกสารครบถ้วนสมบูรณ์ มันอยู่ที่ท่านกับคณะผู้สอบสวนว่าจะเลือกเข้าข้างนถกการเมืองนายทหารแบบไหน
แต่ควรคำนึงถึงแผ่นดิน ถึงพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชจักรีที่ทรงวิริยะอุตสาหะปกป้องพระราชอาณาจักร ยอมแลกคืนแผ่นดินมา เพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
บ้านหนองจานอยู่ในแผ่นดินไทย ไม่ใช่กัมพูชา มีหลักฐานมากมายด้วยกำลังความสามารถ งบประมาณที่ป.ป.ช.มี มันเกินพอที่จะทำงานนี้อย่างตรงไปตรงมา นอกเสียจากท่านจะกลัวอิทธิพลใดๆ
ขณะลูกน้องท่านเขียนหนังสือมาถึงผมยังไม่กล้าที่จะเอ่ยชื่อคุณสุเทพ,พลเอกประยุทธ,พลเอกประวิตรในหนังสือเลย มีแต่นายกอภิสิทธิ์ แปลกที่เหมือนว่าท่านกลัวเกรงคนเหล่านี้
ผมสงสารนายกอภิสิทธิ์ที่ถูก 3 คนนี้ควบคุม แต่ก็นั่นแหละเป็นที่ตัวนายกอภิสิทธิ์เองด้วยที่ไปยินยอมเกี่ยวข้อง ส่วนคุณกษิต รมต.ต่างประเทศ ผมไม่ขอพูดถึง
เรื่องบ้านหนองจาน กับ 7 คนไทย เอาเข้าจริง ฝ่ายความมั่นคงจะเกลียดชัง คุณวีระ ก็ไม่สมควรที่จะปล่อยให้กัมพูชาพาตัวไปขึ้นศาล เพราะมีนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ต้องไปติดคุกแปซอด้วย ทุกคนยืนอยู่บนแผ่นดินไทย
การอ้าง MOU43 ผมไม่อยากพูดถึงเพราะมันเป็นเรื่องเหลวไหล และขาดประสิทธิสภาพ การออกมายกข้อบทเพื่อประโยชน์ของฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบเราอยู่ร่ำไป แต่เมื่อไหร่ที่เรายกขึ้นมาบ้าง ฝ่ายกัมพูชาก็ไม่ยอม
เรื่องนี้เรามีคนทรยศต่อแผ่นดินเยอะท่านไปตรวจหาเอาเอง
ท่านเป็นถึงประธาน ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่ของท่าน ผมกับอาจารย์ปานเทพในฐานะผู้ร้องได้ทำหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของท่าน เป็นกรรมของท่านเองถ้าทำไม่ดีกับแผ่นดินนี้
หลักเขตแดนด้านบ้านหนองจานใช้ตัวหลักเขตและแผนที่กำกับ แผนที่นั้นกำกับทุกหลักเขต แทนที่กระทรวงต่างประเทศไทยจะมาห้ามฝ่ายกัมพูชาแต่กับไปรู้เห็นเป็นใจ ถ้าเขตแดนมันเคลื่อนไปก็ใช้ข้อ 5 ใน MOU43 เขาก็กลับไม่ใช้ อันนี้แปลกมาก และทุกคนดาหน้าออกมาเป็นผู้รู้เรื่องนี้ดีทันที ยกแผ่นดินแม่ของตนเองให้กัมพูชา
ผมทั้งเขียน/ส่งเอกสารไปเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่หน้าที่ ท่านไปพิจารณาเองก็แล้วกัน
ขอแสดงความนับถือ
เทพมนตรี ลิมปพยอม
7 พฤษภาคม 2561

จุดจบ ราชาผู้ติดเซ็กซ์

วิเคราะห์บอลจริงจัง
ถ้าถามถึงนักกอล์ฟที่โด่งดังที่สุดตลอดกาลของโลกนี้ แน่นอนว่า ทุกคนคงตอบเหมือนกัน ว่าเป็นไทเกอร์ วูดส์
เขาเป็นนักกีฬาที่รวยที่สุดในโลก มีโฆษณานับสิบชิ้น มีธุรกิจมูลค่ามหาศาล บุคลิกดี หล่อเหลา และที่สำคัญฝีมือของไทเกอร์คือของจริง
แค่อายุ 32 ปี เขาได้แชมป์เมเจอร์ไปแล้ว 14 รายการ คือใครๆก็คิดว่า สถิติแชมป์ 18 เมเจอร์ของแจ๊ค นิคลอส คงจะโดนเขาทำลายง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของไทเกอร์ จากพุ่งสูงเหมือนดาวบนฟ้า กลับร่วงลงมาอยู่บนพื้น เพียงระยะเวลาแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น
จากมือ 1 ของโลก เชื่อหรือไม่ ไทเกอร์ทำตัวเอง อันดับหล่นไปอยู่ที่ 1005 ของโลก หล่นลงมากว่าพันอันดับ ขณะที่ชีวิตส่วนตัวก็ล่มสลายอย่างไม่เป็นท่า
คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
----------------------------------------
ในปี 2009 ไทเกอร์ กำลังอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต
เขาเป็นมือหนึ่งของโลกแบบไร้คู่ต่อกร ขณะที่นิตยสารฟอร์บส์ ยกให้เขาเป็นนักกีฬาคนแรก ที่ทำเงินได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ไทเกอร์ มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับบารัค โอบาม่า ปธน.สหรัฐ ที่ทำเนียบขาว เขาได้รับเกียรติอย่างยิ่งจากผู้นำประเทศ
ขณะที่ชีวิตครอบครัวก็สวยงาม เขาแต่งงานกับ เอลิน นอร์เดเกร็น นางแบบสาวชาวสวีเดน ที่สวยเหมือนนางฟ้า ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน คือบุตรสาววัย 2 ขวบ แซม และลูกชายแรกเกิด ชาร์ลี
ชีวิตของไทเกอร์ ดูสวยงาม ดูเพอร์เฟ็กต์ ไม่น่าจะมีอะไรมาทำให้ชีวิตของตกต่ำได้
อย่างไรก็ตาม ใต้ฉากหน้าที่สวยหรู ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร
----------------------------------------
ย้อนกลับไปในปี 2007 นิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ (Enquirer) ไปแอบจับภาพได้ว่า ไทเกอร์ ไปนัวเนียกับสาวเสิร์ฟร้านแพนเค้ก ที่ชื่อมินดี้ ลอว์ตัน
เอ็นไควเรอร์ จะแฉเรื่องนี้ แต่สุดท้ายไทเกอร์ยับยั้งเอาไว้ ด้วยการไปเจรจากับ เอ็นไควเรอร์ บอกว่า รูปทุกอย่างเป็นการเข้าใจผิด และขอร้องอย่าให้เผยแพร่รูปนี้ โดยจะแลกเปลี่ยนการกับให้สัมภาษณ์ในประเด็นอื่นๆแบบเอ็กซ์คลูซีฟแทน
ผู้บริหารของเอ็นไควเรอร์ มองว่า การได้ไทเกอร์มาสัมภาษณ์แบบพิเศษ มันน่าจะมีประโยชน์มากกว่าแฉเรื่องคาวๆแค่ครั้งเดียว จึงตอบตกลงไทเกอร์ และให้ไทเกอร์ มาสัมภาษณ์ลงนิตยสารลูกของบริษัท ที่ชื่อ Men's Fitness
ตามปกติไทเกอร์จะไม่มีสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับสื่อไหนทั้งสิ้น นั่นทำให้ Men's Fitness ฉบับนั้น เป็นเล่มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลเลยทีเดียว
สุดท้าย เรื่องรูปลับๆกับเด็กเสิร์ฟ จึงไม่มีการนำมาเผยแพร่ แต่ทางเอ็นไควเรอร์ ก็ตกลงกับไทเกอร์ว่า นี่จะเป็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่บริษัทจะยอมปิดเรื่องนี้ เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
แต่ถ้าหาก เอ็นไควเรอร์ ไปเจออะไรอีกครั้ง คราวนี้จะไม่ยอมเก็บเป็นความลับแน่นอน
เวลาผ่านไป 2 ปี เอ็นไควเรอร์ ก็แอบส่งนักข่าวไปสปายไทเกอร์อยู่ตลอด แต่จับอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน 2009 ระหว่างที่ไทเกอร์ ไปแข่งศึกออสเตรเลียน มาสเตอร์ส ปรากฎว่า เขาก็พลาดจนได้
ไทเกอร์ นอนพักที่ห้องสูท ในโรงแรมคราวน์ ทาวเวอร์ส ที่เมืองเมลเบิร์นระหว่างแข่งขัน ซึ่งนักข่าวจากเอ็นไควเรอร์ ก็แอบซุ่มอยู่ตลอด หวังว่าจะเจอแจ็กพอต
ประมาณว่า ไทเกอร์อาจจะหิ้วโสเภณีเข้ามาสักคน ก็สามารถเอาไปขยายต่อเป็นข่าวได้
และแล้วก็มีผู้หญิงที่มาหาไทเกอร์ที่ห้องจริงๆ แต่ไม่ใช่โสเภณี แต่เธอคนนี้มีชื่อว่า ราเชล อูชิเทล นักข่าวสาวคนดังจากช่องวอร์เนอร์บราเธอร์ส ทีวี เธอบินตรงจากสหรัฐ มาที่ออสเตรเลีย เพื่อมาหาไทเกอร์โดยเฉพาะ
นั่นแปลว่า นี่ไม่ใช่คู่นอนธรรมดาแล้ว แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ใช้คำว่าคบชู้ได้เลย ซึ่งคราวนี้ เอ็นไควเรอร์ รู้แน่ว่า สองคนนี้แอบมีความสัมพันธ์กันแบบลับๆ และไม่ยอมปล่อยข่าวนี้หลุดมือ
25 พฤศจิกายน เอ็นไควเรอร์ ตีพิมพ์ประเด็นนี้ และกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ของคนทั่วโลกทันที
ไทเกอร์ ที่มีพร้อมทุกอย่างในชีวิต เงินทอง ชื่อเสียง ครอบครัว คนรักที่สวยดุจเทพธิดา เขาจะกล้าทำลายตัวเองด้วยเรื่องนี้งั้นหรือ?
----------------------------------------
1 วันหลังจากเอ็นไควเรอร์ วางแผงทั่วประเทศ เอลิน นอร์เดเกร็น ภรรยาของไทเกอร์ อ่านนิตยสารฉบับนั้นด้วยมือสั่นระรัว
คนทั่วประเทศรู้ว่าสามีเธอมีชู้ แต่เธอเอง กลับไม่เคยรู้อะไรเลย ตอนนี้เธอไม่ใช่แม่บ้านที่ดีแสนดี แต่เธอคือคนโง่ในสายตาชาวโลก
เหตุการณ์ต่อจากนี้ เป็นรายงานจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ บรรยายเหตุการณ์ในคืนที่เปลี่ยนชีวิตของไทเกอร์ไปตลอดกาล โดยนิวยอร์กโพสต์ได้ข้อมูลมาจากเพื่อนสนิทของเอลิน
----------------------------------------
26 พฤศจิกายน เป็นวันขอบคุณพระเจ้าที่สหรัฐฯ (Thanksgiving day)
เอลิน อ่านทุกอย่างจากเอ็นไควเรอร์เรียบร้อยแล้ว แต่เธอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เธอไม่ถามอะไรไทเกอร์ แม้แต่คำเดียว
คืนนั้นไทเกอร์ ร่างกายอ่อนเพลียมากเขาจึงกินยานอนหลับ แล้วล้มตัวลงนอนไปเลย
เวลาตี 1 ตอนไทเกอร์หลับไปแล้ว เอลิน หยิบโทรศัพท์ของสามีขึ้นมา แล้วค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมือถือ ปรากฎว่า ไทเกอร์เคยส่ง sms หาราเชล พิมพ์ข้อความว่า "คุณเป็นคนเดียวที่ผมรัก"
เอลิน ใจเย็นอย่างน่าประหลาด เธอส่ง sms กลับไปหาราเชล แกล้งเป็นไทเกอร์ โดยพิมพ์ว่า "ผมคิดถึงคุณนะ เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก"
ราเชล ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเธอแปลกใจที่ไทเกอร์ยังตื่นอยู่ตอนตี 1
เอลินอยากจะแกล้งคุยเพื่อล้วงความจริงมากกว่านี้ แต่เธอทนไม่ไหวแล้ว เธอกดโทรออก ไปหาราเชลทันที เมื่อสายรับ เอลินพูดว่า "ฉันรู้ทุกอย่าง"
"Oh Fuck!" ราเชลอุทานแล้วรีบตัดสายทิ้งทันที
ทันใดนั้น คนใจเย็นอย่างเอลินก็น็อตหลุด เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกรีดร้องใส่ไทเกอร์ ที่กำลังนอนอยู่
ไทเกอร์ผวาตื่นขึ้นมา เอลินขว้างโทรศัพท์ใส่หน้าไทเกอร์ เธอชกหน้าอก เอาเล็บข่วนหน้า จนไทเกอร์ต้องหนีออกมาเพื่อไม่ให้เจ็บตัว แต่เอลินยังไม่หยุดเธอคว้าไม้กอล์ฟไล่ฟาดเขา
ไทเกอร์วิ่งหนีออกมาจากบ้าน เอลินไล่ตามมาหวด ไทเกอร์ตะโกนสวนเสียงดัง "คุณทำลายวันขอบคุณพระเจ้าของเราพินาศหมดแล้ว! พอใจหรือยังล่ะ!"
เพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ยินเสียงทะเลาะกันของสองสามีภรรยา มีคนตะโกนกลางดึกแบบนั้น ใครๆก็คงได้ยิน
ไทเกอร์ รีบคว้ากุญแจรถคาดิลแลค สตาร์ตรถ รีบขับหนีเอลินทันที เขาต้องการหนีเอาตัวรอดจากตรงนี้ให้ได้ก่อน แต่ด้วยความมึนในฤทธิ์ยานอนหลับ ทำให้ไทเกอร์ไม่มีสติเพียงพอที่จะควบคุมรถ
เขาขับรถพุ่งชนกับหัวก๊อกดับเพลิงและต้นไม้ ในจุดที่ไม่ห่างจากบ้านมากนัก ไทเกอร์นอนสลบเหมือดคาพวงมาลัย
เอลิน ขับรถตามมาถึง เห็นสภาพรถที่ยับเยิน เธอรีบดึงตัวไทเกอร์ ออกมาจากรถ ให้มานอนราบบนพื้น จากนั้นเธอตะโกนบอกเพื่อนบ้านให้เรียก 911
ไทเกอร์ ไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล แต่อาการไม่หนักมาก เขาจึงสามารถกลับมาที่บ้านได้
ในตอนนั้น เอลิน ก็ยังสองจิตสองใจ ใจหนึ่งเธอก็โกรธแค้น อีกใจหนึ่งเธอก็รักสามี ทั้งคู่คบกันมา 6 ปี แต่งงานกันแล้ว มีลูกด้วยกันสองคน ไม่ใช่อะไรที่จะตัดใจได้ง่ายๆ
ระหว่างนั้น ทั้งคู่ก็แยกกันอยู่ไปก่อน เอลิน ขอเวลาทำใจ ถ้าใช้เวลาสักระยะเธออาจให้อภัยสามีได้ ถ้าหากไทเกอร์ตัดสินใจจบกับราเชลจริงๆ อาจจะลองให้โอกาสอีกสักครั้ง
เพียงแต่สิ่งที่เอลินหวังไว้ มันห่างไกลความเป็นจริงมากเหลือเกิน ...
----------------------------------------
หลังจากเอ็นไควเรอร์ แฉเรื่องราเชล อูชิเทล ก็มีผู้หญิงอีกจำนวนมากออกมาเปิดเผยตัว ว่าเธอมีความสัมพันธ์กับไทเกอร์เหมือนกัน
เจมี่ กรั๊บส์ - สาวเสิร์ฟในบาร์มีความสัมพันธ์ 31 เดือนกับไทเกอร์
เจมี่ จังเกอร์ส - นางแบบชุดชั้นในชื่อดัง
จอสลีน เจมส์ - นักแสดงหนังโป๊
โลเรดาน่า โจลี่ - นางแบบนิตยสารเพลย์บอย
จูลี่ พอสเติ้ล - สาวเสิร์ฟในบาร์ที่ออร์ลันโด้
และที่ทำให้ เอลิน หัวใจสลายมากที่สุด คือ เรย์เชล คูดรีเอ็ต นักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของไทเกอร์นี่เอง
มีรายงานว่า ไทเกอร์มีเซ็กส์กับผู้หญิงราว 120 คน ระหว่างช่วงที่แต่งงานกับเอลิน และมีถึง 13 คนในนี้ ที่แอบมีสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เซ็กส์ชั่วครั้งคราว
ที่มหัศจรรย์คือ ทั้งๆที่ไทเกอร์ คบหลายคนพร้อมกันขนาดนี้ แต่เขาสามารถปิดบังเอลินได้ตลอดช่วงเวลาที่แต่งงานกัน ดังนั้นแน่นอน นี่ไม่ใช่ความพลั้งเผลอ
สื่อสหรัฐใช้คำว่า Serial Cheater หรือ นักนอกใจต่อเนื่อง (เล่นคำจาก Serial Killer - ฆาตกรต่อเนื่อง)
นั่นทำให้เอลิน ตัดสินใจเด็ดขาด ขอหย่าจากไทเกอร์ วูดส์ ในเดือนสิงหาคม 2010 คือมันเกินที่เธอจะรับไหว คนทั้งประเทศอยู่ข้างเธอในเรื่องนี้
ซึ่งแน่นอน ไทเกอร์ ไม่มีทางสู้คดีชนะอยู่แล้ว มีหลักฐานว่าประพฤตินอกใจ นอกกายขนาดนี้ ยังไงเอลิน ก็ต้องชนะคดีถ้าฟ้องร้องกันขึ้นมาจริงๆ
สุดท้ายเอลิน ได้สิทธิเลี้ยงดูบุตรทั้ง 2 คน นอกจากนั้นเอลิน ยังได้รับสินสมรส 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
ชีวิตในอุดมคติของไทเกอร์ โดนทำลายราบคาบ
ครอบครัวแตกสลาย คนรอบข้างมองเขาด้วยสายตาเปลี่ยนไป และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความวิบัติในอาชีพอย่างแท้จริง
----------------------------------------
ไทเกอร์ ขอพักการแข่งขันพีจีเอทัวร์อย่างไม่มีกำหนด เพื่อไปเข้ารับการบำบัด "เสพติดเซ็กส์" ซึ่งก็เหมือนบำบัดคนติดยา เพียงแต่ยาเสพติดของไทเกอร์ คือผู้หญิง
แต่สื่อมวลชน ก็ชี้ว่า ไทเกอร์ก็แค่อ้างว่าเป็นโรคเสพติดเซ็กส์ ทั้งๆที่ความจริงเขาแค่สนุกกับการได้สับราง และมั่วหญิงไปทั่วแค่นั้น
สปอนเซอร์จำนวนมาก เมื่อเจอข่าวฉาว ก็ประกาศขอถอนตัวจากการสนับสนุน ทั้ง at&t เครือข่ายโทรศัพท์ชื่อดัง, เครื่องดื่มเกเตอเรด รวมถึง มีดโกนยิลเล็ตต์ ทำให้เขาสูญเงินไปขั้นต่ำ 15 ล้านเหรียญต่อปี ขณะที่ไนกี้แม้จะยังสนับสนุนอยู่แต่หากหมดสัญญาก็เตรียมหั่นราคาลงจากเดิมเป็นเท่าตัว
ขณะที่ฟอร์มในสนาม หลังจากเกิดเหตุ เขาไม่ได้แชมป์รายการใดอีกเลยเป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่ง สื่อชี้ว่าปัญหาของไทเกอร์คือสมาธิไม่อยู่กับตัว
ไม่ต้องรวมถึงรายการเมเจอร์ ที่เขาไม่เคยได้แชมป์อีกเลย นับตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นสถิติของแจ๊ค นิคลอส กลายเป็นตัวเลขที่เขาไม่มีวันเอื้อมไปถึง
หลังจากกลับมาเล่นดีได้ระยะสั้นๆในปี 2012-13 โชคร้ายก็ยังมาเยือนเขาไม่หยุดหย่อน ไทเกอร์บาดเจ็บอีกหลากหลายครั้ง
ต้องเข้ารับการผ่าตัดเส้นประสาท ถึง 2 ครั้ง , ผ่าตัดแผ่นหลัง และรักษาอาการเจ็บที่ขา ตลอด 3 ปี ได้ลงเล่นรวมกันไม่ถึง 10 รายการ อันดับโลกหล่นลงมาต่ำสุดที่ 1005 ของโลก
จากคนที่รุ่งโรจน์มากๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับร่วงดิ่งไปในพริบตา
ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆ
----------------------------------------
ไทเกอร์ ต้องใช้เวลาอย่างมาก กว่าชีวิตจะค่อยๆกลับมาเข้าที่เข้าทาง
ขั้นแรกเขาต้องบอกความจริงให้ลูกรู้ก่อน เพื่อให้ลูกทั้ง 2 คนได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่สำคัญจะได้ไม่ไปโกรธเกลียดแม่
"ผมอยากให้พวกเขาทั้งสองคนได้รู้ ก่อนที่จะถึงวัยเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วไปรู้เอง ผมบอกเขาว่า สาเหตุที่พ่อกับแม่ อยู่บ้านเดียวกันไม่ได้อีกแล้ว นั่นเพราะคุณพ่อทำเรื่องผิดพลาดเอง"
หลังจากเวลาผ่านไป เอลิน ก็ค่อยๆลด ความโกรธ ความเกลียด ทั้งคู่กลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกครั้ง
"เราจะยังคงมีมิตรภาพที่ดีให้กัน" เอลินเผย "ความสุขของแซม กับ ชาร์ลี คือสิ่งสำคัญที่สุดของเราทั้งคู่"
ปัจจุบัน ไทเกอร์ก็มีเวลาร่วมกับลูกมากขึ้น ขณะที่ชีวิตรักเขาก็มีแฟนใหม่อีก 2 ครั้ง จากลินด์ซีย์ วอนน์ มาสู่คนปัจจุบัน เอริก้า เฮอร์แมน
ส่วนในอาชีพนักกอล์ฟ เขาก็ค่อยๆไต่อันดับโลกกลับมาช้าๆ จากหลักพัน ขึ้นมาอยู่ 668 ในปี 2017 และในปีนี้ ขยับขึ้นมาสูงสุดที่ 88 ของโลก กลับมาติดท็อป 100 อีกครั้ง
ในวัย 42 ปี ไทเกอร์ จะกลับมาติดท็อปเท็นของโลกได้อีกหรือไม่ และจะไปถึงเมเจอร์อีกสักครั้งหรือเปล่า
ก็ยังเป็นคำถามที่ ไม่มีใครตอบได้จริงๆ
----------------------------------------
จากเรื่องราวของไทเกอร์ วูดส์ มีหลายอย่างที่เราสามารถเอาเป็นเครื่องเตือนใจได้
1) ความลับไม่มีในโลก
ไทเกอร์จะปิดบังแนบเนียนแค่ไหน เห็นไหม วันหนึ่งก็ต้องโดนจับได้อยู่ดี
2) ถ้าได้โอกาสแก้ตัวอย่าทำผิดซ้ำ
ตอนที่เอ็นไควเรอร์ไม่แฉไทเกอร์ครั้งแรก เมื่อสวรรค์ให้โอกาสแก้ตัวแล้ว ถ้าเขาหยุดทุกอย่างไว้ตรงนั้น บางทีเรื่องราวอาจจะไม่ถึงขั้นนี้
และ 3) ถ้าชีวิตคุณดีอยู่แล้ว ทุกอย่างสวยงามอยู่แล้ว คิดให้เยอะๆ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป
ถ้ามันจะพินาศเพราะคนอื่นทำ ยังพอเข้าใจ
แต่อย่าให้ต้องมาบรรลัย ด้วยมือตัวเอง

กฟผ.ลดพนักงาน 7,000 คน ปฏิรูปเพื่อความอยู่รอด

กฟผ.ลดพนักงาน 7,000 คน ปฏิรูปเพื่อความอยู่รอด

เผยแพร่:   โดย: นพ นรนารถ


ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ประกาศชะลอการรับสมัครบุคคลภายนอกเข้าทำงานปี 2561 ที่เพิ่งประกาศรับสมัครไปเมื่อเดือนมกราคม โดยให้เหตุผลว่า

“กฟผ.อยู่ระหว่างการศึกษาปรับปรุงโครงสร้าง และอัตรากำลังขององค์กร จึงมีความจำเป็นต้องชะลอการรับสมัครบุคคลภายนอกปี 2561 ไว้ก่อน หากมีการดำเนินการเมื่อใด กฟผ.จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”

แต่ละปี กฟผ.รับสมัครพนักงานใหม่หลายร้อยอัตรา ทั้งเพื่อรองรับการขยายงาน และทดแทนพนักงานที่ลาออก เกษียณ การรับสมัครพนักงานของ กฟผ.เป็นที่เฝ้ารอของบัณฑิตจบใหม่ คนที่ยังว่างงาน คนที่มีงานทำแล้วต้องการจะทำงาน กฟผ.เพราะการได้เป็นพนักงาน กฟผ.มีความมั่นคง ผลตอบแทน สวัสดิการดี เป็นหลักประกันชั้นดีของชีวิต

การงดรับสมัครพนักงานปีนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ กฟผ.ไม่รับคนใหม่

กฟผ.ได้ว่าจ้าง บริษัท ไพรซ์ วอเตอร์เฮ้าส์ แอนด์ คูเปอร์ส ศึกษาการปรับโครงสร้างองค์กรมาได้ปีกว่าๆ แล้ว สัปดาห์ก่อนมีการเปิดเผยข้อสรุปเบื้องต้นว่า จะต้องลดพนักงานที่มีอยู่ขณะนี้ 21,800 คนให้เหลือ 15,000 คน ลดลง 7,000 คน และลดตำแหน่งรองผู้ว่าการฯ จากปัจจุบัน 12 คนเหลือเพียง 7 คน

นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และเป็นตัวแทนพนักงานในคณะกรรมการปรับโครงสร้างบอกว่า วิธีการคือไม่รับพนักงานใหม่ทดแทนพนักงานที่เกษียณอายุเป็นเวลา 4 ปี

ผู้ที่จะเกษียณอายุในปี 2561 มีจำนวน 1,300-1,700 คน ปี 2562-2563 ปีละประมาณ 1,700 คน และปี 2564 อีก 1,400 คนซึ่งรวมทั้งหมดจะลดคนไปได้ประมาณ 6,800-7,000 คน

การลดพนักงานเพื่อให้องค์กรมีขนาดเล็กลง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือ Disruptive Technology

จำนวนพนักงานที่ต้องลดลงไป 7 พันคนเท่ากับ 10% ของพนักงานปัจจุบัน ลดตำแหน่งรองผู้ว่าฯ ลงไปเกือบครึ่งไม่ใช่น้อยเลย ต้นทุนของพนักงานส่วนเกินนี้ แน่นอนว่า ถูกผลักไปใส่ไว้เป็นส่วนหนึ่งของค่าไฟที่ประชาชนต้องจ่าย โดยไม่อาจต่อรองได้ เพราะ กฟผ.ผูกขาดครบวงจร ทั้งผลิต และขายไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียว

นับตั้งแต่ความพยายามแปรรูป กฟผ.ด้วยการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถูกศาลปกครองสั่งระงับเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ค่าไฟฟ้ามีแต่แพงขึ้นๆ สวนทางกับวาทกรรมต่อต้านการขายหุ้นครั้งนั้นที่ว่า การนำ กฟผ.เข้าตลาดหุ้น คือการแปรรูปให้เอกชนเข้ามายึดกิจการที่ทำให้ประชาชนต้องใช้ไฟในราคาแพงขึ้น โดยไม่มีทางเลือก

ค่าไฟที่แพงขึ้นๆ ภายใต้วาทกรรม กฟผ.คือ สมบัติของชาติ ห้ามแตะต้อง เป็นเพราะค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแพงขึ้น เป็นเพราะ กฟผ.ต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้กับธุรกิจผลิตไฟฟ้าเอกชน เป็นเพราะต้นทุนค่าใช้จ่ายของ กฟผ.ซึ่งถูกผลักภาระมาให้ประชาชนจ่ายในรูป “ค่าบริการ” ในบิลค่าไฟฟ้า

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ มีนโยบายที่ชัดเจนว่า ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายในอนาคต ต้องไม่แพงกว่าค่าไฟในปัจจุบันที่หน่วยละ 3.30 บาท เป็นที่มาของการรื้อแผนพัฒนากำลังไฟฟ้า พ.ศ. 2558-2579 หรือพีดีพี 15 โดยให้ความสำคัญกับการที่ประชาชนจะต้องจ่ายค่าไฟ ณ สิ้นปี 2579 ในราคาไม่เกินค่าไฟปัจจุบัน คือ 3.30 บาทต่อหน่วย ไม่ใช่หน่วยละ 5.50 บาท ในแผนพีดีพีเดิม และยกเลิกการกำหนดโควตาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามประเภทเชื้อเพลิง แต่ให้รับซื้อจากผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำสุด

แผนพีดีพีซึ่งเดิมให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าจนมีกำลังการผลิตเกินความต้องการไปมาก ถูกปรับทิศทางใหม่ให้มุ่งไปที่การส่งเสริมการแข่งขันเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ไฟในราคาถูกลงกว่าปัจจุบัน

แผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา กำหนดการปฏิรูปด้านไฟฟ้า 3 ประเด็น คือ

ปฏิรูปโครงสร้างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) จัดทำ PDP ใหม่ที่คำนึงถึงความสมดุลรายภาค ปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้า และมุ่งเพิ่มความมั่นคงระบบไฟฟ้าสำหรับจุดที่มีความเสี่ยงและมีความสำคัญต่อประเทศชาติ โดยในปี 2561 จะศึกษาข้อมูลสำคัญเพื่อนำไปสู่การจัดทำ PDP ใหม่ในปี 2562 และสามารถให้หน่วยงานนำแผนไปดำเนินการตั้งแต่ปี 2563

ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า เน้นส่งเสริมกิจการไฟฟ้าที่ใช้พลังงานทดแทนที่ผลิตและซื้อขายไฟฟ้ากันเองภายในชุมชน โดยในปี 2561 จะจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำร่างระเบียบการส่งเสริมกิจการไฟฟ้าเพื่อเพิ่มการแข่งขันที่ใช้พลังงานทดแทน

ปรับโครงสร้างการบริหารกิจการไฟฟ้า โดยบูรณาการหน่วยงานกิจการไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการไฟฟ้าและการลงทุนของประเทศ โดยในปี 2561 จะศึกษาความเหมาะสมการบูรณาการหน่วยงานกิจการไฟฟ้า และศึกษาระเบียบ TPA ของระบบส่งและระบบจำหน่าย และส่งเสริมกิจการจำหน่ายเพื่อเพิ่มบทบาทภาคเอกชนและส่งเสริมให้มีการแข่งขันมากขึ้น

การลดพนักงานลง 7,000 คน เป็นก้าวแรกของ กฟผ.ในการรับมือกับการปฏิรูปประเทศด้านการผลิตไฟฟ้าที่มีคีย์เวิร์ดคือ ส่งเสริมให้มีการแข่งขันมากขึ้น เพิ่มบทบาทภาคเอกชน

“เสี่ยหนู”ย้ำไม่มีดีลการเมืองบิ๊กตู่ ยังไม่ถึงเวลาคิด ชี้ ปชช.มาเยอะเพราะประชาสัมพันธ์

“เสี่ยหนู”ย้ำไม่มีดีลการเมืองบิ๊กตู่ ยังไม่ถึงเวลาคิด ชี้ ปชช.มาเยอะเพราะประชาสัมพันธ์


เมื่อเวลา 14.20 น. ที่สนามช้าง อารีนา จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ประชาชนที่เดินทางมาต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. พร้อมคณะ น่าจะเกินความจุของสนามกว่า 3 หมื่นคน ซึ่งไม่ได้เป็นการเกณฑ์มาแต่อย่างใด ต่างคนต่างมาตามที่ได้รับการประชาสัมพันธ์ เพราะ จ.บุรีรัมย์ ต้องไม่ธรรมดา เมื่อ ครม.เดินทางมาถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องให้การต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องต้อนรับตามความเหมาะสม และการที่ตนเดินทางมาวันนี้ไม่มีเรื่องการเมือง แต่มาอำนวยความสะดวกในฐานะคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ และตนยังไม่ได้พูดคุยหรือพบเจอใครทั้งสิ้น แม้แต่นายกฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่ของนายกฯครั้งนี้อาจมีเรื่องของการเมือง นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ไม่มีใครเอาเรื่องการเมืองมาในสนามแห่งนี้ ใครเอามาก็สลบ เพราะยังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องการเมือง วันนี้เป็นเรื่องของประชาชน ตนก็เดินทางมาดู เผื่อจะต้องหาเสียงหรือปราศรัยใหญ่แล้วมาจัดที่สนามแห่งนี้ก็ไม่เลว ถือว่ามาสังเกตการณ์
เมื่อถามว่า การประชาสัมพันธ์ให้คนมาร่วมได้กว่าหมื่นคนเป็นฐานเสียงที่จะสนับสนุนรัฐบาลได้ต่อไปหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เรื่องฐานเสียงไม่ใช่เพิ่งมาวันนี้หรือเมื่อวาน ฐานเสียงบุรีรัมย์มีตั้งนานแล้ว และหลายจังหวัดที่พรรคภูมิใจไทย มี ส.ส.ก็มีฐานเสียงอยู่แล้ว และวันนี้พรรคก็มีนโยบายหลักที่จะเป็นโมเดลใช้หาเสียง ทั้งการช่วยเหลือชาวบ้านให้ลืมตาอ้าปาก เศรษฐกิจดีขึ้น

เมื่อถามถึงข้อสังเกตว่า ชาวบุรีรัมย์สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลแล้วต่อไปจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไปหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ต้องถามประชาชนแต่ละคน เมื่อถามอีกว่า จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ต่อไปหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย จะสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยและคนของพรรค ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะพูดอะไร เพราะยังไม่รู้ว่าจะมี ส.ส.กี่คน และสมาชิกจะทนพลังดูดได้แค่ไหนก็ไม่รู้ และตนจะไม่มีวันพูด ไม่มีวันคิด ไม่มีวันทำอะไรโดยที่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง ทุกอย่างจะชัดเจนเมื่อเห็นจำนวน ส.ส.อยู่ในมือ ต้องรอให้มีการเลือกตั้งให้เรียบร้อยก่อน ไปตกลงในตอนนี้โดยที่เราไม่รู้เรื่องทำไม่ได้ ยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยต้องขายนโยบาย ไม่ใช่ขายทิศทาง
เมื่อถามถึงกระแสข่าว คสช.ดูดสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวินให้ไปร่วมงานกับรัฐบาลเช่นเดียวกับนายสนธยา คุณปลื้ม นายอนุทินกล่าวย้อนว่า ใครดูด จะไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ วันนี้เราต้อนรับครม.ในฐานะที่อยู่ในพื้นที่ และพรรคภูมิใจไทยเพิ่งมีอายุ 10 ปี ตนเป็นหัวหน้าพรรคมา 5 ปี จะให้ใครมาดูดใครง่ายๆ ได้อย่างไร ใครดูดติดคอตายแน่นอน ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งไปพูดอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสัมภาษณ์นายอนุทิน นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ได้เดินผ่านมาพอดี ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามความคืบหน้าการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯอีกสมัยหลังเลือกตั้ง โดยนายอุตตมได้กล่าวปฏิเสธในทันทีว่า “ไม่รู้ๆ”

‘เนวิน’ คุมเอง ปลุกชาวบุรีรัมย์ส่งเสียงเชียร์ ‘ลุงตู่สู้ๆ’ หวังงบหมื่นล้านลงจังหวัด

‘เนวิน’ คุมเอง ปลุกชาวบุรีรัมย์ส่งเสียงเชียร์ ‘ลุงตู่สู้ๆ’ หวังงบหมื่นล้านลงจังหวัด


‘เนวิน’ คุมเอง ปลุกชาวบุรีรัมย์ส่งเสียงเชียร์ ‘ลุงตู่สู้ๆ’ หวังงบหมื่นล้านลงจังหวัด ยันวันนี้ไม่มีวาระการเมือง มีแต่วาระ ปชช.
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่สนามช้าง อารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตแกนนำพรรคภูมิใจไทย และประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ออกโรงนำเชียร์ประชาชนชาวบุรีรัมย์เกือบ 3 หมื่นคน ที่มารอต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยตัวเอง โดยขอให้ทุกคนกล่าวเชียร์ว่า “ลุงตู่สู้ๆ” โดยมีนางกรุณา ชิดชอบ ภริยา และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มาร่วมเชียร์ โดยนายเนวินกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอให้อดทนต่อแสงแดดและความร้อน และเมื่อเวลาที่ นายกฯลุงตู่ที่เดินทางมาบุรีรัมย์ และขอให้ส่งเสียงดังๆ เพื่อให้นายกฯลุงตู่อนุมัติงบประมาณลงพื้นที่บุรีรัมย์ให้ได้หมื่นล้านบาท ขอให้ร่วมกันให้กำลังใจ
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเรื่องการเมือง นายเนวินปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่า “วันนี้ไม่มีวาระเรื่องการเมือง มีแต่วาระประชาชน ไม่มีการเมือง ไม่ต้องถามอะไร”