PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

โฆษก คสช. แจง เชิญตัว"วัฒนา เมืองสุข"เข้าค่ายทหาร เพราะวิจารณ์การเมือง บุคคล คสช.


โฆษก คสช. แจง เชิญตัว"วัฒนา เมืองสุข"เข้าค่ายทหาร เพราะวิจารณ์การเมือง บุคคล คสช. บิดเบือนว่า คสช.จะไม่คืนอำนาจ ระบุช่วงนี้ให้วิจารณ์ ได้แค่ ร่างรธน. ระบุ มีอคติ ทัศนคติแง่ลบตลอดเวลา เกินขีดระดับ ที่ประเมินไว้ ยัน จนท. จำเป็นจะต้องดูแลสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อยที่สุด

พันเอก วินธัย สุวารี โฆษก. คสช กล่าวถึงกรณีทางทหารเชิญตัว นายวัฒนา เมืองสุข จากบ้านพัก เข้าค่ายทหาร ว่า เนื่องจากการแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็น ในช่วง 2วันที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงนี้ถ้าเป็นเรื่องของการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าภายใต้กรอบและช่องทางที่กำหนดในการสื่อสารไปถึงผู้รับผิดชอบ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อพิจารณาก็สามารถกระทำได้
แต่การแสดงออกที่เกี่ยวพันกับเรื่องทางการเมืองยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวัง
ต่อกรณีการให้ความเห็นของ นายวัฒนา ล่าสุด ยังมีลักษณะไปกล่าวหาพาดพิงบุคคล และองค์กรอื่น ที่อาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจ คสช.คลาดเคลื่อนไป
เช่น บางเนื้อหามีการกล่าวหาว่า คสช.สร้างความเสียหาย หรือทำให้เกิดการตกต่ำ รวมทั้งบิดเบือนว่า คสช.จะไม่คืนอำนาจ เป็นต้น จนท.อยากเชิญมาปรับความเข้าใจ
"ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่า นายวัฒนา ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาแก้ปัญหา ของ คสช. จึงอาจเป็นเหตุให้เจ้าตัวมีอคติ รู้สึกไม่พอและมีทัศนคติที่เป็นลบตลอดเวลา แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นจะต้องดูแลสถานการณ์ให้เกิดบรรยากาศที่สงบเรียบร้อยที่สุด"
ส่วนการให้ความเห็นใดๆที่ไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนควรต้องระมัดระวัง และอะไรที่ดูเกินกว่าขีดระดับที่เจ้าหน้าที่ประเมินไว้ ก็จำเป็นต้องมีการตักเตือนและปรับความเข้าใจกันบ้าง

บิ๊กป้อม กินข้าวกะ บิ๊กตู่....



บิ๊กป้อม กินข้าวกะ บิ๊กตู่....
พลเอกประวิตร อารมณ์ดี นายกฯชวน ขึ้นไปกินข้าวกลางวัน บนตึกไทยคู่ฟ้า หลังประชุม กรรมการปฏิรูปและบริหารราชการแผ่นดิน ที่ตึกสันติไมตรี เสร็จ.... นักข่าว ฝาก บิ๊กป้อม บอก "คิดถึงนายกฯ" ด้วย เพราะไม่ให้สัมภาษณ์หลายวัน บิ๊กป้อม รับว่า จะบอกให้ ....เพราะพอนายกฯ ไม่ให้สัมภาษณ์ บิ๊กป้อม ก็รับงานหนัก ให้สัมภาษณ์แทน ทุกวัน เลย...

สมจิตร: กรณี "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" กับคำถามถึงจริยธรรมสื่อ สำนึกสังคมสู่ตัวอย่างสาธารณะ

กรณี "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" กับคำถามถึงจริยธรรมสื่อ สำนึกสังคมสู่ตัวอย่างสาธารณะ
เมื่อประมาณสามปีที่แล้วเคยโพสต์จดหมายเปิดผนึกถึงคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดัง หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดจากการยักยอกโฆษณาช่อง ๙ เป็นเงินราว ๑๓๘ ล้านบาท เพื่อแสดงจุดยืนในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งมาแล้วครั้งหนึ่ง
เวลาผ่านมาพัฒนาการของคดีมีมากขึ้น จาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเข้าสู่กระบวนการที่อัยการส่งฟ้องก่อนจะจบลงที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ๑๓ ปี ๔ เดือน แม้ว่าจะยังไม่ใช่ข้อยุติเพราะคดียังต่อสู้ได้อีกสองศาลจนถึงชั้นฎีกา แต่ด้วยสำนึกความเป็นสื่อสารมวลชนเชื่อว่า เจ้าตัวเองก็ทราบดีว่าบรรทัดฐานที่ควรวางไว้ให้กับวิชาชีพสื่อสารมวลชนควรเป็นอย่างไร เพียงแต่คงมีปัจจัยมากมายที่ทำให้การตัดสินใจของคนคนหนึ่งให้น้ำหนักในเรื่องที่แตกต่างกัน
บางคนอาจยึดหลักการแห่งวิชาชีพ แต่บางคนก็จำนนกับผลประโยชน์ บดบังสำนึกที่ดี จนพลาดโอกาสที่จะเป็นตัวอย่างแก่สาธารณะ
กรณีที่เกิดขึ้นไม่เพียงเป็นเรื่องที่คนในแวดวงสื่อสารมวลชนต้องช่วยกันตั้งคำถามเท่านั้น แต่สังคมไทยต้องช่วยกันพินิจพิเคราะห์ด้วยว่าเราอยากเห็นสังคมแบบไหน ถ้าอยากให้เห็นสังคมคุณธรรมคนรุ่นแราก็ต้องเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างสังคมที่ดีให้กับลูกหลาน แต่ถ้าปล่อยผ่านไปก็สะท้อนว่า ไม่ใช่แค่สื่อที่เสื่อมแต่สังคมเรากำลังทรุดอยู่ด้วยใช่ไหม
ในฐานะคนทำงานสื่อขอส่งจดหมายเปิดผนึกฉบับเดิมอีกครั้ง โดยมิได้หวังว่าจะได้เห็นการตัดสินใจที่แตกต่างจากเดิมของคุณสรยุทธ แต่ปรารถนาจะกระตุ้นเพื่อนพ้องพี่น้องสื่อด้วยกันเพื่อให้ช่วยกันคิดว่า "เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อวิชาชีพของตัวเอง" เท่านั้น
“เราต่างรักในวิชาชีพสื่อสารมวลชนใช่ไหม?”
...ดิฉัน สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวการเมือง (เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสังกัด) ในฐานะสื่อมวลชน แม้จะไม่เคยรู้จักคุณสรยุทธ เป็นการส่วนตัว แต่สิ่งที่ได้เห็นคุณสรยุทธ แสดงออกเสมอมาคือความรักในวิชาชีพสื่อสารมวลชน ไม่ว่าวันนี้จะยังเป็นกรรมกรข่าวหรือเศรษฐีค้าข่าว แต่จิตวิญญาณแห่งวิชาชีพน่าจะยังคงอยู่ นอกจากว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ทำทั้งหมดเป็นเพียงแค่การเสแสร้งสร้างภาพ ซึ่งดิฉันคิดว่าคุณสรยุทธ ย่อมมีความซื่อสัตย์ต่อประชาชนที่ศรัทธาและโอบอุ้มคุณสรยุทธ โดยไม่ควรแม้แต่จะคิดทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน
การที่คุณสรยุทธ ตอบโต้แถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก หลังจากถูกทวงถามด้านจริยธรรมกรณีถูก ปปช. ชี้มูลความผิดว่ายักยอกเงินค่าโฆษณา อสมท. ๑๓๘ ล้านบาท ด้วยการให้พิจารณาตัวเองจากการทำหน้าที่พิธีกรเล่าข่าว และยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อแม้ว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินคำคุก ๑๓ ปี ๔ เดือน ถือเป็นการทำร้ายวิชาชีพสื่อสารมวลชนอย่างเลือดเย็นยิ่ง เพราะเท่ากับว่า คุณสรยุทธ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมไทยอย่างมากกำลังทำให้คนเข้าใจว่า คนวงการสื่อไม่ยอมรับการตรวจสอบ ไร้ซึ่งจริยธรรมที่จะแสดงตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคมไทย
ถามคุณสรยุทธง่าย ๆ ว่า นักเล่าข่าวที่ถูก ปปช. ชี้มูลว่าทุจริต ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก จะตรวจสอบนักการเมืองที่ทุจริตได้อย่างไร
นักเล่าข่าวที่ถูก ปปช. ชี้มูลว่าทุจริต ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก จะกล้าเรียกร้องให้นักการเมืองที่ถูก ปปช. ชี้มูลว่าทุจริตแสดงสปิริตด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือไม่
นักเล่าข่าวที่ถูก ปปช. ชี้มูลว่าทุจริตถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก แต่ยังคงมีสถานะทางสังคมโดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ ใด ๆ จะสร้างค่านิยมแบบไหนให้กับประเทศชาติของเรา ?
ค่านิยมที่สังคมยอมรับการโกงว่าเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำ และยังได้ดิบได้ดีไม่ถูกลงโทษจากสังคมจึงไม่จำเป็นต้องมีความละอายต่อบาป เพราะทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปอย่างนั้นหรือ ?
หน้าที่ของสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง คือ การชี้นำสังคมให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ถ้าวันนี้คุณสรยุทธ ซึ่งเป็นสื่อมวลชนที่คนไทยให้การยอมรับอย่างมาก ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน ก็เท่ากับกำลังบ่มเพาะความไม่ละอายต่อบาปให้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมนี้ จนเห็นการทำความผิดเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องที่ต้องประนาม
แม้คดีนี้จะยังไม่มีบทสรุปในชั้นศาลฎีกา แต่องค์กรอิสระอย่าง ปปช.ได้ชี้มูลแล้ว ศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาไปแล้ว
การแสดงออกให้เห็นว่า “จริยธรรมอยู่เหนือกฎหมาย” จะทำให้คุณสรยุทธ “เป็นเรื่องเล่าระดับตำนานให้คนในแวดวงสื่อสารมวลชนได้กล่าวขานถึงว่า เป็นสื่อมวลชนที่มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพของตัวเองและไม่ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
จดหมายเปิดผนึกจากนักข่าวตัวเล็ก ๆ อาจไม่มีความหมายอะไรเลยต่อการตัดสินใจของคุณสรยุทธ แต่ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยหวังว่าจะจุดประกายเล็ก ๆ ให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงสื่อสารมวลชนได้ช่วยกันไตร่ตรองดูว่า เราจะไม่ทำอะไรเพื่อรักษาวิชาชีพที่เรารักเลยหรือ ?
เราต่างรักในวิชาชีพสื่อสารมวลชนใช่ไหม ?
และอย่าจำนนกับความคิดที่ว่า “เราทำไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ทำ”
ลงชื่อ สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสายการเมือง

บิ๊กป้อมปัดข่าวลอบทำร้ายนายก

บิ๊กป้อม  ปัดข่าว "ลอบทำร้าย นายกฯ" เหตุสั่งจัดระเบียบ รปภ.ทำเนียบฯใหม่ แค่ได้ไอเดีย จากไปเยือนรัสเซีย-เบลารุส ดูระบบsecurity มา

พลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ชี้แจง กรณี สั่งจัดระเบียบการ รปภ.ทำเนียบรัฐบาลใหม่  ว่า ไม่เกี่ยวสถานการณ์การเมือง  แต่ต้องทำให้เป็นสากล เรื่องการเข้า-ออก ของ บุคคล และรถ  การจำกัด ประตู เข้า-ออก

เมื่อถามว่า  มีการข่าวรายงานอะไรมาหรือไม่ เช่นการลอบทำร้าย นายกฯ พลเอกประวิตร กล่าวว่า  ไม่มี ไม่มีการข่าวอพไร ใครจะมาทำร้าย อะไร นายกฯ  แต่เพราะแค่ได้ไอเดีย จากไปเยือนรัสเซีย-เบลารุส ดูระบบsecurity  เมิ้อ23-27 กพ. ที่ผ่านมา  เท่านั้น

ส่วน ตลาดนายกฯ ข้างทำเนียบฯ ที่เป็นจุดเสี่ยง เพราะฯ ผู้คนพลุกพล่าน  ไม่มีการตรวจสอบใดๆ แถมอยู่ติดรั้วทำเนียบฯนั้น  พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ยกเลิก  แม้สุ่มเสี่ยง เพราะสร้างรายได้เยอะ มอบ รมต.สำนักนายกฯ ดูแลคุมเข้ม มากขึ้น

ประวิตร ขู่ จับปรับทัศนคติ3-7วันพวกพูดมาก

“พลเอกประวิตร” ขู่เรียก ปรับทัศนคติ 3-7 วัน พวกเคลื่อนไหว สร้างความขัดแย้ง เตือน หากพูด 100 ครั้ง ก็จะเรียกมา 100ครั้ง
         
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารบุกควบคุมตัว นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ว่า เขาไปพูดอะไร เรื่องนี้ให้ถามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงเป็นการเชิญตัวมาปรับทัศนคติ 

"อย่าเพิ่งพูดอะไรให้กระทบกระเทือนใครตอนนี้ อย่าเพิ่งมาว่า ผม ตอนนี้ เพราะผมไม่ได้ว่าใครอยู่แล้ว"

 ส่วนที่หลายคนยังออกมาเคลื่อนไหว ทั้งๆที่ถูกเรียกปรับทัศนคติหลายครั้งนั้น  พลเอกประวิตร กล่าวว่า หากพูดร้อยครั้งก็จะเรียกมาร้อยครั้ง ต่อไปอาจเรียกมา 3-7 วัน ถ้าพูดแล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ทำให้เกิดความขัดแย้ง จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย ขออย่าพูดให้เกิดความขัดแย้งและทำให้เข้าใจผิด 

เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ ที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงที่ร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้ไขอยู่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ห่วงทุกอย่างจะต้องเดินไป เพราะไม่มีความเคลื่อนไหวมากมาย คนมีตั้ง 70 ล้านคน มีทั้งเห็นชอบและไม่เห็นชอบ สุดท้ายก็มีการเลือกตั้ง ส่วนใครที่เข้าข่ายจะเรียกมาปรับทัศนคติอีก ผมจำไม่ได้มันเยอะ

รัฐประหาร ๒๔๙๐





คลิปประวัติศาสตร์ บันทึกเหตุการณ์วันรัฐประหาร ๘พ.ย.๒๔๙๐ โดย"จอมพลผิน ชุณหะวัณ"และ"หลวงกาจ"(เจ้าของรัฐธรรมนูญใต้ตุ่มแดง) ซึ่งเหตุการณ์นี้บันทึกและบรรยายโดย"แท้ ประกาศวุฒิสาร"โดยเป็นผู้ถ่าย เก็บบรรยากาศลำดับการเลาเรื่องได้ละเอียด ในภาพยังมี"พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ"อดีตนายกฯ(ที่ถูกรัฐประหารโดย รสช.ปี๒๕๓๔) ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นผู้พันหนุ่ม ยศ พ.ต.(สวมแว่นตาดำ)เป็นบุตรชายของ"จอมพลผิน"หน.คณะรัฐประหาร ซึ่งครั้งนั้นมีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน นักหนังสิอพิมพ์(สังเกตนักข่าวสมัยนั้นทำข่าวจดข่าวกันแต่งตัวเรียบร้อยมาก) นอกจากนี้ คณะนายทหารยังมีการเชิญ"นายธนาคาร"เจ้าสัวใหญ่ๆ มาพูดคุยด้วย..





///



ภาพยนตร์ข่าวบันทึกเหตุการณ์รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ถ่ายโดย แท้ ประกาศวุฒิสาร ซึ่งเป็นการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่สืบท­อดจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร

รัสเซียเสริมเขี้ยวเล็บให้กับระบบป้องกันภัยด้วยสุดยอดเรดาร์รุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูง

รัสเซียเสริมเขี้ยวเล็บให้กับระบบป้องกันภัยด้วยสุดยอดเรดาร์รุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูง
-----------
หันมาดูเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางทหารของฝั่งรัสเซียกันบ้างนะครับ วันที่ 26 ก.พ.59 Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "การแจ้งเตือนล่วงหน้าก็คือการติอาวุธป้องกันไว้ก่อน: รัสเซียเสริมศักยภาพด้านการป้องกันขีปนาวุธให้กับตนเอง" (Forewarned is Forearmed: Russia Boosts Its Missile Defense Capabilities)
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ Rossiyskaya Gazeta ของรัสเซียรายงานว่า หัวเรี่ยวหัวแรงของระบบป้องกันภัยทั่วโลกตัวนี้เป็นรุ่นที่สามของสถานีเรดาร์ Voronezh-type
ระบบเรดาร์แบบ Voronezh-class นี้มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 อย่างซึ่งรวมทั้งเรดาร์แบบ Voronezh M, Voronezh-DM (using VHF and UHF), และ Voronezh-VP ที่มีศักยภาพสูง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น EHF (extremely high frequency) ซึ่งมีรัศมีในการตรวจจับวัตถุระหว่าง 4,500 - 6,000 กิโลเมตร และมีศักยภาพในการตรวจจับวัตถุที่ความสูงถึง 4,000 กิโลเมตร
[ว้าววว! แค่เรดาร์ของ S-400 เกลือบจะครอบคุมพื้นที่ทั้งหมดของซีเรียได้อยู่แล้ว เจอเจ้าตัวนี้เข้าไป แหล่มเลย ในวิกิพีเดียบอกว่า เรดาร์ Voronezh-DM (77Ya6-DM) ซึ่งเป็นคลื่นความถี่แบบ UHF (Ultra high frequency) ออกแบบโดยบริษัท NPK NIIDAR ของรัสเซีย มีรัศมีไกลถึง 10,000 กม.และสามารถตรวจจับวัตถุในเวลาเดียวกันได้ถึง 500 เป้าหมาย รัศมีแนวราบอยู่ที่ 6,000 กม. และแนวตั้งอยู่ที่ 8,000 กม. สามารถตัวจับวัตถุที่มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอลในระยะไกลที่ 8,000 กม.ได้สบาย ใช้คลื่นความถี่สองแบบคือทั้งแบบ VHF (Very high frequency) และ UHF ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆเกี่ยวกับรัศมีของเรดาร์รุ่นนี้ไม่ค่อยตรงกัน ดูเหมือนว่าในวิกิจะค่อนข้างเวอร์ไปสักนิด แต่โดยทั่วไปแล้วน่าจะอยู่ที่ 4,500 - 7,200 กม. รัศมีความสูงราว 6,600 กม. แค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว - ผู้แปล]
นอกจากนี้แล้ว ระบบเรดาร์ Voronezh-class สร้างด้วยโมดูลแบบผลิตในโรงงาน และดังนั้นจึงสามารถที่จะทำการติดตั้งได้อย่างรวดเร็วประมาณหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับสถานีเรดาร์อื่นๆที่มีศักยภาพที่เท่ากันซึ่งต้องใช้เวลาราว 5-9 ปีถึงจะติดตั้งสำเร็จ
[ถ้าได้เจ้านี้ไปติดตั้งในซีเรียซัก 3 ชุด (เนื่องจากแต่ละตัวไม่สามารถมีรัศมีครอบคุมพื้นที่แบบ 360 องศา) เชื่อมเข้ากับระบบ S-400 และระบบป้องกันภัยทางอากาศอื่นๆ รับรองว่าจะไม่มีประเทศไหนกล้าส่งเครื่องบินเข้าไปในซีเรียโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายรัฐบาลซีเรียอีกต่อไป - ผู้แปล]
เทคโนโลยีของเรดาร์รุ่นนี้เป็นมรดกตกทอดที่รัสเซียได้มาจากอดีตสหภาพโซเวียต และนำมาพัฒนาต่อให้ล้ำสมัยกว่าเดิม รายงานข่าวบอกว่าในขณะเดียวกันกองทัพของรัสเซียก็ได้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธชายฝั่ง K-300P Bastion ที่คาบสมุทร Kola (ทางตะวันตกเฉียงหนือของรัสเซีย ใกล้พรมแดนประเทศฟินแลนด์) หนังสือพิมพ์ Izvestiya รายงานว่าอาวุธดังกล่าวครอบคุมชายฝั่งของรัสเซียในพื้นที่ประมาณ 1,500 กม.และสามารถเปลี่ยนทะเลบาเรนท์ให้เป็น "เขตมรณะ" (dead zone) สำหรับเรือรบของนาโต้ได้เลย
กองพัน K-300P ประกอบด้วยเครื่องยิงขีปนาวุธเคลื่อนที่จำนวน 12 ชุด ติดตั้งด้วยขีปนาวุธ P-800 Oniks สำหรับทำลายเรือรบซึ่งมีพิสัยทำการอยู่ที่ 300 กิโลเมตร
หนังสือพิมพ์ของรัสเซียยังกล่าวอีกว่า หลังจากที่กองทัพรัสเซียประจำการเครื่องยิงขีปนาวุธรุ่นนี้ในแหลมไคร์เมียแล้ว ก็สามารถที่จะทำลายเป้าหมายของข้าศึกได้ทั้งในทะเลดำและทะเลบาเรนท์ด้วย แต่ก.กลาโหมของรัสเซียยังไม่ได้ระบุว่าต่อไปจะรัสเซียจะติดตั้งระบบอาวุธดังกล่าวไว้ที่ไหนบ้าง

อังกฤษยอมรับว่าการทิ้งระเบิดในซีเรียไม่ได้ทำร้ายดาอิช

อังกฤษยอมรับว่าการทิ้งระเบิดในซีเรียไม่ได้ทำร้ายดาอิช และรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากที่กบฏซีเรียหันมาร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลในการปราบปรามขบวนการก่อการร้ายในซีเรีย
-----------
วันที่ 1 มี.ค.59 Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "ความร่วมมือแบบซับซ้อน: อังกฤษยอมรับว่าการโจมตีทางอากาศในซีเรียไม่ได้ทำร้ายผู้ก่อการร้ายดาอิชเลย" (Complicated Cooperation: UK Admits Airstrikes in Syria Aren't Hurting Daesh)
[กรรม! ก่อนหน้านี้นายกฯคาเมรอนของอังกฤษพยายามขอให้สภาอนุมัติให้อังกฤษส่งเครื่องบินรบเข้าไปทิ้งระเบิดในซีเรียและอิรัคอ้างว่าเพื่อปราบปรามไอซิส แต่หลังจากที่รัฐสภาอังกฤษอนุมัติเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ไงผลกลับกลายเป็นแบบนี้หละนี่? - ผู้แปล]
นาย Michael Fallon รมว.กลาโหมของอังกฤษกล่าวกับสภาผู้แทนฯ (House of Commons) ของในอังกฤษว่า ในขณะที่กระบวนการต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายในอิรัคกำลังดำเนินไปด้วยดี สถานการณ์ในซีเรียกลับ "ซับซ้อน" เนื่องจากความร่วมมือระหว่างพวกนักรบฝ่ายกบฏกับรัฐบาลซีเรีย
"พวกผู้ก่อการร้ายดาอิชในอิรัคกำลังถูกผลักดันให้ถอยกลับ ไม่มีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้น - พวกเขากำลังถูกผลักไปที่เมือง Tigris และกำลังถอยกลับไปทางตะวันตกตามแม่น้ำ Euphrates" นาย Michael Fallon กล่าวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษ
นาย Michael Fallon กล่าวต่ออีกว่า "ในซีเรียนั้น สถานการณ์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และพวกเราก็เป็นกังวลใจกับรายงานเมื่อเร็วๆนี้บางฉบับที่อาจจะก่อให้เกิดการประสานงานกันระหว่างกองกำลังฝ่ายประชาธิปไตยในซีเรียและฝ่ายรัฐบาลอัสซาด ซึ่งจะไม่มีประโยชน์ในระยะยาวในการเอาชนะพวกผู้ก่อการร้ายดาอิช"
นาย Michael Fallon กล่าวว่า "ดาอิชถอยหลังกลับในอิรัค แต่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในซีเรีย และผม...ก็รู้สึกเป็นกังวลใจเป็นที่สุดเกี่ยวกับการแพร่กระจายของดาอิช ตามแนวชายฝั่งของลิเบียด้วย"
[เอาง่ายๆนะครับคุณ Fallon เดิมทีพวกกบฏซีเรียและผู้ก่อการร้ายดาอิชจับมือกันโจมตีกองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียจนเกือบจะยึดประเทศซีเรียได้ทั้งหมดอยู่แล้ว พอรัสเซียเข้าไปช่วยฝ่ายรัฐบาลซีเรีย กลับสามารถพลิกเกมได้ฝ่ายที่ถอยและถูกโจมตีกลับและสูญเสียอย่างหนักก็คือฝ่ายกบฏและดาอิช ต่อจากนั้นฝ่ายกบฏซีเรียบางส่วนก็หันมาร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาล และบางส่วนก็ยอมวางอาวุธเข้ามอบตัวกับฝ่ายรัฐบาลด้วย เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลประกาศว่าจะนิรโทษกรรมให้กับฝ่ายกบฏ
ผลก็ปรากฏว่าฝ่ายต่อต้านผู้ก่อการร้ายมีกำลังสนับสนุนเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีแต่ฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังชาวเคิร์ด YPG เท่านั้น ก็ได้ฝ่ายกบฏซีเรีย (บางส่วน) เข้ามาเสริมอีกแรงหนึ่งตรงนี้ไม่ดีอย่างไร? ทำไมอังกฤษถึงได้แสดงความกังวลต่อความเข้มแข็งของกองกำลังฝ่ายปราบปรามดาอิชที่เพิ่มมากขึ้น? ถ้าอังกฤษแสดงความกังวลแบบนี้ งั้นอังกฤษจะร่วมมือกับสหรัฐฯและฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆในกองกำลังพันธมิตรต่อต้านผู้ก่อการร้ายทำแป๊ะอะไรครับ? ดูเหมือนว่ายิ่งนับวันตรรกะของพวกนักการเมืองฝั่งตะวันตกยิ่งมีความสับสนและวิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้วที่นาย Fallon กังวลนั้นไม่ใช่ดาอิชรุกคืบในซีเรีย เพราะว่าความเป็นจริงแล้วดาอิชในซีเรียเจอรัสเซียและพันธมิตรฝ่ายรัฐบาลซีเรียถล่มหนักยิ่งกว่าในอิรัคซะอีก ที่นาย Fallon กังวลนั้นก็คือกลัวว่าดาอิชจะพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายรัฐบาลซีเรีย และกลัวว่าความร่วมมือกันระหว่างฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลซีเรียจะนำมาซึ่งความปรองดองและสันติภาพในซีเรียต่างหาก ซึ่งจะทำให้สงครามในซีเรียต้องมีอันยุติไปในที่สุด และความฝันที่จะแบ่งแยกประเทศซีเรียหรือหากินกับสงครามแบบนั้นของฝั่งตะวันตกก็จะถูกทำลายไปในที่สุดต่างหาก - ผู้แปล]
+ อังกฤษมองว่าความร่วมมือความร่วมมือระหว่างชาวเคิร์ดและกรุงดามัสกัสเป็นสิ่งที่รบกวนใจเป็นอย่างยิ่ง (UK: Kurdish Cooperation With Damascus 'Disturbing')
------------
การแสดงความคิดเห็นของ Fallon เป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของนาย Philip Hammond รมว.ต่างประเทศของอังกฤษ ที่ออมาวิพากษ์วิจารณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งกล่าวว่า "มีหลักฐานที่น่ารบกวนใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด รัฐบาลซีเรีย และกองทัพรัสเซียในภาคเหนือของซีเรีย"
รมว.ต่างประเทศของอังกฤษกล่าวว่า "สิ่งที่พวกเราเห็นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็คือหลักฐานที่น่ารบกวนใจมากเกี่ยวกับการประสานงานกันระหว่างกองกำลังชาวเคิร์ด รัฐบาลซีเรีย และกองทัพอากาศของรัสเซีย ซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทของชาวเคิร์ดทั้งหมดในเรื่องนี้"
นาย Hammond ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นของเขาในเรื่องนี้ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ได้ชี้ให้เห็นว่า ชาวเคิร์ดเป็นหนึ่งในความพยายามและพันธมิตรที่มีค่าที่สุดของตะวันตกบนภาคพื้นดินในซีเรียและอิรัค ซึ่งทำงานควบคู่ไปกับกองกำลังพันธมิตรนานาชาตินำโดยสหรัฐฯ รวมทั้งรัสเซียและกองกำลังฝ่ายรัฐบาลด้วย
[เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับชาวโลกเป็นอย่างมากที่นักการเมืองระดับสูงในรัฐบาลของอังกฤษออกมาแสดงความกังวลใจและอาการกระวนกระวายใจที่เห็นชาวเคิร์ดร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลซีเรียและรัสเซียในการต่อต้านขบวนการก่อการร้ายดาอิชในอิรัคและซีเรีย แต่ทั้งนาย Fallon รมว.กลาโหมและนาย Hammond รมว.ต่างประเทศของอังกฤษกลับแสดงท่าทีกังวลหรือไม่สะบายใจที่กองกำลังชาวเคิร์ด YPG ถูกกองทัพตุรกียิงถล่มข้ามชายแดนตุรกี-ซีเรียเข้ามาในพื้นที่ของซีเรีย ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตมากมาย
อังกฤษไม่แสดงความกังวลที่ตุรกีรุกรานอธิปไตยของอิรัค และซีเรีย แต่อังกฤษกลับตกใจและกังวลที่เคิร์ด รัฐบาลซีเรีย กบฏซีเรีย และกองทัพรัสเซียร่วมมือกันถล่มขบวนการก่อการร้ายไอซิสซะงั้น ก็อยากจะถามว่า "เป็นควายอะไรของคุณครับคุณ Hammond และคุณ Fallon?" - ผู้แปล]
+ ผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศของอังกฤษมีข้อจำกัด (Impact of British Airstrikes Limited)
-----------
รายงานข่าวบอกว่า การยอมรับว่าการแทรกแซงของอังกฤษไม่ได้มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญ (a significant impact) ต่อผู้ก่อการร้ายดาอิชในซีเรียได้เพิ่มความน่าอับอาย (embarrassment) ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมให้กับอังกฤษ หลังจากที่นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอนได้ประกาศเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า การขยายการโจมตีทางอากาศต่อต้านดาอิชในซีเรียจะเป็นกลยุทธแบบ "cut off the snake's head" [ตัดหัวงูของอังกฤษต่างหากหละมั๊งครับท่านนายกฯ - ผู้แปล]
แม้ว่าการอ้างว่าการแทรกแซงของอังกฤษจะเป็น "การพลิกเกม" (a game changer) ในการต่อสู้กับพวกดาอิชในเซียก็ตาม แต่ภายใต้กฎหมายเสรีภาพของการเข้าถึงข้อมูล (Freedom of Information (FoI)) ที่สำนักข่าว Huffington Post ได้ยื่นขอจากฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้เปิดเผยแล้วว่า มีผู้ก่อการร้ายจำนวนเพียงแค่ 7 คนเท่านั้นที่ถูกสังหารด้วยระเบิดของอังกฤษ [ฮิ้วววววว "ขอบคุณที่ซ้ำเติม จุดเดิมที่เคยเจ็บ..." คุณคาเมรอนคงจะไม่เคยได้ฟังเพลงนี้อ่ะ - ผู้แปล]
รายงานข่าวกล่าวต่อไปอีกว่า การเปิดเผยข้อมูลครั้งล่าสุดนี้ยังดูเหมือนว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของ Jeremy Corbyn ผู้นำฝ่ายค้านของอังกฤษที่รณรงค์ต่อต้านการทิ้งระเบิดของอังกฤษใส่เป้าหมายในซีเรีย ซึ่งกล่าวว่า มันก็เท่ากับว่าเป็นการแทรกแซงแบบบุ่มบ่ามและอ่อนหัดอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา นาย Corbyn ได้กล่าวว่า "ไม่ว่ามันจะเป็นการขาดกลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่จะเอ่ยนาม การขาดแคลนกองกำลังภาคพื้นดินที่น่าเชื่อถือ ไร้แผนการด้านการทูตในการยุติปัญหาในซีเรีย ความล้มเหลวในการแก้ไขผลกระทบต่อภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้าย หรือวิกฤตผู้ลี้ภัย และความสูญเสียในส่วนของพลเรือน มันก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นอีกว่า ข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีสำหรับการดำเนินการทางทหาร (ในซีเรียแลอิรัค) นั้นไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย (stack up) แม้แต่นิดเดียว"
[จริงๆแล้ว ทั้งอังกฤษ สหรัฐฯและพันธมิตรนั้น ไม่ได้ต้องการที่จะให้สงครามยุติเลย สิ่งที่พวกนี้ต้องการก็คือการเลี้ยงสงครามต่างหาก เพราะว่ายิ่งมีสงครามอยู่เรื่อยๆ ก็หมายถึงว่าประเทศพวกนี้จะยิ่งทำกำไรจากการค้าอาวุธสงครามได้เรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่กำลังสร้างความกังวลใจให้กับนักการเมืองของอังกฤษในเวลานี้ก็คือ กลัวว่าสงครามในซีเรียและจะยุติลงต่างหาก
การที่นักการเมืองของอังกฤษออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะนี้ เราได้เจอสไตล์การเขียนข่าวจากสื่อฯกระแสหลักระบอกเสียงของรัฐบาลอังกฤษและตะวันตกอยู่บ่อย จะบอกว่าเป็นเอกลักษณ์เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็คือ "การบิดประเด็น" ไปพูดเรื่องอื่นเพื่อกลบเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าในความล้มเหลวของคนเอง แต่ชิ่งไปกล่าวหาหรือโทษคนอื่นแทน ไม่มีอะไรมาก ก็แค่บทกระล่อนไปวันๆ ตามสไตล์ "ผู้ดีอังกฤษ" ขนานแท้นั่นแหละครับ เพราะอะไรถึงมองอย่างนั้น ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงในซีเรียนั้น มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นพูดนะสิครับ - ผู้แปล]
อ้อ… วันที่ 29 ก.พ.59 Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "เสียงแห่งความเงียบ: ชีวิตกลับสู่ปรกติในซีเรียหลังการหยุดยิง" (The Sound of Silence: Life Returns to Normal in Syria as Ceasefire Holds)
นิตยสาร Der Spiegel ของเยอรมันเขียนว่า "ในหลายภาคส่วนของซีเรีย ประชาชนสามารถกลับเข้าไปยึดครองถนนหนทางต่างๆได้อีกครั้ง สำหรับชาวบ้านแล้วข้อตกลงหยุดยิงทำให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตตามปรกติได้" (สำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศสก็รายงานข่าวนี้ด้วย)
สื่อฯเยอรมันอ้างคำพูดของ Backer Abu Omar วัย 45 ปีในซีเรียว่า "มีบางอย่างแปลกๆในการหยุดยิงในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้พวกเราเคยนอนหลับและสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่"
[เรื่องแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ใช่ไหมที่ รมว.กลาโหมและรมว.ต่างประเทศของอังกฤษแสดงความกังวลใจว่าจะเกิดขึ้นในซีเรีย ถ้าสันติภาพเกิดขึ้นในซีเรียนี่ อังกฤษจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่ถ้าซีเรียถูกทำลายให้ย่อยยับไปกว่านี้เหมือนกับสภาพเมือง Kobani ติดกับชายแดนของตุรกีที่ถูกเครื่องบินรบของพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯถล่มจนไม่เหลือซากตั้งแต่ปี 2014 ประชาชนพากันหนีตายไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยและอพยพไปอยู่ในต่างประเทศหลายล้านคน แบบนี้ท่านรัฐมนตรีทั้งสองท่านของอังกฤษคงจะสบายใจสินะ กรรม! ถ้าอังกฤษเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้ากับตัวเอง นักการเมืองของอังกฤษทั้งสองคนนี้จะรู้สึกอย่างไรนะ? - ผู้แปล]

พินัยกรรม "โอซามา บิน ลาเดน" !

พินัยกรรม "โอซามา บิน ลาเดน" !
มอบเงิน 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐทำสงครามจีฮัด !!!
สำนักข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเอกสารบางส่วนที่ยึดได้ระหว่างปฏิบัติการจู่โจมสังหาร นายโอซามะ บิน ลาเดน อดีตผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ เป็นพินัยกรรมระบุให้มอบเงินจำนวน 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์
สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เอกสารที่ยึดได้ระหว่างปฏิบัติการบุกสังหาร นายบิน ลาเดน ที่เมืองอับบอตตาบัด ประเทศปากีสถาน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 มีพินัยกรรมที่เขียนด้วยลายมือของ นายบิน ลาเดน ระบุให้มอบทรัพย์สินประมาณ 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.15 พันล้านบาท ในประเทศซูดาน ให้กับการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือ จีฮัด
นอกจากนี้ยังมอบเงินบางส่วนให้กับเครือญาติ แต่ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทรัพย์สินดังกล่าวที่มีอยู่ในรูปของเงินสด หรือทรัพย์สินอื่นๆ นายบิน ลาเดน ได้ทรัพย์สินเหล่านี้มาอย่างไร
ขณะที่เอกสารอีกฉบับหนึ่ง ระบุว่า นายบิน ลาเดน ตั้งใจจะทำรายการพิเศษทางโทรทัศน์เพื่อฉลองวาระครบรอบ 10 ปี เหตุโจมตีอาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ โดยแนะนำให้คนสนิทของเขาติดต่อสถานีโทรทัศน์ ซีบีเอส หรือ อัลจาซีรา
....................
s.news

ปฎิกริยาสังคมต่อ"สรยุทธ"

กรณีช่องสามและสรยุทธ สุทัศนะจินดา สังคมไทยและคนไทยควรเรียนรู้และตอบสนองอย่างไร?

อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง 
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ผู้บริหารช่องสาม จะตัดสินใจให้นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทำหน้าที่พิธีกรรายการเล่าข่าวอะไรพวกนั้นต่อไป รายการเล่าข่าวพวกนี้ผมไม่เคยดูเพราะรู้สึกว่ามันมีแต่ข่าวไร้สาระและผมอ่านเองก็ได้ในหนังสือพิมพ์ ทั้งข่าวเหล่านั้นที่เอามาเล่าก็ไม่ได้มีการวิเคราะห์อะไรที่จะชี้นำสังคมไปในทางที่ก่อให้เกิดปัญญาหรือพัฒนาสังคมไทยแต่ประการใด ทางช่องสามให้เหตุผลว่า รู้จักกันมานาน 12 ปี รู้ดีกว่าทุกคน และคดียังไม่สิ้นสุด แค่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกไป 13 ปี 4 เดือน โดยไม่ลงอาญา กรณี บริษัทไร่ส้มจำกัด โกงเงิน อสมท ทั้งนี้ ทางผู้บริหารช่องสาม ทิ้งท้ายในลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “นับจากนี้ช่อง 3 ต้องน้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป แต่มติบอร์ดขณะนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากสังคมคิดว่า สุดโต่งก็ต้องน้อมรับ เพราะที่ผ่านมาถือว่า ทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ยังเป็นไปตามปกติ” 

คุณชูชาติ ศรีแสงอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาได้เขียนบน Facebook ส่วนตัวว่า 
“.....กรณีที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก 13 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานในหน่วยงานของรัฐกระทำความผิดฐานรับทรัพย์สินที่นายสรยุทธเป็นผู้จ่ายให้เพื่อให้งดการกระทำตามหน้าที่เกี่ยวกับรายได้จากการโฆษณา ตามที่ทราบกันอยู่แล้ว .....มีบุคคลหลายฝ่ายเรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 คำนึงถึงจรรยาบรรณของสื่อและจริยธรรม โดยให้นายสรยุทธหยุดดำเนินรายการที่ทำอยู่ทุกวัน 

.....แต่ทางช่อง 3 ยังคงให้นายสรยุทธดำเนินรายการต่อไป โดยมีข้ออ้างข้อหนึ่งว่า นายสรยุทธเป็นเหมือนบุคคลในครอบครัวเดียวกัน

.....ใคร่ขอให้ความเห็นว่า อย่าเสียเวลาเรียกร้องหาจริยธรรมจากช่อง 3 เลย เพราะนายประชา มาลีนนท์ คนในครอบครัวผู้บริหารช่อง 3 ก็ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษจำคุกในคดีรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร ขณะนี้ก็หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ 

.....เมื่อทางช่อง 3 ยืนยันแล้วว่า นายสรยุทธเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ช่อง 3 จึงต้องถือปฏิบัติต่อนายสรยุทธเช่นเดียวกับนายประชา มาลีนนท์ ครับ”

 ประสบการณ์ตรงในการถูกปฏิเสธที่หลบฝนหน้าอาคารมาลีนนท์ เมื่อกปปส ชุมนุมนั้นผมจำได้ดี วันนั้นฝนตกหนักมาก และพอจะหลบพายุฝน ช่องสามปิดประตูหนีผู้ชุมนุม ไม่ให้เข้าไปหลบฝน ต้องวิ่งกันไปอาคารจอดรถ บรรยากาศมันแย่มาก มีคนหนึ่งหยิบกีต้าร์มาเล่นเพลง และร้องเพลงร่วมกันกลางพายุฝน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นดีมาก ในยามมีอุปสรรค มีขวากหนาม ทำให้เรารู้ถึงธาตุแท้ของทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ และรู้ว่าในความลำบาก มีดอกไม้ผลิบานในใจคนที่หัวใจไม่เคยแพ้เสมอ

ผมว่าการที่ช่องสามดูถูกความรู้สึกประชาชนและการที่สรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่ได้สำนึกเลยว่าจริยธรรมของสื่อเป็นอย่างไร เราประชาชนและธุรกิจทั่วไป ตลอดจนวิชาชีพสื่อ ควรดำเนินการดังนี้

1. งดดูรายการของช่องสามทุกรายการ เพราะช่องสามย่ำยีความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะรายการข่าวที่จัดโดยสรยุทธ 

2. งดแชร์ งดพูดถึงนายสรยุทธ สุทัศนจินดา ทำอย่างไรก็ได้ให้นายคนนี้ไม่เป็นข่าวอีกต่อไป ทำให้เป็นโมฆะบุรุษที่ไม่มีใครสนใจ และไม่ต้องสนใจอีกต่อไป

3. ไม่ไปร่วมงานใดๆ กับนายสรยุทธ์ ใครที่ สรยุทธ์ เชิญไปออกรายการก็ไม่ต้องไปอีกต่อไป ให้รายการของสรยุทธ์ ไม่มีแขกรับเชิญ ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ หากนักข่าวช่องสามจะมาสัมภาษณ์ไปออกรายการของสรยุทธ์

4. ธุรกิจต่างๆ ควรถอนโฆษณาจากรายการของช่องสามและรายการข่าวของสรยุทธ์ สุทัศนจินดาให้หมด จริยธรรมของธุรกิจที่ดีคือไม่ทำการค้ากับธุรกิจที่ไร้จริยธรรม

5. ควรมีตัวแทนคนหรือสองคน คอยดูรายการของสรยุทธ และจดรายชื่อธุรกิจหรือรายชื่อรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ยอมถอนโฆษณาออก มาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ทุกวัน ประชาชนก็ร่วมกันบอยคอตไม่ยอมซื้อสินค้า ไม่ไปใช้บริการสำหรับกิจการที่ยังสนับสนุนรายการของสรยุทธอยู่ 

6. สภาวิชาชีพสื่อหรือนักข่าว ซึ่งเป็นแค่เสือกระดาษ ไม่มีน้ำยาจะกำกับควบคุมอะไรเลย ก็ไม่ต้องมีอีกต่อไป ใบประกอบวิชาชีพสื่อก็ไม่มี ยุบไปเถิด พวกวิชาชีพอื่นๆ เช่น แพทย์ วิศวกร นักบัญชี เขาโดนยึดใบประกอบวิชาชีพกันเขาก็ต้องเลิก จะมาให้สื่อควบคุมสื่อเพื่อให้เกิดความมีเสรีภาพของสื่อ แต่สื่อต้วยกันเองไม่มีความสามารถจะควบคุมกันเอง ยกให้สันติบาล หรือ กบว คุมแทนจะดีกว่าไหม ควรพิจารณาตัวเองด้วย

บ้านเมืองนี้แย่มาก ทำลายกฎแห่งกรรมของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างเช่น 

1) ทำผิดกฎหมายทุจริตแล้วก็หนีคดีแบบทักษิณ ชินวัตร และประชา มาลีนนท์ 

2) ทำผิดหนีคดีแล้วก็ยังจะมานิรโทษโคตรวงศ์ชินวัตรให้พ้นผิด ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นคนเอาเข้าสภาลักหลับข่มขืนประชาชน 

3) นายไชยบูลย์ สุทธิผล ปาราชิก ก็อ้างว่าคืนเงินแล้วพ้นผิดไปแล้ว 

4) มหาเถรสมาคมก็ไม่ทำตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ซ้ำยังบ่ายเบี่ยงว่าอัยการไม่ฟ้อง คดีจบแล้ว ทางธรรมให้ตัดสินตามทางโลก! โลกาวินาศและธรรมะวิบัติโดยแท้

 5) พระผู้ใหญ่ระดับสมเด็จพระราชาคณะ ว่าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็ออกมาพูดไปเมื่อช่วงอาทิตย์ก่อน ว่าผิดแล้วคืนเงินก็ไม่ผิด เหมือนคริสต์ศาสนิกชนล้างบาปได้! 

6) พวก NGO ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์และมีผลประโยชน์ทับซ้อน พอ สตง เข้าไปตรวจสอบ ก็ออกมาพูดกระแทก สตง และรัฐบาลว่าให้ไปตรวจสอบกองทุนอื่นๆ เหมือนกองทุนสสส และพอกรมสรรพากรเข้าตรวจภาษีย้อนหลัง ก็บอกว่าทำงานเพื่อสาธารณกุศลไม่ต้องเสียภาษี ตกลงที่ตัวเองไปตรวจสอบคนอื่น ไปว่าคนอื่น ตัวเองทำเสียเองไร้หิริโอตัปปะ ไม่มีสำนึก ยังมาตะแบงไม่ยอมรับอีก และ
 
7) กรณีสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกศาลพิพากษาแล้ว ก็ยังทำหน้าที่สื่อมวลชนต่อ โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน อ่านข่าวตัวเองถูกศาลพิพากษาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำผิดแล้วก็ยังมาทำงานหาเงินได้ต่อ ช่องสามก็ยังชอบเพราะเรตติ้งดี สนใจเรตติ้งมากกว่าความถูกต้องทางจริยธรรม

ขอฝากทิ้งท้ายไว้ว่าบ้านเมืองนี้เป็นของทุกคนต้องช่วยกันรักษาไว้และช่วยกันทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน สิ่งใดที่ไม่ถูกไม่ต้องก็ขอให้ทุกคนแก้ไขให้ถูกต้อง ประชาชนสามารถต่อสู้และทำเพื่อบ้านเมืองได้ทั้งนั้นถ้ามีใครทำอะไรไม่ถูกต้อง เรามีหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินนี้ เราต้องช่วยกันรักษาธรรม โดยเฉพาะทำให้กฏแห่งกรรมของพระพุทธเจ้ายังศักดิ์สิทธิ์

ธนา:กรณีสังคมแซงชั่นสรยุทธ์

เสรีภาพสื่อและกำกับตนเอง...ต้องมีหลัก

น่าสนใจเมื่อมีแถลงการณ์ร่วมของ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
เรื่อง การทบทวนการทำหน้าที่ของพิธีกรข่าว กรณีคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดาภายหลังสถานีโทรทัศน์ช่องสามยังคงให้คุณสรยุทธดำเนินรายการข่าวโทรทัศน์ของเขาตามปกติ หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตัดสินว่าคุณสรยุทธกระทำความผิดกรณีบริษัทไร่ส้มและอสมท.

ที่น่าสนใจสำหรับไม่ใช่เรื่องที่คุณสรยุทธควรหยุดทำงานหรือไม่หยุดทำงาน และก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่าคุณสรยุทธกระทำผิดหรือไม่  แต่ที่น่าสนใจสำหรับที่นี่เป็นประเด็นเรื่องที่สื่อทั้งหลายเรียกร้องจะกำกับดูแลพวกตนกันเอง เพราะกรณีนี้มีถึงสองสมาคมวิชาชีพที่ผนึกกำลังกันออกแถลงการณ์ 

จริงๆ แล้วเรื่องการกำกับตนเองนั้นที่นี่เห็นด้วย แต่จะทำได้อย่างได้ผลและถูกต้องเที่ยงธรรมได้แค่ไหน กรณีนี้คงจะพิสูจน์ให้สังคมได้เห็นเอง ว่าสมาคมวิชาชีพสื่อจะกำกับกันเองได้หรือไม่

ที่น่าสนใจอีกประการ คือกรณีนี้มองได้ว่าเป็น test case ถึงความสามารถในการทำหน้าที่ของสมาคมสื่อ  ว่าคนวิชาชีพนี้มีความสามารถในการใช้วิจารณญาณเพียงไร และสามารถเคารพสิทธิและให้ความเป็นธรรมแก่สื่อในสังกัดที่ดูคล้ายๆ อยู่คนละฝั่งได้แค่ไหน 

ที่นี่มองว่าการใช้สิทธิทางศาลเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคมที่ยึดหลักนิติธรรม ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีสิทธิที่จะต่อสู้และปกป้องตนเอง ตราบใดที่ตามกระบวนการยุติธรรมยังไม่ยุติเด็ดขาด รัฐก็ยังไม่สามารถลงอาญาจำเลยได้ หรือในกรณีทางแพ่งโจทก์ก็ยังไม่สามารถเรียกร้องเอาทรัพย์สินพิพาทอะไรจากจำเลยได้  จะอ้างคำตัดสินของศาลชั้นต้นว่าแสดงถึงความผิดนั้นยังไม่ได้ เพราะที่สุดแล้วศาลสุดท้ายที่คดียุติจึงจะถือได้ว่านั่นเป็นคำชี้ขาดจริง คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ว่าจะชี้ว่าจำเลยบริสุทธิ์หรือมีความผิด ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยถ้าศาลที่สูงกว่าตัดสินไปในทางตรงกันข้าม 

จะเห็นว่าในกรณีคดีสำคัญๆ จำเลยก็ยังได้รับสิทธิในการประกัน ส่วนที่มีถูกคุมขังไม่ได้ประกันนั่น ศาลท่านสั่งเพราะจำเลยอาจหนีหรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน ไม่ใช่ให้ขังฟรีไว้ก่อนเพราะศาลต้นว่ามีความผิด ยังมีว่าผู้ที่โดนขังในระหว่างสู้คดี ถ้าศาลว่าผิดในที่สุด ก็จะนับโทษที่ถูกขังรวมไปด้วย ถ้าท่านว่าไม่ผิดก็มีสิทธิที่จะได้ค่าชดใช้เยียวยา หรือฟ้องกลับเอาได้ และทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดในกรณีแพ่งที่ไปยึดหน่วงทรัพย์เขาไว้ 

ยังมีประเด็นน่าสนใจอีกเรื่อง คือกฎหมายที่คุณสรยุทธกระทำผิดหรือถูกหาว่ากระทำผิดนี้ ถ้าพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าเขาไม่ได้ทำผิดในวิชาชีพพิธีกรข่าว แต่เขาไปกระทำผิดหรือถูกหาว่าทำผิดในอีกกฎหมายหนึ่ง จะอาญาหรือแพ่งก็ตาม กรณีนี้จะเอาอะไรเป็นฐานไปบังคับให้เขาพักงานอาชีพ ถ้ากรณีนี้มีการพักงานขึ้นมา ต่อไปในอนาคต ทุกอาชีพเช่นหมอหรือทนายหรืออื่นๆ ไปมีเรื่องชกต่อย หรือเมาแล้วขับ หรือพิพาททางแพ่ง แล้วถูกปรับถูกศาลชั้นต้นตัดสินว่าผิดมิต้องหยุดประกอบอาชีพไปด้วยหรือ หรืออาชีพสื่อจะศักดิ์สิทธิ์กว่าใคร  ยังมีอีก ว่าที่ทำผิด ผิดโทษหนักร้ายแรงแค่ไหนจึงบังคับได้ ลหุโทษหรือมหันตโทษ? พักโทษหรือรอลงอาญา? .. นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องคิดไว้ก่อนทั้งสิ้น

ถ้าเกิดมีการพักงานด้วยตัวเองขึ้น นั่นเป็นเรื่องของคุณสรยุทธจะพิจารณาของเขาเอง ตรงนี้มองได้ว่าเป็นเอกสิทธิ์ หากเจ้าตัวคิดว่าตนเองทำผิดต่อสังคมหรือต่อกฎหมายหรือรู้สึกอะไรในใจ เขาจะหยุดทำงานก็ได้ รายได้ที่หาย ความเสียหายที่จะเกิด เป็นสิ่งที่เขารับผิดชอบเขาเอง แต่ถ้าใครไปกดดันเขา นั่นมองได้ว่าเป็นการไปละเมิดสิทธิของเขา และหากเกิดพลั้งพลาดเขาไม่ผิดขึ้นมา ผู้กดดันเขาจะรับผิดชอบอย่างไรหรือ? นี่ก็น่าคิดน่าสนใจ

ยังมีเรื่องเสรีภาพสื่อ สมาคมวิชาชีพกำลังไปปิดกั้นเสรีภาพสื่อของคุณสรยุทธหรือเปล่า ? และถ้าต่อไปเกิดเรามีรัฐบาลเป็นพาลที่หาคดีให้สื่อ พอให้สื่อถูกข้อกล่าวหา หรือถูกศาลชั้นต้นชี้ สื่อนั้นก็ต้องยุติบทบาทไป? 

ที่น่าสนใจมากอีกเรื่องคือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน สมาคมวิชาชีพประกอบด้วยนักวิชาชีพ กรรมการหรือคนในนั้นล้วนยังชีพอยู่ด้วยรายได้จากเงินก้อนเดียวกัน และก็แย่งกันหาเงินอยู่กับคุณสรยุทธ ... หากสรยุทธที่มีลักษณะเป็นแม่เหล็กของวงการอ่านข่าวหยุดงานเสียคนหนึ่ง เงินโฆษณามหาศาลก็จะวิ่งไปหารายการข่าวอื่นๆ ไม่เหมือนแจ็กพอตแตกก็เหมือนปิดตาตีหม้อ.. เงินทองหรือท๊อปฟี่ก็คงไหลกันกระจาย

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ และคงต้องติดตามดูว่าสมาคมวิชาชีพจะทำเรื่องนี้ได้หมดจด เป็นธรรม และเหมาะสมที่จะไว้ใจให้กำกับกันเองได้แค่ไหน

ก็ฝากให้คิดและเอาใจช่วยทุกฝ่ายนะครับ

รบ.ร้อนตัวปัดให้ขรก.ไปสัมภารณ์รายการ"สรยุทธ์"

โฆษกรัฐบาลแจง การให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมสรรพากรในรายการเจาะข่าวเด่น 1 มี.ค.เป็นการบันทึกเทปไว้ก่อนศาลมีคำพิพากษา ชี้ให้เกียรติคำตัดสินของศาล และส่งเสริมธรรมาภิบาลในสังคม

พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากรไปเป็นแขกรับเชิญในช่วงเจาะข่าวเด่น รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 วันนี้ (1 มี.ค.) ว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักวิชาการและพี่น้องประชาชนถึงความเหมาะสมที่ข้าราชการยังไปร่วมสนทนาในรายการดังกล่าว หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าผู้ดำเนินรายการได้กระทำผิดกฎหมาย

โดยรัฐบาลได้ตรวจสอบแล้วพบว่า การสัมภาษณ์พูดคุยระหว่างอธิบดีกรมสรรพากรและผู้ดำเนินรายการ เป็นเทปรายการที่ได้มีการบันทึกไว้ก่อนหน้าที่ศาลจะมีคำพิพากษา ไม่ใช่รายการสดหรือให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษา

“รัฐบาลนี้ชัดเจนมาโดยตลอดว่า ต้องการให้คนเคารพกฎหมาย และยึดหลักกฎหมายในการบริหารบ้านเมือง ดังนั้น จึงให้เกียรติคำตัดสินของศาล และเคารพในความคิดเห็นของสังคมที่ต้องการสร้างบรรทัดฐานของธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นในประเทศ”

 

เปลวสีเงินล่อสรยุทธ์

สังคม 'สัประยุทธ์' ผ่านสรยุทธ
Cr:เปลว สีเงิน
ช่อง ๓ กับ สรยุทธ เขาเจ๋ง!

เจ๋งยังไง.....?

เอ้า อ่านนี่ก่อน..............

"นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์" ปฏิบัติการแทนรักษาการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ หรือสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ เปิดเผยว่า

ที่ประชุมคณะผู้บริหารของทางช่อง ๓ ได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน ที่จะสนับสนุนนายสรยุทธให้ทำงานร่วมกับช่องต่อไป หลังร่วมงานกันมานานกว่า ๑๒ ปี มั่นใจว่ารู้จักนายสรยุทธดีมากกว่าคนอื่น

กรณีที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนร่วมงานกัน อีกทั้งคดียังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างการพิสูจน์ในชั้นศาล โดยตั้งแต่วันที่ ๑ มี.ค. นายสรยุทธยังสามารถจัดรายการได้ในช่วงเวลาเหมือนเดิม

ส่วนรายการ “เจาะข่าวเด่น” ของเย็นวันที่ ๒๙ ก.พ.ที่นายสรยุทธไม่เดินทางมาจัดรายการนั้น อาจเกิดจากความไม่พร้อมของเจ้าตัว ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น

นับจากนี้ ช่อง ๓ ต้องน้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป

แต่มติบอร์ดขณะนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากสังคมคิดว่าสุดโต่งก็ต้องน้อมรับ

เพราะที่ผ่านมา ถือว่าทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ยังเป็นไปตามปกติ

สรุปว่า...........

การที่นายสรยุทธถูกศาลสั่งจำคุก ๑๓ ปี ๔ เดือน ในข้อหาทุจริตค่าโฆษณา อสมท หรือพูดกันในภาษาชาวบ้านว่า "โกง" นั้น

ช่อง ๓ ไม่เน้นเรื่องคนโกง.....?

คนโกง กับ คนซื่อสัตย์ สำหรับช่อง ๓ ถือเป็นคน "ครอบครัวเดียวกัน"

ฉะนั้น ไม่แคร์สังคม หรือ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หน้าไหนทั้งสิ้น....

พร้อมให้นายสรยุทธ เป็นพรีเซนเตอร์สะท้อนภาพลักษณ์องค์กรสื่อโทรทัศน์ ช่อง ๓

โกง แล้วทำไม.....?

จึงให้ทำหน้าที่พิธีกรออกจอ จ้อในรายการข่าวได้ตามปกติ เหมือนเดิม!

ก็ต้องบอกว่า "ขอบคุณ" กับมติบอร์ดช่อง ๓ โดยเฉพาะที่ว่า "หากสังคมคิดว่าสุดโต่งก็ยอมรับ"

และต้องขอบคุณสรยุทธด้วย.....

ที่กล้า "แบกหน้าจัดรายการข่าว" สู้หน้า "คนทั้งประเทศ" ทั้งที่คำพิพากษาเรื่องโกงนั้น สักหราคาหน้าผาก

อ้าปาก-กลอกตาหน้าจอทีไร ไม่แคร์-ไม่ละอาย ในความหมาย...นี่ไง...."สื่อ-ปิศาจคาบคัมภีร์"?

ที่ผมว่าขอบคุณ เพราะผมอยากเห็น "บทพิสูจน์-ทดสอบ จริยธรรม-ธรรมาภิบาล" จากปฏิกิริยาตอบสนองของคนสังคมยุคนี้

ว่า...ยังยึดทัศนคติ "โกงไม่เป็นไร ได้เอามาแบ่งกัน"

มีเงิน นับเป็นคน หมดเงิน นับเป็นหมา ตามลีลาระบอบทักษิณอยู่เหนียวแน่น

หรือ......กระแสสังคมคืนกลับ

"ศีลธรรม-จริยธรรม-ธรรมาภิบาล" หาญกล้า ตีโต้ด้วยกระแส บ้านนี้-เมืองนี้-แผ่นดินนี้ ต้องไม่มีที่ยืน-ที่อยู่ ให้กับ "คน-องค์กร" ขี้โกง?

และนี่......

หลังจากนายสรยุทธปรากฏหน้าในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" อีกครั้ง เมื่อวาน (๑ มี.ค.๕๙) พร้อมคำยืนยัน เขากับช่อง ๓ จะหยัดอยู่สู้หน้าต่อไป

พลัน "สังคมเชิดสุจริต" กับ "สังคมเชิดทุจริต"...........

เปิดปฐมบทปะทะ

เมื่อช่อง ๓-สรยุทธ ไม่ให้ค่าจริยธรรม และไม่แคร์สังคม

สังคมและองค์กรยึดธรรม ก็ไม่ให้ค่าช่อง ๓-สรยุทธเช่นกัน!

ตลอดทั้งวันวาน สังคมออนไลน์ สังคมโซเชียลมีเดีย การปะทะจึงปะทุ ระอุคอมพ์

คำว่า "งดดูช่อง ๓ ฐานสนับสนุนคนโกง"

ทั้งโพสต์ ทั้งแชร์ กระหน่ำแพร่ปานไฟไหม้ทุ่งหน้าแล้ง ความเห็นหลากหลายแต่ไปในทิศทางเดียวด้วยข้อความต่างๆ นานา เชิงต่อต้าน "ช่อง ๓-สรยุทธ" กลบเรื่องอื่นสิ้น

เหมือนทั้งบ้าน-ทั้งเมือง-ทั้งประเทศ มีเรื่องนี้เรื่องเดียวให้พูดกัน!

สื่อ-ช่อง ๓ ไม่แคร์คนดู

คนดู ก็บอกไม่แคร์สื่อช่อง ๓............

นี้...นับเป็นสงครามพิสูจน์ "ธรรม-อธรรม" กลายๆ ว่าการสัประยุทธ์กันครั้งนี้ สังคมแบบไหนจะแข็งแกร่ง กด-ข่ม อีกฝ่ายได้มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ระหว่าง

ช่อง ๓ "โกง...แล้วจะทำไม" เป็นฝ่ายชนะ

หรือ สังคม "โกงอยู่ ไม่ดูช่อง ๓" เป็นฝ่ายชนะ?

แบบนี้ ผมถึงต้องขอบคุณบอร์ดช่อง ๓ และคุณสรยุทธ พวกคุณ ถึงไม่ใช่ "ต้นบัญญัติ" คือไม่ใช่รายแรกที่ "ด้านต้านกระแสจริยธรรมสื่อ" ก็จริง

แต่กรณีพิธีกร ถูกศาลตัดสินจำคุกสถานหนัก ด้วยโทษในข้อหา ทุจริตคือโกงค่าโฆษณาถึง ๑๓ ปี

แต่พวกคุณยังให้คนสื่อผู้นั้น ออกจอด้วยความหมายในตัวมันเองว่านี้...คือคนต้นแบบ

มันท้าทายมาก..........

ท้าทายในแง่ ช่อง ๓ ยกสรยุทธเป็น "ต้นแบบ" ให้สังคมยึดเป็น "ค่าสังคมให้เลียนแบบ"..........

โกงแล้วรวย ไม่เห็นซวยนี่หว่า...เห็นมั้ย สปอนเซอร์รายเล็ก-รายใหญ่ยังแย่งกันตรึม เป็นพิธีกรจิกหัวคนนั้น-คนนี้ด่าหน้าจอโทรทัศน์ได้ โก้จะตาย

สังคมนี้...อยู่ใต้ตีนสื่อโทรทัศน์ชี้

เชื่อเหอะ....ต่อให้โกงมากกว่านี้ ชาวบ้านจะไปประสี-ประสาอะไร สังคมไทย บูชาคนรวย รวยแล้ว "ดี-เด่น-ดัง"

ด้วยแนวคิดนั้น จึงนำไปสู่แนวปฏิบัติ คนไหนเลว-คนไหนดี อยู่ที่กู...เจ้าของช่อง เจ้าของรายการกำหนดโว้ย

ไม่ใช่คนดูจะมากำหนดสื่อกูได้?

นี่...มันท้าทายแบบนี้ สำหรับสรยุทธนั้น นอกจากที่เสียอยู่แล้ว ด้วยนัย "ครอบครัวเดียวกัน" ตามมติบอร์ดช่อง ๓

บทบาท "ต้นแบบสังคม" ในฐานะสื่อของสรยุทธ นับจากนี้ ไม่มีอะไรเสีย ในความเป็นมนุษย์วัตถุ มีแต่ได้มาก-ได้น้อย ถึงไม่ได้เลยก็เสมอเสีย

ส่วนช่อง ๓ ด้วยยึดหลักการ "ครอบครัวเดียวกัน" ไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าดีเลิศล้ำ หรือระยำสุดหางหมา

ถ้าผมเป็นคนช่อง ๓ ก็ต้องบอกว่า "ได้ใจ"!

แต่ในยุค "สังคมตรวจสอบสื่อ" การอหังการ เชิดคนโกงเหยียบหน้าคนดูของช่อง ๓ ครั้งนี้

ช่อง ๓ ประเมินสังคมถูก

หรือสังคมลบคำประเมินช่อง ๓ สำเร็จ...?

ยุคสังคมออนไลน์ "ล้มช้าง" น่าจะให้คำตอบเป็น "บทเรียน-บทสรุป" ได้ไม่ช้าและไม่ยาก

ก็มีตัวอย่าง "แนะแนว" คำตอบให้เห็นแล้วมิใช่หรือ กรุงเทพธุรกิจฉบับ ๑ มี.ค.เขาลงข่าวว่า........

"ทีวีดิจิทัลฉุดกำไรกลุ่มสื่อ" พร้อมทำตาราง "กำไรกลุ่มสื่อ" ย้อนหลัง ๓ ปี ของช่อง ๓ ตามตารางเป็นดังนี้.......

บีอีซี ๒,๙๘๒.๗ (๒๕๕๘) ๔,๑๔.๙๙ (๒๕๕๗) ๕,๕๘๙.๔๘ (๒๕๕๖)

ก็ยังร่ำรวยดี....

แต่เป็นรวยลักษณะช้างในป่าเสื่อมโทรม "ผอม" ลงทุกปี จากกว่า ๕ พันล้าน เหลือกว่า ๔ พันล้าน และปี ๕๘ เหลือแค่กว่า ๒ พันล้าน

แล้วปี ๕๙ จะเป็นสภาพไหน?

เหลือขึ้นหรือเหลือลงอีกเท่าไหร่ มองผ่านอหังการ "ชูคนโกง-กดสังคมธรรม" แล้ว......

รอดูผล "ไตรมาสแรก" ราวๆ พฤษภาก็รู้!

สังคมบ้านเรามันก็วนๆ อยู่อย่างนี้แหละนะ จาก "รวยแล้วไม่โกง" คราวนี้ก็มาถึง "เก่งแต่โกง"

แล้วมันก็แปลก.......

มีสังคมนิยม "โกงไม่เป็นไร ได้เอามาแบ่งกัน" ออกมาอุ้ม-มาเชียร์ มาแถไถไป "รวมข้าง" อยู่ด้วยกัน?

ทั้งเบนซ์ ทั้งจานบิน ทั้งจากัวร์ ทั้งสื่อ ไปรวมกอง "ขยะสังคม" อยู่ด้วยกัน

รายสรยุทธนี่เหมือนกัน แทนที่จะซวยตามฐานานุรูป

เห็นทีจะซวยหนัก.....

เพราะ "แก๊งนิยมโกง" ยกยอช่อฟ้าออกมาแห่รับไปอยู่ใน "ทักษิณูปถัมภ์" ซะแล้ว!