PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ไม่ต้องมาโค้งคำนับผม

เหวี่ยง !!!

“บิ๊กตู่” ไม่สนสื่อ จะโค้งคำนับ เริ่องของสื่อ ยันไม่ได้ ดีใจหรือเสียใจ ชี้มัน เป็นการให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน ก่อนตัดบท จบสัมภาษณ์

พลเอกประยุทธ์ กล่าว เรื่อง ข้อปฏิบัติของสื่อของตำรวจสันติบาลว่า 
“ไอ้เรื่องจะคำนับผม หรือไม่คำนับ ก็เรื่องของท่าน ผมไม่ได้ดีใจ หรือเสียใจกับการโค้งคำนับของท่านมันเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน “

ก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณ..จบ “

ยุติการให้สัมภาษณ์ เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ไปทันที

ทบ.ระดมช่วยเพชรบุรี

ผบ.ทบ. สั่งระดมทหาร ช่วยรับมือน้ำท่วมเพชรบุรี และหลายจังหวัดในภาคอีสาน

พันเอกหญิง ศิริจันทร์. งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังคงมีอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้แก่ จ.นครพนม มุกดาหาร และอุบลราชธานี  ที่ยังคงมีภาวะน้ำโขงล้นตลิ่ง 

สำหรับในพื้นที่ภาคกลางต้องติดตามปริมาณน้ำในเขื่อน อาทิ เขื่อนวชิราลงกรณ์  เขื่อนศรีนครินทร์ จากนี้ 

พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญต่อการติดตามสถานการณ์น้ำในภาพรวมของประเทศ ทั้งปริมาณน้ำในเขื่อนและจังหวัดในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่ง 

กำชับในการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในวันนี้  ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และหน่วยทหารใช้กลไกที่มีอยู่ประสานการปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อป้องกันคลี่คลายอุทกภัยให้เหมาะสม ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง 

โดยเฉพาะสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน ทั้งด้านการระบายน้ำและการป้องกันพื้นที่เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 

สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีภาวะฝนตกต่อเนื่อง ให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 1 สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่น้ำท่วมขังและมีปริมาณรถหนาแน่น
   ​​
สำหรับสถานการณ์น้ำที่เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่มีการเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนและปริมาณน้ำเริ่มล้นทางระบายน้ำล้น (spillway) ในวันนี้  ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้เกิดน้ำท่วม
ในพื้นที่ลุ่มต่ำโดยรอบแม่น้ำเพชรบุรีใน 24 ชั่วโมง  ซึ่ง ผู้บัญชาการทหารบกระบุว่า กรณีเขื่อน
แก่งกระจาน หน่วยงานได้มีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบ มีการประสานงานและวางมาตรการป้องกัน
และช่วยเหลือประชาชนไว้แล้ว 

รวมทั้งการแจ้งข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนที่จะได้รับผลกระทบใน 
จ.เพชรบุรี  ก็ทำให้ได้มีเวลาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ร่วมกับภาครัฐ  ทั้งนี้ในส่วนของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก 

ได้ส่งกำลังพล 450 นาย จาก มณฑลทหารบกที่ 15, กองพลที่ 1รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 1 พร้อมรถยนต์บรรทุก 30  คัน, เรือท้องแบน 8ลำ, กระสอบทราย, ชุดซ่อมรถ, ชุดครัวสนามเคลื่อนที่ และชุดแพทย์สนามเคลื่อนที่  

โดยขณะนี้กำลังทหารได้เข้าช่วยติดตั้งเครื่องระบายน้ำที่เขื่อนแก่งกระจาน เพื่อลดปริมาณน้ำในเขื่อน การช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้กับประชาชนบริเวณริมแม่น้ำเพชรบุรี การเสริมความแข็งแรงของแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำล้นตลิ่ง และประจำ ณ ศูนย์ช่วยเหลืออุทกภัยที่ศาลากลางจังหวัด พร้อมช่วยประชาชนรับมือน้ำท่วมเพชรบุรี ตลอด 24 ชั่วโมง

09.00 INDEX ทำไม เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ปฏิเสธ ตำแหน่ง หัวหน้าพรรค

09.00 INDEX ทำไม เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ปฏิเสธ ตำแหน่ง หัวหน้าพรรค


การถอนตัวจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ นายเอนก เหล่าธรรม
ทัศน์ เพื่อเปิดหนทางสะดวกให้ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล คือ การตัดสินใจอันชาญฉลาด แยบยล
จะเข้าใจ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในจังหวะก้าวนี้มิใช่ด้วย การอ่าน “สองนคราประชาธิปไตย”
หากแต่ต้องอ่าน “พิศการเมือง”
“พิศการเมือง” อันเป็นผลึกในทางความคิดสำคัญของ นาย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ จากบทสรุปภายหลังประสบการณ์อันล้ำค่าในการเป็นหัวหน้าพรรคมหาชน
นั่นแหละคือ “ตัวตน” และความต้องการของ นายเอนก เหล่า ธรรมทัศน์

จากการร่วมสร้างพรรคมหาชนกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ มายังการร่วมสร้างพรรครวมพลังประชาชาติไทยกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ความคิดในเรื่อง”พรรคทางเลือกที่สาม”ยังอวลตระหลบอยู่ใน ความคิดของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ไม่เคยแปรเปลี่ยน
ความพยายามในพรรคมหาชนทำให้บังเกิด ZATORI
เพราะถึง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะใช้พลังวิรยภาพอย่างเต็มเปี่ยมอย่างไร พรรคมหาชนก็ยังเป็นของ พล.ต.สนั่น ขจรประ ศาสน์

เมื่อมาอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทยนับแต่วันที่ 3 มิถุนายน กระทั่งวันที่ 5 สิงหาคม สมองก้อนโตระดับ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ย่อมมองออกว่า
ถึงอย่างไรพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็เป็นของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างสัมบูรณ์
เพียงแต่ปฏิมาแห่ง” พรรคทางเลือกที่สาม” ยังอยู่

คนที่ผ่านความจัดเจนทางการเมืองตั้งแต่เป็นนายกสจม.ก่อนสถานการณ์เดือนตุลาคม 2519 กระทั่งสรุปสถานการณ์เดือน พฤษภาคม 2535 อย่างคมเฉียบ
เป็นทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย”
ทำไมจะมองการเมืองหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ประสานกับหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่ออก
เพราะนี่คือ”พรรคเทพเทือก”ชัด-ชัด
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรจะปล่อยให้”พี่สุเทพ”ให้เต็มพิกัดไปเลย




พรรคเพื่อไทยหายไปไหน (2) โดย : นิธิ เอียวศรีวงศ์

พรรคเพื่อไทยหายไปไหน (2) โดย : นิธิ เอียวศรีวงศ์


พรรคเพื่อไทยคงชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่น่าจะท่วมท้นอย่างที่คุณทักษิณทำนาย (หรือขู่ก็ไม่ทราบ) อย่างน้อยก็ไม่น่าจะท่วมท้นขนาดที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรคซึ่งชนะการเลือกตั้ง จะสามารถจัดตั้งรัฐบาล แม้แต่รัฐบาลผสม ฉะนั้นหากพรรคเพื่อไทยยังไม่หายไปไหน ลืมคำทำนายของคุณทักษิณเสีย (หรือลืมคุณทักษิณไปเลยยิ่งดี) แล้วคิดให้ชัดว่าจะมีบทบาทในฐานะฝ่ายค้านอย่างไร พรรคการเมืองต้องมีอนาคตยาวนานกว่าสมัยของสภา หรือของการเลือกตั้งทั่วไป
พรรคเพื่อไทยต้องเข้าใจให้ดีว่า ชัยชนะหากจะมีในการเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรค ส่วนใหญ่มาจากความสะใจของคนที่รังเกียจพรรคทหาร จะเลือกพรรคใดก็ไม่สะใจเท่ากับเลือกพรรคที่ถูกพรรคทหารประกาศความเป็นศัตรูเช่นพรรคเพื่อไทย ความเป็นเหยื่อของอำนาจที่ไม่ชอบธรรมนั่นแหละ ยิ่งเป็นหลักประกันแก่คะแนนเสียงสะใจให้แก่พรรคได้อย่างมั่นคงแข็งแรงขึ้น
แต่ความสะใจเป็นฐานทางการเมืองได้สำหรับการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่อาจใช้เป็นฐานในการดำเนินการทางการเมืองที่ยากๆ และจำเป็นแก่ประเทศชาติได้ หลังจากหายสะใจแล้ว ผู้คนก็จะลืมพรรคเพื่อไทยไปเรื่อยๆ แม้แต่สามารถอภิปรายได้อย่างสะใจในฐานะฝ่ายค้าน อย่างเก่งพรรคเพื่อไทยก็จะเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่เคยชนะการเลือกตั้งมาไม่รู้จะกี่ทศวรรษแล้ว ดังนั้น แม้แต่ผู้ภักดีต่อพรรคที่มีอยู่ในเวลานี้ ก็จะหลุดออกไปจนยิ่งเหลือน้อยลง และยิ่งแพ้การเลือกตั้งหนักขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะจากการเลือกตั้งซึ่งก็ยังต้องเป็นฝ่ายค้านนั้น ให้ประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทยด้วย เพราะจะทำให้พรรคมีเกราะป้องกันให้แข็งแกร่งพอจะดำเนินงานทางการเมืองที่จำเป็นได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกยุบพรรคหรือทำให้สมาชิกภาพของ ส.ส.พรรคสิ้นสุดลงอย่างง่ายๆ ดังที่เขาได้เตรียมกฎหมายไว้เพื่อการนี้แล้ว ทั้งนี้เพราะอำนาจของกฎหมายนั้น ตรงกันข้ามกับที่นักกฎหมายของเผด็จการเข้าใจ เกิดขึ้นได้จากความเห็นชอบของประชาชน หากเขียนกฎหมายให้ต้องมาประจันหน้ากับความเห็นชอบของประชาชน กฎหมายย่อมหดอำนาจของตนให้เหลืออยู่บนกระดาษเท่านั้น
คู่แข่งสำคัญของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้คือพรรคทหาร นโยบายของพรรคนี้นั้นชัดเจนแก่ประชาชนอยู่แล้ว คือ รัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติ
ถ้าพรรคเพื่อไทยจะเอาชนะพรรคทหารในระยะยาว ไม่ใช่เพียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคจะต้องศึกษานโยบายของพรรคทหารในเอกสาร 2 อย่างนี้อย่างละเอียดและเจาะลึก
มองให้เห็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง คิดให้ได้ว่าทางเลือกที่ดีกว่า (และเป็นไปได้ด้วย) คืออะไร รู้ว่าอะไรคือเป้าหมาย และจะต้องใช้วิธีการอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ โดยไม่ทำให้ภาวะแยกขั้วทางการเมืองเลวร้ายลง
ทำอย่างนี้ได้ ก็จะได้นโยบายของพรรคที่ชัดเจนและตอบสนองต่อวิกฤตในทุกทางที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่เวลานี้ ประชาชนจะรู้ว่าเลือกพรรคเพื่อไทยแล้วจะได้อะไรอีกบ้างนอกจากความสะใจ
จะเอาชนะพรรคทหารในระยะยาวได้ พรรคเพื่อไทยต้องคิดถึงผู้สนับสนุนหน้าใหม่ อย่ายึดติดกับผู้สนับสนุนหน้าเก่าเพียงอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นพรรคจะโตพอเป็นความหวังให้คนไทยฝากไว้ สำหรับการเอาทหารกลับกรมกองอย่างถาวรได้อย่างไร
แล้วก็เลิกคิดเสียทีว่า คุณทักษิณคนเดียวจะทำอย่างนั้นได้ เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องการความพร้อมใจของคนทั้งชาติ รวมแม้กระทั่งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะไม่เหลือทางเลือกอื่น นอกจากคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่มหึมาของประชาชน

ปราศจากนโยบายที่ชัดเจน และหนทางที่จะบรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจนเพียงพอ พรรคจะเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคได้อย่างไร บางคนอาจเหมาะสมเพราะเป็นที่เคารพนับถือของสมาชิกส่วนใหญ่ แต่ห่วยแตกที่จะเป็นหัวหน้าในการดำเนินนโยบายซึ่งพรรคได้คิดและได้รับความเห็นชอบ (ทั้งจากสมาชิกและประชาชนผู้สนับสนุน) คุณทักษิณคนเดียวตัดสินใจให้ไม่ได้ นอกจากเพื่อดำเนินนโยบายการเมืองที่เป็นประโยชน์แก่คุณทักษิณคนเดียว หากคนไทยจะสามารถฝากอนาคตทางการเมืองไว้กับพรรคเพื่อไทย
พรรคก็ต้องพิสูจน์ตนเองให้เห็นว่าเป็นพรรคการเมืองจริง ไม่ใช่แก๊งสมุนทักษิณ
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ถูกความอยุติธรรมรังแกอย่างออกหน้า ไม่ว่าการเรียกคนเข้าค่ายทหารไปกักกัน ไปจนถึงต้องถูกจองจำพันธนาการในคุก หรือลี้ภัยไปต่างประเทศ เพราะความเสื่อมทรุดของกระบวนการยุติธรรม
แน่นอนการเลือกตั้งแม้แต่จอมปลอมที่จะเกิดขึ้น ก็มีส่วนบรรเทาการใช้ความอยุติธรรมลงได้บ้าง แต่ท่ามกลางการแยกขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรงเช่นที่เราเผชิญอยู่เวลานี้ ความอยุติธรรมอาจกลับมาครอบงำการเมืองอีกเมื่อไรก็ได้ และคราวนี้จะทำร้ายผู้คนกว้างขวางกว่าเดิม กระบวนการยุติธรรมที่เสื่อมทรุดอยู่แล้ว ก็จะยิ่งเสื่อมลงไปอีกจนยากจะกู้คืนได้ เราทุกคนจะถูกกวาดต้อนเข้าไปใช้ชีวิตในซ่องโจรอย่างสมบูรณ์
อุดมการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงดึงเอาเขมรแดง ออกจากรูมาสู่อำนาจ ตรงกันข้ามกับเขมรแดง ความเห็นแก่ตัวของคนที่อยู่ในรูเหมือนกัน แต่อยากรักษาอภิสิทธิ์ของตนไว้ เมื่อเข้าสู่อำนาจเด็ดขาดอีกเมื่อไร ก็จะโหดเหี้ยมได้ไม่แพ้เขมรแดง ยิ่งท่ามกลางการแยกขั้วทางการเมือง คติ “ไม่ให้เสียของ” ก็ยิ่งผลักดันให้เหี้ยมโหดและอยุติธรรมอย่างไร้ยางอายยิ่งขึ้น
พรรคการเมืองต้องเข้าใจภารกิจของตนเองในสถานการณ์หนึ่งๆ พรรคเพื่อไทยต้องเข้าใจว่า บทบาทของพรรคในยามวิกฤตหนักหน่วงที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่เพียงคืนความยุติธรรมให้คุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่หมายถึงคนอีกจำนวนมาก หรือพูดให้ถึงที่สุดต้องคืนความยุติธรรมแก่คนไทยทั้งชาติ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องวางระบบที่จะประกันความยุติธรรมแก่คนไทยทุกคนไปข้างหน้าตราบนานเท่านานด้วย
พรรคเพื่อไทยพร้อมจะรับภารกิจนี้หรือไม่
ตราบจนถึงวันนี้ พรรคเพื่อไทยดูจะไม่สำนึกด้วยซ้ำว่ามีภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้รออยู่ข้างหน้า ได้แต่นั่งรอว่าเมื่อไรเขาจะปลดล็อกพรรคการเมือง ก็จะกระโดดโลดเต้นเพื่อได้ที่นั่งสูงสุดในสภาเท่านั้น
เพื่อไทย ในฐานะพรรคการเมือง หายไปไหน?

รัฐสวัสดิการ

รัฐสวัสดิการ



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช.เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเตรียมทำคลอด พ.ร.บ.ประชารัฐสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือดูแลผู้มีรายได้น้อยให้เป็นระบบครบวงจร
โดยรัฐบาลจะใช้งบ 40 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณรายจ่ายประเทศไปอัดฉีดระบบสวัสดิการประชาชน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยตามแนวทาง “ประชารัฐ”
ซึ่งไม่ใช่นโยบายประชานิยม!!
ตัวอย่างเช่น...รัฐบาลจะทำโครงการที่อยู่อาศัยราคาถูกสำหรับผู้มีรายได้น้อย 2.7 ล้านครัวเรือนให้มีบ้านของตัวเอง
แสดงว่ารัฐบาล คสช.ตั้งเป้าให้ประเทศไทยกลายเป็น “รัฐสวัสดิการ” เต็มสตีม
“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเร่งทำคลอด “พ.ร.บ.ประชารัฐสวัสดิการ” เพื่อประกาศใช้โดยเร็ว
จะได้มีข้อกำหนดให้ชัดเจนว่าแบบไหนเป็นประชารัฐ? แบบไหนเป็นประชานิยม?
แยกกันให้เด็ดขาดว่า นโยบายประชารัฐกับนโยบายประชานิยมแตกต่างกันอย่างไร??
“ประชารัฐ” ดีกว่า “ประชานิยม” ตรงไหน? จะได้มีคำอธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม
ข้อดีอีกอย่างของ ก.ม.ประชารัฐสวัสดิการ คือ จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์โครงการสวัสดิการของรัฐให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ช่วยให้การตรวจสอบการใช้จ่ายงบสวัสดิการของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ โปร่งใส...ไร้รอยรั่วซึม
นอกจากช่วยป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันคำโต ยังช่วยป้องกันโครงการรัฐสวัสดิการแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ขี่ช้างจับตั๊กแตน
โดยเฉพาะโครงการที่ใช้งบก้อนใหญ่ แต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยั่งยืน
อ้อ...ยังมีข้อดีอีกอย่างถ้า พ.ร.บ.ประชารัฐสวัสดิการฉบับใหม่ออกมาประกาศใช้โดยเร็ว
คือรัฐบาลจะไม่สามารถคิดนโยบายเองฝ่ายเดียวตามอำเภอใจ
ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจกับรัฐบาล
เพราะงบรัฐสวัสดิการที่รัฐบาลใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์มาจากเงินภาษีของประชาชนโดยตรง
ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ...ที่ “แม่ลูกจันทร์” ยังมีปัญหาคาใจ
ประเด็นที่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศจะใช้งบ 40 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณรายจ่ายประเทศ นำไปอัดฉีดระบบรัฐสวัสดิการ
พูดง่ายๆ ทุก 100 บาทของงบประมาณรายจ่ายประเทศจะถูกกันไว้ 40 บาท เพื่ออัดฉีดเป็นสวัสดิการประชาชน
ถ้าทำได้จริงอย่างที่ประกาศไว้...ก็ยอดเยี่ยมกระเทียมโทน
แต่ “แม่ลูกจันทร์” เกรงว่า รัฐบาลจะทำไม่ได้จริงอย่างที่ฉายหนังโฆษณา
เพราะงบประมาณรายจ่ายประเทศกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นรายจ่ายประจำ
สำหรับจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 1.8 ล้านคน ลูกจ้างประจำ 1.6 ล้านคน พนักงานราชการอีก 2.2 ล้านคน ข้าราชการบำนาญอีกกว่า 6 แสนคน
ถ้าเอาให้ชัดๆ งบรายจ่ายประเทศปีนี้ (2561) รัฐบาลตั้งไว้ 2.9 ล้านล้านบาทขาดตัว
เป็นรายจ่ายประจำ 2.1 ล้านล้านบาท หรือ 74 เปอร์เซ็นต์
เป็นงบลงทุนพัฒนาโครงสร้างประเทศอีก 6.5 แสนล้านบาท หรืออีก 22 เปอร์เซ็นต์
ต้องผ่อนชำระเงินกู้รัฐบาลอีก 8.6 หมื่นล้านบาท หรืออีก 3 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ยังมีรายจ่ายจรนี่นั่นโน่นอีกก้อนโต
จึงเหลืองบไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่จะนำไปอัดฉีดสวัสดิการประชาชน
สรุปว่า นโยบายรัฐสวัสดิการเป็นของดีแน่นอน
แต่ถ้าเงินไม่ถึง อัดฉีดไม่ไหว...ก็ทำไม่ได้นะโยม.
"แม่ลูกจันทร์"

ทิ้งบอมบ์การเมือง ชิมลางสนามเลือกตั้ง : ชิ่งประชาธิปัตย์สกัดคสช.

ทิ้งบอมบ์การเมือง ชิมลางสนามเลือกตั้ง : ชิ่งประชาธิปัตย์สกัดคสช.



อุดมการณ์การเมือง ปันใจหรือขายตัว สังคมตั้งคำถามถึงพฤติการณ์ทิ้งบอมบ์ ใส่บ้านเก่า ชนิดบานปลายกลายเป็นคดีความระหว่าง “นคร มาฉิม” กับ “พรรคเก่าแก่”
ในเมื่อชีวิตการเมืองแตกหน่อเติบโตจากพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นแท่นเป็นผู้แทนฝีปากกล้า แต่กลับใช้ยุทธวิธีฮาราคีรี มีสาเหตุจากอะไร นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก เปิดใจให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ให้เห็นภาพกว้างๆถึงสาเหตุที่ทิ้งบ้านเก่า
เพราะไม่เห็นด้วยกับการบอยคอตการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557
พอพรรคประชาธิปัตย์มีมติบอยคอตปุ๊บ ก็ขออนุญาตลาออกจากพรรคปั๊บ
ยอมไปตายเอาดาบหน้า ชีวิตการเมืองเคว้งคว้างอยู่ 2-3 วัน พอดีพรรคชาติพัฒนาให้โอกาสก็ไปลงสมัครชนะผู้สมัครจากพรรคอื่นด้วยคะแนนท่วมท้น ก่อนการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 ถูกล้มและทหารยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557
ในจังหวะนั้นก็ลงพื้นที่ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ตรวจสอบการทุจริตโครงการขุดลอกคลองขององค์การทหารผ่านศึก มีสื่อมวลชนและอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยสนใจ อยากจะรู้ว่ามีการทุจริตจริงหรือไม่ ผมก็พาคณะไปดูในพื้นที่ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ถูกทหารค้นบ้าน ขอยืนยันว่าผมเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่เป็นผู้มีอิทธิพล
แต่เคยอยู่คนละขั้วกับพรรคเพื่อไทย ตรวจสอบรัฐบาลที่เป็นคู่แข่งมาตลอดและอภิปรายถล่มตระกูลชินวัตร ทำไมถึงมาสารภาพความผิดและขอโทษต่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายนคร บอกว่า ผมอภิปรายและตั้งกระทู้ถามมากที่สุดคนหนึ่งในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีเกือบทุกมาตรา ชำแหละในหลักการถึงงบฯส่วนนี้น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ขอให้แจกแจงการใช้จ่าย
อภิปรายบนกรอบและให้เกียรติรัฐบาลที่มาจากประชาชน แต่ไม่เคยพูดคำว่า “เผด็จการรัฐสภา” เพราะผมเคารพเสียงของประชาชน ในเมื่อประชาชนซึ่งเสียงส่วนใหญ่เลือกให้พรรคนี้จัดตั้งรัฐบาล
บริหารประเทศดีประชาชนก็เลือกต่อ ถ้าบริหารไม่ดี ประชาชนทุกข์ยาก ไม่แก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถึงเวลาครบเทอมก็คืนอำนาจให้ประชาชน การเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนก็เปลี่ยนมาเลือกพรรคเรา
กระบวนการประชาธิปไตยมันควรพัฒนาไปแบบนั้น
ไม่ควรมีการยึดอำนาจซึ่งเป็นวงจรอุบาทว์อีกต่อไป
แม้กระทั้งพรรคเพื่อไทยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดประตูให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.ทั้งหมด ผมก็สนับสนุนในแนวทางประชาธิปไตย จุดยืนทางการเมืองของผมไม่เคยเปลี่ยน
หรือการผลักดันให้นิรโทษกรรมทางการเมือง ก็เห็นด้วย ยกเว้นคดีเกี่ยวข้องทำผิดอาญาเผาบ้านเผาเมือง และมาตรา 112 เพราะเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญปรองดอง ร่วมกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตลิน ประธานคณะกรรมาธิการฯในขณะนั้น ก็ร่วมกันเสนอทางออกให้ประเทศไทยหลังจากบอบช้ำมามากแล้ว
แต่ยุคนี้ทั้งพฤติกรรมและการกระทำของผู้มีอำนาจ ไม่เคยจริงใจนำพาประเทศให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง สร้างแต่ปัญหาให้เกิดความแตกแยก แบ่งฝ่าย เลือกที่รักมักที่ชัง ไร้มาตรฐานความยุติธรรม
ปรากฏการณ์ตอนนี้บ้านเมืองดูเหมือนสงบ แต่สงบด้วยกฎเหล็ก เอาคำสั่ง เอาปืนมาจี้บังคับไว้
แต่ในหัวใจของคนที่เรียกร้องความยุติธรรม เรียกร้องความเป็นธรรมยังคงคุกรุ่น
รู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติ ไร้ความเป็นธรรม ยังมีพฤติกรรมการกระทำที่ข่มขู่ คุกคาม ใช้กระบวนการยุติธรรมและเครือข่ายอำนาจรัฐทั้งหมด เลือกปฏิบัติต่ออีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ยุติธรรม และกลับช่วยเหลือเกื้อกูลฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการยึดอำนาจ
ความแตกแยกในสังคมจึงคุกรุ่น
ยังไม่นับรวมความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าของชาวไร่ ชาวนา ผมลงไปเยี่ยมชาวบ้านต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อไหร่รัฐบาลทหารจะคืนอำนาจ อยากให้ไปพรุ่งนี้เสียเลย
และยังถามผมว่าจะไปอยู่พรรคไหนก็จะเลือก ยกเว้นพรรคที่สนับสนุนทหารให้เป็นรัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศไม่สนับสนุนทหาร นายนคร บอกว่า ไม่กลับไปพรรคนี้แน่นอนหลังจากขออนุญาตลาออก แม้มีผู้ใหญ่หลายท่านชวนกลับไปบ้านหลังเดิม ผมก็ขอขอบคุณท่าน แล้วก็บอกไปว่า
“การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เราสู้กัน แต่เป็นการต่อสู้ในเชิงระบอบการปกครอง ผมขออนุญาตยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ยศตำแหน่งไม่ได้สำคัญ ถ้าเกิดเราไปเป็นส่วนหนึ่งของเผด็จการก็ไม่ต้องมีดีกว่า”
ทำไมถึงออกมาถล่มพรรคประชาธิปัตย์ นายนคร บอกตรงๆว่าไม่ได้พาดพิงพรรคไหนหรือใครเลย ที่พูดไปมีเพียงคำว่าผมเป็นอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น
นอกนั้นทั้งฝ่ายการเมือง นายทุน ขุนศึก ศักดินา อำมาตย์ ฝ่ายกระบวนการยุติธรรมบางคน บางท่านที่ร่วมขบวนการล้ม “รัฐบาลทักษิณ-รัฐบาลยิ่งลักษณ์”
ทั้งหมดพูดจากใจ มันคือความจริงที่ได้สัมผัส และยังได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนาการเมืองไปสู่ความเป็นสถาบัน เปรียบเทียบพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทั้ง 2 พรรคล้วนมีจุดแข็งและจุดอ่อน พร้อมมีข้อเสนอแนะให้พัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบันการเมือง
เช่น จุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถตอบโจทย์สังคมในทุกภาคส่วนได้อย่างทั่วถึง ส่วนใหญ่ดูแลชนชั้นกลางกับชนชั้นบน ส่วนเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงานยังรู้สึกห่างไกล
เฉกเช่นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยพอได้อำนาจแล้วไม่ค่อยฟังใคร มองจากข้างนอกเข้าไปนายทักษิณ ชินวัตรเสมือนเป็นเจ้าของพรรค การตัดสินใจอยู่ที่ผู้นำไม่กี่คน ไม่มีภาพการบริหารให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนจริงๆ แต่มีจุดแข็งที่นโยบายตอบโจทย์ของคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวนา คนยากจน เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มสังคมการเมืองจะเดินไปสู่แบบอนุรักษนิยม หากพรรคเพื่อไทยชนะก็จะเดินไปสู่เสรีนิยมยุคใหม่
ฉะนั้นเมื่อทั้ง 2 พรรคต่างมีจุดอ่อนและจุดแข็ง ก็ต้องพัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบันการเมือง รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับสังคม
และยังมีจุดอ่อนจากปัจจัยภายนอก คือ การยึดอำนาจ พอการเมืองพัฒนาเข้มแข็งไปสักระยะ ก็มีสถานการณ์ทหารให้ยึดอำนาจ ถือว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและพัฒนาการเมืองไทย
ในวันนี้ชีวิตทางการเมืองคงเข้าพรรคเพื่อไทย นายนคร บอกว่า ความจริงมี 4-5 พรรคเข้ามาทาบทาม ทั้งพรรคที่อ้างว่าสนับสนุนทหาร เสนอสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งตำแหน่งการเมือง ทรัพย์สินเงินทองสูงถึง 50 ล้านบาท
แต่ปฏิเสธไป เพราะไม่สามารถทรยศตัวเอง ไม่สามารถรับใช้เผด็จการ ไม่สามารถทรยศต่อประชาธิปไตยและประชาชนได้ แม้เราเป็นเพื่อนเป็นพวกกัน แต่อุดมการณ์ไปด้วยกันไม่ได้
พรรคเพื่อไทยก็ทาบทามพูดคุยกัน แต่ยังไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบก่อนการเลือกตั้งหรือไม่
ขณะนี้ยังไม่ตัดสินใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะไปอยู่พรรคไหน ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่หรือพรรคอื่นๆ หากพรรคไหนปฏิเสธระบอบเผด็จการและร่วมล้างมรดกบาปของเผด็จการก็ร่วมอุดมการณ์กันได้
วิธีล้างมรดกบาป ขอเสนอว่าในเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อ้างรัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านประชามติ เราก็ต้องขอประชามติจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ไปพร้อมกับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้ จะได้ไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินเพิ่ม
ถ้าผลประชามติออกมาว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นมรดกบาปแล้ว ค่อยสะสางอย่างอื่นต่อไป เพื่อออกแบบโครงสร้างประเทศเพื่อประชาชน โดยประชาชน ให้เป็นไปตามหลักสากล ฟรีแฟร์ ต่อทุกฝ่าย
มาถึงวันนี้ขอเป็นไม้ขีดก้านเล็กๆ จุดไฟเรียกร้องทุกพรรคการเมือง รวมพลังแสดงจุดยืนถือธงนำล้างรัฐธรรมนูญเผด็จการ ประชาชนจะได้รู้ว่าใครยืนอยู่ฝั่งไหน ยกทั้งหมดให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของประชาชน
ถ้าคนไทยชอบทหารก็เลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ให้ครองอำนาจต่อไป
ถ้าคนส่วนใหญ่เข็ดแล้วก็เลือกฝ่ายประชาธิปไตยแบบแลนด์สไลด์
หลังเลือกตั้งร่วมตั้งรัฐบาล แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
ภายใน 2 ปีคืนอำนาจให้ประชาชน พรรคการเมืองก็เริ่มแข่งขันนโยบายและสร้างความปรองดอง
เพื่อปิดประตูป้องกันทหารปฏิวัติตลอดกาล.
ทีมการเมือง

ผ่าโจทย์ชี้ขาดเลือกตั้งหลัง คสช.ยึดอำนาจ 5 ปี : เอาใจปากท้อง ชิงประชาชน

ผ่าโจทย์ชี้ขาดเลือกตั้งหลัง คสช.ยึดอำนาจ 5 ปี : เอาใจปากท้อง ชิงประชาชน




เป็นรอบสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยคดีสะเทือนขวัญ พฤติกรรมการใช้ความรุนแรง
ทั้งคดีเสี่ยบาร์ภูเก็ตวางแผนฆ่าสาวสวยพร้อมเพื่อนชาย คดีฆ่าอำพรางสาวตกรถเทรเลอร์ คดีลูกน้องชายคนสนิทใช้ไม้เบสบอลฆ่าไฮโซสาววงการอสังหาริมทรัพย์
ข่าวอาชญากรรมยึดพื้นที่ข่าวรายวัน
ก่อบรรยากาศหดหู่ในหมู่ผู้คนในสังคมไทยสลดใจฆ่ากันเหมือนผักปลา
ขณะที่ปัญหาตกค้างทางการเมือง เรื่องของวิกฤติความขัดแย้งครั้งรุนแรงของประเทศที่ลากยาวมากว่า 10 ปี จวบจนวันนี้ก็ใกล้ครบเทอมรัฐบาลอำนาจพิเศษ ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.
โดยเงื่อนไขสถานการณ์จ่อเข้าโหมดเลือกตั้ง
ตามจังหวะล่าสุด ได้ตัวว่าที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่ถอดด้าม คือนายอิทธิพร บุญประคอง อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย 1 ใน 5 กกต.ที่ได้รับการโหวตจากที่ประชุม สนช.
ทำการเลือกกันเองในหมู่ 5 เสือ กกต.ที่ยังไม่ครบ 7 คน
กำลังเดินไปสู่ขั้นตอนในการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ กกต.ชุดใหม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
พร้อมเป็นหน่วยหลักในการจัดการเลือกตั้งตามโรดแม็ป
ตามอาณัติสัญญาณแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำเสียงดังฟังชัดอีกครั้งบนเวทีฉลองครบรอบ 72 ปีหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ อย่างไรเสีย ปีหน้า 2562 ก็ต้องมีการเลือกตั้ง
เว้นแต่มันจะตีกันจนเลือกตั้งไม่ได้
โดยหมายเหตุของ “บิ๊กตู่” ตั้งใจย้อนภาพให้กลับไปดูเมื่อการเลือกตั้งคราวก่อนก็ตีกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภา พรรคประชาธิปัตย์ บอยคอตเลือกตั้ง แล้วก็เป็น “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่นำม็อบ กปปส. ป่วนล้มเลือกตั้ง
ถึงวันนี้ผ่านมา 5 ปีกว่า มันก็ยังมีหัวเชื้อเก่าแฝงอยู่
คู่ขัดแย้งก็ยังเป็นคนหน้าเก่าหน้าเดิม
ตามเค้าลางจากปรากฏการณ์ขับเคลื่อนกระแสของ 2 พี่น้อง
2 ช็อตต่อเนื่อง จากอีเวนต์วันเกิดพร้อมฉลองวีซ่าการพักอาศัยในถิ่นเมืองผู้ดีของน้องสาว อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถึงคิวอีเวนต์วันเกิดครบรอบปีที่ 69 ของพี่ชาย อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่จัดใหญ่จัดเต็มกลางมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ท่ามกลางทีมงานสายตรงแห่บินไปร่วมแฮปปี้เบิร์ธเดย์
“นายใหญ่” ได้เหลี่ยมปราศรัยย่อยกลางวงเป่าเค้ก ด่ารัฐบาล คสช. กัดจิกทหาร “กระโปรงลายพราง”
“น้องปู” พาลูกน้องแก๊งไอติมไปกินไอศกรีมร้านหรู ถ่ายคลิปมาอวดกองเชียร์
“ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์” ออกฤทธิ์ อวดชีวิตแฮปปี้
เย้ยฝ่ายคุมเกมอำนาจในเมืองไทย
ในสถานการณ์ไล่เลี่ยกันเลย กับการที่สำนักข่าวบีบีซี
ไทยรายงานว่าสถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักรได้ส่งจดหมายลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ไปที่กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ
เพื่อร้องขอต่อทางการอังกฤษ โดยอ้างสนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ให้ส่งตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมารับโทษคดีทุจริตจำนำข้าวในประเทศไทย
ภายใต้เครื่องหมายคำถาม ฝ่ายใดเปิดจดหมายลับออกมา
เพราะนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ก็ปฏิเสธไม่ทราบเรื่อง ยังไม่ได้รับรายงาน แจกแจงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนปกติของสถานทูต
ที่แน่ๆในสถานการณ์ต่อเนื่องพอดิบพอดีกับการโยงฉากการชิงพื้นที่ข่าวกระแสมันเข้าเหลี่ยม “ทักษิณ”
กระตุกคะแนนสงสาร “น้องปู” เต็มๆ
ตามรูปการณ์ที่มองได้ว่า อดีตผู้นำ 2 พี่น้องถูกอำนาจพิเศษในเมืองไทยกดดัน
และนั่นยังโยงไปถึงกระบวนการขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ กับช็อตนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เปิดปฏิบัติการเผาบ้านเก่า เข้าบ้านใหม่ แฉขบวนการสมคบคิดล้มรัฐบาลไทยรักไทย
ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลเพื่อไทย โดยกระบวนการยุติธรรมและอำนาจทางทหาร
ที่สำคัญมีพรรคประชาธิปัตย์ร่วมแจมอยู่ด้วย
ตอกย้ำสถานะของฝ่าย “ทักษิณ” ที่โดนรุมสกรัมจากอำนาจพิเศษ เหยื่อสหบาทาพวกอิงแอบเผด็จการ
ประกอบกับจังหวะการเปิดข่าวเซอร์ไพรส์ผ่านสื่อค่ายพันธมิตรฯ “ทักษิณ” เตรียมผลักดันนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรคนโตของนายสมชาย และ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ พร้อมให้ “ลูกเขยนายใหญ่” คือนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีของ “เอม” พินทองทา ชินวัตร เป็นตัวจักรในการสร้างเครือข่ายนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ในค่ายเพื่อไทย
วางหมากดันคนรุ่นใหม่ตระกูลชินเป็นนอมินีรุ่นสาม
ตามอารมณ์ “นายใหญ่” มั่นใจเป้าหมายเพื่อไทยชนะแบบหิมะถล่ม ทลาย
ไล่ตามปรากฏการณ์ มันก็เห็นภาพชัด “ทักษิณ” ใช้อีเวนต์วันเกิดเปิดโหมดสู้ คสช. ตามฟอร์มที่พรรคเพื่อไทยวางพล็อตไว้ ยังไงก็หนีไม่พ้นมุก “วัดใจ” ประชาชนเลือกตั้งรอบต่อไปจะเลือกใคร
ระหว่างฝ่ายหนุน “ลุงตู่” อิงเผด็จการทหาร กับพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย
แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ทหารก็รู้ทันเหลี่ยมกันดี
สถานการณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” พยายามเลี่ยงพูดถึง ไม่หลงกลร่วมวงแห่อีเวนต์วันเกิดของ 2 พี่น้อง
กระตุ้นเรตติ้ง เรียกคะแนนสงสาร
อาการแบบที่ “ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล บอกว่า คสช.ได้ก้าวข้าม “ทักษิณ” ไปแล้ว
ตามแนวโน้มที่สังเกตได้ รัฐบาลมุ่งเน้นไปที่โหมดบริหารแฝงเหลี่ยมตุนแต้มการเมืองมากกว่า
ภายใต้การกำกับเกมของโคตรเซียนการตลาดอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล สั่งเดินหน้าอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
“ปล่อยของ” อัดโปรโมชันกันถี่ยิบแบบรายสัปดาห์
ไล่มาจากที่ประชุม ครม.สัญจรจังหวัดอุบลราชธานี อัดฉีดงบฯ 9.7 หมื่นล้านบาท อุดหนุนมาตรการดูแลข้าวปี 2561/62 กำหนดราคาจำนำยุ้งฉางและช่วยเหลือเก็บเกี่ยวปรับปรุงคุณภาพข้าว ดันตัวเลขข้าวหอมมะลิขึ้นไปอยู่ที่ตันละกว่า 17,000 บาท ลดหลั่นกันลงมากับข้าวเปลือกเหนียว ข้าวหอมปทุมธานี
ต่อเนื่องกับที่ประชุม ครม.สัปดาห์ล่าสุดได้อนุมัติงบฯ 1.6 หมื่นล้านบาท ชดเชยดอกเบี้ยโครงการพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเกษตรกร 3.81 ล้านครัวเรือน
ไล่ๆกันมา “นายกฯลุงตู่” เป็นประธานกดปุ่มเปิดโครงการประชารัฐสวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บัตรคนจนได้ซื้อสินค้าราคาถูก ผ่านระบบที่ง่ายคล่องมือทั้งผู้ซื้อผู้ขาย
ยังไม่นับคิวต่อไปในรอบสัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังจ่อเสนอ ครม.เพิ่มสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคฟรี ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้
เป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย 11 ล้านคนที่ถือบัตรสวัสดิการประชารัฐ
ตามธงยุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำ พาประเทศ ไทยหลุดกับดักความยากจน
ทีมหนุน “ลุงตู่” บริหารเศรษฐกิจไปพร้อมๆกับแก้โจทย์เลือกตั้ง
โดยเฉพาะการอัดฉีดสภาพคล่องเศรษฐกิจฐานราก เติมเต็มช่องโหว่ปัญหาปากท้อง
เสริมภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ติดลมบน ยืนยันด้วยตัวเลขอย่างเป็นทางการของกระทรวงการคลังที่ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 4.5 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็สำทับเศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่อง

เทียบกับลมปากนักการเมือง

เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ที่ท่องบทเศรษฐกิจไม่ดี โจมตีดิสเครดิตรัฐบาล
มาถึงตรงนี้ ทีมงาน “ลุงตู่” ได้เปรียบเต็มๆ
กับมาตรการอุ้มปากท้องที่เห็นตรงหน้าและสัมผัสได้ ภายใต้โปรโมชันที่ “สมคิด” จัดให้
นั่นไม่เท่ากับโครงสร้าง 3 เสาหลักที่เริ่มแน่นขึ้นทุกขณะ
เสาแรก “นายกฯลุงตู่” ยึดสถานการณ์ความมั่นคง ทำให้บ้านเมืองสงบ ปลอดจากม็อบป่วนเมือง
เสาที่สองความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ภายใต้การวางยุทธศาสตร์ของสมคิด ดันเมกะโปรเจกต์จำนวนมากเกิดในยุครัฐบาลนี้ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจติดลมบน ยืนยันด้วยตัวเลข ส่วนฐานรากก็กำลังเติมเต็มให้เข้มแข็งตามเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

เสาที่สามคือสภาพสังคมที่เข้มแข็งภายใต้ยุทธศาสตร์ประชารัฐ ประชาชน เอกชน รัฐบาล
ตามสภาพการณ์หลังยึดอำนาจผ่านมา 5 ปี ทีมงาน “ลุงตู่” ที่มีตัวช่วยสำคัญอย่าง “สมคิด”
เคลียร์โจทย์ชี้ขาดเลือกตั้งได้ระดับหนึ่ง
และกับโจทย์สำคัญที่รู้ล่วงหน้า เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ต้องชูมุก “ล้มทหาร” เลือกประชาธิปไตย
มันก็เป็นอะไรที่แก้ได้ด้วยสถานการณ์ตรงหน้า ทีมหนุน พล.อ.ประยุทธ์แย้งได้เต็มปาก ภายใต้รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” ประเทศกำลังไปได้ดี บ้านเมืองสงบ การพัฒนาเศรษฐกิจต่อเนื่อง
เป็นเรื่องที่ชาวบ้านคิดตามง่ายๆ เทียบกับการเลือกนักการเมืองประชาธิปัตย์ เพื่อไทย กลับไปตีกัน
เสี่ยงลากประเทศกลับสู่กลียุค.
“ทีมการเมือง”

โรคแทรกรุมลุ้นลำบาก

โรคแทรกรุมลุ้นลำบาก



ปลดโซ่ตรวนหวนคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง
ในคิวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครปล่อยตัว นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ในช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค.นี้ หลังพ้นโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่สั่งจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา คดีหมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
ตามรูปการณ์ที่คงต้องหยุดห้าวชั่วคราว สงบปากสงบคำ รอพักฟื้นร่างกายให้เข้าที่เข้าทางสักระยะ เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมจะได้วีซ่าอิสรภาพยาวนานแค่ไหน เพราะยังมีอีกหลายคดีติดตัว
อย่างน้อยช่วยสร้างความเบาใจให้ฝ่ายความมั่นคงไม่ต้องระแวงเรื่องการเคลื่อนไหวของมวลชนในช่วงที่กำลังขยับเข้าโหมดเลือกตั้ง
ประเมินแล้วคงปลุกพลังมวลชนลำบาก เพราะกำลังพลคนเสื้อแดงไม่เป็นปึกแผ่นแน่นเหมือนก่อน อ่อนกำลังลงไปตามเวลา ผู้นำมวลชนระดับพื้นที่บางส่วนเปลี่ยนอุดมการณ์ แปรพักตร์ซบฝั่งตรงข้าม
สภาพเดียวกับพรรคเพื่อไทยที่ยังห้ามเลือดไม่อยู่ อดีต ส.ส.ตีจากพรรคต่อเนื่อง เพราะไม่แน่ใจท่าทีนายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะตั้งป้อมสู้เต็มร้อยหรือไม่ในสนามเลือกตั้งเที่ยวนี้
แม้แต่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็มีแนวโน้มหนีไปตายดาบหน้า หลังนายใหญ่ยังยึกยัก ไม่เคาะสัญญาณให้เป็นหัวหน้าพรรค
รุ่นใหญ่–รุ่นเล็กเริ่มแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศ ไม่เสี่ยงปักหลักสู้ต่ออยู่ที่เดิมโดยไม่รู้อนาคต
หรือกระทั่งระดับบิ๊กเนมอย่าง “อดีตนายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังต้องรีบเผ่นกลับไปตั้งหลักที่กรุงดูไบ เพื่อความปลอดภัย
รับประกันความชัวร์จะไม่ถูกรัฐบาลอังกฤษส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีที่เมืองไทย ตามที่กระทรวงต่างประเทศไทยเร่งรัดขอตัวไปในคดีละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการจำนำข้าว
หลังถูก คสช.ตอบโต้ซีนแฮปปี้เบิร์ธเดย์ของนายใหญ่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ฉวยโอกาสกระตุ้นเรตติ้งให้ตัวเอง
ถึงยังไง คสช.ไม่ยอมให้ 2 พี่น้องตระกูลชินวัตร ในฐานะคู่ปรับหมายเลข 1 ในสนามเลือกตั้ง ขยับปั่นเรตติ้งการเมืองได้สะดวก บลัฟท็อปบูตออกหน้าออกตาเกินเหตุ
และแฉลบไปถึงการแจ้งความเอาผิดเพจ “อนาคตใหม่” และเพจ “Thanathorn Juangroongruangkit” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กรณีพาดพิง คสช.ดูดอดีต ส.ส.โดยใช้คดีความมาต่อรองด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
กระตุกพวกดาวรุ่งให้เพลาๆการออกตัวแรง ไม่ให้ใช้สื่อทางโลกโซเชียลที่เป็นจุดเด่นมาตีกินอีกฝ่ายได้ง่ายๆต่อไป โดยอาศัย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มากดดันให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้น
คู่แข่งสำคัญอย่าง “เพื่อไทย–อนาคตใหม่” ถูกดักทำลายจังหวะให้เสียการทรงตัว เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แม้จะมีอดีต ส.ส.ตบเท้ามาอวยพรวันเกิดครบ 54 ปีคึกคัก
แต่ก็มีปัญหาต้องเคลียร์ในพรรค ไล่ฟ้องร้องเอาผิดศิษย์เก่าที่ออกมาเผาบ้านประจานพรรคตัวเอง
แต่ละค่ายเจอโรคแทรกซ้อนรุมเร้า มีเรื่องวุ่นๆชวนสะดุดให้ลงสนามได้ในสภาพไม่เต็มร้อย
ตรงข้ามกับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่กำลังไล่ช้อนแต้มมันมืออยู่ในช่วงโหมแคมเปญเอาใจกลุ่มเกษตรกรและคนมีรายได้น้อย
เปิดตัวโครงการจำนำยุ้งฉางอุ้มราคาข้าวช่วยชาวนา การพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง รถไฟทางคู่ สนามบิน มีหมดครบวงจร
รวมทั้งเตรียมชง ครม.เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ถือบัตรคนจนให้สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาท
ปรับโฉมการรักษาพยาบาลคนจน อัปเกรดให้ดีกว่าโครงการ 30 บาทฯ ในอดีต
ล่าสุดยังพลอยได้หน้าจากการที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพประกวดนางงามจักรวาลเดือน ธ.ค.นี้
ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากความมีเสถียรภาพการเมืองในประเทศไทย ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การโปรโมตท่องเที่ยว ต่อยอดโกยรายได้มหาศาลเข้าประเทศ
ปั๊มคะแนนกันรายวัน สะสมต้นทุนไว้ต่อตั๋วให้ “บิ๊กตู่” เบิ้ลเก้าอี้ผู้นำอีกสมัย
สถานการณ์เป็นใจให้ “ลุงตู่” ได้ไปต่อ เพียบพร้อมทั้งอำนาจรัฐ กองทัพ ทีมงานกองหนุน รวมถึงกระแส และกระสุนตุนไว้เต็มหน้าตัก
ผิดกับฝั่งคู่แข่งที่มีแต่แตกทัพ ดูยังไงก็ลุ้นสู้ลำบาก!!!
ทีมข่าวการเมือง