PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

งด ...มะรุม มะตุ้ม !!!

งด ...มะรุม มะตุ้ม !!!
หลังจาก วานนี้ ทีม รปภ. ไม่กันนักข่าว เดินมะรุมมะตุ้ม หลังเลิกให้สัมภาษณ์ เริ่องนาฬิกา....จนถูกเอ็ด.... วันนึ้ ทีมงานเลยขอความร่วมมือนักข่าว ว่า
ถ้าไม่ให้สัมภาษณ์ ขออย่ารุมเดินตาม
ถ้าไม่ให้. ขออย่ามะรุม มะตุ้ม
ถ้าไม่ให้ ขอไม่ต้องเดืนตามไปถามถึง ประตูรถ
ทีมรปภ.จะได้ ไม่ต้องกัน
วันนี้ บิ๊กป้อม งดพูด งดตอบคำถาม ไม่พูดคำใดๆ ปิดปาก สนิท แต่ หน้าตาอมยิ้มอ่อนๆ ไม่เครียด
เดี๋ยวนี้ "บิ๊กป้อม"ขึ้นรถ แล้ว ไม่กดกระจกรถลง ทักทาย ทีมงาน หรือนักข่าว อีกเลย เพราะ รู้ว่า นักข่าว ช่างภาพ รออยู่!!
ข่าวว่า ภาพ แบบนี้ เป็นเหตุผลหนึ่ง เพราะ ถ่ายตอนพูดกับนักข่าว ก่อนขึ้นรถ เมื่อสัปดาห์ ก่อน บิ๊กป้อม ไม่แฮปปี้นัก!!

ความสุข !!

ความสุข !!
"บิ๊กตู่" แขวะ"สมชัย กกต" ไปเตรียมตัวแต่งงาน เถอะ อย่ามายุ่ง เสนอ"ปลดล็อค" แทนแก้กม.ยิ้อเวลา บอกยินดีด้วย ศอกกลับ ไม่เชิญผม แต่ถึงเชิญก็ไม่รู้จะไปรึเปล่า
(23)พล.อ ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคสช.กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ที่เสนอแนวคิดคสช.ให้ปลดล็อคพรรคการเมืองแทนการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญเลือกตั้งสส. เพื่อให้พรรคการเมืองมีเวลาเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งมากขึ้นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกกต.
"ผมว่าท่านไปเตรียมแต่งงานของท่านจะดีกว่า ไปเตรียมแต่งงานของท่าน ไปน่ะดีแล้วแหละ ก็ยินดีกับท่านด้วย
แต่งงานท่านบอกท่านไม่ได้เชิญผม ถ้าท่านเชิญผมมา ผมจะไปหรือเปล่าไม่รู้เหมือนกันนะ เป็นเรื่องความสุขของท่าน"

Meet the press .."สื่ออยากรู้ รัฐอยากเล่า"

Meet the press .."สื่ออยากรู้ รัฐอยากเล่า"
"บิ๊กตู่" สั่ง รมต.วนคิวพบนักข่าว "พฤหัสนี้" ให้ สื่อ-บรรณาธิการ-คอลัมนิสต์"พบ"วิษณุ"ถาม-ตอบ "กฎหมาย-โรดแมพรัฐบาล" ให้นัดกินข้าว 2 เดือนครั้ง กระชับสัมพันธ์
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ จะเปิดโอกาสให้บรรณาธิการ คอลัมนิสต์ รวมถึงสื่อมวลชน ได้พบปะและสอบถามงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะงานในส่วนของกฎหมายและการดำเนินการตามโรดแมพของรัฐบาล
ภายใต้ชื่องาน "สื่ออยากรู้ รัฐอยากเล่า" ตอนกฎหมายหลายรส เพื่ออนาคตประเทศไทย ในวันที่ 25 ม.ค.นี้ ที่อาคารภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งเปลี่ยนจากชื่องานเดิมคือ "Meet the Press" ที่เคยจัดไปเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(ดีอี) มาพูดคุยเป็นกระทรวงแรก เพื่อเป็นการชี้แจงนโยบายการทำงานตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ได้สั่งการ

ทั้งนี้ นายกฯ ยังอยากให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับสื่อฯ จึงจะจัดให้มีการรับประทานอาหารร่วมกันกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านประชาสัมพันธ์ เช่น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ
โดยกำหนดไว้ 2 เดือนต่อครั้ง เพื่อเสนอแนะแลกเปลี่ยนการทำงานซึ่งกันและกัน โดยจะเริ่มในช่วงปลายเดือนก.พ.

"บิ๊กป้อม"......คำไหน คำนั้น ..ไม่พูด ไม่ให้สัมภาษณ์

"บิ๊กป้อม"......คำไหน คำนั้น ..ไม่พูด ไม่ให้สัมภาษณ์...ไม่เอื้อน ไม่เอ่ย พิกุลไม่ร่วง เลย....
ไม่ว่า นักข่าวจะถามอะไร บิ๊กป้อม เดิน อมยิ้มอ่อนๆ ขึ้นรถ กลับ โดยมี ทีมรปภ. กันตลอดทาง..... โดยทีมงาน ขอร้องนักข่าวว่า ถ้า พลเอกประวิตร ไม่หยุดให้สัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องตาม มะรุมมะตุ้ม ทีมรปภ. จะได้ไม่ต้อง กั้น ...นักข่าว ช่างภาพ กว่า50 คน รอทำข่าว
หลังประชุมบอร์ดกีฬา นาน2 ชม.เต็ม !!

รับได้มั้ยเลื่อนเลือกตั้ง ๙๐ วัน

รับได้มั้ยเลื่อนเลือกตั้ง ๙๐ วัน


   
    ประเทศไทยเราปัญหาเยอะจริงๆ 
    จิ้มไปตรงไหน ก็เจอแต่ปัญหา 
    สาเหตุไม่ใช่อื่นไกล อยู่ที่คนนี่แหละ 

    เห็นท่าจะจริงกับคำกระแนะกระแหนว่า ประเทศไทยดีไปหมดทุกอย่าง พร้อมไปเสียหมดทุกเรื่อง   
ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สารพัดศาสตร์ เสียอย่างเดียว 
    มีคนไทยอยู่! 
    คนไทยเถียงกันทุกเรื่อง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี  
    แต่ที่เสียมากกว่าได้คือ ไม่เคยเถียงกันจบสักเรื่อง แล้วเอาไปขยายต่อ เป็นเรื่องราวสร้างความ
ขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น 
    มันก็มาจากหลายสาเหตุ 
    คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทำมึน ไม่อยากจะรู้เรื่อง ทั้งๆ ที่รู้เรื่องดีที่สุด 
    บางคนรู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง รู้มากจนเหมาเอาว่าคนอื่นไม่รู้เรื่อง 
    และมีพวกที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ทำเป็นรู้ทุกเรื่อง
    เอาแค่เลือกตั้งเรื่องเดียว คุยกันมาเป็นปีแล้ว ที่คิดว่าจะจบก็ไม่จบ เพราะคนรู้ไม่พูด คนไม่รู้ก็พูด
กันจัง บางคนคิดแทนคนอื่น ส่วนคนที่ถูกคิดแทนไม่หือไม่อือ 
    หรือไม่ก็ลากไปเป็นอีกเรื่อง
    มันถึงยุ่งไม่รู้จบ 
    สองสามวันมานี้มีข่าวการเลือกตั้งจะเลื่อนออกไปอีก ๙๐ วัน
    คือเลื่อนจากเดือนพฤศจิกายนออกไปเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ แทน
    นั่นเพราะมีข้อเสนอแก้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ให้ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายหลังประกาศราชกิจจานุเบกษาออกไป ๙๐ วัน 
    โดยมากแล้วกฎหมายจะประกาศใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา     
    แต่กฎหมายฉบับนี้ ๙๐ วัน 
    ถามว่าแปลกหรือเปล่า? 
    ก็ไม่แปลก เพราะกฎหมายบางฉบับระบุให้ประกาศในช่วงเวลาที่เหมาะสม ๙๐, ๑๒๐ วันก็เคยมี
ให้เห็นมาแล้ว
    ว่ากันตามตำรา...
    ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ากฎหมาย ในที่นี้หมายถึง รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด  
หรือประกาศของคณะปฏิวัติชื่อต่างๆ ที่มีลำดับศักดิ์ของกฎหมายเป็นชั้น 
    พระราชบัญญัติที่เรียกว่า "กฎหมายแม่บท" กฎหมายแม่บทเหล่านี้ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จึงจะใช้บังคับได้ 
    ส่วนพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่ง นั้น โดยปกติออกโดย
อาศัยอำนาจของกฎหมายแม่บทฉบับใดฉบับหนึ่ง 
    จึงถูกจัดเป็นกฎลำดับรอง หรืออนุบัญญัติของกฎหมายแม่บท ที่มีทั้งอยู่ภายใต้บังคับให้ต้องประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาจึงจะใช้บังคับได้ และที่ให้มีผลใช้บังคับได้ทันทีที่ตราออกมาโดยไม่ต้องประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา 
    ขึ้นอยู่กับกฎหมายแม่บทแต่ละฉบับจะบัญญัติเรื่องนั้นไว้อย่างไรเป็นสำคัญ
    การประกาศกฎหมายแม่บท หรือกฎลำดับรองในราชกิจจานุเบกษานั้น เป็นกระบวนการเพื่อเป็นตาม
หลักนิติธรรมที่ว่า..... 
    รัฐจะออกกฎหมายหรือกฎมาบังคับประชาชนเท่าที่จำเป็น
    เมื่อต้องการออกกฎหมายหรือกฎใดเพื่อบังคับประชาชนก็ต้องจัดให้ประชาชนได้ทราบกฎหมายหรือ
กฎนั้น 
    เพื่อตรวจสอบหรือโต้แย้งได้ด้วย 
    จะเห็นได้จากการที่กฎหมายแม่บทแต่ละฉบับให้อำนาจรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ออกกฎลำดับรองได้ 
ก็มักจะระบุเพิ่มเติมด้วย กฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งนั้นให้ใช้บังคับได้เมื่อประกาศในราช
กิจจานุเบกษา 
    แต่หลักการดังกล่าวและกฎหมายต่างๆ ส่วนใหญ่จะมิได้กำหนดให้กฎหมายหรือกฎลำดับต้องมีผล
ใช้บังคับในวันใดตายตัว 
    ผู้ตราหรือออกกฎหมายหรือกฎลำดับรอง สามารถเลือกกำหนดได้ตามความจำเป็นเร่งด่วน หรือ
เหมาะสมของแต่ละกรณี 
    โดยอาจกำหนดวันเดือนปีที่จะใช้บังคับไว้ตายตัว 
    หรือก่อนหลัง 
    หรือในวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ได้ทั้งสิ้น 
    เพียงแต่ถ้าจะให้มีผลใช้บังคับก่อนวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะกระทำได้เฉพาะก่อให้เกิดผล
เป็นคุณต่อผู้อยู่ในบังคับของกฎหมายหรือกฎลำดับรองนั้นเท่านั้น เป็นโทษไม่ได้ 
    ดังนั้น การพิจารณาว่าด้วยกฎหมายหรือกฎลำดับรองฉบับใดเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อใด จึงไม่ใช่วันที่
พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย 
    และอาจมิใช่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสมอไป 
    หากแต่ต้องตรวจสอบเนื้อหาภายในกฎหมายหรือกฎลำดับรองนั้นๆ เป็นเรื่องๆ ไปว่า กำหนดวันบัง
คับใช้ไว้เป็นเมื่อใดเป็นหลัก 
    เว้นแต่กรณีที่ไม่ได้เขียนกำหนดไว้เลย จึงจะให้ถือวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นวันเริ่มต้นการ
มีผลใช้บังคับกฎหมายหรือกฎลำดับรองนั้นได้ตามหลักกฎหมายทั่วไป
    ทำความเข้าใจแล้ว มาดูต่อว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังทำอะไรอยู่ 
    สนช.ให้เหตุผลว่า การขยายเวลาบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลังประกาศราชกิจจานุเบกษา ๙๐ วัน เพื่อช่วยพรรคการเมือง 
    ช่วยอย่างไร? 
    ช่วยให้พรรคการเมืองสามารถเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งได้ทันการณ์ โดยเฉพาะการทำไพรมารีโหวต 
ซึ่งต้องใช้เวลานานนับเดือน 
    เดิมที่พรรคการเมืองต่างๆ สามารถทำกิจกรรมพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยพรรคการเมืองได้ในเดือนนี้
    แต่เพราะ คสช.ยังไม่ปลดล็อก ทุกอย่างจึงยังหยุดนิ่ง  
    เมื่อกิจกรรมที่พรรคการเมืองต้องทำได้เลื่อนออกไป โดยที่ คสช.ยอมปลดล็อกในภายหลังให้ดำเนิน
การได้เฉพาะบางกรณี เดือนมีนาคม เมษายนนี้ 
    นั่นก็เท่ากับว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ถูกเลื่อนบังคับใช้ไปโดย
ปริยายแล้ว 
    ฉะนั้นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอื่นเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะออกมาหลังจากนี้ ควรเลื่อน
การบังคับใช้ด้วยหรือไม่  เพราะมีความเกี่ยวพันกัน กระทบเป็นลูกโซ่
    นั่นคือโจทย์ที่ต้องแก้ไข 
    แต่...มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สนช.รับใบสั่งรัฐบาล คสช. 
    แล้วพรรคการเมืองเอาด้วยหรือเปล่า?
    ก่อนนี้หลายพรรคการเมืองพูดตรงกัน ปลดล็อกช้ากระทบแน่นอน ฉะนั้นต้องปลอดล็อกทั้งหมดโดย
เร่งด่วน 
    ขณะที่รัฐบาล คสช.ยืนกรานยังมีเวลาตามโรดแมปมากพอ 
    มาทบทวนโรดแมปกันอีกที    
     หลังจากที่กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง ๔ ฉบับคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
พรรคการเมือง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พระราชบัญญัติประกอบรัฐ
ธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ว. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง   
มีผลบังคับใช้แล้ว    
    ให้จัดการเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วัน 
    อธิบายสั้นๆ หลังกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับมีผลบังคับใช้ ให้เลือกตั้งใน ๑๕๐ วัน บวกอีก ๙๐ วัน 
เท่ากับ ๒๔๐ วัน 
    ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมา ๙๐ วัน พรรคการเมืองไม่พอใจแน่นอน 
    แม้ สนช.จะอ้างว่าเผื่อเอาไว้ ให้พรรคการเมืองเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งก็ตาม
    ก็ว่าไปตามประสาพรรคการเมือง เลือกตั้งช้า ประชาชนลำบาก เศรษฐกิจมีปัญหา ราวกับว่าเลือกตั้ง
แล้วรัฐบาลของประชาชนจะขยันทำงานให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ทันที 
    ก็พยายามจะเข้าใจพรรคการเมือง เพราะห่างจากสภา ไม่มีอำนาจในมือมานาน 
    แต่เมื่อมีปัญหาให้ต้องแก้ไข ระยะเวลา ๓ เดือน ไม่ใช่เงื่อนเวลาที่รอกันไม่ได้ 
    มองอย่างเป็นกลาง การมีเวลาเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการทำไพรมารีโหวต ผลประโยชน์จะ
ตกอยู่กับพรรคการเมืองเอง 
    ยกเว้นพรรคที่ยังชี้นิ้วสั่งได้ 
    ขณะที่ คสช.เอง ก็ต้องทบทวนเช่นกันว่า การออกคำสั่งอะไรออกไปแล้วจะกระทบอะไรบ้าง 
    การเลือกตั้งจะเลื่อนออกไป ๓ เดือน ๔ เดือนไม่ใช่ปัญหา 
    ความชัดเจนต่างหากคือเรื่องใหญ่ 
    "ลุงตู่" เคยประกาศชัดเจนว่า เดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ จะประกาศวันเลือกตั้ง 
    และในเดือน พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จะให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป และขอให้นักการเมืองอยู่ใน
ความสงบเรียบร้อย เพราะจะมีผลต่อการผ่อนปรนมาตรการ
    นั่นถือเป็นสัญญาประชาคม 
    วานนี้ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การเลือกตั้ง ส.ส. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกาศว่า คณะกรรมาธิการฯ มีมติเสียงข้างมากให้แก้ไข
มาตรา ๒ ของกฎหมายดังกล่าว 
    กำหนดให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ๙๐ วันนับแต่วันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา 
    ถ้า สนช.เคาะตามนี้จะกลายเป็นโรดแมปใหม่ การเลือกตั้งจะมีขึ้นอย่างน้อยช่วงต้นปี ๒๕๖๒  
    มองในภาพรวมการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปนิดหน่อยเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพร้อม ไม่มีเหตุผลใด
ที่จะยอมรับกันไม่ได้ 
    แต่ถ้า คสช.เลื่อนไม่รู้จบ ด้วยข้ออ้างใหม่ๆ ส่วนพรรคการเมืองเอาแต่งอแงจะเลือกตั้งเร็วๆ โดยที่
ตัวเองก็ไม่พร้อม 
    ความเสียหายจะตกที่ประชาชน 
    ฉะนั้นไม่มีทางเลือกอื่น วันนี้ต้องคุยกันให้เข้าใจ เอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง แล้วจบด้วย
ข้อสรุปเดียวกัน 
    แบบนี้ถึงจะไปได้.
                                    ผักกาดหอม

ยังอีกนาน

ยังอีกนาน


ข่าวลอบวางระเบิด “มอเตอร์ไซค์บอมบ์” ตลาดสดพิมลชัย อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เมื่อเช้าตรู่วันจันทร์ที่ผ่านมา

ทำให้พี่น้องประชาชนเสียชีวิต 3 ราย และมีผู้เคราะห์ร้ายได้รับบาดเจ็บอีก 18 คน

ถือเป็นเหตุรุนแรงสะเทือนขวัญหลังผ่านปีใหม่ 2561 เพียง 22 วัน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าเหตุมอเตอร์ไซค์บอมบ์ตลาดสดกลางเมืองยะลาเป็นสัญญาณเตือนว่าวิกฤติไฟใต้ที่ลากยาวมาถึง 14 ปี ยังไม่จบ และยังจบไม่ลง

ความหวังจะได้เห็นพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้กลับคืนสู่ความสันติสุขยังห่างไกลมากจากความเป็นจริง

เพราะแม้แต่เขตชุมชนกลางเมือง ซึ่งถือเป็นพื้นที่ “เซฟตี้โซน” มีมาตรการป้องกันเข้มข้นตลอด 24 ชั่วโมง

ก็ไม่สามารถป้องกันการลอบก่อเหตุระเบิดได้ 100 เปอร์เซ็นต์

“แม่ลูกจันทร์” ขอสาปแช่งกลุ่มสัตว์นรกที่ใช้วิธีก่อเหตุโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเป้าหมายอ่อนแอในเขตเซฟตี้โซน

1, เลือกก่อเหตุในตลาดสด เพื่อมุ่งหวังเข่นฆ่าพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยตรง
2,มุ่งหวังให้เกิดความสูญเสียชีวิตจำนวน มากจากการลอบวางระเบิดเพียงครั้งเดียว
3, มุ่งหวังทำลายเศรษฐกิจการค้าขายชายแดนภาคใต้ให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
4, มุ่งหวังโชว์ศักยภาพเพื่อท้าทายฝ่ายความมั่นคง
5, มุ่งหวังให้เกิดข่าวดังเพื่อข่มขู่คนในพื้นที่ให้หวาดกลัว

“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดยะลา ให้เร่งไล่ล่าจับกุมสัตว์นรกกลุ่มนี้ เอามาลงโทษโดยเร็ว

เพราะถ้าปล่อยโจรชั่วกลุ่มนี้หลบหนีการจับกุมต่อไป

พวกมันก็จะไปก่อเหตุทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ซ้ำอีกอย่างแน่นอน!!

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ตลาดสดพิมลชัย หรือตลาดรถไฟกลางเมืองยะลาแห่งนี้เคยเกิดเหตุลอบวางระเบิดมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา

ครั้งแรก เกิดระเบิดเมื่อต้นปี 2550 มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 7 ราย

ครั้งที่ 2 เมื่อต้นปี 2553 เกิดระเบิดซ้ำอีก มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 ราย

ล่าสุด ครั้งที่ 3 เมื่อเช้าวานซืน ก่อเหตุมอเตอร์ไซค์บอมบ์ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 18 คน

สรุปว่าวิกฤติไฟใต้ที่ยืดเยื้อมา 14 ปี มีพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงสูญเสียชีวิตไปแล้วกว่า 2.5 พันราย

ได้รับบาดเจ็บไปแล้วกว่า 5.8 พันคน

และตัวเลขความสูญเสียยังเพิ่มขึ้นๆๆตลอดเวลา

“แม่ลูกจันทร์” ยอมรับว่าในปี 2560 ที่เพิ่งผ่านไป สถิติการก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน

แม้ว่าภาพรวมสถานการณ์ชายแดนใต้จะดีขึ้นเป็นลำดับ

แต่ยังไม่มี “จุดเปลี่ยน” หรือ “จุดพลิกผัน” ที่จะทำให้วิกฤติไฟสิ้นควันอย่างสิ้นเชิง

เพราะยังหาคำตอบไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังตัวจริง??

แม้แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เองก็ยังมองต่างมุม

บางฝ่ายมองว่าเป็นฝีมือกลุ่มแยกดินแดน

บางฝ่ายมองว่าเป็นฝีมือกลุ่มธุรกิจมืด

บางฝ่ายมองว่าเป็นฝีมือกลุ่มการเมือง

เมื่อยังมองเป้าไม่ชัด ก็ยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ยังเกาไม่ถูกที่คัน

ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้จึงต้องบานๆ หุบๆ อย่างนี้ไปอีกนาน

อีกนานแค่ไหน...ก็ไม่รู้เหมือนกัน.
"แม่ลูกจันทร์"

เดิมพันแชร์อำนาจใหม่

เดิมพันแชร์อำนาจใหม่


ใครไม่โดนกับตัวเอง คงไม่รู้หรอกว่า “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ออกอาการ “hurt” เจ็บปวดมากแค่ไหน

กับการโดนเพื่อนรักที่ “เตะตูด” เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ หักเหลี่ยมโหด

“ลงมีด” เชือดกันอย่าง “เลือดเย็น”

ตามปรากฏการณ์แบบที่ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ ออกมาตอกย้ำปมร้อนนาฬิกาหรู เป็นเชิงว่ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังตัวละครที่เกี่ยวข้องตามท้องเรื่อง ย้อนอดีตเพื่อน “เซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น” แต่ไม่รับรู้

เรื่องของการให้ยืมนาฬิกาอย่างที่อ้างกัน

แถมยังกดดัน ถ้าเป็นตัวเองลาออกแล้ว สังคมกดดันขนาดนี้ยังไงก็อยู่ไม่ไหว

ในจังหวะสถานการณ์ที่เล่นต่อเป็น “ลูกระนาด” หลัง “หม่อมอุ๋ย” พูดเสร็จก็เป็น

ลูกชายซึ่งนั่งเป็นผู้จัดรายการคุยข่าวทีวีดิจิตอลช่องของฝั่ง “ทักษิณ” ลากประเด็นเอาไปซัลโวตามน้ำ
ตอกย้ำ ซ้ำแผล แห่กระแส “ฆ่า” กันให้เห็นๆ

ที่แสบทรวงก็ตรงย้อนไปดูข่าวเก่า “บิ๊กป้อม” เป็นคนดึง “หม่อมอุ๋ย” เข้ามานั่งเป็นรองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ในช่วงแรก เพราะความไว้วางใจเพื่อนที่เตะตูดเล่นกันมา

ก่อนที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. จะปรับ “หม่อมอุ๋ย” ออกให้ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาเป็นรองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ

ทิ้งไว้ซึ่งอาการ “ค้างคาใจ” ของคนบางคน

สถานการณ์สะท้อนตัวตน “เซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น” มีครบทั้ง ใจกว้าง ใจแคบ ใจดำ

แต่แน่นอน ประเมินกันตามรูปการณ์ของเพื่อนที่เตะตูดเล่นกันมา หันมาหักเหลี่ยมโหดกัน

แสดงว่า มันต้องเป็นอะไรที่โยงกับ “เดิมพัน” สูงๆ

ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ยุทธการเด็ด “บิ๊กป้อม” หักขาค้ำยัน “บิ๊กตู่” เดินมาถึงจุดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “แนวร่วมมุมกลับ”

ขบวนการเจาะยางทั้งฝั่งตรงข้ามและอดีตแนวร่วมฝ่ายเดียวกัน แปรรูปขบวนรบเข้าถล่มรัฐบาล

รายการ “กฐินสามัคคี” ที่ไม่มีเจ้าภาพหลัก

ตามรูปการณ์แปร่งๆ ที่เริ่มมีเครื่องหมายคำถาม ขบวนการไล่ทุบ “พี่ใหญ่” ใครเป็นหัวขบวนกันแน่

เพราะโดยเกมไม่น่าจะใช่พรรคเพื่อไทย ในเมื่อรู้กันทั้งวงนอกวงใน “พี่ใหญ่” คือช่องที่เหลืออยู่เพียงประตูเดียวของฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษที่ฝั่ง “ทักษิณ” ยังพอจะต่อสายเชื่อมได้

เป็นหลักประกันความปลอดภัยของลูกเมียในประเทศไทย

ถ้าโค่น “บิ๊กป้อม” ไป “นายใหญ่” จะเสียมากกว่าได้

ส่วนพวกที่จะได้มากกว่าเสีย ชัดเจนว่าเปิดหน้าเล่นกันมาตลอดก็คือเครือข่ายม็อบพันธมิตร ที่ฝังอกฝังใจคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล”

แถมยังมาขัดอกขัดใจเรื่องขุมทรัพย์ ปตท. สัมปทานปิโตรเลียม โรงไฟฟ้าถ่านหิน

งานนี้ได้เช็กบิล “พี่ใหญ่” ถอนบัญชีแค้นทบต้นทบดอก

และที่ออกตัวแรงขึ้นตามลำดับก็คือรายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ล่าสุดตั้งแท่นยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความปม “เซ็ตซีโร่” สมาชิกพรรคการเมือง

ใสหัวเรือเข้า “ขวางลำ” เรือแป๊ะ ไม่ไหลตามน้ำอีกต่อไป

ที่ต้องจับตา ในห้วงสถานการณ์มะรุมมะตุ้ม ตามข่าววงในเริ่มจับความเคลื่อนไหวของ “ขาใหญ่” เบื้องหลัง มีการโยงไปถึงการขยับของทีมงาน “ผู้ดีรัตนโกสินทร์”

ต่อสายนัดพบขุมข่าย “ผู้เฒ่า” ขั้วอำนาจเก่าสายโบร่ำโบราณ

ล้อไปกับปรากฏการณ์ที่เซเลบ ดารา นักร้อง ที่เคยกระโดดขึ้นเวทีม็อบไล่ “ยิ่งลักษณ์” เริ่มกลับมาแสดงตัวแสดงตนบนสื่อโซเชียลฯ แห่กระแสกดดัน “บิ๊กป้อม” เขย่ารัฐบาล

บรรยากาศเริ่มเหมือนตอนโค่นกระดาน “ทักษิณ”

เร้ากับยุทธการปล่อยข่าวจากพวก “กระสัน” ปั่นกระแสรัฐบาลแห่งชาติ หวังแชร์อำนาจ เขย่าผลประโยชน์กันใหม่ในหมู่ขบวนการโค่น “นายใหญ่”

ซึ่งนั่นก็ย้อนแย้งกับกระแสอีกฟากหนึ่งจากฝ่ายคุมเกมประเทศไทย ถ้าวุ่นมากก็พร้อม “รีเซ็ต”

ส่ง “นกกระสา” มาแทน “ลุงตู่” ให้รู้แล้วรู้รอดไป.


ทีมข่าวการเมือง