PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ข่าว22/2/60

สมเด็จพระสังฆราช เป็นองค์ปธ.ฝ่ายสงฆ์ในพิธีเททองหล่อ - พิธีพุทธาภิเษก พระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์

ที่วัดปริวาสราชสงคราม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อัมพร  อมุพโร) เป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีเททองหล่อและพิธีพุทธาภิเษก พระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์ ที่มณฑลพิธีวัดปริวาสราชสงคราม ถนนพระราม 3 เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร

สำหรับการจัดสร้างพระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์ในครั้งนี้ เป็นดำริของ พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อประดิษฐานไว้ที่หอพระสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมพื้นที่ศรีสมาน เพื่อให้ข้าราชการกำลังพลและครอบครัวได้สักการะบูชา ตลอดจนเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยงาน

ซึ่งองค์พระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์ มีลักษณะเป็นศิลปะสุโขทัยปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก 59 นิ้ว จำนวน 1 องค์ ฐานองค์พระกว้าง 2 เมตร   ลึก 1.20 เมตร สูง 2.60 เมตร น้ำหนักประมาณ 800 - 1,000 กิโลกรัม พร้อมด้วย พระอัครสาวกซ้าย-ขวา จำนวน 1 คู่ คือ พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ซึ่งประทับยืนความสูง 1.80 เมตร น้ำหนักองค์ละ 150 กิโลกรัม หล่อด้วยทองเหลือง โดยโรงหล่อพระพรหมวิจิตร (2507) เป็นผู้ดำเนินการ

นอกจากนี้ ยังได้จัดสร้างพระกริ่งพระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์ จำนวน 10,000 องค์ เพื่อแจกจ่ายให้กับกำลังพล ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นที่ระลึกบูชา ทั้งนี้การประกอบพิธีเททองหล่อและพิธีพุทธาภิเษกเป็นไปตามการคำนวณฤกษ์ของสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร

ขณะที่บรรยากาศบริเวณทางเข้าวัดปริวาสราชสงคราม มีประชาชนจำนวนมากพร้อมใจกันสวมชุดสีขาว รอรับเสด็จและชื่นชมพระบารมี สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 เป็นจำนวนมาก
//////
ธรรมกาย
กลุ่มอริยะศูนย์เจ็ดสอง พร้อมศิษย์ธรรมกาย ยื่นนายกฯ เรียกร้องทบทวนคำสั่ง ม.44 ควบคุมวัด จี้ถอนทหาร - ตำรวจ 

นายอัยย์ เพชรทอง ตัวแทนกลุ่มอริยะศูนย์เจ็ดสอง พร้อมลูกศิษย์วัดพระธรรมกายจำนวนหนึ่ง เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านศูนย์บริการประชาชน ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนคำสั่งตามมาตรา 44 ให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม และถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจออกจากพื้นที่

โดย นายอัยย์ กล่าวว่า อยากขอความเห็นใจและความเมตตาจากนายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนหรือยกเลิกคำสั่งตามอำนาจมาตรา 44 เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวม และกระทบต่อความมั่นคงของศาสนาพุทธ ขณะเดียวกัน ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประเทศ ซึ่งอาจเป็นความเสื่อมเสียจากทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังสามารถหยุดเพื่อไม่ให้เหตุการณ์นำไปสู่ความรุนแรงได้ ซึ่งในนามลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ขอปกป้องพุทธศาสนา เมื่อคนปกป้องพุทธศาสนามาเจอกับเจ้าหน้าที่ที่มีความเข้มแข็งอะไรจะเกิดขึ้น ทุกคนไม่อยากเห็นภาพเหล่านั้น
--------------
"ออมสิน" ระบุ DSI คุมวัดตามคำสั่ง ม.44 ขณะที่ พศ. พร้อมประสานงานและสร้างความเข้าใจให้เกิดความเรียบร้อย 

นายออมสิน  ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึง หน้าที่ของ พศ. หลังมีข้อห่วงใยเกี่ยวกับการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย ที่ต้องการให้ออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น ว่า วันนี้เรื่องทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่เป็นหน่วยงานเข้าไปควบคุมตามคำสั่งมาตรา 44 ที่ให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม และมีอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งดังกล่าว ซึ่งทางสำนักพุทธฯ เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ประสานงานที่จะต้องเจรจากับพระที่อยู่ในวัดพระธรรมกาย พร้อมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ขณะเดียวกัน ทางสำนักพุทธฯ ก็ต้องประสานงานกับทาง DSI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยไปกับเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะอำเภอ

ทั้งนี้ นายออมสิน ยังกล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานปัญหาและข้อติดขัดจากการทำหน้าที่ดังกล่าว ส่วนการพูดคุยระหว่างสำนักพุทธ เจ้าคณะใหญ่หนกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นที่อาจต้องถอยคนละก้าวระหว่างรัฐบาลและวัดพระธรรมกายนั้น นายออมสิน ระบุว่า ยังไม่เห็นและไม่ทราบในเรื่องดังกล่าว
-------------
ตำรวจ - ทหาร ยังตรึงกำลังรอบวัดพระธรรมกาย - จับตาดีเอสไอ ขีดเส้นตายเจรจาขอเข้าตรวจค้นวัดอีก 10.00 น.

บรรยากาศที่วัดพระธรรมกายเช้าวันนี้ บริเวณประตูที่ 5 และ 6 ถนนเลียบคลองแอน พระสงฆ์ และศิษยานุศิษย์ ปักหลักนั่งสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ยังคงวางกำลังดูแลความเรียบร้อยโดยรอบพื้นที่ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลัง ป้องกันเหตุคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด

ขณะที่ฝั่งตลาดคลองหลวง เจ้าหน้าที่ได้นำแผงรั้วเหล็กกั้นเกาะกลางถนนเป็นแนวยาว มีเจ้าหน้าที่ทหาร ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ยาวกว่า 200 เมตร เนื่องจากมีพระสงฆ์และศิษยานุศิษย์ ที่ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ปักหลักตั้งเต็นท์สวดมนต์อย่างต่อเนื่อง

ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ยังคงอนุญาตให้พระสงฆ์ ศิษยานุศิษย์ ที่ต้องการออกจากพื้นที่สามารถออกได้ตามปกติ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งหากประสงค์จะเข้าพื้นที่ต้องประสาน
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเท่านั้น เนื่องจากตำรวจเป็นเพียงกำลังสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ขีดเส้นตายการเจรจา เข้าตรวจค้นพื้นที่ โซน เอ และโซน บี เนื่องจากยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเวลา 10.00 น. แต่หากยังไม่สามารถเข้าในพื้นที่ควบคุมพิเศษตามมาตรา 44 ที่ประกาศใช้ได้ ก็จะมีการปรับแผนการปฏิบัติใหม่ โดยยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่าง 2 ฝ่าย
-------------
ผู้ว่าฯ ปทุม เรียกสมาชิกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเขตคลองหลวง รายงานตัว 4 คน

นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ลงนามในหนังสือด่วนที่สุดที่ ปท.0023.4/3240 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560  เรื่อง ให้ผู้บริหารและสมาชิกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอคลองหลวงมารายงานตัว

ด้วย หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งที่ 5/2560 เรื่อง มาตรการให้อำนาจกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 โดยอาศัยอำนาจความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557) กำหนดให้วัดพระธรรมกายพื้นที่บริเวณโดยรอบวัดพระธรรมกาย คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นพื้นที่ควบคุม ซึ่งขวางหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงให้จังหวัดดำเนินการตรวจสอบ หากพบหรือ สืบทราบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดสนับสนุนในการระดมคนหรือสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อขัดขวางการดำเนินงานตามคำสั่งดังกล่าวให้ถือว่ามีความผิด

จังหวัดปทุมธานีพิจารณาแล้ว เพื่อให้ผู้บริหารของเทศบาลเมืองท่าโขลง และองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม ถือปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังกล่าวข้างต้นโดย
เคร่งครัด จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 เรียกบุคคลตามรายชื่อดังต่อไปนี้
มารายงานสถานการณ์ในพื้นที่และรับนโยบายเพิ่มเติมจากผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ณ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10.00 น. ซึ่ง

ประกอบด้วย

1. นายไท ทองปราง นายกเทศมนตรีเมืองท่าโขลง
2. นายปกณ์ ทองปราง รองนายกเทศมนตรีเมืองท่าโขลง
3. นายวิระศักดิ์ ฮาดดา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม
4. นางทุเรียน ปุ่นพิทักษ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม
-----------
เจ้าหน้าที่อนุญาตให้พระลูกวัดพระธรรมกาย เข้า-ออก ไปบิณฑบาตรได้แต่ต้องแสดงใบสุทธิ

ความเคลื่อนไหวที่วัดพระธรรมกาย บริเวณประตูที่ 5และ6 ฝั่งคลองแอน พระสงฆ์วัดพระธรรมกาย ออกบิณฑบาตรเช้านี้ ตามปกติ โดยขากลับเข้าวัดพระสงฆ์ทุกรูปจะต้องแสดงใบสุทธิ โดยจะต้องเป็นพระลูกวัดพระธรรมกายเท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงจะอนุญาตให้เข้าพื้นที่ ส่วนศิษยานุศิษย์ ได้ทยอยกลับออกจากวัดบางส่วน

ทั้งนี้ ถือว่าวันนี้ เจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองบุคคลมากขึ้นกว่าเมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะมีหลักฐานเอกสารลงบันทึกประจำวันเป็นลายลักอักษร ก็ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่แสดงความไม่พอใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จะเข้าเจรจาขอคืนพื้นที่ในเวลา 09.00น.
----------
ผบ.ตร. หวั่น มือที่ 3 สร้างสถานการณ์ในวัดพระธรรมกาย จัดกำลัง 3,000 นาย ดูแลตามความเหมาะสม

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยผ่านรายการ เปิดข่าวเด่น เจาะประเด็นดัง ของสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงมาตรการดูแลความเรียบร้อยภายในวัดพระธรรมกาย ว่า ขณะนี้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชน และตำรวจตระเวนชายแดนที่ใช้ในการดูแลความเรียบร้อยโดยรอบวัดพระธรรมกาย ประมาณ 3,000 นาย นั้น ถือว่าเพียงพอและเหมาะสมกับสถานการณ์ประจำวัน

โดยยืนยันว่า จะมีการประเมินสถานการณ์วันต่อวัน เพื่อปรับกำลังให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งตำรวจได้จัดกำลังตามการร้องขอของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่ได้รับคำสั่งให้ งดเว้นการใช้อาวุธ หลีกเลี่ยงการปะทะ เป็นหลักการควบคุมฝูงชนตามหลักสากล การปฏิบัติงานมีขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ทั้งนี้ ยังยืนยันอีกว่า ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร เพียงแต่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยบุคคลที่ 3 ที่อาจจะเข้ามาสร้างสถานการณ์ และการปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นไปเพื่อติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับ หากเข้ามามอบตัวเพื่อต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
----------
รองอธิดีดีเอสไอ ยืนยัน ยังบังคับใช้ ม.44 ปูพรม ค้นเป้าหมายในวัดพระธรรมกายจนสิ้นสงสัย  

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ลงพื้นที่บริเวณฝั่งประตู 5 และ 6 ฝั่งคลองแอน เพื่อตรวจกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมระบุว่า เจ้าหน้าที่ ยืนยันจะปูพรมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายเพื่อให้สิ้นข้อสงสัย และยังคงบังคับใช้ มาตรา 44 อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน มีกลุ่มบุคคลพยายามลัดเลาะและปีนเข้าภายในวัด แต่ทางวัดกลับปฏิเสธว่าไม่ใช่คนของวัด จึงอยากขอความร่วมมือสื่อมวลชนให้บันทึกภาพดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานนอกจากนี้ รองอธิบดีดีเอสไอ ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่า พระธัมมชโย จะเข้ามอบตัวที่ วัดพิชยญาติการาม ว่าเป็นเพียงข่าวลือ ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียด และไม่หนักใจที่ขณะนี้มีจำนวนพระสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ รวมตัวจำนวนมากที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง เพราะสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
--------------
ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมดีเอสไอ เข้าวัดพระธรรมกาย เพื่อร่วมตรวจค้น โซน เอ และ บี แล้ว

บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่ประตู 7 วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี นายสมเกียรติ ธงสี ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมคณะ รวมถึง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ขับรถเข้าไปยังพื้นที่วัดพระธรรมกาย ประมาณ 4 คัน เพื่อเจรจาตรวจค้นพื้นที่ควบคุมพิเศษ โซนเอ และ โซนบี ของวัดพระธรรมกาย ที่เจ้าหน้าที่ได้ขีดเส้นตายการเจรจาไว้ที่เวลา 10.00 น. ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะมีการแถลงรายละเอียดอีกครั้ง

สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัย บริเวณประตูที่ 7 มีกำลังเจ้าหน้าที่จากตำรวจภูธรภาค 1 สับเปลี่ยนกำลังหมุนเวียนกำลัง ครั้งละ 1 กองร้อย เพื่อดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่
------------
ดีเอสไอ พร้อม ตชด. ตรวจสอบ รถขนถ่ายกำลังพล มีรอยร้าวที่หน้ากระจก เตรียมส่ง พฐ. ตรวจหาสาเหตุ

พล.ต.ต.พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเฉลิมฉัตร ผู้บังคับการตำรวจตระเวณชายแดน ภาค 1 และ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบรถ 6 ล้อ ขนถ่ายกำลังพล ที่กระจกหน้ารถมีรอยร้าว พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำรถคันดังกล่าวเข้าพบตำรวจ สภ.คลองหลวง เพื่อลงบันทึกประจำวัน และให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่า เกิดจากสาเหตุใด

ซึ่งจากการสอบถามทราบว่า ขณะที่ตำรวจตระแวนชายแดน ขับรถคันดังกล่าว ระบุว่า เมื่อวานที่ผ่านมาเวลาประมาน 19.40 น. ก่อนถึงจุดกลับรถบริเวณประตู 5 - 6 วัดพระธรรมกาย เพื่อนำกำลังเจ้าหน้าที่มาสับเปลี่ยนผลัด ซึ่งระหว่างขับรถจากกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 ได้ใช้ความเร็วประมาน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งช่วงกำลังกลับรถบริเวณประตู 7 ได้ยินเสียงบริเวณหน้ารถดังเหมือนมีอะไรกระแทกเข้าที่กระจก ก่อนที่จะขับมาถึงบริเวณประตู 5 - 6 ทันที เมื่อตรวจสอบพบว่ากระจกหน้ารถมีรอยแตกเป็นวงขนาด 3 นิ้ว คาดว่าน่าจะเป็นหิน หรืออาจจะเป็นวัตถุบางอย่างปลิวกระแทกกระจก
-------------
รองโฆษก ตร. เผย ดีเอสไอ ยังรอผลเจรจาในการนำกำลังเข้าค้นวัดพระธรรมกาย

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังเข้าร่วมฟังการเจรจาพูดคุยเข้าตรวจค้นพื้นที่ โซนเอ และ โซนบี ของ วัดพระธรรมกาย เบื้องต้น ว่า หากการเจรจาระหว่าง พระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดีเอสไอ และพระวัดพระธรรมกาย สำเร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเตรียมกำลังนำเข้าตรวจค้น โดยจะเข้าบริเวณฝั่งประตูที่ 5

แต่เบื้องต้น ยังคงต้องรอความชัดเจนจากชุดเจรจาอีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้ การเจรจายังไม่แล้วเสร็จด้านผู้บังคับบัญชาระดับสูง ทั้ง ดีเอสไอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงประชุมติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ ที่ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1
-------------
พระสนิทวงศ์ ยังไม่ทราบกระแสข่าว พระธัมมชโย มอบตัว - วอนรัฐบาลยกเลิก ม.44 คุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย 

พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมาตรา 44 ให้วัดพระธรรมกาย เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นอย่างละเอียดไปแล้ว ทำให้ญาติโยมไม่เข้าใจเหตุผลที่รัฐบาลยังคงมาตรา 44 ไว้จนทำให้วานนี้มีการเจรจาขอตรวจค้นอีกครั้ง และทำให้ญาติโยมไม่พอใจและไม่อนุญาตให้เข้าไป แม้ว่าทางวัดจะยินยอมก็ตาม

ส่วนข่าวลือที่ พระธัมมชโย จะเข้ามอบตัวนั้น ตนเองก็ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้มาก่อน นอกจากนี้ พระสนิทวงศ์ ยังตอบโต้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ระบุว่า โดนประชาชนโทรศัพท์มาตำหนิในยามวิกาล เรื่องการดำเนินการตามมาตรา 44 กับวัดพระธรรมกาย ว่า นายสุวพันธุ์ ต้องรับฟังเสียงจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศมาตรา 44 เพราะว่า นายสุวพันธุ์ ก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกคนหนึ่ง
---------
รองโฆษก ดีเอสไอ เผยยังรอผลการเจรจาเข้าค้นวัดพระธรรมกาย โซน A และB - เตรียมพื้นที่โซน C จัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์ในวัด

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า ขณะนี้ชุดทำงานอยู่ระหว่างรอฟังผลการเจราที่นำโดย พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมตัวแทนจาก

สำนักพระพุทธศาสนาและเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด และหากการเจรจาไม่เป็นผลก็จะกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการเข้าตรวจค้นวัด

พระธรรมกายต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่โซนเอ และโซนบี ที่ยังต้องเข้าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อตามหาตัวพระธัมมชโย นอกจากนี้ ในส่วนของพื้นที่ที่มีองค์พระทองคำรูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำ

ที่มีกระแสข่าวว่าจะเป็นที่หลบซ่อนตัวของพระธัมมชโย เจ้าหน้าที่เคยเข้าไปตรวจสอบแล้วแต่ยังไม่ได้ตรวจค้นอย่างละเอียด

ส่วนกรณีที่พระภิกษุสงฆ์ในวัดพระธรรมกาย มีอาหารไม่เพียงพอ ทางสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีความเป็นห่วง จึงได้ประสานกับดีเอสไอเตรียมพื้นที่โซนซี ไว้จัดการภัตตาหารเพื่อถวายพระ

สงฆ์ที่อยู่ในพื้นที่วัด

อย่างไรก็ตาม จากการประเมินกลุ่มลูกศิษย์มีจำนวนมากขึ้น อยู่ที่ 2,500 คน และมีการทยอยเดินทางเข้ามาสมทบเพิ่มเติม ขณะที่พระสงฆ์ มีจำนวนกว่า 1,000 รูป
-----------
DSI สั่งเคลื่อนกำลังพลทุกรูปแบบประจำจุดรอบวัดธรรมกาย เตรียม จนท. 4 พันนาย เน้นปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ สั่งเคลื่อนกำลังพลทุกรูปแบบที่อยู่ประจำจุดต่าง ๆ รอบวัดพระธรรมกาย ตามแผนการปฏิบัติที่วางไว้ เพื่อติดตามตัวพระธัมมชโย

หลังไม่สามารถเจรจาขอเข้าพื้นที่ได้

โดยมี พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ และกำชับให้ปฏิบัติเน้นจากเบาไปหาหนัก หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ซึ่งหากขณะเข้าปฏิบัติหน้าที่แล้วมีผู้ขัดขวางจะ

เน้นการพูดคุยเป็นหลัก แต่หากไม่เป็นผลจะเชิญตัวไปดำเนินการตามกฎหมาย และหากเกิดเหตุเผชิญหน้าจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ก็ได้เตรียมแผนรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว

ขณะที่ขั้นตอนการเข้าตรวจค้นไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันกำลังที่ใช้มีทั้งดีเอสไอ ตำรวจ และทหาร กว่า 4 พันนาย และไม่สามารถระบุได้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใด เพราะขึ้นอยู่กับการประเมิน

สถานการณ์ และเจ้าหน้าที่จะมีการประชุมสรุปผลอีกครั้งในเวลา 17.00 น.
------------
DSI แถลงผลการเจรจาล้มเหลว วัดธรรมกายไม่ยินยอมให้เข้าตรวจค้น เตรียมดำเนินการขั้นตอนต่อไป 

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงผลการเจรจาเข้าค้นพื้นที่วัดพระธรรมกาย หาตัว พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย นานกว่า 5 ชั่วโมง ว่า ขณะนี้มี

ศิษยานุศิษย์จำนวนมากในพื้นที่และยังไม่เข้าใจสถานการณ์ และยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เชิญเเกนนำศิษยานุศิษย์มาพูดคุยทำความเข้าใจ และกลับไปพูดกับกลุ่ม

ลูกศิษย์ที่เหลือ ซึ่งสถานการณ์ดูคล้ายจะราบรื่น แต่กลุ่มมวลชนกลับอ้างว่า ยังไม่เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในการตรวจค้นพื้นที่ซ้ำ

ขณะที่ช่วงบ่าย การดำเนินการของทางวัดได้แยกส่วนการปฏิบัติ ซึ่งทาง พระทัตตชีโว ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุดของวัดพระธรรมกายขณะนี้ กลับไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ดีเอส

ไอพร้อมชี้แจงทุกอย่างและขอเข้าพบ แต่ พระทัตตชีโว กลับปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่

ซึ่งหลังจากนี้ ดีเอสไอ จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายตามขั้นตอนทันที ยืนยันการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตามประตูต่าง ๆ ไม่ใช่การบุกค้น เเต่เป็นการป้องกันพื้นที่เนื่องจากอาจมีบุคคลอื่นเข้ามาสร้าง

สถานการณ์ ขณะที่การดำเนินการหลังจากนี้ จะดำเนินการตามกรอบของกฎหมายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คู่ขนานไปกับการพูดคุย ซึ่งหากบุคคลใดประสงค์ที่จะออกจากพื้นที่ให้ประสานรีบมา และ

ออกจากพื้นที่ทางประตู 7 ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป โดยเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้

อย่างไรก็ตาม รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวด้วยว่าจะนำผลการหารือในการเจรจาครั้งนี้กลับไปประชุม ที่กองบังคับการตำรวจตะเวนชายแดนภาค 1 เพื่อหาแนวทางการปฏิบัติอีกครั้ง
-----------
รมว.ยธ. ไม่กำหนดเส้นตายค้นวัดธรรมกาย เมินกรณี พระสนิทวงศ์ โพสต์เบอร์โทรในเฟซบุ๊ก

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ได้เข้าประชุมร่วมกับวัดพระธรรมกาย เพื่อขอเข้าตรวจค้นภายในพื้นที่วัด โดยย้ำว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานต้อง

สามารถตอบคำถามกับรัฐบาลและสังคมได้ รวมถึงเมื่อปฏิบัติหน้าที่แล้วก็จะต้องชี้แจงต่อศาลให้รับทราบ

ขณะเดียวกัน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้เปิดเผยว่า ตนได้มีการหารือกับ สมเด็จพระสังฆราชฯ ทั้งทางโทรศัพท์ รวมทั้งประสานงานคุยกัน ซึ่งท่านต้องการให้เรื่องยุติลงด้วยความสงบ

เรียบร้อยของบ้านเมือง และไม่เกิดเหตุรุนแรง ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติต้องรับข้อห่วงกังวลทุกด้าน ยึดหลักความอดทน ไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยทุกอย่างต้องเดินไปตามข้อกฎหมายและเป็นไปด้วยความ

เรียบร้อย โดยไม่มีการกำหนดเส้นตายแต่อย่างใด

ขณะนี้ เบื้องต้น การปฏิบัติการยังสามารถใช้ ม.44  แต่ตนจะต้องขอพิจารณาอีกครั้งในภายหลัง ส่วนกรณี พระสนิทวงศ์ โพสต์หมายเลขโทรศัพท์ของตนในเฟซบุ๊กนั้น ตนไม่อยากที่จะทะเลาะกับ

พระ สังคมย่อมรู้ดีว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
-----------
แถลงการณ์เรื่องความปลอดภัยของสื่อมวลชนภาคสนาม ฉบับที่ 1

จากเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างสื่อมวลชนกับชายฉกรรจ์ ที่บริเวณหน้าวัดพระธรรมกาย เมื่อค่ำวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย มีความห่วงใยในสวัสดิภาพของเพื่อนนักข่าวและช่างภาพ และทีมข่าวที่กำลังปฏิบัติ
หน้าที่รายงานข่าวอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากสถานการณ์มีความอ่อนไหว และเป็นความขัดแย้งที่มีแนวโน้มในการใช้ความรุนแรง เพราะ
มุมมองในเรื่องความเชื่อ ความศรัทธา กับการบังคับกฎหมายของรัฐ มีความแตกต่างและมีความขัดแย้งในทางความคิดของคนใน
สังคมอย่างมาก ซึ่งนอกจากหน้าที่สื่อมวลชนภาคสนามที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้าน ด้วยความ
ระมัดระวังเป็นพิเศษในการรายงานข่าวโดยไม่ลำเอียง และปราศจากอคติแล้ว

สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทยขอเรียกร้องให้กองบรรณาธิการข่าว ผู้ประกาศข่าว ผู้ดำเนินรายการข่าว ผู้ดูแลเว็บไซต์
โซเชียลมีเดีย รวมทั้งคอลัมนิสต์ ในแต่ละสำนักข่าว ตระหนักและคำนึงถึงความปลอดภัยของนักข่าวและช่างภาพ ภาคสนามที่ปฏิบัติงาน
ข่าวในพื้นที่ให้มากขึ้น ด้วยการระมัดระวังในการนำเสนอความเห็นและความรู้สึกส่วนตัวปะปนกับการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ต้องนำ
ข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา สร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่อ่อนไหว สร้างอันตรายให้กับทีมข่าวภาคสนาม

สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทยขอยืนยันว่าการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนด้วยเสรีภาพบนความรับผิดชอบ สื่อมวลชนย่อมมิใช่คู่
ขัดแย้งของฝ่ายใด สื่อมวลชนมีหน้าที่เพียงแต่รายงานข่าวตามวิชาชีพเท่านั้นและจะไม่มีความสูญเสียใดเกิดขึ้น หากทุกฝ่ายได้เคารพ
บทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกันและแสวงหาหนทางที่จะคลี่คลายวิกฤติด้วยสันติวิธี

สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย
22 กุมภาพันธ์ 2560
---------------
ตำรวจตรึงกำลังพร้อมเข้าบุกค้นวัดพระธรรมกาย พบโดรนพยายามบินเข้าพื้นที่วัด โดยยืนยันว่าไม่ใช่ของดีเอสไอ

ความเคลื่อนไหวที่ บริเวณประตู7 วัดพระธรรมกาย ภายหลังการเจรจาของเจ้าหน้าที่และวัดพระธรรมกายไม่เป็นผล จึงขอให้บุคคลที่ไม่เดี่ยวข้องออกจากพื้นที่ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ตั้งโต๊ะคัด

กรองบุคคล ให้ออกจากพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่วัดที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์และประชาชนรวมกว่า10 คน แสดงความจำนงค์ออกจากพื้นที่ ตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ รวมทั้งมีหน่วยทีมกู้ชีพของมูลนิธิร่วม

กตัญญู ได้นำรถพยาบาลมาเพื่อรอรับผู้ป่วยจากภายในวัด หลังได้รับประสานงานมา โดยเบื้องต้นวัดไม่ได้แจ้งจำนวนผู้ป่วย สาเหตุ และไม่ระบุว่าเป็นพระภิกษุหรือฆารวาส ซึ่งทีมแพทย์ได้รับการ

ประสานตั้งเวลาประมาณ 16.00น. ก่อน ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะประสานนำทีมแพทย์เข้าไปรับผู้ป่วย ซึ่งเป็นหญิงชรา เพียง 1 คนเท่านั้น

นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าประตูทางออกที่7 ยังมีเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้เข้ามาสังเกตุการณ์ในพื้นที่ โดยระบุเพียงสั้นๆว่า เดินทางมาเพื่อสังเกตุการณ์ ไม่ได้มาพูดคุยกับใคร

เป็นพิเศษ ก่อนจะเดินทางกลับ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พบ โดรน (อากาศญาณไร้คนขับ) สีดำ 1 ลำพยายามที่จะบินผ่านประตูที่7 วัดพระธรรมกายแต่เจ้าหน้าที่พบก่อนจะตัดสัญญาณและนำมาตรวจสอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืน

ยันว่าไม่ใช่ โดรนของดีเอสได้

อย่างไรก็ตามสำหรับ สถานการณ์ในพื้นที่ทุกประตูของวัดพระธรรมกายขณะนี้ยังคงที่ เจ้าหน้าที่ยังคงตรึงกำลัง เตรียมความพร้อมเข้าปฏิบัติในทุกประตู

///////////
ปรองดอง
โฆษก กห. สรุปผลพูดคุยปรองดอง 14 พรรค ราบรื่น มองโครงสร้างทางการเมืองมีปัญหา ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพ - กฎหมาย

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง แถลงผลการพูดคุยกับ 14 พรรคการ

เมือง ระบุว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความเป็นกันเองและสงบเรียบร้อย มีการให้ความคิดเห็นข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ เป็นเสียงสะท้อนจากพรรคเล็กที่ต้องการเข้าสู่การเมือง แต่ยังขาดโอกาส

โดยมองว่าโครงสร้างทางการเมืองของไทย มีปัญหา จากการไม่เคารพสิทธิเสรีภาพ รวมถึงกฎหมาย พร้อมมองว่าโครงสร้างทางการเมืองของไทยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ พรรคการเมืองใหม่ พรรคการ

เมืองเก่า กลุ่มประชาชน องค์กรอิสระ และกลุ่มทุนธุรกิจทางการเมือง

โดยระบุว่าในส่วนของประชาชน มีพื้นฐานความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งการศึกษา การเข้าถึงสาธารณสุข การเข้าถึงแหล่งทุน ทำให้สูญเสียโอกาสในการแข่งขันและการดำรงชีวิต
------------
โฆษก กห. เผย ความเห็นพรรคเล็ก ระบุ การสูญเสียผลประโยชน์ของกลุ่มเก่า - ใหม่ เป็นรอยต่อที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง องค์กรอิสระ ไม่เป็นกลาง 

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า จากการรับฟังความคิดเห็นจากพรรคการเมืองขนาดเล็ก เห็นตรงกันว่า ปัญหาการสูญเสียผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองเก่า และ

การได้ซึ่งผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองใหม่ เป็นรอยต่อที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง จนพยายามกลไกทางกฎหมาย แทรกแซงองค์กรอิสระ นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่น ขณะที่ในส่วนขององค์กรอิสระ

ไม่สามารถวางตัวใหัเป็นกลาง ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่ได้รับการยอมรับ ประกอบกับการมีกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนทางการเมืองเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ

ดังนั้น การปฏิรูปจึงต้องทำไปพร้อม ๆ กัน โดยพรรคการเมืองจะต้องคัดคนที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือมาเป็นทางเลือกให้ประชาชน ไม่ทำการเมืองเชิงธุรกิจ ผูกขาดอำนาจไว้กับตัวบุคคล ส่วนรัฐต้อง

คืนความเป็นธรรมให้สังคมทั้งในเรื่องของการศึกษา การเข้าถึงระบบสาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติ และสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยัง

เห็นควรให้เพิ่มความเข้มแข็งของชุมชนในการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์
----------
โฆษก กห. ย้ำ พท. ตอบรับร่วมปรองดองแล้ว เรื่องวันรอกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เตรียมเชิญอีก 6 พรรค ในสัปดาห์นี้ 

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยได้ตอบรับที่จะเข้าร่วมกระบวนการพูดคุยกับคณะอนุกรรมการรับฟังข้อคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองแล้ว

ส่วนการทางพรรคระบุว่า พร้อมที่จะเข้าให้ข้อมูลในวันที่ 8 มี.ค. นั้น ทางโฆษกชี้แจงว่า ขอให้ทางคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเป็นผู้กำหนดวันและประสานกับทางพรรคเอง เพื่อไม่ให้เกิด

ความเหลื่อมล้ำในการจัดลำดับ

ส่วนกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ขอเข้าชี้แจงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้น ขอให้ใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่มีช่องทางอยู่แล้ว ทั้งเวทีระดับท้องถิ่นในทุก

จังหวัดและเวทีส่วนกลางจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ ในช่วงบ่ายจะเชิญพรรคกสิกร พรรคเพื่อประชาชนไทย และพรรคเพื่อฟ้าดิน เข้าให้ข้อมูล ส่วนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ จะเชิญพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรค

รักท้องถิ่นไทย และพรรคไทยรักธรรม เข้าให้ข้อมูล
----------
กห. ย้ำ อนุฯ ปรองดอง 4 ชุด เป็นกลาง รับฟังความคิดเห็นเสียงของประชาชนทุกกลุ่ม ขออย่าสร้างเงื่อนไข ขอระมัดระวังเสนอข่าว

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 4 ชุด จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง จะเปิดรับฟังความคิดเห็นเสียงของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ไม่ใช่

เฉพาะกลุ่มของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยไม่มีการกำหนดกรอบการพูดคุย จึงขอความร่วมมือช่วยทำให้กระบวนการสร้างความปรองดองเดินหน้าต่อไป อย่าสร้างเงื่อนไข และขอให้ทุกฝ่ายใช้ความ

ระมัดระวังและดุลยพินิจในการนำเสนอข้อมูลผ่านสื่อรวมถึงไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ข้อคิดเห็นของพรรคการเมืองอื่น ไม่ให้เกิดเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการคาดหวังของประชาชน
-----

---------
พล.อ.ประวิตร ย้ำปรองดอง ไม่คุยเรื่องนิรโทษกรรม รับเป็นห่วง "สุวพันธุ์" เชื่อรับมือได้ ไม่มั่นใจค้นวัดพระธรรมกายจบวันนี้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงข้อเสนอของพรรคการเมืองไทยโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่จะเสนอเรื่องของนิรโทษ

กรรมนั้น เคยพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไม่นำเรื่องดังกล่าวมาพูดคุย ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ให้ไปนำเสนอต่อ อนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล
ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงการดำเนินการตรวจค้นวัดธรรมกาย ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้าการเข้าตรวจค้น ก็เป็นหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ

ซึ่งต้องไปสอบถามกับ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และยอมรับว่าเป็นห่วง นายสุวพันธุ์ หลังจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีนำหมายเลขโทรศัพท์ไปโพสต์บนโซเชียลมีเดีย แต่
เชื่อว่า นายสุวพันธุ์ คงสามารถไปเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เอง ส่วนกรณีที่มีการระดมศิษยานุศิษย์ในโซเชียลมีเดียนั้น ทางดีเอสไอก็จะต้องเข้าไปดำเนินการ ขณะเดียวกัน รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความ

มั่นคง ยังไม่ยืนยันว่าการตรวจค้นวัดพระธรรมกายจะจบในวันนี้หรือไม่ ขอให้ไปถามจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากได้มอบนโยบายไปแล้ว
-------------
"ถาวร" เผย กปปส. คุยกันต้นเดือนหน้า เตรียมความพร้อมให้ข้อมูลอนุฯ ปรองดอง รีบส่วนตัวมีเรื่องเสนอเพิ่ม แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด

นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เปิดเผยถึงการเตรียมเข้าให้ข้อมูลกับ คณะกรรมการปรองดอง ตามที่ได้มีการส่งหนังสือให้กลุ่ม กปปส. เข้าแสดงความคิดเห็นว่า ทาง กลุ่ม กปปส. ยังไม่ได้มี

การหารือเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลแต่อย่างใด แต่มีการเตรียมที่จะหารือแกนนำในช่วงต้นเดือน มี.ค. นี้ เพื่อเตรียมข้อมูลก่อนที่จะเข้าพบอนุกรรมการปรองดอง

ทั้งนี้ นายถาวร ย้ำว่า กปปส. มีแนวทางชัดเจน คือการเสนอเรื่องการปฏิรูป 5 ด้าน ประกอบด้วย การปฏิรูปข้าราชการ, การปฏิรูปพรรคการเมือง, การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น, การปฏิรูปตำรวจ, และ

การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมถึง ยอมรับว่า ส่วนตัวมีข้อเสนอเพิ่มเติม นอกเหนือจากการปฏิรูป 5 ด้าน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องรอหารือกับแกนนำก่อน
----------
ผบ.สส. ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ย้ำสนับสนุนการทำงาน ป.ย.ป. สร้างความสามัคคีปรองดอง เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชนหากเกิดภัยพิบัติ

พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 3/2560 โดยมี พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการ

ทหารบก พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เข้าร่วม โดยการประชุมในครั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ศูนย์บรรเทาสาธารณ

ภัยกองทัพไทย และเหล่าทัพเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยได้ทันที ทั้งนี้ สำหรับกรณีอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพื้นฟู โดยให้ดำเนินการอย่าง

บูรณาการ

พร้อมกันนี้ ยังขอบคุณที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือกับคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) รวมไปถึง

คณะกรรมการเตรียมการ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องด้วย
---------------
ผบ.สส. เน้นย้ำกำลังพล ยึดมั่นพระราชดำรัส ร.10 เป็นหลักในการดำเนินชีวิต พร้อมขอบคุณทุกเหล่าทัพร่วมสนับสนุนฝึกคอบรา โกลด์

พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เน้นให้กำลังพลและครอบครัวน้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีพระราชดำรัส เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ว่า "ขอให้

ชาวไทยทุกคนร่วมกันคิดอ่าน และปฏิบัติหน้าที่ด้วยปัญญา รวมทั้งพิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยปราศจากอคติ มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

อย่างไรก็ดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวขอบคุณทุกเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ

พลอดุลยเดช และการสนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ รวมถึงการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ นอก

จากนี้ ยังขอบคุณทุกเหล่าทัพที่ให้การสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการเข้าร่วมฝึกคอบรา โกลด์ 2017 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกองทัพไทย
----------

//////////

รัฐธรรมนูญ

"นรชิต" มั่นใจ พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ส. - ส.ว. เสร็จ มี.ค. นี้ นำส่ง สนช. พร้อม ๆ กับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง - กกต. ยังไม่ชัดยุบ ป.ป.ช.จังหวัด หรือไม่

นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จากการลงพื้นที่ รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ส.ส.

และ ส.ว. ที่เชียงใหม่ ที่ผ่านมา รวมถึงได้เดินทางต่อไป จ.น่าน โดยประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง, เรื่องการหาเสียง, เรื่องบัตรเลือกตั้ง ซึ่งมีการเสนอ

ความเห็นที่หลากหลาย ทั้งที่เห็นตรงกับ กรธ. และที่เห็นต่าง จาก กรธ. เช่นเรื่องของการเลือกไขว้ ส.ว. ที่ไม่อยากให้มีการฮั้ว หรือล็อกผลได้ ซึ่งจะนำไปปรับปรุงต่อไป โดยมั่นใจว่า ทั้ง 2 ฉบับนี้

น่าจะแล้วเสร็จในเดือน มี.ค. นี้ เพื่อที่จะส่งให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พร้อม ๆ กับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ต่อไป

ทั้งนี้ นายนรชิต กล่าวต่อว่า สำหรับการพิจารณาเนื้อหา พ.ร.ป.ฉบับอื่น ๆ ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นการประชุมนัดแรกของสัปดาห์ ก็จะหารือเกี่ยวกับ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. กันต่อ แต่ยังไม่ชัดว่าจะมีการยุบ

ป.ป.ช.จังหวัด หรือไม่ และหากมีต่อก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ในการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับ ป.ป.ช.ส่วนกลาง มากขึ้น โดยจะมีการเชิญผู้แทนของ ป.ป.ช. มาหารืออีกครั้ง
-----------
"มีชัย" ยัน รธน. ใหม่ มุ่งเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้ข่าวสารภาครัฐได้มากขึ้น กำหนนดขั้นตอนง่ายขึ้น แนะคิดนอกกรอบ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ" ในงานเสวนาเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร

สาธารณะ พ.ศ. .... : กลไกสำคัญในการตอบโจทย์การปฏิรูปภาครัฐ มุ่งสู่ Thailand 4.0” ว่า ที่ผ่านมามีกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการอยู่แล้ว แต่เนื่องจากยังไม่สอดคล้องกับการก้าว

ไปสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ดังนั้น ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการทำประชามติ จึงมุ่งเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้ข่าวสารภาครัฐได้มากขึ้น โดย กรธ. จึงกำหนดขั้นตอนกฎหมาย เพื่อ

ให้ง่ายต่อการปฏิบัติ เพราะหากประชาชนรู้ข้อมูลข่าวสารการทำงานของส่วนราชการก็จะง่ายขึ้น รวมทั้งเสนอแนะให้กฎหมายนี้ มีบทลงโทษหากหน่วยงานราชการไม่ทำหน้าที่เปิดเผยข้อมูลข่าว

สารให้ประชาชนทราบ พร้อมฝากให้คิดนอกกรอบเพื่อคิดหาระบบที่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาเผยแพร่ข้อมูลข่าวให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง และทำอย่างไรจะกระตุ้นให้ประชาชนเข้าสู่ข้อมูลข่าว

สารได้
-------------
"มีชัย" แจง กรธ. ไม่เกี่ยวร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ เชื่อหากทำได้ตาม รธน. กำหนด จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. เปิดเผยภายหลังปาฐกถาพิเศษ ในเวทีเสวนาเรื่องร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ว่า ร่างกฎหมายดังกล่าว สภานิติบัญญัติ

แห่งชาติ ( สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ร่วมกันทำ เพื่อให้สอดรับกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ที่จะเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนได้รับทราบ ซึ่งไม่เกี่ยวกับ

กรธ. ทั้งนี้ หากทำได้ตามที่กำหนดในกฎหมายจะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง เพราะจะรู้ในข้อมูลที่ราชการใช้เป็นฐานความคิด และสามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้อย่างเท่าเทียมกันทุกคน รวม

ทั้งทำให้ประชาชนมีโอกาสติดตาม ตรวจสอบภาครัฐได้มากขึ้น เพราะในอดีตราชการรับรู้ แต่ประชาชนไม่รับรู้ จึงอาจเกิดการต่อต้าน
-------------
"มีชัย" มั่นใจ ไร้ปัญหาในทางปฏิบัติ ปม ม.77 วรรค 2 ปฏิเสธแสดงความเห็น ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่ สนช. กังวลต่อมาตรา 77 วรรคสอง ของร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ก่อนตรากฎหมาย รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นของผู้

เกี่ยวข้องต้องวิเคราะห์ผลกระทบต่อกฎหมายอย่างรอบด้าน และมีระบบให้เปิดเผยต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาการตรากฎหมายในทุกขั้นตอน โดยยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในการปฏิบัติ

ไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก เพราะการรับฟังไม่ใช่ของเสียหาย และการเปิดเผยข้อมูลสามารถเปิดเผยได้ทั้งโทรทัศน์ เว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนที่สนใจสามารถรับทราบ

ขณะเดียวกัน ยังปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ลดจำนวนบุคคลจากหน่วยงานภาครัฐเหลือ ปลัดกระทรวง 2

คน โดยยังไม่ทราบรายละเอียด แต่การเอาปลัดกระทรวงเข้ามาขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ แต่ยืนยันว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ไม่ได้ระบุถึงการควบคุมสื่อ มีแต่เรื่องของจรรยาบรรณที่สื่อ

ต้องไปคิดกันเองว่าจะควบคุมจรรยาบรรณสื่ออย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพ เพราะหากมีการทำผิดและใช้วิธีการลาออก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งนี้ สื่อเองต้องมีสิทธิเสรีภาพ และจรรยาบรรณด้วย
///////////
บัตรทอง

โฆษก รบ. ยืนยัน ไม่มีการเลิกโครงการบัตรทอง ย้ำ ประชาชนได้สิทธิเพิ่ม ขออย่าหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า งบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอ และรัฐบาล

พยายามจะล้มเลิกโครงการบัตรทอง ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมมือกันอย่างดีในการดูแลประชาชน และได้ปรับ

เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ดีขึ้นด้วย โดยปีงบประมาณ 2561 กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 128,533 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3,197.32 ต่อหัวประชากร

เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2560 จำนวน 87.75 บาทต่อคน โดยประชาชนยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม และมีส่วนที่จะได้รับเพิ่มขึ้น คือ ค่าบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ค่าบริการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

และค่าบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน

ทั้งนี้ พล.ท.สรรเสริญ ยังกล่าวต่อว่า รัฐบาลอยากให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง เมื่อได้รับข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เพราะมีหลายครั้งที่ข้อมูลถูกบิดเบือนเพื่อทำให้

สังคมหลงเชื่อ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยืนยันว่า จะร่วมกันบริหารงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อไม่ให้กระทบกับคุณภาพการให้บริการ

ประชาชน