PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561

"หยุ่น"อำลาเนชั่นฟันธงอีก3ปีสื่อหายไปจากระบบ40%

'สุทธิชัย หยุ่น' อำลาพนักงานเนชั่น ขอกลับไปใช้ชีวิตบั่นปลายอย่างสงบสุข ฝากยึดแนวทางสื่อคุณภาพ รายงานข่าวเน้นเนื้อหา เชื่อ 'ผู้บริหารใหม่' พร้อมฟังข้อเสนอ ฟันธงอีก 3 ปี สื่อหายร้อยละ 40

picnatuomm

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 12 ม.ค.2561  ที่มหาวิทยาลัยเนชั่น พนักงานบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จัดงานเลี้ยงอำลานายสุทธิชัย หยุ่น ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือเนชั่น ที่ขอเกษียณการทำงานของตัวเอง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ไม่มีอารมณ์เศร้า มีพนักงานเนชั่นเข้าร่วมงานจำนวนมาก รวมถึงพนักงานเนชั่นที่ลาออกไปแล้วบางส่วนด้วย ต่างคนต่างยิ้มแย้มเป็นกำลังใจให้กัน 

นายสุทธิชัย กล่าวต่อพนักงานตอนหนึ่งว่า หลังจากนี้จะทำงานเขียนคอลัมน์กาแฟดำ รวมถึงออกรายการทางเนชั่นทีวี ถึงวันที่ 28 ก.พ. และจะหยุดทำงานตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นไป แต่จะสื่อสารกับสังคมทั่วไปอยู่ โดยจะทดลองอะไรเล่นไปเรื่อยๆ แต่ไม่ทำอะไรที่ซีเรียสมากมาย ทำเล่นๆดูว่าจะทำอะไรได้หรือไม่ได้ และจะเขียนหนังสือ 1 เล่ม เพื่อเล่าประสบการณ์ทั้งหมด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนทำสื่อรุ่นใหม่ เพื่อเรียนรู้อดีตและเป็นตัวอย่างว่าอะไรที่ตนทำพลาดจะได้ไม่ทำตาม อะไรที่น่าจะเป็นบทเรียนที่จะปรับปรุงก็สามารถเอาไปเป็นไอเดียได้

“สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือสื่อจะสูญพันธ์ สื่อในความหมายที่เราอยากเห็นมันจะไม่สามารถพัฒนา ปรับตัวให้ได้กับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคสื่อ สิ่งที่ผมจะเสนอออกมาเป็นความเห็นใครจะฟังหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ที่สุดแล้วผมจะได้ช่วยคิดว่าหากสื่อไม่เอาเรตติ้งแล้วสื่อที่มีคุณภาพจะอยู่ได้อย่างไร” นายสุทธิชัย กล่าว

picnatuomm00

นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า จากนี้พนักงานเนชั่นจะต้องบอกว่าทิศทางของบริษัทที่ควรจะเป็นนั้นเป็นอย่างไร ตนเชื่อว่าไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นผู้บริหาร ต้องอาศัยพนักงานเนชั่นที่เป็นมืออาชีพ ที่จะบอกเขาว่าแนวทางของเราเป็นอย่างนี้ เราต้องวิเคราะห์ให้เขาฟังว่าจะดูอนาคตของสื่ออย่างไร พวกเราเองจะต้องนั่งวางแผนกัน อย่ารอให้สั่งอย่างเดียว อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์อะไรแล้วมาถามว่า เหตุใดถึงเป็นอย่างนี้ เราสามารถกำหนดแนวทางการทำงานได้ คนเนชั่นเป็นคนริเริ่มสิ่งใหม่ๆมาตลอด 40 ปี เราเป็นคนสร้างเทรนด์ในวงการสื่อ ดังนั้นเราจะต้องสร้างเทรนด์ด้วยว่าวิธีการนำเสนอเนื้อหา การที่จะสร้างรายได้จากเนื้อหาควรจะเป็นอย่างไร

“ผมพูดมาตลอดว่าอย่าดูแต่เรตติ้งอย่างเดียว ดิจิทัลทีวีที่มีเรตติ้งสูงๆหลายเจ้าก็มีปัญหา ผมพูดจนน้ำลายแห้งก็ไม่มีใครฟัง เพราะว่าพวกเราเชื่อในเรื่องเรตติ้ง ผมบอกว่าทำไมเราไม่สร้างเนื้อหาที่คนอื่นไม่มีแล้วออกไปขายว่าเราแปลก เราไม่มีคนดูเป็นล้าน แต่เรามีคนดูที่มีคุณภาพ เรตติ้งควรเป็นส่วนประกอบเท่านั้น ไม่ควรเป็นชีวิตจิตใจของพวกคุณ คนเนชั่นต้องพิสูจน์ให้ผู้บริหารเห็นว่าฝีมือของพวกเรา เมื่อรวมพลังกันแล้ว นั่งคุยกันแล้วสามารถทำได้ ผมเชื่อว่าทำได้นะ เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกคุณรอให้สั่ง รอให้คนมากระตุ้น ผมอายุ 72 แล้วมาบ่นมากไม่ได้แล้ว” นายสุทธิชัย กล่าว

นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า ตนขอฝากให้ทุกคนสร้างเนชั่นขึ้นมาในโลกดิจิทัลใหม่ ในโลกโซเชี่ยลมีข่าวปลอมเยอะ ข่าวลวงเยอะ เราจะทำอย่างไรให้คนเข้ามาอ่านเนชั่นแล้วเชื่อถือได้ อีก 3 ปีข้างหน้า ตนเชื่อว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ พวกเราต้องระดมสมอง และจะมีทางแน่นอน แต่ก็ต้องรอดูความเปลี่ยนแปลง ปรับให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งคุณต้องรู้ว่ามันเร่งด่วน มันเป็นวิกฤต คุณต้องหาสูตร หาทางออกให้ได้ เพราะนี่คือวิกฤตที่สำเร็จก็จะมีไม่กี่เจ้าที่รอด

“ผมเชื่อว่าสื่อร้อยละ 40 จะหายไปจากสาระบบ ไม่ว่าจะมีทุนเยอะแค่ไหนก็ตาม ไม่สามารถไปรอด หากไม่มีเนื้อหาที่ตรึงตลาดเอาไว้ได้ ผมขอบคุณทุกท่านขอให้ทุกคนโชคดี มีความสุข และประสบความสำเร็จในทุกด้าน มีอะไรปรึกษาพูดคุยผมได้ แต่ขอหลบไปพัก เพื่อที่จะใช้ชีวิตบั่นปลายอย่างสงบสุข” นายสุทธิชัย กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังที่นายสุทธิชัยพูดกับพนังงานเนชั่นเสร็จแล้ว มีบรรดาพนักงานเข้าไปถ่ายรูป และมอบดอกกุหลาบให้นายสุทธิชัยจำนวนมาก 

บทเรียน "ยิ่งลักษณ์"หนี .."บิ๊กป้อม" สั่งติดกล้อง ทุกด่านชายแดน27 จ.

บทเรียน "ยิ่งลักษณ์"หนี .."บิ๊กป้อม" สั่งติดกล้อง ทุกด่านชายแดน27 จ.
"บิ๊กป้อม" สั่ง ซ่อมด่วน กลัองวงจรปิด 74 จ ทั่วประเทศ จาก 3.67แสนตัว คาดโทษ ใครปล่อยเสีย ไม่ซ่อม โดนลงโทษหนัก สั่งมท. เร่งสำรวจ 27 จ. ชายแดน ติดกล้อง ที่ด่าน จุดผ่านแดนให้ครบ สั่งให้ใช้ภาพจากวงจรปิด อำนวยความยุติธรรม/ มีมติให้ ลดหย่อยภาษี ให้เอกชน ที่ติดกล้องวงจรปิด
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ประชุมคณะกรรมการบูรณาการกล้องวงจรปิด กล่าวว่า การประชุมวันนี้ ได้สั่งการให้สำรวจ กล้องวงจรปิด ใน 74 จังหวัดทั่วประเทศ ไม่รวม3 จ.ชายแดนใต้ ว่า ที่มี กว่า 3.6 แสนตัว ที่เสียมีเท่าใด แล้วรีบรายงานมา และเร่งซ่อมแซม เพื่อเตรียมบูรณาการ นำกล้องวงจรปิด ทั้งหมด มาเชื่อมโยงกัน ให้ได้โดยเร็ว
พลโทคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
สั่งสำรวจกล้องวงจรปิด 3.67 แสนตัว ในและนอกอาคาร ทั้ง อนาล้อค และดิจิตัล ตอนนี้ เบื้องต้นพบว่า เสียกว่า8 พันตัว
ทั้วนี้ พลเอกประวิตร สั่งให้ ต้องซ่อม ถ้าไม่ซ่อม คือบกพร่องในหน้าที่
และต้องให้ภาพจากกล้องวงจรปิด จะต้องเชื่อมโยงกันให้ได้หมด
และตั้ง กก.ขึ้นมา2 ชุด คิอ 1.กก.ขับเคลื่อนเชื่อมโยง
2.กก.การบริหารจัดการข้อมูล
โดยให้ดึงเอกชน เข้ามาในการเชื่อมโยงระบบกล้อง และให้ ติดตั้งกล้องวงจรปิด 100กล้อง ต่อจังหวัด ในจุดเสี่ยง
ในการจัดหากล้องวงจรปิด ด้วยความโปร่งใส
นอกจากนี้ พลโทคงชีพ กล่าวว่า รที่ประชุม ยังมีมติอนุมัติ มาตรการทางลดหย่อนภาษี แก่เอกชน ที่ตืดกล้องวงจรปิด สามารถลดหย่อนภาษีได้ โดยให้ ก.ดิจิตัล เสนอแผนให้ ก.คลัง พิจารณา
รวมทั้ง ให้ มท.สำรวจกล้องที่มีอยู่ ใข้งานได้หริอไม่ ใน 27 จว ชายแดน มีจุดผ่านแดน ช่องผ่านทางต่างๆ
ตอนนี้ 10 จ.รายงานมาแล้ว เหลืออีก 17 จ. ให้เร่งรัดรายงานมา ให้ มท เร่งรัดดำเนินการ
นอกจากนี้ยังให้พัฒนา ซอฟท์แวร เชื่อมโยงระบบ นำร่องในจ.ต่างๆ
รองนายกฯ สั่งการ จังหวัดที่ยังไม่ได้ส่งข้อมูล มา หรือไม่สำรวจ ไม่ซ่อมกล้อง จะมีความบกพร่อง และจะมีมาตรการลงโทษ หากละเลยให้กล่องเสีย หรือตั้งใจให้เสียหริอเจตนา ทุจริต ต้องลงโทษ ต่องทำโปร่งใส
ตามแผน เชื่อมใยงกล้อง ปี60-62 เขื่อม กันหมด
ตอนนี้ ที่พร้อม คือ 4จ. กทม ภูเก็ต เชียงใหม่ นครสวรรค์
อีก15 จ. ใหญ่จะต้องรับขยายผล
ส่วนระยะ2 อีก55 จ แต่ตอนนี้ เตรียมพร้อมโครงสร้างพิ้นฐานอยู่
โดยให้ศูนยฺสารสนเทศเขต1-12 ของมท.ในการบริหารจัดการกล้อง. และตำรวจ191 ของ แต่ละ จังหวัด
โดยให้ทุกส่วนราชการ ให้ความสำคัญเร่งด่วน
ทั้งนี้ ให้นำถาพจากกล้องวงจรปิด มาใช้ในการให้ความเป็นธรรม หลักฐาน ของกระบวนการยุติธรรม
เพิ้อกระบวนการยุติธรรมเดินหน้าเร็วขึ้น
และเร่งเชื่อมโยงกับภาคเอกชน ให้ครอบคลุมเชื่อมโยง พื้นที่จุดเสี่ยง ตัวไหนเสียให้ซ่อมแซมโดยเร็ว
โดยเอาจริงเอาจัง กับพวกละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ให้ลงโทษและให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ประชุม อย่างต่อเนื่อง

"บิ๊กป้อม" ชี้ "บิ๊กตู่" ตอบโจทย์ เป็น"นักการเมืองรุ่นใหม่"

หนุนอีก!!
"บิ๊กป้อม" ชี้ "บิ๊กตู่" ตอบโจทย์ เป็น"นักการเมืองรุ่นใหม่" สร้างประเทศปชช.อยู่ดี-กินดี ออกตัว สื่อคิดกันเอง "พลเอกประยุทธ์"จะเป็นนายกฯคนนอก ถาม รู้ได้ยังไงว่าจะไม่เป็นกลาง ชี้ บิ๊กตู่ ไม่ลงสมัครเลือกตั้ง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ให้ประชาชนพิจารณาว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเหมาะสมเป็นนายกฯคนนอกหรือไม่ ว่า สื่อเป็นผู้ถามเอง ขณะนี้ยังไม่รู้ว่า นายกฯคนนอกจะเป็นใคร จะทำอย่างไร ซึ่งทุกอย่างต้องยึดตามรัฐธรรมนูญ ก็แล้วแต่ประชาชนว่าจะเอาใคร
เมื่อถามว่า นักการเมืองแบบใหม่ทีอยากเห็นนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า คือคนที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ อยู่ดีกินดี และบ้านเมืองเจริญ มีความสงบเรียบร้อย เชื่อว่าทุกคนต้องการเช่นนั้น
เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตอบโจทย์นักการเมืองรุ่นใหม่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "แล้วท่านทำหรือเปล่าล่ะ"
เมื่อถามว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ทำถือว่าตอบโจทย์หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็ท่านทำไปแล้ว"
เมื่อถามว่า เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัวเป็นนักการเมืองจะถูกตั้งข้อสังเกตว่าคสช.ไม่เป็นกลางทางการเมือง พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า "แล้วพล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่
แล้วสื่อรู้ได้อย่างไรว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯคนนอก วันนี้สื่อคิดไปเองไม่ได้ จะคิดอย่างนั้นได้อย่างไร
แตไม่ได้พูดกับพล.อ.ประยุทธ์ และท่านก็ไม่คิดเรื่องการเมืองเท่าไรหรอก"

ดีเอสไอ สนธิกำลัง ทหาร-ตร.ลุยค้น “วิคตอเรียซีเครท”พบนำเด็กต่ำกว่า 18 ปี ค้าประเวณี

ดีเอสไอ สนธิกำลัง ทหาร-ตร.ลุยค้น “วิคตอเรียซีเครท”พบนำเด็กต่ำกว่า 18 ปี ค้าประเวณี


เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 12 มกราคม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)
ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ. ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ นำกำลังเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่กรมการปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำหมายค้นและหมายจับของศาลอาญา เข้าตรวจค้นสถานอาบอบนวด วิคตอเรียซีเครท เพื่อจับผู้ต้องหาตามหมายจับ คือ นายกบ ไม่ทราบนามสกุล และหาพยานหลักฐานประกอบการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้อง

คดีนี้สืบเนื่องมาจากการร้องขอของมูลนิธิพิทักษ์สตรี ให้เข้าช่วยเหลือเหยื่อที่เป็นเด็กหญิง
ชาวเมียนมา กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงดำเนินการสอบสวนและรับเป็นคดีพิเศษที่ 43/2560 โดยพฤติการณ์ทางคดี เป็นการกระทำความผิดในลักษณะที่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างประเทศไทย เมียนมา และมาเลเซีย มีการนำพาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ามาค้าประเวณีในประเทศไทย เริ่มจากการนำพาเข้ามาขายบริการในการให้เปิดบริสุทธิ์ ก่อนที่จะนำมาค้าประเวณี ณ สถานอาบอบนวด วิคตอเรียซีเครท ซึ่งเข้าลักษณะความผิดฐานค้ามนุษย์ อันเป็นความผิดที่กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พร้อมแต่งตั้งพนักงานอัยการร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ



ในขั้นตอนของการสัมภาษณ์คัดแยกเหยื่อซึ่งเป็นผู้เสียหาย และการสอบสวนผู้เสียหายซึ่งดำเนินการโดยสหวิชาชีพ ได้ให้รายละเอียดและข้อเท็จจริงว่า ได้ถูกนำมาค้าประเวณีที่สถานที่แห่งนี้ตั้งแต่อายุ 12 ปี ตลอดจนการสืบสวนสอบสวนมีข้อมูลชัดเจนถึงกลุ่มผู้กระทำผิด อันนำไปสู่การขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหารวม 7 ราย โดยหนึ่งในผู้ต้องหา ปัจจุบันทำงานอยู่ในสถานบริการแห่งนี้ และมีพฤติการณ์ในลักษณะของการเชียร์แขก และสถานบริการแห่งนี้จากการสืบสวนมาก่อนพบว่า มีการลักลอบค้าประเวณี ในการเข้าจับกุมจึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง เจ้าหน้าที่ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าตรวจค้นและจับกุม ในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539

แล้วเส้นทาง “หนี” ของ “ยิ่งลักษณ์” ก็วนกลับมา ประเทศเพื่อนบ้าน

แล้วเส้นทาง “หนี” ของ “ยิ่งลักษณ์” ก็วนกลับมา ประเทศเพื่อนบ้าน


แม้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ไม่สามารถให้คำตอบการออกจากประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้อย่างกระจ่างสว่างแจ้ง

แต่หากติดตามกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างต่อเนื่องก็จะจับ “เบาะแส”ได้

เพียงแต่ยังสลัว มัวราง เท่านั้น

เบาะแส 1 ที่มีความเห็นตรงกัน ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา

นั่นก็คือ ใช้”หนังสือเดินทาง”ของ”ต่างประเทศ”

เบาะแส 1 ที่มีการยืนยันจาก นายดอน ปรมัตถ์วินัย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

นั่นเท่ากับแจ้งเบาะแสว่า เดินทางโดย”เครื่องบิน”

ถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะบินจากกทม.
ตอบแทนได้เลยว่า เป็นไปไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นการบินไปยังสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นการบินไปยังนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่ว่าจะเป็นการบินไปยังกรุงลอนดอน

จำเป็นต้องมีสนามบินต้นทางหลังออกจากประเทศไทย

ถามต่อไปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปสิงคโปร์ได้อย่างไร ก่อนจะนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปยังนครดูไบก่อนบินเข้ากรุงลอนดอนในเดือนกันยายน

ในเมื่อ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้ช่องทาง”ธรรมชาติ”

ตรงนี้ต่างหากคือเบาะแส คือร่องรอย


เป็นเบาะแสและร่องรอยซึ่งดำรงอยู่ในลักษณะไร้ร่องรอย ไม่ว่าช่องทางธรรมชาตินั้นจะมีเป้าหมายไป ณ ที่ใด

ทุกอย่างก็เหมือนคำตอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

“เขาใช้พาสปอร์ตอะไรยังไม่มีใครรู้เลย แล้วสื่อรู้ไหมเขาใช้พาสปอร์ตของประเทศไหน หากผมทราบว่าเป็นของประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอน”

คำถามอยู่ที่ว่า เป็นประเทศ”เพื่อนบ้าน”ใด

คำถามอยู่ที่ว่า กระทรวงการต่างประเทศรู้หรือไม่

สมการ "ลาออกของพี่ใหญ่"

 "พลเอกประวิตร"...........
              หมู่นี้ ดูหน้าท่านหมองเหมือนตะวันยามโพล้เพล้ เห็นแล้วก็เหงาใจแทนยังไงก็ไม่รู้
            เรื่อง "นาฬิกา" คงรบกวนจิตใจท่านมาก
            ทั้งวัน-ทั้งคืน ทั้งหลับและตื่น เสียงติ๊กๆๆๆๆๆ แม้เบาปานมดเยี่ยว แต่คงดังปานปืนใหญ่สะเทือน-สะท้านอยู่ในทรวง
            อย่าว่าแต่ท่านเลย.......
            เป็นผม ก็คงเหมือนท่าน ต่างกันตรงผมมีน้อยเรือนกว่าท่าน และเป็นราคาชั่งโลขายเท่านั้น
            เรื่อง "คิดมาก-คิดน้อย" ห้ามกันไม่ได้
            แต่การสะสมเรื่องคิดจนเครียด ตรงนี้แหละ อยากบอกด้วยความเป็นห่วงว่า
            "ความเครียด" คือมือยักษ์ที่จะจับเข็มนาฬิกาแห่ง ลำไส้เล็ก-ลำไส้ใหญ่-ตับ-ไต-หัวใจ-ม้าม-ปอด เรียกว่าองคาพยพร่างกายทั้งหมด ให้เดินย้อนศร
            ผลคือ.........
            ล้มตึงเฉียบพลัน อย่างคุณกล้านรงค์ในสภาฯ เมื่อวาน (๑๑ ม.ค.๖๐) มีโอกาสเกิดได้
            ช่วง ๕ ปีนี้ ท่านยังตายไม่ได้!
            ฉะนั้น "ท่านพี่ใหญ่" โปรดถนอมสุขภาพ (จิต) ด้วย
            ตุ้ยนุ้ยอย่างท่าน ล้มแล้วเป็นผักคาเตียงเอาได้ง่ายๆ ต่อให้กินถั่งเช่าเป็นกิโล ที่ล้มก็อย่าหวังว่าจะโด่คืน บอกไม่เชื่อ
            เหตุที่ผมไม่อยากให้ท่านเป็นอะไรไปตอนนี้ ไม่ใช่เพราะห่วงท่านโดยตรงหรอก
            หากแต่ห่วง "น้องเล็ก" ของท่าน คือ นายกฯ ลุงตู่นั่นแหละ!
            คือเมื่อน้องเล็กประกาศลงชนในเวทีการเมืองแล้ว กราดตาทั้งแผ่นดิน
            ต่อให้มีพรรคทหาร พรรคพลเรือน พรรคพวก หรือพรรคอะไรก็แล้วแต่เป็นกองหนุน
            ถ้าขาด "พรรคพี่ใหญ่" เป็นพรรคนอมินีหนุน ชาตินี้ "น้องเล็ก" ก็อย่าหวังจะได้เป็น
            "นายกฯ คนนอก"!?
            คือในรัฐสภา อันประกอบด้วย ส.ส.-ส.ว. ๗๕๐ คนนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
            ต้องได้คนเทาๆ อย่างพี่ใหญ่นี่แหละ ใช้บารมีดูแลทั้งฝ่ายเทพ-ฝ่ายมาร อย่าให้รวมหัวจนคนดีพลาดเก้าอี้ "นายกฯ คนนอก"
            เพราะเท่าที่สังเกต ในความเป็น "องค์รัฏฐาธิปัตย์" ของน้องเล็ก รวมถึงความเป็น คสช.ควบคุมอำนาจประเทศตลอด ๓-๔ ปีมานี้
            เป็น "พี่ใหญ่" เซอร์วิส ซะ ๗๐-๘๐%
            กราดตาไปทุกยูนิตงานเวลานี้ องค์กรไหนบ้าง ที่ไม่มีคน "พี่ใหญ่จับวาง"?     
            ลองบอกมาซักหน่วยซิ ไล่ลงไปตั้งแต่ ครม.-สนช.-ป.ป.ช.-สตช.-ทบ.-ทร.ทอ. รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ ไม่เว้นกระทั่งว่าที่นักเลือกตั้ง
            ต้องยอมรับว่า รัฐบาล คสช.ที่อยู่ได้..........
            ส่วนหนึ่ง เพราะการทำหน้าที่ "แม่บ้านรัฐบาล" ของพี่ใหญ่ "น้องเล็ก" จึงหน้าตึง-อกตั้ง-เสียงดัง แต่สตางค์ไม่ค่อยมีนั่นไง!
            "ข้างนอก" ขรมด้วยเสียงขับไล่ อยากให้พลเอกประวิตรออกไป
            แต่หารู้ไม่.......
            ข้างในนั้น "ขาดพี่ใหญ่-เหมือนขาดใจ" ขาดวันไหน อาการที่เรียกว่า
            "ไฟตัน-น้ำมันชอร์ต" เกิดทันที!
            เหมือนบ้านหลังใหญ่-คนเยอะ.........
            วันไหน "แม่บ้านพม่า" ลากลับบ้าน โกลาหลเลย
            ใครจะหุงหาข้าวปลา ใครจะซักเสื้อผ้า ใครจะเลี้ยงลูก ใครจะกวาดบ้าน-ถูบ้าน ใครจะให้ข้าวหมา-เช็ดขี้แมว
            และจาน-ชาม กินกันทิ้งไว้เขลอะ ใครจะช่วยล้าง-ช่วยเคลียร์ และช่วยรับหน้าเสื่อให้ล่ะ?
            เนี่ย....โบราณเขาถึงว่า ข้าวของจะรู้ว่ามีค่า ก็ต่อเมื่อหาย
            คนข้างนอก อยากให้บิ๊กป้อมหาย
            แต่คนใน คสช.บอก บิ๊กป้อมหาย ฉิบ....เลย!
            คือในความเป็นรัฐบาลทหารนั้น นายกฯ ลุงตู่ เท่าที่ดู จะหนักไปทาง "พระเดช"
            "อำนาจ" คุม
            ส่วนพลเอกประวิตร จะหนักไปทาง "พระคุณ" คุมจักรวาล
            เรียกว่า "คลื่นบารมี" พี่ใหญ่ รัศมีครอบคลุมกว้างไกล ไม่ว่า ยาจก-เศรษฐี-ผู้ดี-ไพร่-โจรร้าย-โจรดี-สมี-นักเลือกตั้ง กระทั่งพ่อค้าวาณิช
            อยู่ในตาข่ายคลื่น "พี่ใหญ่" ครบเครื่อง!
            เพราะฉะนั้น......
            เผลอๆ ช็อกกันทั้งประเทศได้ ถ้าวันไหน พลเอกประวิตร "ลาออก" จากรัฐบาล
            ไม่ใช่ออกเพราะนายกฯ หรือใครในรัฐบาลบีบคั้น-ดัน-กดให้ออก
            แต่ออกตามยุทธศาสตร์ "แยกกันทำ-รวมกันอยู่" น่ะ!
            ในงานการเมือง ๕ ปีข้างหน้า มีเก้าอี้ "นายกฯ คนนอก" เป็นเดิมพัน
            พลเอกประยุทธ์ ก็เหมือนจอมพลถนอม
            "ถนอม" ขาด "ประภาส" ไม่ได้ ฉันใด "บิ๊กตู่" ก็ขาด "บิ๊กป้อม" ไม่ได้ ฉันนั้น!
            พูดกันตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๗-๒๖๘ ตุลา-พฤศจิกานี้ การเลือกตั้งผู้แทนต้องเกิดขึ้นแล้ว
            เรื่อง "กองหนุน" นายกฯ ลุงตู่ จึงเป็นภารกิจของคนเป็นแม่บ้านต้องคิดและเตรียมการแล้ว!
            จะมีพรรคไพบูลย์ พรรคทหาร พรรคประชารัฐ พรรคสวามิภักดิ์ กองหนุน-กองโจร อะไรก็แล้วแต่
            นั่นเป็นเรื่องจิตศรัทธาญาติโยม "จรมา" สุดแต่เจตนาเขา จะไปกะเกณฑ์อะไรไม่ได้
            ผมจึงประเมินใจพี่ใหญ่ว่า........
            รักและห่วงใยน้องเล็ก มากกว่าห่วงเก้าอี้รัฐมนตรีตัวเอง
            เหตุนั้น พี่ใหญ่ผู้มากบารมี อาจตัดสินใจออกไป "สร้างกำแพงแก้ว ๗ ชั้น" ทางการเมืองให้น้องเล็ก
            ๓ มกรา ๖๑ "น้องเล็ก" ประกาศ
            "ผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร"
            เท่ากับ "เปิดหน้าชน" ในสนามการเมืองอันว่าด้วยพลเรือนเต็มตัวแล้ว
            ๘ มกรา ๖๑ พี่ใหญ่ประกาศ........
           "ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่เข้ามาทำงานการเมือง และไม่ใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะไม่คิดว่าจะลงเลือกตั้ง"
            ถ้า "นายกฯ ประยุทธ์" เป็นนักการเมืองล่ะ.......
             .........."จะสนับสนุนมั้ย
?"
             “ผมก็จะสนับสนุนตลอด ทำไมล่ะ....ผมจะสนับสนุนไม่ได้หรือ แต่ขอย้ำว่า ผมจะไม่เปลี่ยนสถานะเป็นนักการเมือง”
            ชัด...ไม่ต้องถอดรหัสอะไรอีก
            น้องเล็ก ประกาศ "ขึ้นเวที"
            พี่ใหญ่ ประกาศเป็น "พี่เลี้ยง"!
            เหมือนพลเอกประยุทธ์ประกาศบวช แล้วเดินธุดงค์ไปปักกลดบำเพ็ญตบะในถ้ำ
            พระธุดงค์นั้น เคร่งครัด เก็บตัว มักน้อย สันโดษ
            บิณฑบาตได้อาหารแค่ไหน-อย่างไร ก็ฉันแค่นั้น อย่างนั้น ไม่มีใครถวายเลย ท่านก็อด
            แต่โยมพี่ใหญ่ ไม่บวชด้วย ปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐาก ไปปลูกกระท่อมอยู่ใกล้ๆ ถ้ำ
            คอย "เชือดเป็ด-เชือดไก่" ปิ้ง-ย่าง-ต้ม-แกง ใส่บาตรพระน้องเล็ก ดูแลไม่ได้ขาดเครื่องใช้-เครื่องขบฉัน
            เพื่อพระน้องเล็กจะได้มีกำลังเรี่ยวแรง "ธำรงธรรม" สู่ทางบรรลุ!
            เห็นพลเอกประวิตรท่านหงิมๆ อย่างนั้นเถอะ ใครไม่ทราบก็โปรดทราบไว้
            เครือข่ายศรัทธาในพระคุณท่านมีกระจายไปทุกค่าย-สาขา ทหารมีคำพูด "กองทัพเดินด้วยท้อง"
            ในทางการเมืองก็มี "มือจะยกด้วยท้อง"!
            ดังนั้น ก็ลงตัว-ชัดแจ้ง พี่ใหญ่กับน้องเล็ก "แยกกันทำ-รวมกันอยู่"
            น้องเล็กขึ้นเวทีการเมือง พี่ใหญ่หิ้วถังเป็นพี่เลี้ยง ครบ ๕ ยก รู้แพ้-รู้ชนะ แล้วค่อยมาว่ากันอีกที
            "ลับ-ลวง-พราง" หรือ "แจ้ง-กลวง-โผล่"
            ก็เป็นเช่นนี้แล!.

จ่ายหนักแจกจริง

จ่ายหนักแจกจริง


รัฐบาลบิ๊กตู่เพิ่งเปิดโครงการบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย อัดฉีดแจกฟรี ช่วยค่าครองชีพคนจน 11 ล้านคน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

ผ่านไป 3 เดือน รัฐบาลก็เปิดมหกรรมเทกระจาดเอาใจคนจนรอบใหม่ เฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จำนวน 5.3 ล้านคน

เป้าหมายเพื่อโอบอุ้มกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำสุดในสังคมไทยให้หลุดพ้นเส้นแบ่งความยากจนให้เห็นผลรวดเร็วทันใจ

แสดงว่ารัฐบาลใจปํ้าทุ่มงบช่วยคนจนหวังซื้อใจชาวรากหญ้า 2 ชุดใหญ่ในเวลาห่างกันแค่ 3 เดือน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่ามาตรการอุ้มคนจนรอบ 2 ใช้งบสูงถึง 35,679 ล้านบาท แยกรายจ่ายเป็น 3 ก้อนใหญ่ๆ ดังนี้คือ...

ก้อนที่ 1, ทุ่มงบฝึกอบรมพัฒนาอาชีพใหม่ เพื่อเพิ่มการจ้างงาน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน 34 โครงการ 100 หลักสูตร เป็นเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท

ก้อนที่ 2, ทุ่มงบอัดฉีดแจกเงินฟรีผ่านบัตรสวัสดิการคนจน สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 ต่อปีอีกคนละ 200 บาทต่อเดือน

หรือเพิ่มจาก 300 บาทต่อเดือน เป็น 500 บาทต่อเดือน

ส่วนผู้ที่มีรายได้เกิน 3 หมื่นบาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี จะได้รับอัดฉีดเพิ่ม 100 บาทต่อเดือน
ต้องใช้เงินอัดฉีดเพิ่มอีก 1.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ก้อนที่ 3, งบค่าจ้างจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพใหม่ อบรมพัฒนาทักษะ พัฒนาเทคนิคการผลิต และการตลาดแนวใหม่อีก 2,999 ล้านบาท

ตั้งเป้าว่ามหกรรมเทกระจาดเอาใจคนจนรอบ 2 จะมีพี่น้องรากหญ้าได้รับประโยชน์ 4.6 ล้านคน จากทั้งหมด 5.3 ล้านคน

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่าเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทุ่มงบอัดฉีดช่วยค่าครองชีพและค่าเดินทางผ่านบัตรสวัสดิการคนจนรอบแรกไปแล้ว 41,940 ล้านบาทต่อปี

เมื่อรวมกับงบก้อนใหม่ที่รัฐบาลอัดฉีดช่วยคนจนก๊อก 2 (ที่จะเริ่มเดือนมีนาคม) อีก 35,679 ล้านบาท
จะเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 77,619 ล้านบาทขาดตัว

เมื่อรวมกับงบอัดฉีดเบี้ยยังชีพคนชราอีก 7 หมื่นล้านบาทต่อปี เท่ากับรัฐบาลต้องแบกภาระอัดฉีดแก้ปัญหาคนยากจนปีละเกือบ 1.5 แสนล้านบาททีเดียว

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าข้อดีของมาตรการอัดฉีดผ่านบัตรสวัสดิการคนจน คือ รัฐบาลโอนเงินถึงมือคนจนทุกรายที่ลงทะเบียนคนจนโดยตรง

ฉะนั้น เงินอัดฉีดจากรัฐบาลจะไหลไปถึงพี่น้องคนยากจนทุกบาท ทุกสตางค์

ส่วนการที่รัฐบาลทุ่มงบกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท จัดโครงการฝึกอบรมพัฒนาอาชีพคนจนพร้อมกัน 4.6 ล้านคน

เป็นหลักการที่ดีในการเปิดโอกาสให้พี่น้องรากหญ้าได้พัฒนาศักยภาพตัวเอง ให้มีอาชีพใหม่ๆ และมีรายได้สูงกว่าเดิม

ถ้า...โครงการนี้ช่วยคนจนให้หายจนได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของ 4.6 ล้านคน เมืองไทยจะหมดคนจนไปถึง 4.6 แสนคน!!

แต่ “แม่ลูกจันทร์” ไม่ค่อยแน่ใจว่าโครงการนี้จะเกิดประโยชน์คุ้มค่าอย่างที่ฉายหนังโฆษณา??

เพราะโครงการฝึกอบรมวิชาชีพที่จัดกันเยอะแยะมากมาย มักไม่เกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืน

ครั้งนี้ใช้เงินเยอะซะด้วย...อย่าตำนํ้าพริกละลายแม่นํ้าเชียวนะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

ไม่แคล้วถูกโดดเดี่ยว

ไม่แคล้วถูกโดดเดี่ยว


ได้แรงใจจากเสียงเชียร์รุ่นจิ๋วต้อนรับอีเวนต์วันเด็ก

ในอารมณ์ที่เด็กๆทั่วประเทศส่ง ส.ค.ส. กว่า 1,000 ใบ เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2561 ส่งถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาล

อวยพรให้กำลังใจ “ลุงตู่” มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคในการทำงาน

พลังแห่งความบริสุทธิ์จากเด็กๆ อย่างน้อยก็ช่วยเติมเต็มความสดชื่น มอบความสุขเล็กๆ ในห้วงที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นนักการเมืองเต็มตัว

ตามท่าทีล่าสุดของ “บิ๊กตู่” ที่พูดเสียงดังฟังชัด “วันนี้เป็นคนของประชาชนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หรือเป็นอะไรที่ทุกคนตั้งให้ ผมเป็นได้หมด”

ส่งสัญญาณเปิดตัวการเป็น “นายกฯคนนอก” ให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

“บิ๊กตู่” กล้าออกจากมุมแสดงบทบาทนักการเมืองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชาวบ้านในทริป ครม.สัญจรตามพื้นที่ต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยอัดฉีดงบประมาณแก้ปัญหาและพัฒนาพื้นที่อย่างเต็มที่

ผสมผสานไปกับการวาดลวดลายลีลาผูกมิตรกับชาวบ้าน ไม่แพ้นักเลือกตั้งมืออาชีพ

รวมไปถึงการเปิดดีลพูดคุยกับพรรคการเมืองและนักการเมืองหัวแถวแต่ละพื้นที่ ทอดสะพานเป็นพันธมิตรล่วงหน้า

ต่อเนื่องด้วยโปรแกรมล่าสุดที่ ครม.มีมติทุ่มงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท อนุมัติมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 รวม 34 โครงการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจน

จ่อขยายวงเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบัตรคนจนจาก 300 บาท เพิ่มเป็น 400–500 บาทต่อเดือน หากเข้าร่วมอบรมวิชาชีพเพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่ได้ให้เปล่าฟรีๆตามแบบฉบับนโยบายประชานิยม

ปูพรมต่อยอดแคมเปญใหญ่ที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แม่ทัพฝ่ายเศรษฐกิจ ประกาศทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย

หากทำสำเร็จก็สามารถตุนแต้มจากผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศที่มาขึ้นทะเบียนคนจนกว่าสิบล้านคน ได้กลุ่มคนฐานเสียงใหญ่เป็นหน้าตักไว้ในมือ

ยังไม่รวมถึงคิวเฉพาะกิจเอาใจแฟนบอล ตามที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เล็งหาลู่ทางให้คนไทยได้ชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก

การันตีล่วงหน้าเสียงดัง คนไทยได้ดูถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกแน่นอน ช่วยกันเก็บแต้มบวกใส่กระเป๋าอีกทาง

อำนาจพิเศษวางกลยุทธ์เก็บทุกช็อตที่แปรเป็นคะแนนเสียงได้ มัดจำใจทุกระดับครบครัน

ยื่นตั๋วให้ “บิ๊กตู่” คัมแบ็กกลับเข้าสู่ถนนสายอำนาจกันแต่เนิ่นๆ

แน่นอนที่สุด แม้จะถูกต้านจากฝ่ายการเมืองที่ต่อต้านโมเดล “นายกฯคนนอก” อย่างหนัก ไม่ให้ชุบมือเปิบมานั่งเก้าอี้ผู้นำ โดยไม่ต้องลงสนามคลุกฝุ่นการเมือง

โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยล่าสุด บรรดาอดีต ส.ส.แห่ตบเท้าอวยพรปีใหม่แกนนำพรรค ก๊วนใหญ่
ส.ส.อีสานกว่า 100 คน ประกาศหนักแน่นขอเคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคเพื่อไทยในสังเวียนเลือกตั้งปลายปี

สยบข่าวลือ ส.ส.แห่ทิ้งพรรค ฮึดสู้พลังดูดสีเขียว ตอกย้ำจุดยืนไม่เอา “นายกฯคนนอก” ในภาวะไร้หัวขบวนอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ในคิวที่ทีมงานนายใหญ่พยายามปลุกเร้าทุกค่ายการเมืองร่วมกันจับมือขัดขวาง “บิ๊กตู่” คัมแบ็กถนนอำนาจ

แต่นั่นเป็นเพียงการแอ็กชั่นของฝ่ายพรรคเพื่อไทยทางเดียว ขณะที่ค่ายการเมืองอื่นยังเก็บอาการไม่ให้คำตอบชัดเจน

อย่างที่เห็นท่าทีของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุการจับมือกันต่อต้าน นายกฯคนนอกยังไม่สามารถพูดได้ขณะนี้ เพราะการเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้น

พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กล้าฟันธงอนาคตตัวเองว่า พร้อมร่วมหอลงโรงร่วมทำงานกับผู้นำ คสช.ในวันข้างหน้าหรือไม่

เพราะสภาพในพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเป็นปลา 2 น้ำ มีทั้งขั้วที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนท็อปบูตปะปนกันอยู่

เช่นเดียวกับพรรคขนาดกลางยังสงวนท่าที ปล่อยตัวไปตามสถานการณ์ที่ไหลไปได้ทุกขั้ว

สุ้มเสียงที่เคยโหวกเหวกโวยวายอยู่บ้าง ก็แค่เกาะกระแสหลักการประชาธิปไตย ไม่ให้ถูกมองสวามิภักดิ์ทหารมากมายจนเกินเหตุ

รูปการณ์ที่นักเลือกตั้งอดอยากปากแห้งมานาน คงไม่มีใครอยากตกขบวน ถูกแช่แข็งเป็นฝ่ายค้านซ้ำซาก

แม้พรรคเพื่อไทยชนะสังเวียนเลือกตั้ง แต่อาจไม่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล!!!

ทีมข่าวการเมือง

มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ประกาศว่า Newsfeed จะลดการแสดงข้อความจากธุรกิจและสื่อ

BRIEF: มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ประกาศว่า Newsfeed จะลดการแสดงข้อความจากธุรกิจและสื่อ และจะเน้นโพสท์จากครอบครัวและเพื่อน
.
วันนี้ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก อัพเดทสเตตัส เพื่อพูดถึงเป้าหมายของเฟซบุ๊กในปีนี้ (อย่างยืดยาว และซ้ำไปซ้ำมา) ว่า
.
"หนึ่งในสิ่งที่เราจะมุ่งเน้นในปี 2018 คือการทำให้เวลาที่คุณใช้บนเฟซบุ๊กนั้นมีความหมาย
.
เราสร้างเฟซบุ๊กขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงผู้คน และประสานสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เราเห็นคุณค่า นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงให้ความสำคัญกับครอบครัวและเพื่อนฝูงในประสบการณ์เฟซบุ๊กเสมอ มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแรงนั้นส่งผลดีต่อความสุขและสุขภาพจิตของเราด้วย
.
แต่ที่ผ่านมาเรากลับได้รับฟีดแบ็กจากสังคมเฟซบุ๊กว่าเนื้อหาสาธารณะต่างๆ ทั้งจากธุรกิจ แบรนด์ หรือสื่อ กำลังมากินพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราใช้สานสัมพันธ์กับคนอื่น
.
อาจไม่ยากนักหากจะหาเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทั้งวิดีโอและเนื้อหาสาธารณะต่างเติบโตขึ้นมากบนเฟซบุ๊กในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เมื่อมีเนื้อหาสาธารณะมากกว่าเนื้อหาจากเพื่อนหรือครอบครัว สมดุลของสิ่งต่างๆ บนนิวส์ฟีดจึงเปลี่ยนแปลงจากพันธกิจที่เฟซบุ๊กอยากเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างผู้คนไป
.
พวกเราตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ว่า บริการของเราไม่ควรเพียงแต่สนุกที่จะใช้เท่านั้น แต่บริการของเราควรทำให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย เราศึกษาแนวโน้มที่เกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง ดูจากงานวิจัยของที่อื่น และทำวิจัยเองโดยให้ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดูแล
.
งานวิจัยชี้ว่าเมื่อเราใช้โซเชียลมีเดียเชื่อมต่อกับคนที่เราแคร์ เมื่อนั้นโซเชียลมีเดียก็จะดีต่อสุขภาพจิตของเรา เราจะรู้สึกว่าผูกพันกับโลกรอบๆ และรู้สึกเหงาหงอยน้อยลง และนั่นก็สัมพันธ์กับความสุขและสุขภาพระยะยาว กลับกัน การอ่านบทความหรือการดูวิดีโอฝ่ายเดียว ถึงอาจจะสนุกหรือประเทืองปัญญา แต่ก็อาจไม่ดีต่อสุขภาพเท่า
.
จากงานวิจัยนี้ เราจึงตัดสินใจจะเปลี่ยนวิธีที่เฟซบุ๊กดำเนินงานเสียใหม่ ผมจะเปลี่ยนเป้าหมายที่เคยมอบให้ทีมผลิตภัณฑ์ จากการที่เคยโฟกัสที่การทำให้คุณพบเนื้อหาที่สนใจได้โดยง่าย ไปเป็นการทำให้คุณมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่มีความหมายมากขึ้น
.
เราเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการปรับทุกผลิตภัณฑ์ของเรา ความเปลี่ยนแปลงแรกที่คุณจะได้เห็นก็คือในนิวส์ฟีด ที่คุณจะเห็นโพสท์จากเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มมากขึ้น
.
เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้ถูกปรับใช้จริง คุณจะเห็นโพสท์สาธารณะจากธุรกิจ แบรนด์ และสื่อลดลง และโพสท์สาธารณะเหล่านี้ก็จะมีมาตรฐานมากขึ้นด้วย นั่นคือ มันควรจะทำให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อย่างมีความหมาย
.
ตัวอย่างเช่น มีกลุ่มที่ตั้งขึ้นเพื่อคนนิยมรายการโทรทัศน์หรือเชียร์ทีมกีฬาทีมเดียวกันอย่างแน่นแฟ้น หรือเราเห็นว่าคนนิยมไลฟ์วิดีโอมากกว่าวิดีโออื่นๆ ข่าวบางข่าวอาจทำให้เกิดบทสนทนาที่สำคัญได้ แต่ทุกวันนี้ การดูวิดีโอ อ่านข่าว หรืออ่านสเตตัสจากเพจต่างๆ นั้นเป็นประสบการณ์เชิงรับเสียส่วนมาก
.
ผมขอพูดให้ชัดเจนว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ผมคิดว่าคนจะใช้เวลาและมีส่วนร่วมกับเฟซบุ๊กน้อยลง แต่ผมก็คิดว่าเวลาที่คุณใช้เฟซบุ๊กกลับจะมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และหากเราทำสิ่งที่ถูก ผมก็เชื่อว่าประโยชน์ที่ได้ก็จะตกอยู่กับชุมชนและธุรกิจในระยะยาว
.
เฟซบุ๊กนั้นตั้งอยู่บนฐานของการเชื่อมโยงผู้คนตลอดมา ด้วยการเน้นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว เพื่อน หรือการสร้างสัมพันธ์รอบห้วงเหตุการณ์สำคัญทั่วโลก เราก็หวังว่า เวลาที่คุณใช้บนเฟซบุ๊กจะเป็นเวลาที่ไม่สูญเปล่า"
.
* Well-being คือความสุข หรือความผาสุก แต่ในที่นี้ขอใช้คำว่าสุขภาพจิต
.
ข้อสังเกตคือมีการใช้คำว่า "สร้างสัมพันธ์" "ประสานสัมพันธ์" "เชื่อมโยง เชื่อมต่อ" เยอะมากๆ ซึ่งก็คงเป็นการโต้กลับจากกรณีอื้อฉาวทั้งหลายที่เฟซบุ๊กมีส่วนเกี่ยวข้องในปี 2017 "การแก้เฟซบุ๊ก" ยังถือเป็นเป้าหมายส่วนตัวที่มาร์คตั้งไว้ในปี 2018 ด้วย
.
Newsroom ของเฟซบุ๊กยังประกาศว่า
.
- โพสท์ที่จะได้แสดงมากขึ้นใน Newsfeed คือ "โพสท์ที่ทำให้เกิดบทสนทนาระหว่างผู้คน" เช่น live video ที่ผ่านมามีสถิติการปฏิสัมพันธ์มากกว่าวิดีโอปกติถึง 6 เท่า
.
- โพสท์ "ล่อไลก์ ล่อแชร์" จะถูกลดความสำคัญลงเรื่อยๆ
.
- ถ้าเพจอยากให้คนเห็นโพสท์ก็ควรจะเสนอให้คนกด See First ไว้
.
ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดถึงขอบข่ายของ Sponsored Post หรือโพสท์ที่จ่ายเงินโฆษณาให้เฟซบุ๊ก ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
.
ที่มา สถานะของ Markhttps://www.facebook.com/zuck/posts/10104413015393571

โดนทั้งแบงค์และตร.

.....กรณีนางสาวณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ที่ถูกคนร้ายล้วงเอากระเป๋าสตางค์ ที่มีบัตรประจำตัวประชาชน ฯลฯ อยู่ในกระเป๋าด้วยไป ต่อมาคนร้ายได้นำบัตรประจำตัวประชาชนของนางสาวณิชาไปขอเปิดบัญชีที่ธนาคาร 7 แห่ง รวม 9 บัญซี แล้วหลอกบุคคลอื่นให้โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวและกลุ่มคนร้ายได้เบิกเงินจากบัญชีหลบหนีไป ต่อมาผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินให้ ได้ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านตาก จังหวัดตาก พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบ้านตากได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจกองปราบปรามและได้ตัวนางสาวนิชาไปดำเนินคดี จากนั้นได้นำตัวไปขออำนาจศาลจังหวัดตาก ฝากขังเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 

.....นางสาวณิชาขอยื่นประกันตัว แต่ศาลจังหวัดตากไม่อนุญาตโดยให้เหตุผลว่า กลัวผู้ต้องหาหลบหนี ต่อมานางสาวณิชาได้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ภาค 6 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฯ อนุญาตให้ประกัน โดยนางสาวณิชาถูกขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดตาก 3 วัน 2 คืน 

.....หลังจากได้รับการปล่อยตัวนางสาวณิชาจากเรือนจำได้กล่าวว่า จะฟ้องธนาคารทั้ง 7 แห่ง ที่ให้คนร้ายนำบัตรประจำตัวประชาชนของตนเปิดบัญชีในชื่อของตน เปิดเหตุให้ตนต้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงที่สุดในชีวิต

.....ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขา เสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้น้ันทําละเมิดจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการน้ัน

.....การที่พนักงานของธนาคารทั้ง 7 แห่ง ทำการเปิดบัญชีให้แก่บุคคลอื่นในชื่อของนางสาวณิชา โดยไม่ได้ตรวจสอบให้ได้ความแน่ชัดว่า ผู้ที่นำบัตรประจำตัวประชาชนของนางสาวณิชาไปขอเปิดบัญชีเป็นนางสาวณิชาจริงหรือไม่ ต้องถือว่าเป็นกระทำโดยประมาทเลินเล่อและเป็นการกระทำต่อนางสาวนิชาโดยผิดกฎหมาย ธนาคารในฐานะนายจ้างของพนักงานเหล่านั้น จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวณิชา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425

.....ที่มีผู้บริหารชั้นผู้ใหญ่ของธนาคารบางแห่งให้เหตุผลว่า พนักงานธนาคารไม่อาจบังคับให้ผู้มาขอเปิดบัญชีที่ใช้ผ้าหน้ากากอนามัยปิดหน้าเปิดเพื่อให้เห็นหน้าผู้มาขอเปิดบัญชีได้นั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นธนาคารก็ต้องไม่ยอมเปิดบัญชีให้ แต่ตามความเป็นจริงทุกธนาคารต่างก็พยายามหาลูกค้าให้มาเปิดบัญชีให้มากที่สุด พนักงานคนใดหาลูกค้ามาเปิดบัญชีได้มากก็จะได้รับบำเหน็จเป็นพิเศษด้วย ข้ออ้างดังกล่าวไม่อาจนำมาอ้างให้พ้นความรับผิดได้

.....นอกจากนี้ตามข่าวที่ว่า เมื่อนางสาวณิชาทราบว่ามีหมายจับก็ได้เดินทางไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมนำหลักฐานที่ได้แจ้งความเรื่องการถูกปลอมแปลงเอกสารไปเปิดบัญชีธนาคาร แต่พนักงานสอบสวนไม่สนใจหลักฐานดังกล่าว อ้างว่าไม่ใช่หน้าที่และทำบันทึกจับกุมว่า จับกุมนางสาวณิชาได้ที่บ้านพัก

.....ถ้าข่าวดังกล่าวเป็นความจริง และในคำร้องของพนักงานสอบสวนที่ขอฝากขังนางสาวณิชาระบุว่า จับกุมนางสาวณิชาได้ที่บ้านพัก คำร้องของพนักงานสอบสวนในส่วนนี้ก็เป็นการกล่าวความเท็จต่อศาล และคำกล่าวเท็จนี้เป็นสาระสำคัญในการที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการให้ประกันตัวนางสาวณิชาหรือไม่ เพราะถ้าในคำร้องขอฝากขังกล่าวว่า นางสาวณิชาเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคดีฉ้อโกงมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ศาลก็น่าจะให้ประกันเนื่องจากไม่เหตุที่จะกลัวว่านางสาวณิชาจะหลบหนี ถ้าเป็นเช่นนี้การที่ศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัวนางสาวณิชาและทำให้นางสาวณิชาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 3 วัน 2 คืน ย่อมเป็นผลมาจากคำร้องอันเป็นเท็จดังกล่าว จึงต้องถือว่าพนักงานสอบสวนได้กระทำละเมิดต่อนางสาวณิชาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวณิชาด้วย