PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เกาหลีเหนือประกาศภาวะสงครามเริ่มเย็นนี้

เกาหลีใต้สั่งอพยพคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย

ผู้นำเกาหลีเหนือประกาศเตรียมความพร้อม เข้าสู่ภาวะสงครามกับเกาหลีใต้ในบ่ายวันนี้ หลังเกิดความตึงเครียดระลอกใหม่ระหว่าง 2 เกาหลีและมีการเปิดฉากยิงใส่กันไปแล้วเมื่อวานนี้

วันนี้ (21 ส.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รองโฆษกของ นายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แถลงเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียด บนคาบสมุทรเกาหลี ว่า ขณะนี้องค์การสหประชาชาติกำลังจับตาดูสถานการณ์ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ด้วยความห่วงกังวลอย่างใกล้ชิด

นายฟูมิโอะ คิชิดะ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น ออกมาเรียกร้องให้เกาหลีเหนือใช้ความอดทนอดกลั้น และร่วมมือกันหาทางแก้ปัญหาโดยเร็ว โดยญี่ปุ่นจะติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ
ด้านนายจอง จูน ฮี โฆษกกระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้ ระบุว่า รัฐบาลจะจำกัดจำนวนชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางเข้า-ออกนิคมอุตสาหกรรมแกซอง ที่อยู่บริเวณพรมแดนติดกับเกาหลีเหนือให้น้อยที่สุด โดยจะอนุญาตเฉพาะผู้ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น และคนเหล่านี้จะต้องเดินทางกลับเข้ามาเกาหลีใต้ภายในวันเดียวกัน

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยบริษัทเอกชนของเกาหลีใต้ 124 แห่ง เข้าไปเปิดโรงงานในนิคม โดยใช้แรงงานชาวเกาหลีเหนือประมาณ 54,000 คน

นอกจากนี้โฆษกกระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้ยังได้ตำหนิเกาหลีเหนือ ว่า ไม่มีความจริงใจ เนื่องจากมีการลักลอบเข้ามาวางกับระเบิด การเปิดฉากยิงใส่เกาหลีใต้ แต่เกาหลีเหนือกลับปฏิเสธการวางกับระเบิด ซึ่งยิ่งทำให้เกาหลีใต้สงสัยในความจริงใจของเกาหลีเหนือ

ด้านสถานีโทรทัศน์เคอาร์ทีของเกาหลีเหนือ เผยแพร่ภาพถ่ายของนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุด กับนายทหารระดับสูงในการประชุมฉุกเฉินของคณะกรรมาธิการกองทัพกลาง ที่พรรคแรงงาน

รายงานข่าวระบุว่า เสนาธิการกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ ได้ยื่นคำขาดให้กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ยุติการกระจายเสียงเข้ามาในฝั่งเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นการทำสงครามจิตวิทยา โดยให้เวลา 48 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นเกาหลีเหนือจะใช้กำลังทางทหารโจมตีเกาหลีใต้

นอกจากนี้ นายคิม จอง อึน ยังมีคำสั่งให้กองทัพเตรียมความพร้อมสูงสุด ในภาวะสงคราม โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ ซึ่งตรงกับเวลา 15.00 น. ของไทย

ส่วนกำหนดเส้นตาย 48 ชั่วโมงจะสิ้นสุดลงในเวลา 17.00 น. ของวันเสาร์นี้ (22 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น แต่ทางการเกาหลีใต้ยังยืนยันว่า จะกระจายเสียงการโฆษณาชวนเชื่อต่อไป ซึ่งเกาหลีใต้เริ่มใช้วิธีกระจายเสียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไปทางฝั่งเกาหลีเหนือ ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้กรณีที่ทหารเกาหลีใต้ 2 นาย เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวณได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเชื่อว่าทหารเกาหลีเหนือแอบเข้ามาวางกับระเบิดไว้ แต่เกาหลีเหนือปฏิเสธ สำหรับเทคนิคการกระจายเสียงการโฆษณาชวนเชื่อ เป็นสิ่งที่เกาหลีใต้ดำเนินการมานานแล้ว และเพิ่งระงับไปเมื่อปี 2547

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความตึงเครียดระลอกใหม่บนคาบสมุทรเกาหลี ที่เกาหลีเหนือยิงจรวดใส่เครื่องกระจายเสียงของเกาหลีใต้ ทำให้เกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยการยิงกระสุนปืนใหญ่นับสิบลูก แม้จะไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น แต่ก็สร้างความกังวลทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดน และวันนี้ดัชนีคอมโพสิตของเกาหลีใต้เปิดตลาดปรับตัวลดลง 38 จุด 19 จุด หรือ คิดเป็นร้อยละ 1 จุด 99 อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ตามแนวชายแดน และเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง
.........................
Sanook.com

เกาะข่าวเด่น เปิดประเด็นดัง 14 Aug 2558 16.30-17.00 น.

“สุรชาติ บำรุงสุข” ชี้ระเบิดราชประสงค์เป็นสัญญาณเตือนภัยให้เตรียมรับมือปัญหาทุกด้านไม่เฉพาะการก่อการร้ายเพราะเมืองคือแนวรบใหม่



“สุรชาติ บำรุงสุข” ชี้ระเบิดราชประสงค์เป็นสัญญาณเตือนภัยให้เตรียมรับมือปัญหาทุกด้านไม่เฉพาะการก่อการร้ายเพราะเมืองคือแนวรบใหม่ ทั้งยังต้องป้องกันตัวเองด้วยนโยบายต่างประเทศที่สร้างมิตรกับมหาอำนาจทั้งตะวันตกและตะวันออก ระบุในการเมืองระหว่างประเทศต้องใช้สติไม่ใช่อารมณ์

นักวิชาการด้านความมั่นคงและด้านการต่างประเทศจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชี้ว่า เหตุการณ์วางระเบิดที่ราชประสงค์เมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมาน่าจะนับได้ว่าเป็นการก่อเหตุรุนแรงหนที่ใหญ่ที่สุดที่กรุงเทพฯเคยมี แต่ทว่าไม่ใช่หนแรก เหตุการณ์โจมตีในกรุงเทพฯที่เคยเกิดและเป็นครั้งที่สำคัญคือการวางระเบิดในเมืองถึง 8 จุดในช่วงของการฉลองปีใหม่เมื่อปี 2549 แต่ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ได้หมด ในวันนี้ระเบิดที่ราชประสงค์นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเป็นพื้นที่ที่เปราะบางของเมือง เพราะการก่อเหตุรุนแรงในสมัยใหม่นั้นกลุ่มก่อเหตุมักย้ายมาทำในเมืองเนื่องจากจะได้รับความสนใจมากกว่าการก่อเหตุในชนบทซึ่งเป็นรูปแบบในสมัยสงครามคอมมิวนิสต์หรือสงครามเย็น

สุรชาติชี้ว่าในปัจจุบันเมืองใหญ่ไม่ว่าในที่ใดได้กลายเป็นแนวรบด้านความมั่นคงรวมทั้งปัญหาอีกหลายอย่างตั้งแต่เรื่องของการจราจล ภัยธรรมชาติ และการก่อการร้าย ผู้บริหารต้องทำให้เมืองสามารถป้องกันตัวเองเพราะแนวโน้มเมืองจะกลายเป็นพื้นที่เช่นนี้มากขึ้น เนื่องจากได้กลายเป็นพื้นที่รองรับความขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 ก.ย. 2544 หรือที่เรียกกันว่า 9/11 เขายกตัวอย่างว่าในหลายประเทศในตะวันตกที่เผชิญภัยเช่นนี้มาแล้ว และต่างต้องวางแผนรับมือยามวิกฤติ เช่นกรุงลอนดอนเคยมีปัญหาการก่อเหตุจากกลุ่มไอร์อาร์เอ และหนหลังสุดคือการวางระเบิดรถไฟใต้ดิน ต้องวางแผนรองรับในยามเกิดเหตุซึ่งมีหลายด้าน เช่นเรื่องของการขนส่ง การจัดการสถานที่สาธารณะต่างๆ บวกกับการจัดการกับปัญหาข่าวลือซึ่งเขาเรียกมันว่าอาฟเตอร์ชอคจะที่ติดตามมาเหมือนเป็นระลอกคลื่น ซึ่งหากเป็นพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ที่มีประสบการณ์รับมือมานานนับสิบปี เจ้าหน้าที่และคนทั่วไปรู้ว่าจะทำอย่างไร ในขณะที่กรุงเทพฯอยู่ในสถานการณ์ปกติมานาน การก่อการร้ายเป็นสิ่งที่จะกระตุ้นอารมณ์ของคนเนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว สิ่งที่จะตามมาคือความตื่นตระหนก การจัดการในปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นในกรณีระเบิดราชประสงค์ต้องมีข้อมูล
“มันต้องการเวลาอีกสักช่วงในการรวบรวมหลักฐานเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปว่าอะไรเป็นต้นเหตุ ปัจจัยภายนอกหรือภายใน ความน่ากลัววันนี้อยู่ที่ว่าภาครัฐใจร้อนและด่วนสรุปไปนิด ผมคิดว่าวันนี้ สิ่งที่เราอยากเห็นการคือการให้ข้อมูลแต่ไม่ใช่การชี้นำในขณะที่พยานหลักฐานไม่มี แล้วสุดท้ายมีการฉวยประโยชน์ทางการเมือง ผมว่าอันนี้มันเป็นอันตราย ทำให้เราไปปิดบังมูลเหตุที่แท้จริงหากไม่ใช่อย่างที่กล่าวอ้างกัน คิดว่าเรื่องนี้สังคมไทยต้องตั้งสติ”
อย่างไรก็ตาม การป้องกันตัวเองในบางบริบทอาจต้องมองไกลไปกว่าเรื่องของการวางระบบในเมืองดังกล่าว เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งชี้ว่า ภัยต่อชุมชนใหญ่และเมืองอาจเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เช่นการที่อังกฤษเข้าร่วมสนับสนุนสหรัฐฯในการบุกอิรัก สุรชาติตอบคำถามนี้ว่า แนวความคิดเช่นนี้ทำให้มีความจำเป็นในการจัดวางความสัมพันธ์ในการเมืองระหว่างประเทศอย่างระมัดระวัง ซึ่งสำหรับเขาชี้ไทยเวลานี้มีคำถามเรื่องการกลับลำจากที่เป็นพันธมิตรกับตะวันตกจะหันมาหามหาอำนาจตะวันออก
สุรชาติระบุว่า ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่พัฒนามายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองที่ผูกพันกับตะวันตกมาโดยตลอด ท่าทีระยะหลังคือการหันหลังให้ตะวันตก “ผู้นำไทยที่ทำรัฐประหารไปปักกิ่งบ่อย ก็อาจเพราะว่ามีโจทย์จากการที่ตะวันตกไม่รับผู้นำจากรัฐประหาร แต่ที่นายกรัฐมนตรีไปปักกิ่งสองครั้งเป็นเรื่องที่เริ่มถูกจับตามอง และเริ่มมีการพูดถึงโครงการสร้างทางรถไฟไทยจีน โครงการซื้อเรือดำน้ำ 3.6 พันล้าน และต่อมาคือเรื่องการส่งอุยกูร์กลับจีน สี่ประเด็นใหญ่นี้ถ้ามองจากภายนอกเข้ามาทำให้มีการตั้งคำถามว่า ไทยกำลังเปลี่ยนทิศทางด้านความมั่นคงไทยหรือไม่ ถ้าเปลี่ยน อะไรคือผลกระทบ”
นักวิชาการด้านความมั่นคงยกตัวอย่างบทเรียนในอดีตคือสงครามโลกครั้งที่สอง ในครั้งนั้นไทยมีความเสี่ยงว่าจะตกอยู่ในสถานะอย่างใดในส่วนที่เกี่ยวกับการทำสงคราม เนื่องจากผู้นำประเทศในยุคนั้นได้ประกาศสงครามกับพันธมิตรเมื่อ 25 ม.ค. 2485 “เมื่อสงครามสิ้นสุด มีคำถามว่าตะวันตกจะปฏิบัติต่อไทยในฐานะคนเข้าร่วมฝ่ายอักษะ หรือว่าจะปฏิบัติต่อไทยในฐานะประเทศที่ถูกอักษะยึดครอง ถ้าเป็นอันแรกกองทัพสัมพันธมิตรจะเข้ามาปลดอาวุธ และยึดครองไทยเหมือนที่ทำกับเยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น แต่สุดท้ายตะวันตกบอกว่าไทยถูกยึดครองจึงไม่ถูกแตะต้อง แต่ว่าข้อสรุปนี้ไม่ได้เกิดง่ายๆ” สุรชาติชี้ว่าการที่ไทยเป็นพันธมิตรญี่ป่น แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงญี่ปุ่นเป็นผู้แพ้สงครามแต่ไทยกลับไม่ใช่ เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าเป็นความสามารถของผู้นำไทยในช่วงดังกล่าวที่พยายามแก้ไขปมปัญหาทำให้ไทยหลุดจากเงื่อนไขสงคราม
เขากล่าวอีกว่า การวางสถานะของประเทศในการเมืองระหว่างประเทศนับเป็นความท้าทายที่ปรากฏมานานมากแล้วโดยเฉพาะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เช่นเมื่อไทยเผชิญแรงกดดันจากฝรั่งเศส ในช่วงนั้นมีกลุ่มขุนนางสองกลุ่มที่มี “ชุดความคิด” ต่างกัน โดยกลุ่มหนึ่งเห็นว่าไทยสามารถรบกับฝรั่งเศสได้ แต่อีกกลุ่มเห็นตรงกันข้าม “และรัชกาลที่ 5 ทรงตัดสินพระทัยว่าสยามในขณะนั้นไม่ควรจะต้องรบกับฝรั่งเศส นอกจากจะไม่รบกับฝรั่งเศสแล้วยังจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับฝรั่งเศสด้วย” และสรุปว่า “สยามผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว เราไม่เคยใช้อารมณ์ตัดสิน ถ้าใช้อารมณ์เราจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับเยอรมัน เพราะตอนนั้นขุนนางจำนวนมากจบการศึกษาจากปรัสเซีย” เขาว่า
“งานต่างประเทศละเอียดอ่อน ตัดสินด้วยอารมณ์ไม่ได้ การใช้อารมณ์ของคนชั้นกลางมันไม่เป็นประโยชน์ ในขณะที่ข้อเรียกร้องเช่นว่าวันนี้เราต้องเดินด้วยนโยบาย look east เพราะการคบมหาอำนาจอีกแห่งจะสร้างนโยบายถ่วงดุล อันนี้คงต้องทำความเข้าใจครับว่า รัฐเล็กๆทำนโยบายถ่วงดุลไม่ได้ การถ่วงดุลเป็นกิจกรรมการเมืองระหว่างประเทศของมหาอำนาจใหญ่ รัฐเล็กๆทำได้แค่ อยู่ในกระบวนที่ขับเคลื่อนด้วยมหาอำนาจใหญ่ ผมเชื่อว่าวันนี้ไทยต้องอยู่ทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีข้อเลือก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไทยสละความสัมพันธ์กับตะวันตกไม่ได้ แต่ก็ทอดทิ้งตะวันออกที่กำลังขยายตัวไม่ได้เช่นกัน”

มุมมองจาก๒นักการข่าวกรองทหาร ระเบิดรุนแรงราชประสงค์ฝีมือคนไทย

การวิเคราะห์ และมุมมองน่าสนใจ....กรณีระเบิดจาก ๒ นักการข่าวกรองของไทย
บทวิเคราะห์จากข้อมูลเเละการประมวลข่าว ด้วยประสพการณ์ของพี่ชาย2ท่านที่เคยร่วมงานกับผมในหลายกรณีสำคัญ ถือเป็นมือการข่าวลับสำคัญระดับเเนวหน้าของประเทศ เขียนถึงคนก่อเหตุระเบิดราชประสงค์เเละผู้ที่น่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ได้ชัดเจน ตรงประเด็น ที่สำคัญตรงกับข้อมูลที่มีตรงกันครับ. ลองอ่านเเละใช้วิจารณญานดูกัน จากพี่ที่ผมเคารพทั้งสองท่านครับ

1)พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตผอกองข่าว ศรภ 

"ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่เกิดระเบิดขึ้นที่ราชประสงค์แล้ว แต่อยากรอข้อมูล ๒ เรื่องให้ชัดเจนเสียก่อน คือ ชนิดของระเบิดว่าเป็น TNT หรือ C๔ รวมถึงจุดระเบิดที่แน่นอนว่ามาจาก “ใต้ม้านั่ง” หรือ “บนม้านั่ง” กันแน่ แต่รอมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่ทราบ จึงขอเขียนไปตามข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในปัจจุบันก่อนประกอบด้วย
๑. ระเบิดเป็นชนิดไปป์บอมที่มีความรุนแรงมาก แต่เนื้อระเบิดที่บรรจุภายในยังไม่ชัดเจนว่าเป็น TNT หรือ C๔ (เดิมตอนเกิดเหตุใหม่ๆ ตำรวจระบุว่า เป็น TNT ขนาด ๓ กิโลกรัม) ประเด็นสำคัญอยู่ที่เคยมีระเบิดที่มีความรุนแรงขนาดนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือเปล่า ตอบได้ว่าเคยเกิดขึ้นและแรงกว่านี้อีก ซึ่งเกิดจากกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนเลือกฝ่ายทางการเมืองที่สมานเมตตาแมนชั่น จ.นนทบุรี เมื่อปี ๒๕๕๓
๒. ระเบิดครั้งนี้มีเจตนาแน่ชัดว่ามุ่งที่จะสังหารประชาชนที่บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า มุ่งที่จะสร้างความหวาดกลัวขึ้นในประเทศ ประเด็นจึงมีอยู่ว่า การวางระเบิดที่มีเจตนาแบบนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยไหม ตอบได้ว่า เคยครับที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์เช่นกัน เมื่อตอนวันขึ้นปีใหม่ ในช่วงรอยต่อระหว่างปี ๒๕๔๙-๒๕๕๐ ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่โชคดีที่รัฐบาลสั่งระงับการจัดงานปีใหม่ไปเสียก่อน เมื่อตอน ๑ ทุ่ม และปิดถนนบริเวณสี่แยกราชประสงค์ทั้งหมดเพื่อตรวจหาระเบิด แต่ไม่พบ พอเวลาเที่ยงคืนได้เกิดระเบิดขึ้นที่บนตู้โทรศัพท์ตรงข้ามสถานที่จัดงาน เมื่อไม่มีการจัดงานปีใหม่และปิดถนน พอเกิดระเบิดจึงไม่มีคนตายและบาดเจ็บ ต่อมาอีก ๕ นาทีได้เกิดระเบิดขึ้นที่ท่าน้ำซ้ำอีก ก็คงคาดเดาได้ว่า ถ้ามีการจัดงานที่ลาน หน้าเซ็นทรัลเวิล์ดจริงๆ แล้วคงจะมีผู้บาดเจ็บ /เสียชีวิตนับ ๑๐๐ คนขึ้นไป ทั้งจากระเบิดและการเหยียบกันตาย โชคดีที่เจ้าหน้าที่ปิดถนนไว้ก่อน จึงมีผู้ที่เสียชีวิตที่ท่าน้ำ เพียง ๑ คน บาดเจ็บอีก ๓ คน
จากประเด็นตามข้อ ๑. และ ๒. จะเห็นได้ว่า ระเบิดชนิดที่เกิดขึ้นที่ราชประสงค์ ทั้งความรุนแรงและการมีเจตนาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เมื่อ ๑๗ ส.ค. ๕๘ นั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรครับ และไม่ต้องสงสัยว่า “จะเป็นชาวต่างประเทศมาจัดทำระเบิด”
๓. ระเบิดที่ราชประสงค์นั้นมีเจตนาหลักในการวางระเบิดชัดเจนประการหนึ่ง คือ การมุ่งที่จะทำลายการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้เข้าประเทศที่ค้ำจุนเศรษฐกิจของ ประเทศไทย (กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนมาเที่ยวมากอันดับต้นๆ ของโลก จากการประเมินค่าใช้จ่ายของบัตรเครดิตต่างประเทศ) โดยพิจารณาได้จาก
๓.๑ จุดที่วางระเบิดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว
๓.๒ มีการจัดวางระเบิดชนิดเดียวกันอย่างต่อเนื่องที่สะพานตากสิน และมีการวางระเบิดปลอมต่อเนื่องกันมาจนถึงวันนี้
๓.๓ มีการวางแผนสร้างความสับสนจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือโซเชียล อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาปราม
๔. ส่วนพยานหลักฐานจากคลิปวีดีโอซึ่งมีชายใส่เสื้อสีเหลือง ลักษณะคล้ายคนต่างชาติ นำเป้มาวางไว้บริเวณจุดที่เกิดระเบิดแล้วเดินหายไปนั้น พอยืนยันได้ว่าชายคนนี้มีส่วนรู้เห็นกับการวางระเบิดค่อนข้างแน่นอน แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอีกหลายประเด็นครับ เช่น
- กรณีที่ชายคนดังกล่าวนำเป้มาวางแล้วจุดระเบิดเอง น่าจะไม่ทันต่อเวลาที่จะหลบหนีออกจากพื้นที่ อาจจะต้องมีอีกคนหนึ่งคอยจุดระเบิดแทน ตรงจุดนี้จะชี้ให้เห็นว่า น่าจะมีการดำเนินงานกันหลายคน และอาจจะมีการวางระเบิดไว้ล่วงหน้าก่อนก็ได้ ชายดังกล่าวเป็นเพียงตัวแสดงเพื่อปกปิดร่องรอยเท่านั้น (๑๘.๕๔.๔๓ น. กล้องCCTVจากโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ด้านศาลพระพรหม พบคนร้ายเดินออกมา ๑๘.๕๕.๑๘ น. กล้องทางเดินสกายวอล์คจับภาพการระเบิดได้) นอกจากนั้นข้อมูลจากคนขับมอเตอร์ไซต์รับจ้างระบุว่า ผู้ต้องสัยถึงขนาดที่เขียนภาษาอังกฤษลงบนกระดาษว่า “LUMPINI PARK” แต่นั่งมอเตอร์ไซต์ไปเพียง ๕๐ เมตรเท่านั้นก็ลงรถ ทำไมไม่เดินต่อไปล่ะ! ต้องการสร้างหลักฐานให้เป็นคนต่างชาติหรือเปล่า
- ส่วนเป้ที่ระเบิด ถ้ามีระเบิดใส่ไว้น่าจะต้องมีเศษชิ้นส่วนเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะสายเป้ ไม่น่าจะหายไปหมด
- การแต่งกายของผู้ต้องสงสัยก็มีเจตนาเลียนแบบผู้ที่วางระเบิดกรณีงานบอสตันมาราธอน ที่สหรัฐฯ เมื่อปี ๒๕๕๖
จากเรื่องเหล่านี้ ตำรวจควรทบทวนกล้องวงจรปิดย้อนหลังลงไปสัก ๔-๕ ชั่วโมงก่อนระเบิด และควรดูฝั่งตรงข้ามศาลพระพรหมเพิ่มเติมอีกด้วย
สรุป จากเหตุผลดังกล่าว ระเบิดจุดนี้จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายสากลค่อนข้างแน่นอน เพราะ
(๑) เป้าหมายการก่อเหตุร้ายไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ของการก่อการร้ายสากลเลย
(๒) ไม่มีการประกาศความรับผิดชอบ
(๓) มีการกระทำในลักษณะต่อเนื่องกันที่บริเวณสะพานตากสิน และวางระเบิดปลอมอีกหลายแห่งจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งน่าจะมาจากคนไทยทำทั้งหมด
(๔) มีการเตรียมงานขยายผลเหตุระเบิด และการสร้างความสับสนผ่านสังคมออนไลน์ จนรัฐบาลต้องออกมาปราม
(๕) ส่วนการสร้างข่าวว่าการก่อเหตุร้ายเป็นผลมาจากกลุ่มอุยกูร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะกลุ่มอุยกูร์เป็นเพียงกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนในจีนกลุ่มเล็กๆ ไม่มีศักยภาพที่จะวางระเบิดนอกประเทศ และไม่เคยทำมาก่อน นอกจากเอามีดไปไล่ฟันเท่านั้น ฯลฯ นอกจากนั้น เชื่อได้ว่าทางกลุ่มอุยกูร์นั้นไม่ต้องการจะออกมาทำงานการก่อการร้ายนอกประเทศ ถ้าออกมาทำ ก็จะถูกยกระดับเป็นกลุ่มก่อการร้ายสากล นักธุรกิจชาวอุยกูร์ผู้สนับสนุนกลุ่มอุยกูร์นอกประเทศก็จะเดือดร้อน ถึงขั้นต้องหลบหนี จะทำให้กลุ่มอุยกูร์ขาดเงินสนับสนุนในการเคลื่อนไหวในประเทศจีนทันที ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าหัวเราะจนฟันหักครับ
วันนี้พอพิสูจน์ได้ว่าระเบิดที่ราชประสงค์ไม่ได้มาจากการก่อการร้ายนอกประเทศ แต่มาจากคนในประเทศเอง พวกนี้คือพวก ENEMY OF THE STATE คอยบ่อนทำลายประเทศไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดฆ่าคนไทยด้วยกันเอง แต่ เหตุร้ายครั้งนี้นอกจากเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคนไทยแล้ว ยังทำให้ประเทศไทยได้รับสิ่งดีๆ คืนกลับมาหลายอย่าง
- คนไทยตื่นตัวกันมากขึ้น เข้าใจเหตุและผลมากขึ้น
- ความสามัคคีของคนไทยส่วนใหญ่เริ่มเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้งหนึ่ง
- ทำให้คนไทยและข้าราชการฝ่ายความมั่นคงตื่นตัวมากขึ้น
- ระเบิดครั้งนี้จะทำให้เห็นว่า การขับเคลื่อนประเทศเพื่อการปฏิรูประบบต่างๆในสังคมไทยยังเป็นเรื่องที่เร่งด่วน
พวกเราคนไทยต้องให้กำลังใจกันเอง ต้องเข้มแข็ง ฟังและพูดทุกเรื่องราวอย่างมีเหตุผล มีสติ อย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง การระเบิดครั้งนี้จะบ่งบอกว่า ใครเป็นคนรักชาติจริงหรือไม่จริง ประเทศไหนรักประเทศไทยบ้าง ถ้าเรามั่นคง ดูแลกันจริงๆ แล้ว ขบวนการก่อกวนประเทศไทยจะได้รู้สึกตัว และยุติการก่อกวนลงเสียทีครับ
2) ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีต ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ 

เขียนบทความใน นสพ.โพสต์ทูเดย์ ระบุว่า 

"คนไทยมีความสุขได้เพียง 1-2 วันจากโครงการปั่นเพื่อแม่เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2558 ได้เพียงวันเดียวเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้นที่ 17 ความสุขก็เปลี่ยนเป็นความเศร้าแทน เมื่อคนร้ายลอบวางระเบิดที่ศาลท่านท้าวมหาพรหมจนทำให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตไปแล้ว 20 คน และบาดเจ็บ 123 คน ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 68 ราย ไม่เพียงรัฐบาลไทยเสียหายเท่านั้น แต่ประเทศไทยเสียหายด้วย คนไทยต้องใช้สติและปัญญามองและแก้ไขปัญหา อย่าตื่นตกใจ เชื่อว่วคนส่วนใหญ่อยากรู้ว่า ใครทำ ทำไมถึงทำ และให้รัฐบาลเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้
- เราต้องค้นหา “ความจริง” ให้ได้เสียก่อน ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดของเจ้าหน้าที่สรุปว่า เป็นการกระทำของมืออาชีพ การระเบิดสมบูรณ์ที่สุด ระเบิดเป็นแบบไปป์บอมบ์ใส่ลูกปืนหรือแบริ่งบอลล์ ไมได้ใช้โทรศัพท์มือถือและนาฬิกาเป็นตัวจุดชนวนระเบิด เพราะไม่พบเศษซากชิ้นส่วนซึ่งไม่ว่าการระเบิดจะสมบูรณ์เพียงไรย่อมทิ้งร่องรอยอุปกรณ์พวกนี้ไว้บ้าง แสดงว่าใช้การกดแบบถ่วงเวลา พิจารณาจากคราบไนเตรทที่เหลืออยู่เป็นได้ทั้งระเบิด ทีเอ็นที. ที่ใช้ระเบิดหิน และ ซีโพร์ ที่ใช้ในกิจการทหาร ทหารส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะเป็น ซีโฟร์เพราะอำนาจทำลายรุนแรงมาก มิฉนั้นต้องใช้ ทีเอ็นที.หลายแห่ง คนร้ายหวังผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตรุนแรงที่สุด
- มืออาชีพแบบนี้ต้องมีการ “เคสซิ่ง” หรือสำรวจสถานที่หลายแห่งล่วงหน้าและตัดสินใจเลือกเอาบริเวณศาลท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีคนไทยและต่างชาติจำนวนมากมาไหว้ขอพร โดยเฉพาะคนจีนซึ่งมีความศรัทธา มีการวางแผนเข้าสู่เป้าหมายและออกจากเป้าหมายโดยใช้รถตุ๊ก ๆ ไปที่ศาลพระพรหม และออกจากศาลพระพรหมมาใช้รถจักรยานยนต์ไปทางสีลม จากนั้นมีข่าวว่าขึ้นรถแท็กซี่ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติประจำที่ผู้ก่อเหตุร้ายชาวต่างชาติต้องออกจากไทยให้เร็วที่สุดหลังปฏิบัติการ ส่วนชายที่ลุกจากม้านั่งเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นคนที่ถูกส่งมาจองที่นั่งเหมาะที่สุดสำหรับการวางระเบิดเพื่อให้แรงระเบิดพุ่งไปในทิศทางที่ต้องการ ดังนั้น คนขับรถตุ๊ก ๆ ชายที่ลุกจากที่นั่ง คนขับจักรยานยนต์ และคนขับแท็กซี่ ควรมาให้ข้อมูลกับตำรวจแบบเงียบ ๆ เพื่อช่วยกันหาตัวคนร้ายและเอาคนที่อยู่เบื้องหลังมาลงโทษให้ได้
- ในวันรุ่งขึ้นที่ 18 มีคนร้ายซ้อนจักรยานยนต์ขว้างระเบิดจากที่สูงไปที่ท่าเรือข้ามฟากที่สาธรซึ่งช่วงเวลานั้นมีคนไทยและชาวจีนรอข้ามฟากจำนวนมาก แต่ระเบิดที่ทำงานแล้วพลาดตกไปน้ำ ตำรวจเปิดเผยว่าเป็นระเบิดแบบเดียวกันที่ศาลพระพรหม ข้างในใส่โลหะแบบเดียวกัน ใช้วิธีจุดชนวนแบบ
เดียวกัน แสดงว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันที่มุ่งหวังชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ คนที่กล้าจะทำความรุนแรงแบบนี้ติดต่อกันได้สองวันย่อมไม่ใช่ธรรมดา
- สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือ “ใครทำ” เวลานี้ค่อนข้างแน่ใจว่าคนใส่เสื้อเหลืองสะพายเป้ที่ศาลพระพรหมเป็นผู้วางระเบิด แต่คน ๆ นี้คงเป็นผู้ปฏิบัติการเท่านั้น แล้วใครล่ะที่ “อยู่เบื้องหลัง” เจ้าหน้าที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้ 3 ประเด็นคือ เป็นฝีมือของ
(1) กลุ่มก่อการร้ายสากล
(2) มหาอำนาจตะวันตก
(3) กลุ่มสูญเสียอำนาจทางการเมืองในไทย
- สำหรับกลุ่มแรกนั้นมีการพูดถึงชาวอุยกูร์โดยมองว่าชายเสื้อเหลืองอาจเป็นชาวอุยกูร์ที่ต้องการแก้แค้นรัฐบาลจีนเพราะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวจีน แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมา กลุ่มก่อการร้ายอุยกูร์ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน น้ำหนักในข้อแรกจึงมีน้อยยกเว้นมีข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลัง
- ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงพุ่งความสนใจมากที่ 2 ประเด็นหลัง หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐหลายรายมองว่าเป็นฝีมือของอเมริกันที่สามารถปฏิบัติการเช่นนี้ได้ เพื่อลดความน่าเชื่อถือรัฐบาลเพราะไม่พอใจที่รัฐบาล คสช.ใกล้ชิดกับจีน ต้องการให้รัฐบาลชุดนี้ออกไปโดยเร็วเพื่อให้พรรคเพื่อไทยที่อเมริกันหนุนหลังกลับคืนสู่อำนาจ เพราะก่อนหน้านี้ มหาอำนาจตะวันตกชาติหนึ่งเคลื่อนไหวบ่อนทำลาย จัดตั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และมีการเปลี่ยนทีมงานในสถานทูตผิดปกติ อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเรื่องการเมืองในประเทศ เพื่อตอบโต้การถอดยศและริบเครื่องราชย์ของทักษิณ หรือกลุ่มสองและสามร่วมมือกันเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
- คนเลวพวกนี้ใช้ชีวิตของประชาชนที่บริสุทธิ์เป็นเครื่องสังเวยความกระสันต์ทางการเมืองของตน คนเลวที่คิดและทำแบบนี้กับประเทศไทยมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
- การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่จะเป็นตัวกำหนดในเวลาต่อมาว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มใดมากที่สุด สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งหาคือ “ซิกเนเจอร์” ที่บอกรูปแบบระเบิด วิธีการว่าจะไปเหมือนกับกลุ่มใดในอดีต ปรากฎว่า ข้อมูลชั้นแรกพบว่า เป็นแบบเดียวกับกรณีระเบิดที่เมตตาแมนชั่นในช่วงเผาบ้านเผาเมือง และเหมือนกับมือระเบิดจักรยานยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุทำให้ระเบิดที่เตรียมไปวางระเบิดขึ้นและฆ่ามือระเบิดตายทั้งคู่ที่ปทุมธานีในช่วงการชุมนุมของ กปปส. ตำรวจได้ตามรอยไปจนพบแหล่งประกอบระเบิดในบ้านหลังหนึ่งที่มี “ซิกเนเจอร์” ตรงกับระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ และเมื่อสืบสาวต่อไปพบว่า พวกนี้อยู่ในเครือข่ายอดีตเจ้าหน้าที่ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ถ้าซิกเนเจอร์ตรงกันเช่นนี้ ก็พอจะรู้ว่าใครน่าจะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่ศาลพระพรหมเอราวัณ โดยอาจเป็นเรื่องการเมืองภายในอย่างเดียว หรือมีการประสานงานกับการเมืองภายนอกก็ได้
# เราเชื่อว่า อีกไม่นาน เจ้าหน้าที่จะสามารถคลี่คลายคดีได้ แล้ววันนั้น เราจะได้รูว่า “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังระเบิดครั้งนี้คือใคร