PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มุมมองจาก๒นักการข่าวกรองทหาร ระเบิดรุนแรงราชประสงค์ฝีมือคนไทย

การวิเคราะห์ และมุมมองน่าสนใจ....กรณีระเบิดจาก ๒ นักการข่าวกรองของไทย
บทวิเคราะห์จากข้อมูลเเละการประมวลข่าว ด้วยประสพการณ์ของพี่ชาย2ท่านที่เคยร่วมงานกับผมในหลายกรณีสำคัญ ถือเป็นมือการข่าวลับสำคัญระดับเเนวหน้าของประเทศ เขียนถึงคนก่อเหตุระเบิดราชประสงค์เเละผู้ที่น่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ได้ชัดเจน ตรงประเด็น ที่สำคัญตรงกับข้อมูลที่มีตรงกันครับ. ลองอ่านเเละใช้วิจารณญานดูกัน จากพี่ที่ผมเคารพทั้งสองท่านครับ

1)พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตผอกองข่าว ศรภ 

"ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่เกิดระเบิดขึ้นที่ราชประสงค์แล้ว แต่อยากรอข้อมูล ๒ เรื่องให้ชัดเจนเสียก่อน คือ ชนิดของระเบิดว่าเป็น TNT หรือ C๔ รวมถึงจุดระเบิดที่แน่นอนว่ามาจาก “ใต้ม้านั่ง” หรือ “บนม้านั่ง” กันแน่ แต่รอมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่ทราบ จึงขอเขียนไปตามข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในปัจจุบันก่อนประกอบด้วย
๑. ระเบิดเป็นชนิดไปป์บอมที่มีความรุนแรงมาก แต่เนื้อระเบิดที่บรรจุภายในยังไม่ชัดเจนว่าเป็น TNT หรือ C๔ (เดิมตอนเกิดเหตุใหม่ๆ ตำรวจระบุว่า เป็น TNT ขนาด ๓ กิโลกรัม) ประเด็นสำคัญอยู่ที่เคยมีระเบิดที่มีความรุนแรงขนาดนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือเปล่า ตอบได้ว่าเคยเกิดขึ้นและแรงกว่านี้อีก ซึ่งเกิดจากกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนเลือกฝ่ายทางการเมืองที่สมานเมตตาแมนชั่น จ.นนทบุรี เมื่อปี ๒๕๕๓
๒. ระเบิดครั้งนี้มีเจตนาแน่ชัดว่ามุ่งที่จะสังหารประชาชนที่บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า มุ่งที่จะสร้างความหวาดกลัวขึ้นในประเทศ ประเด็นจึงมีอยู่ว่า การวางระเบิดที่มีเจตนาแบบนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยไหม ตอบได้ว่า เคยครับที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์เช่นกัน เมื่อตอนวันขึ้นปีใหม่ ในช่วงรอยต่อระหว่างปี ๒๕๔๙-๒๕๕๐ ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่โชคดีที่รัฐบาลสั่งระงับการจัดงานปีใหม่ไปเสียก่อน เมื่อตอน ๑ ทุ่ม และปิดถนนบริเวณสี่แยกราชประสงค์ทั้งหมดเพื่อตรวจหาระเบิด แต่ไม่พบ พอเวลาเที่ยงคืนได้เกิดระเบิดขึ้นที่บนตู้โทรศัพท์ตรงข้ามสถานที่จัดงาน เมื่อไม่มีการจัดงานปีใหม่และปิดถนน พอเกิดระเบิดจึงไม่มีคนตายและบาดเจ็บ ต่อมาอีก ๕ นาทีได้เกิดระเบิดขึ้นที่ท่าน้ำซ้ำอีก ก็คงคาดเดาได้ว่า ถ้ามีการจัดงานที่ลาน หน้าเซ็นทรัลเวิล์ดจริงๆ แล้วคงจะมีผู้บาดเจ็บ /เสียชีวิตนับ ๑๐๐ คนขึ้นไป ทั้งจากระเบิดและการเหยียบกันตาย โชคดีที่เจ้าหน้าที่ปิดถนนไว้ก่อน จึงมีผู้ที่เสียชีวิตที่ท่าน้ำ เพียง ๑ คน บาดเจ็บอีก ๓ คน
จากประเด็นตามข้อ ๑. และ ๒. จะเห็นได้ว่า ระเบิดชนิดที่เกิดขึ้นที่ราชประสงค์ ทั้งความรุนแรงและการมีเจตนาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เมื่อ ๑๗ ส.ค. ๕๘ นั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรครับ และไม่ต้องสงสัยว่า “จะเป็นชาวต่างประเทศมาจัดทำระเบิด”
๓. ระเบิดที่ราชประสงค์นั้นมีเจตนาหลักในการวางระเบิดชัดเจนประการหนึ่ง คือ การมุ่งที่จะทำลายการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้เข้าประเทศที่ค้ำจุนเศรษฐกิจของ ประเทศไทย (กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนมาเที่ยวมากอันดับต้นๆ ของโลก จากการประเมินค่าใช้จ่ายของบัตรเครดิตต่างประเทศ) โดยพิจารณาได้จาก
๓.๑ จุดที่วางระเบิดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว
๓.๒ มีการจัดวางระเบิดชนิดเดียวกันอย่างต่อเนื่องที่สะพานตากสิน และมีการวางระเบิดปลอมต่อเนื่องกันมาจนถึงวันนี้
๓.๓ มีการวางแผนสร้างความสับสนจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือโซเชียล อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาปราม
๔. ส่วนพยานหลักฐานจากคลิปวีดีโอซึ่งมีชายใส่เสื้อสีเหลือง ลักษณะคล้ายคนต่างชาติ นำเป้มาวางไว้บริเวณจุดที่เกิดระเบิดแล้วเดินหายไปนั้น พอยืนยันได้ว่าชายคนนี้มีส่วนรู้เห็นกับการวางระเบิดค่อนข้างแน่นอน แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอีกหลายประเด็นครับ เช่น
- กรณีที่ชายคนดังกล่าวนำเป้มาวางแล้วจุดระเบิดเอง น่าจะไม่ทันต่อเวลาที่จะหลบหนีออกจากพื้นที่ อาจจะต้องมีอีกคนหนึ่งคอยจุดระเบิดแทน ตรงจุดนี้จะชี้ให้เห็นว่า น่าจะมีการดำเนินงานกันหลายคน และอาจจะมีการวางระเบิดไว้ล่วงหน้าก่อนก็ได้ ชายดังกล่าวเป็นเพียงตัวแสดงเพื่อปกปิดร่องรอยเท่านั้น (๑๘.๕๔.๔๓ น. กล้องCCTVจากโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ด้านศาลพระพรหม พบคนร้ายเดินออกมา ๑๘.๕๕.๑๘ น. กล้องทางเดินสกายวอล์คจับภาพการระเบิดได้) นอกจากนั้นข้อมูลจากคนขับมอเตอร์ไซต์รับจ้างระบุว่า ผู้ต้องสัยถึงขนาดที่เขียนภาษาอังกฤษลงบนกระดาษว่า “LUMPINI PARK” แต่นั่งมอเตอร์ไซต์ไปเพียง ๕๐ เมตรเท่านั้นก็ลงรถ ทำไมไม่เดินต่อไปล่ะ! ต้องการสร้างหลักฐานให้เป็นคนต่างชาติหรือเปล่า
- ส่วนเป้ที่ระเบิด ถ้ามีระเบิดใส่ไว้น่าจะต้องมีเศษชิ้นส่วนเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะสายเป้ ไม่น่าจะหายไปหมด
- การแต่งกายของผู้ต้องสงสัยก็มีเจตนาเลียนแบบผู้ที่วางระเบิดกรณีงานบอสตันมาราธอน ที่สหรัฐฯ เมื่อปี ๒๕๕๖
จากเรื่องเหล่านี้ ตำรวจควรทบทวนกล้องวงจรปิดย้อนหลังลงไปสัก ๔-๕ ชั่วโมงก่อนระเบิด และควรดูฝั่งตรงข้ามศาลพระพรหมเพิ่มเติมอีกด้วย
สรุป จากเหตุผลดังกล่าว ระเบิดจุดนี้จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายสากลค่อนข้างแน่นอน เพราะ
(๑) เป้าหมายการก่อเหตุร้ายไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ของการก่อการร้ายสากลเลย
(๒) ไม่มีการประกาศความรับผิดชอบ
(๓) มีการกระทำในลักษณะต่อเนื่องกันที่บริเวณสะพานตากสิน และวางระเบิดปลอมอีกหลายแห่งจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งน่าจะมาจากคนไทยทำทั้งหมด
(๔) มีการเตรียมงานขยายผลเหตุระเบิด และการสร้างความสับสนผ่านสังคมออนไลน์ จนรัฐบาลต้องออกมาปราม
(๕) ส่วนการสร้างข่าวว่าการก่อเหตุร้ายเป็นผลมาจากกลุ่มอุยกูร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะกลุ่มอุยกูร์เป็นเพียงกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนในจีนกลุ่มเล็กๆ ไม่มีศักยภาพที่จะวางระเบิดนอกประเทศ และไม่เคยทำมาก่อน นอกจากเอามีดไปไล่ฟันเท่านั้น ฯลฯ นอกจากนั้น เชื่อได้ว่าทางกลุ่มอุยกูร์นั้นไม่ต้องการจะออกมาทำงานการก่อการร้ายนอกประเทศ ถ้าออกมาทำ ก็จะถูกยกระดับเป็นกลุ่มก่อการร้ายสากล นักธุรกิจชาวอุยกูร์ผู้สนับสนุนกลุ่มอุยกูร์นอกประเทศก็จะเดือดร้อน ถึงขั้นต้องหลบหนี จะทำให้กลุ่มอุยกูร์ขาดเงินสนับสนุนในการเคลื่อนไหวในประเทศจีนทันที ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าหัวเราะจนฟันหักครับ
วันนี้พอพิสูจน์ได้ว่าระเบิดที่ราชประสงค์ไม่ได้มาจากการก่อการร้ายนอกประเทศ แต่มาจากคนในประเทศเอง พวกนี้คือพวก ENEMY OF THE STATE คอยบ่อนทำลายประเทศไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดฆ่าคนไทยด้วยกันเอง แต่ เหตุร้ายครั้งนี้นอกจากเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคนไทยแล้ว ยังทำให้ประเทศไทยได้รับสิ่งดีๆ คืนกลับมาหลายอย่าง
- คนไทยตื่นตัวกันมากขึ้น เข้าใจเหตุและผลมากขึ้น
- ความสามัคคีของคนไทยส่วนใหญ่เริ่มเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้งหนึ่ง
- ทำให้คนไทยและข้าราชการฝ่ายความมั่นคงตื่นตัวมากขึ้น
- ระเบิดครั้งนี้จะทำให้เห็นว่า การขับเคลื่อนประเทศเพื่อการปฏิรูประบบต่างๆในสังคมไทยยังเป็นเรื่องที่เร่งด่วน
พวกเราคนไทยต้องให้กำลังใจกันเอง ต้องเข้มแข็ง ฟังและพูดทุกเรื่องราวอย่างมีเหตุผล มีสติ อย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง การระเบิดครั้งนี้จะบ่งบอกว่า ใครเป็นคนรักชาติจริงหรือไม่จริง ประเทศไหนรักประเทศไทยบ้าง ถ้าเรามั่นคง ดูแลกันจริงๆ แล้ว ขบวนการก่อกวนประเทศไทยจะได้รู้สึกตัว และยุติการก่อกวนลงเสียทีครับ
2) ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีต ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ 

เขียนบทความใน นสพ.โพสต์ทูเดย์ ระบุว่า 

"คนไทยมีความสุขได้เพียง 1-2 วันจากโครงการปั่นเพื่อแม่เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2558 ได้เพียงวันเดียวเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้นที่ 17 ความสุขก็เปลี่ยนเป็นความเศร้าแทน เมื่อคนร้ายลอบวางระเบิดที่ศาลท่านท้าวมหาพรหมจนทำให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตไปแล้ว 20 คน และบาดเจ็บ 123 คน ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 68 ราย ไม่เพียงรัฐบาลไทยเสียหายเท่านั้น แต่ประเทศไทยเสียหายด้วย คนไทยต้องใช้สติและปัญญามองและแก้ไขปัญหา อย่าตื่นตกใจ เชื่อว่วคนส่วนใหญ่อยากรู้ว่า ใครทำ ทำไมถึงทำ และให้รัฐบาลเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้
- เราต้องค้นหา “ความจริง” ให้ได้เสียก่อน ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดของเจ้าหน้าที่สรุปว่า เป็นการกระทำของมืออาชีพ การระเบิดสมบูรณ์ที่สุด ระเบิดเป็นแบบไปป์บอมบ์ใส่ลูกปืนหรือแบริ่งบอลล์ ไมได้ใช้โทรศัพท์มือถือและนาฬิกาเป็นตัวจุดชนวนระเบิด เพราะไม่พบเศษซากชิ้นส่วนซึ่งไม่ว่าการระเบิดจะสมบูรณ์เพียงไรย่อมทิ้งร่องรอยอุปกรณ์พวกนี้ไว้บ้าง แสดงว่าใช้การกดแบบถ่วงเวลา พิจารณาจากคราบไนเตรทที่เหลืออยู่เป็นได้ทั้งระเบิด ทีเอ็นที. ที่ใช้ระเบิดหิน และ ซีโพร์ ที่ใช้ในกิจการทหาร ทหารส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะเป็น ซีโฟร์เพราะอำนาจทำลายรุนแรงมาก มิฉนั้นต้องใช้ ทีเอ็นที.หลายแห่ง คนร้ายหวังผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตรุนแรงที่สุด
- มืออาชีพแบบนี้ต้องมีการ “เคสซิ่ง” หรือสำรวจสถานที่หลายแห่งล่วงหน้าและตัดสินใจเลือกเอาบริเวณศาลท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีคนไทยและต่างชาติจำนวนมากมาไหว้ขอพร โดยเฉพาะคนจีนซึ่งมีความศรัทธา มีการวางแผนเข้าสู่เป้าหมายและออกจากเป้าหมายโดยใช้รถตุ๊ก ๆ ไปที่ศาลพระพรหม และออกจากศาลพระพรหมมาใช้รถจักรยานยนต์ไปทางสีลม จากนั้นมีข่าวว่าขึ้นรถแท็กซี่ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติประจำที่ผู้ก่อเหตุร้ายชาวต่างชาติต้องออกจากไทยให้เร็วที่สุดหลังปฏิบัติการ ส่วนชายที่ลุกจากม้านั่งเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นคนที่ถูกส่งมาจองที่นั่งเหมาะที่สุดสำหรับการวางระเบิดเพื่อให้แรงระเบิดพุ่งไปในทิศทางที่ต้องการ ดังนั้น คนขับรถตุ๊ก ๆ ชายที่ลุกจากที่นั่ง คนขับจักรยานยนต์ และคนขับแท็กซี่ ควรมาให้ข้อมูลกับตำรวจแบบเงียบ ๆ เพื่อช่วยกันหาตัวคนร้ายและเอาคนที่อยู่เบื้องหลังมาลงโทษให้ได้
- ในวันรุ่งขึ้นที่ 18 มีคนร้ายซ้อนจักรยานยนต์ขว้างระเบิดจากที่สูงไปที่ท่าเรือข้ามฟากที่สาธรซึ่งช่วงเวลานั้นมีคนไทยและชาวจีนรอข้ามฟากจำนวนมาก แต่ระเบิดที่ทำงานแล้วพลาดตกไปน้ำ ตำรวจเปิดเผยว่าเป็นระเบิดแบบเดียวกันที่ศาลพระพรหม ข้างในใส่โลหะแบบเดียวกัน ใช้วิธีจุดชนวนแบบ
เดียวกัน แสดงว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันที่มุ่งหวังชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ คนที่กล้าจะทำความรุนแรงแบบนี้ติดต่อกันได้สองวันย่อมไม่ใช่ธรรมดา
- สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือ “ใครทำ” เวลานี้ค่อนข้างแน่ใจว่าคนใส่เสื้อเหลืองสะพายเป้ที่ศาลพระพรหมเป็นผู้วางระเบิด แต่คน ๆ นี้คงเป็นผู้ปฏิบัติการเท่านั้น แล้วใครล่ะที่ “อยู่เบื้องหลัง” เจ้าหน้าที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้ 3 ประเด็นคือ เป็นฝีมือของ
(1) กลุ่มก่อการร้ายสากล
(2) มหาอำนาจตะวันตก
(3) กลุ่มสูญเสียอำนาจทางการเมืองในไทย
- สำหรับกลุ่มแรกนั้นมีการพูดถึงชาวอุยกูร์โดยมองว่าชายเสื้อเหลืองอาจเป็นชาวอุยกูร์ที่ต้องการแก้แค้นรัฐบาลจีนเพราะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวจีน แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมา กลุ่มก่อการร้ายอุยกูร์ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน น้ำหนักในข้อแรกจึงมีน้อยยกเว้นมีข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลัง
- ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงพุ่งความสนใจมากที่ 2 ประเด็นหลัง หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐหลายรายมองว่าเป็นฝีมือของอเมริกันที่สามารถปฏิบัติการเช่นนี้ได้ เพื่อลดความน่าเชื่อถือรัฐบาลเพราะไม่พอใจที่รัฐบาล คสช.ใกล้ชิดกับจีน ต้องการให้รัฐบาลชุดนี้ออกไปโดยเร็วเพื่อให้พรรคเพื่อไทยที่อเมริกันหนุนหลังกลับคืนสู่อำนาจ เพราะก่อนหน้านี้ มหาอำนาจตะวันตกชาติหนึ่งเคลื่อนไหวบ่อนทำลาย จัดตั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และมีการเปลี่ยนทีมงานในสถานทูตผิดปกติ อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเรื่องการเมืองในประเทศ เพื่อตอบโต้การถอดยศและริบเครื่องราชย์ของทักษิณ หรือกลุ่มสองและสามร่วมมือกันเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
- คนเลวพวกนี้ใช้ชีวิตของประชาชนที่บริสุทธิ์เป็นเครื่องสังเวยความกระสันต์ทางการเมืองของตน คนเลวที่คิดและทำแบบนี้กับประเทศไทยมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
- การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่จะเป็นตัวกำหนดในเวลาต่อมาว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มใดมากที่สุด สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งหาคือ “ซิกเนเจอร์” ที่บอกรูปแบบระเบิด วิธีการว่าจะไปเหมือนกับกลุ่มใดในอดีต ปรากฎว่า ข้อมูลชั้นแรกพบว่า เป็นแบบเดียวกับกรณีระเบิดที่เมตตาแมนชั่นในช่วงเผาบ้านเผาเมือง และเหมือนกับมือระเบิดจักรยานยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุทำให้ระเบิดที่เตรียมไปวางระเบิดขึ้นและฆ่ามือระเบิดตายทั้งคู่ที่ปทุมธานีในช่วงการชุมนุมของ กปปส. ตำรวจได้ตามรอยไปจนพบแหล่งประกอบระเบิดในบ้านหลังหนึ่งที่มี “ซิกเนเจอร์” ตรงกับระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ และเมื่อสืบสาวต่อไปพบว่า พวกนี้อยู่ในเครือข่ายอดีตเจ้าหน้าที่ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ถ้าซิกเนเจอร์ตรงกันเช่นนี้ ก็พอจะรู้ว่าใครน่าจะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่ศาลพระพรหมเอราวัณ โดยอาจเป็นเรื่องการเมืองภายในอย่างเดียว หรือมีการประสานงานกับการเมืองภายนอกก็ได้
# เราเชื่อว่า อีกไม่นาน เจ้าหน้าที่จะสามารถคลี่คลายคดีได้ แล้ววันนั้น เราจะได้รูว่า “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังระเบิดครั้งนี้คือใคร

ไม่มีความคิดเห็น: