PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ส่องฝั่งซ้าย ‘ทักษิณ-ลุงสนามหลวง’ ใครพึ่งใคร?



ส่องฝั่งซ้าย ‘ทักษิณ-ลุงสนามหลวง’ ใครพึ่งใคร?
"ผมได้ทราบข่าวเรื่องข้อความจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง โดยมีการกล่าวอ้างถึงชื่อผม ด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ผมขอยืนยันว่าไม่เคยรู้จักบุคคลดังกล่าว และไม่เคยแม้แต่จะคิด ที่จะล่วงเกินสถาบันฯ เลยแม้แต่น้อย
ผมขอประณามในวิธีการดังกล่าว และยืนยันที่จะเอาเรื่องจนถึงที่สุด ในการที่นำชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมขอประกาศให้ทราบไว้ ณ ที่นี้ว่า ไม่ว่าใครที่ผมจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม หากมีการแอบอ้างหรือพาดพิงถึงตัวผม โดยมีการก้าวล่วงสถาบันเบื้องสูงอีก ผมจะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินคดีกับทุกคน"
ต้นเหตุที่ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องทวีตข้อความข้างต้น ก็คงสืบเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวปลุกระดมให้มีการป่วน "งานพระราชพิธี” ของกลุ่มวิทยุใต้ดินในฝั่งลาว
กลุ่มคนที่ว่านี้คือ กลุ่มลุงสนามหลวง หรือ “ชูชีพ ชีวะสุทธิ์” อดีตผู้ก่อตั้งกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ซึ่งปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
ตลอดเดือนกันยายน จนมาถึงปัจจุบัน “ลุงสนามหลวง” และชาวคณะ จัดรายการวิทยุใต้ดิน ผ่านยูทุบช่องสนามหลวง และมีการแชร์ไปอีกหลายช่อง โดยมีเนื้อหาปลุกให้คนออกมากระทำการป่วนงานราชพิธี ในวันที่ 26 ต.ค.นี้
มูลเหตุที่ลุงสนามหลวง ต้องปลุกกระแสดังกล่าว ก็มาจากการที่พวกเขาต้องหลบภัยอยู่ในต่างแดนนานหลายปีแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววว่า จะได้กลับเมืองไทยเสียที พวกเขาจึงหวังที่จะให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ถึงขั้นเกิดจลาจล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนทางการเมือง
กลุ่มคนเสื้อแดงหรือกลุ่มต้านเผด็จการทหาร ที่กระจัดกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ มีมากกว่า 10 กลุ่ม และทุกกลุ่มมีการจัดวิทยุใต้ดินผ่านยูทู้ป เดิมทีกลุ่มต้าน คสช.เหล่านี้หวังจะให้องค์กรเสรีไทย ของ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และจักรภพ เพ็ญแข เป็นแกนนำในการต่อสู้ แต่พักหลังองค์กรเสรีไทย กลับเฉื่อยชา ไม่มีความกระตือรือล้น พวกเขาจึงอยากลงมือทำกันเอง
กลุ่มลุงสนามหลวงยอมรับว่า ผิดหวังกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ไม่ยอมรับแนวทางการต่อสู้ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” เนื่องจาก “จักรภพ” ได้แจ้งกับพวกเขาว่า “ทักษิณ” ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว และบอกด้วยว่า ตัวทักษิณเองไม่ใช่ “นักปฏิวัติ” ฉะนั้นอย่ามาหวังพึ่งอะไรกัน
อย่างไรก็ตาม ลุงสนามหลวงยังตอกย้ำข้างเดียวผ่ายยูทู้ปว่า การกระทำทุกอย่างของกลุ่มพวกเขา ก็หวังที่จะให้ทักษิณได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง แม้จะถูกปฏิเสธการเป็นพันธมิตรมาแล้ว
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ลุงสนามหลวงและทีมงานจัดรายการวิพากษ์พรรคเพื่อไทย ที่ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดก่อเหตุรุนแรงในช่วงเดือน ต.ค. และพวกเขายังด่าแกนนำพรรคเพื่อไทยสาดเสียเทเสีย ว่าเป็นพวกยอมจำนน
มีรายงานข่าวว่า กลุ่มต้าน คสช.ในต่างแดนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชูพงษ์ ถี่ถ้วน, กลุ่มจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ, กลุ่มสุรชัย แซ่ด่าน, กลุ่ม พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัตน์, กลุ่มวงไฟเย็น และกลุ่มอาจารย์หวาน ล้วนไม่เห็นด้วยกับแนวทางป่วนงานพระราชพิธีของกลุ่มลุงสนามหลวง
ล่าสุด ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ออกมาจัดรายการทางยูทู้ปจากฟิลิปปินส์ ขอร้องให้สมาชิกกลุ่มต้านเผด็จการในไทย ยุติแนวคิดป่วนงานพระราชพิธี ด้วยความหลากหลายของกลุ่มใต้ดินในต่างประเทศ จึงทำให้เกิดวิวาทะ “อัดกันเอง” อยู่บ่อยครั้ง
“ทักษิณ ชินวัตร” คงประเมินสถานการณ์แล้วว่า หากขืนปล่อยให้กลุ่มลุงสนามหลวงพูดจาเรื่อยเจื้อย อาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง จึงต้องชิงแถลงผ่านทวิตเตอร์ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน
มีข้อน่าสังเกตว่า ลุงสนามหลวง หรือชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ไม่ใช่แกนนำคนสำคัญของ นปช. หรือพรรคเพื่อไทย แต่รัฐบาล สปป.ลาว ยังให้ที่พักพิงแก่เขา และใช้ฝั่งซ้ายเป็นฐานปลุกระดมล้มสถาบันเบื้องสูงมากว่า 3 ปีแล้ว

ครม.อนุมัตินโยบาย-แผนงานความมั่นคงแห่งชาติปี 60-64



ครม.อนุมัตินโยบาย-แผนงานความมั่นคงแห่งชาติปี 60-64
ที่ประชุม ครม.(10 ตุลาคม 2560) มีมติเห็นชอบร่างนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2564) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานจัดทำยุทธศาสตร์หรือแผนงานด้านความมั่นคงเฉพาะเรื่อง หรือการกำหนดแผนงานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติฯและยกเลิกนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558-2564)
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 (เรื่องนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2558-2564) และให้ใช้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2564) แทน โดยมอบหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นำกราบบังคมทูลเกล้าถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ(พ.ศ. 2560-2564)
โดยสาระสำคัญของเรื่อง นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติฯฉบับใหม่ สรุปได้ ดังนี้
1. นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ มีจำนวน 16 นโยบาย ประกอบด้วย 1) เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2) สร้างความเป็นธรรม ความปรองดอง และความสมานฉันท์ในชาติ 
3) ป้องกันและแก้ไขการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 
4)จัดระบบการบริหารจัดการชายแดนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดน
5) สร้างเสริมศักยภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามข้ามชาติ 6) ปกป้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล 7) จัดระบบ ป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง 8) เสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันความมั่นคงภายใน 9) เสริมสร้างความมั่นคงของชาติจากภัยการทุจริต 10)เสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ 11) รักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 12) เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร 13) พัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ 14) เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ 15) พัฒนาระบบงานข่าวกรองให้มีประสิทธิภาพ 16) เสริมสร้างดุลยภาพในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2. แผนระดับชาติว่าด้วยความมั่งคงแห่งชาติ มีจำนวน 19 แผน ดังนี้ 1)การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ 
2) การข่าวกรองและการประเมินสถานการณ์ความมั่นคงระยะยาว 3) การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติภายใต้การปกครองระบอบประชาธิไปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
4) การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติ 
5) การพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ 
6) การสร้างความสามัคคีปรองดอง 
7) การป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
8) การบริหารจัดการผู้หลบหนีเข้าเมือง 
9) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ 
10) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 
11) การเสริมสร้างความมั่นคงของชาติจากภัยทุจริต 
12) การรักษาความมั่นคงพื้นที่ชายแดน 
13) การรักษาความมั่นคงทางทะเล 
14) การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามข้ามชาติ 
15) การป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางไซเบอร์ 
16) การรักษาดุลยภาพสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ 
17) การรักษาความมั่นคงทางพลังงาน 
18) การรักษาความมั่นคงด้านอาหารและน้ำ และ 
19) การรักษาความมั่นคงด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ธีรยุทธ ถอดเสื้อกั๊ก อัด”บิ๊กตู่ – คสช.” สับสนทางจิต ไม่สนใจปัญหาคนจน ไม่เคารพประชาชน

ธีรยุทธ ถอดเสื้อกั๊ก อัด”บิ๊กตู่ – คสช.” สับสนทางจิต ไม่สนใจปัญหาคนจน ไม่เคารพประชาชน


เมื่อเวลา 13:00 น. วันที่ 10 ต.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ณ ห้องประกอบ หุตะสิงห์ ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ จัดสัมมนาวิชาการ เรื่องคนจนในบริบทที่เปลี่ยนไปในสังคมปัจจุบัน จัดโดยสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย โดยมี นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอิสระ กล่าวเปิดสัมมนาว่า วาทกรรมคนจนเกิดมาผันแปรเปลี่ยนแปลงสถานะมาเรื่อยๆ โดยเริ่มต้นจะมีช่วงหนึ่งที่สังคมไทยจะให้ความสนใจกับคนจนมาก จะมีสมัชชาคนจน มีการเดินขบวนสมัชชาคนจน ค่อนข้างมีพลังมาก ข้อสังเกตก็ดูเหมือนว่าวาทกรรมนี้อ่อนแรงลงไป ไม่ได้หมายความว่าปัญหาคนจนลดลงไป หรือว่าสูญหายไปจากประเทศไทย อาจจะมีความรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำ แต่ว่าวาทกรรมจะเปลี่ยนไปโดยมุ่งไปที่ชนบท เรื่องของรากหญ้า เกษตรกรมากกว่า
“ส่วนคนจนเมืองตนมองว่า ได้รับความสนใจเหลียวแลน้อยลงและที่จริงก็ถูกขับไสค่อนข้างมาก จากการปรับปรุงเมืองเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสังเกตุโดยมองภาพโดยรวมไม่ออก” นายธีรยุทธ กล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า แล้วก็สังเกตว่าความจริงคนจนจำนวนมากก็สับสนเหมือนๆกัน จากที่ได้นั่งแท๊กซี่และได้คุยกับคนขับรถแท๊กซี่ผมคิดว่าเขาได้มีภาวาะสับสนทางความคิดสูง มีจำนวนมากที่คิดว่า จะเลิกขับรถแท๊กซี่ดีไหม จะกลับไปบ้านดีหรือไม่ จะไปทำอาชีพอะไรต่างๆ ทำให้สังเกตได้ว่าเขาไม่ค่อยบ่นว่าเขายากจน ผมคิดว่าคนจนก็คงจนจนชินแล้ว และแค่หวั่นไหวว่าอนาคตจะทำอย่างไรดี
เพราะฉะนั้นภาวะทางจิตใจของคนจนค่อนข้างสับสนพอสมควร สำหรับชนชั้นกลางก็ขาดความมั่นคง ขาดความมั่นใจในอนาคตของตัวเอง เขามีความรู้สึกว่าความมั่นคงในสถานะอาชีพ กำลังเป็นปัญหา โดยสรุปผมคิดว่าคนชั้นกลางส่วนใหญ่กำลังเลื่อนสถานะลง อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตที่ผมมองเห็นเรื่องชนชั้นในสังคมไทย
นายธีรยุทธ เผยต่อว่า ความสับสนอันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งคนจนและคนชั้นกลาง บางทีอาจจะรวมไปถึงระดับผู้นำ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผมก็คิดว่าแกสับสนกับความคิดเหมือนกันเพราะว่าโรดแมปที่ตั้งขึ้นมา แกก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าช่วงต้น ช่วงกลาง ช่วงปลาย มันอยู่ตรงไหน จะเลือกตั้ง 2559 2560 หรือ 2561 ดี เพราฉะนั้นอันนี้เป็นภาวะปกติของสังคมไทย ผมคิดว่ามุมมองของรัฐบาล กระบวนทรรศน์ของ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สนใจปัญหาคนจนเท่าที่ควรจากที่ผมสังเกต การบริหารงานของท่านในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ยังขาดลักษณะที่บูรณาการมองเห็นปัญหา ซึ่งมันเกิดจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งมิติทางอำนาจ สิทธิ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนจน ท่านพูดเกี่ยวกับคนจนเยอะแต่ผมคิดว่าพูดถึงโดยไม่เข้าถึง” นายธีรยุทธ กล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวว่า ผมคิดว่าการเมืองของไทยภายใต้การนำของ คสช. ได้ถอยห่างออกจากการเคารพอำนาจประชาชน และถอยห่างออกจากความตั้งใจที่จะกระจายอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งเคยเป็นข้อเรียกร้องหรือเป็นแนวความคิดทางการเมืองของเราในรอบ 2 ศตวรรษที่ผ่านมาได้ขาดหายไป ซึ่งทั้งหมดนี้คือ 2 ประเด็นใหญ่ๆที่สรุปได้จากข้อสังเกตที่มีต่อรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์

ยังไม่ปลดล็อค

คสช.เตรียมปลดล็อค พรรคการเมือง หลังเสร็จ พระราชพิธี

"บิ๊กป้อม" เผย ถก คสช. ประเมินสถานการณ์แล่ว  ยังไม่ปลดล็อค ให้พรรคการเมืองตอนนี้  แต่ให้รอหลังพระราชพิธีฯ เสร็จสิ้น แต่มีเงื่อนไข ว่า ให้ดำเนินการเรื่องพรรคการเมืองได้ แต่ยังห้ามการชุมนุมทางการเมือง และการหาเสียง หรือความเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง

ปีดตอบ ปลดล้อค1พย.60 หรือไม่ รอการพิจารณา หลัง พรป.พรรคการเมือง มีผลบังคับใช้ 7ตค.60

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี ที่ประชุม คสช. พิจารณาเรื่องการปลดล็อคพรรคการเมืองหรือไม่ว่า  ที่ประชุมได้รับทราบว่าพรรคการเมืองออกมาเรียกร้อง แต่ต้องดูสถานการณ์เวลาที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง 
"ขอให้ผ่านพ้นช่วงเดือนต.ค. นี้ ไปก่อน เราพิจารณาแล้วว่า ช่วงนี้ไม่เหมาะสม เพราะเป็นช่วงพระราชพิธีฯ ขอให้รอให้ผ่านพ้นไปก่อน"

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเมื่อปลดล็อคแล้วจะมีเงื่อนไขอย่างไรหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะเป็นผู้ชี้แจง 

ส่วนในกรณีที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ กำหนดกรอบการดำเนินการที่พรรคการเมืองต้องทำนั้น  พลเอกประวิตร กล่าวว่า กรอบเวลามีทั้ง 90 วัน 180 วัน ถือว่าเป็นเป็นเวลานาน ไม่ใช่แค่วันสองวัน 

"ไม่ต้องห่วง ถึงยังไง ก็มีการปลดล็อค ให้เขามีเวลาในการทำงาน แต่ต่อให้มีการปลดล็อค ก็ไม่สามารถชุมนุมทางการเมืองได้อยู่แล้ว ยังไม่ให้มีการหาเสียงหรือปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง วุ่นวาย 

ส่วนที่มีรายงานข่าวระบุว่า จะมีการปลดล็อคก่อนวันที่ 1พ.ย.นั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริง เพราะว่า คสช. เพิ่งพูดเรื่องนี้กันเมื่อเช้า

              
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ทวิตเตอร์ ปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับกรณีการหมิ่นสถาบันฯ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา แต่ไม่ยังไม่ข้อมูลยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้หมิ่นสถาบันฯจริงๆกันแน่

ฝีมือมีชัย

ฝีมือมีชัย

พระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับใหม่ เริ่มมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา

แต่ คสช.ยังไม่ปลดล็อก ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมต่างๆตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองอย่างสะดวกโยธิน

นักการเมืองจึงต้องนั่งพับเพียบรอไฟเขียว คสช.ด้วยความอึดอัดหาวเรอ

“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นเตือนใครที่คิดจะตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อไปยาวๆ

ขอให้เตรียมรวบรวมรายชื่อผู้มีอุดมการณ์เดียวกันไม่น้อยกว่า 500 คน เพื่อลงขันจัดตั้งทุนประเดิม 1 ล้านบาท เพื่อขอจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ตามกติกา

ข้อสำคัญ ต้องหาสมาชิกพรรคให้ครบห้าพันคนภายใน 1 ปี

และต้องเพิ่มสมาชิกพรรคไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคนใน 4 ปี

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าสำหรับพรรคการเมืองที่จัดตั้งอยู่เดิมยังคงมีสถานะเป็นพรรคการเมืองต่อไป
แต่จะต้องเสนอรายชื่อสมาชิกพรรคล่าสุดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบความถูกต้องภายใน 90 วัน

ต้องจัดหาสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่าห้าพันคนภายใน 180 วัน

สมาชิกพรรคต้องจ่ายเงินบำรุงพรรค 100 บาททุกปีทุกคน

และต้องจัดประชุมใหญ่ เลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ให้เสร็จภายใน 6 เดือน ฯลฯ

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่ยังเพิ่มเงื่อนไขการส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. ให้วุ่นวายขายปลาช่อนยิ่งกว่าเดิม

เช่น...การจะส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.เขต จะต้องให้สาขาพรรคในเขตเลือกตั้งเป็นผู้คัดเลือกเอง

ถ้าไม่มีสาขาพรรค ต้องมีสมาชิกพรรคในเขตเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 100 คน เป็นผู้รับรอง

การส่งผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อต้องเปิดกว้างให้ตัวแทนสาขาพรรคทั่วประเทศ และคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาเห็นชอบร่วมกัน

หากพรรคการเมืองใดจัดตั้งสาขาพรรคไม่ทันตามกำหนดจะหมดสิทธิ์ส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.เขตทุกกรณี

พรรคการเมืองใดหาสมาชิกไม่ครบ 5 พันคนภายใน 1 ปี จะต้องสิ้นสภาพพรรคการเมืองโดยปริยาย
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า พ.ร.บ.พรรคการเมือง “ฉบับมีชัยไทยแลนด์ดอตคอม” ยังกำหนดห้ามไม่ให้บุคคลใดจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคแทนกัน

ห้ามเด็ดขาด ไม่ให้พรรคการเมืองยินยอมให้บุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคครอบงำ หรือชี้นำ ทั้งทางอ้อมและทางตรง

ถ้าพบว่าพรรคการเมืองใด ยินยอม ให้คนนอกแทรกแซงครอบงำจะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคทันที
อ้อ...ก่อนเริ่มหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. พรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายพรรคให้ กกต.พิจารณา ว่านโยบายอย่างนี้ต้องใช้งบลงทุนเท่าใด? จะใช้แหล่งเงินจากที่ใด? จะเกิดประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่? อย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม

เรียกว่าวางกฎเหล็กคุมเข้มตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมพรรคการเมืองไม่ให้หือไม่ให้อือ

จึงกำหนดโทษความผิดกรณีต่างๆไว้มากมายก่ายกอง

ตั้งแต่เบาะๆติดคุก 5 ปี จนถึง 20 ปี

จากนี้ไป ใครจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง? ใครจะเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง?...จึงต้องระวังให้จงดี

พลาดนิดเดียว...ติดคุกหัวโตเชียวนะคุณ.

"แม่ลูกจันทร์"

ลุ้นสูตรแชร์อำนาจก่อน

ลุ้นสูตรแชร์อำนาจก่อน

การเมืองบางทีเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยเฮงด้วย

ล่าสุดเว็บไซต์อย่างเป็นทางการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) หน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านการบินระดับโลก ได้ทำการปลด “ธงแดง” หน้าชื่อประเทศไทยออกแล้ว หลังจากปักธงประจานมาตรฐานการบินพลเรือนมานานกว่า 2 ปี

นั่นหมายถึงหลังจากนี้ไปสายการบินที่จดทะเบียนในไทยและได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (เอโอซี) จากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แล้ว จะสามารถเปิดเส้นทางบินไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆได้ตามปกติ

ธุรกิจการบินกลับมาคึกคัก สอดรับกับรายได้หลักจากการท่องเที่ยว

ที่แน่ๆปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นผลมาจากการทำการบ้านอย่างหนักของ “นายกฯ ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.และทีมงาน ผลเชิงบวก ของอำนาจพิเศษมาตรา 44

ลุยถั่ว ฝ่าฟันปมล็อกธุรกิจการบินของประเทศมาได้ภายใน 2 ปี

และในจังหวะต่อเนื่องพอดี ตามท้องเรื่องที่ “นายกฯลุงตู่” เพิ่งพาทีมกลับจากหารือ “เพื่อนแท้”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา แบบที่คุยกัน 3 คืนไม่จบ กับฉากประวัติศาสตร์ระดับโลกที่ผู้นำรัฐบาลทหารของไทยได้รับเชิญเข้าไปนั่งในห้องรูปไข่ ทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี.

โดยที่ผู้นำเบอร์หนึ่งโลกอย่าง “ทรัมป์” เปิดให้คุยทั้งแบบโฟร์อายและเต็มคณะหางเครื่องชุดใหญ่ สนใจใน 3–4 ประเด็น คือสถานการณ์เกาหลีเหนือ การเพิ่มมูลค่าทางการค้า เจรจาขายถ่านหินให้ไทย
เทน้ำหนักไปที่ยุทธศาสตร์คานอำนาจจีนแผ่นดินใหญ่

ไม่ได้สนใจเรื่องการเลือกตั้งในประเทศไทย กลายเป็นผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.เสียเอง ที่ต้องออกตัวเพื่อแสดงความมั่นใจตอบกลับการต้อนรับอย่างให้เกียรติดียิ่งของผู้นำสหรัฐฯ

ประกาศจะกำหนดวันเลือกตั้งในปี 2561

ตามรูปการณ์มาถึงตรงนี้ แรงกดดันจากภายนอกประเทศที่ส่งผลตรงต่อเงื่อนไขเศรษฐกิจได้ลดระดับลง โจทย์ยากสุดของรัฐบาลทหาร คสช.ได้ผ่อนดีกรีไปแล้ว

แนวโน้มส่งผลให้การตั้งรับแรงเสียดทานภายในเบาตัวลงเป็นกอง

ในจังหวะที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องเผชิญกับเงื่อนไขสถานการณ์เร้าเกมเลือกตั้ง ตามคิวล่าสุดที่ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้

กระตุกเสียงเจี๊ยวจ๊าวของนักการเมืองอาชีพทุกยี่ห้อทุก

ป้อมค่าย เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา เรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อกกฎเหล็ก เปิดทางให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้

เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมความพร้อมก่อนลงสนามเลือกตั้ง

ตามเหลี่ยมเขี้ยวของนักการเมืองแห่กระแส หวังข้ามช็อตไปไกลไว้ก่อน

แต่ของจริงอ่านไต๋กันง่ายๆ จากการอธิบายของ “นายกฯลุงตู่” ที่สมมติเอาตามปฏิทินยาวสุด กฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนปี 2561 นับไปอีก 150 วันตามกระบวนการ
แทงหวยได้ ยังไงการเลือกตั้งก็น่าจะยืดไปต้นปี 2562

ที่ต้องลุ้นก่อนก็คือการปรับเปลี่ยนหลังเดือนตุลาคม ตามฟอร์ม “นายกฯลุงตู่” ต้องกระตุ้นเชิงบริหาร
กับสูตรการเมืองที่ยังปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์

และหากย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์การเมืองยุคก่อนยี่ห้อ “ทักษิณ” กินรวบ

สูตรการแชร์อำนาจระหว่างนักการเมืองกับทหารในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ เสี้ยวใบ ในโหมดของการลงหลังเสือของรัฐบาลจากการรัฐประหาร

จะเลือกดึงตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆมาร่วมบริหารเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ ช่วยผู้นำทหาร ปั่นเนื้องาน พร้อมๆกับการสร้างฐานคะแนนเสียงทางการเมือง

ปูทางก่อนลงสนามเลือกตั้ง กระจายกำลังกันไปเจาะฐาน

แล้วค่อยกลับมาร่วมตั้งรัฐบาลผสมอีกรอบหลังเสร็จศึก

ว่ากันตามสูตรนี้ก็ไม่แปลก ถ้าการปรับ ครม.รอบต่อไปจะมีตัวแทนพรรคการเมืองที่พอคุยภาษาไทยรู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นชาติไทย-พัฒนา ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ในปีกของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขาใหญ่ กปปส. รวมทั้งบิ๊กเนมการเมืองที่ยังเชี่ยวเชิงบริหารและการเมือง

มาร่วมงานรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่”

เว้นยี่ห้อเพื่อไทยที่ภาพหักมุมเกิน ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านไป.


ทีมข่าวการเมือง