PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คนหน้าซ้ำเตรียมรับงานใหม่ ในโรดแมปการร่างยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูป

คนหน้าซ้ำเตรียมรับงานใหม่ ในโรดแมปการร่างยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูป

นับว่าเป็นเสียงระฆังยกที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ สำหรับการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติ และเป็นยกที่สามของการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และร่างพ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฎิรูปประเทศ ประกาศใช้เป็นกฎหมาย เมื่อ 22 มิถุนายน 2560 
 
ความสำคัญของร่างพ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ คือการกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศ ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. จึงมีการเปิดรับฟังความคิดจากประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.thaigov.go.th ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน - 20 พฤษภาคม 2560 ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ร่างพ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ มีประชาชนเข้าอ่านข้อมูล จำนวน 3,051 ครั้ง และแสดงตนเพื่อเสนอความเห็น เพียง 8 คน ส่วนร่างพ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฎิรูปประเทศ มีประชาชนเข้าอ่านข้อมูล จำนวน 3,514 ครั้ง และแสดงตนเพื่อเสนอความเห็น เพียง 3 คน เท่านั้น
 
 
 
ร่างพ.ร.บ.ทั้งสองฉบับกำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่อีกสามชุด คือ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ” “คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ” และ “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ” โดยคณะกรรมการทั้งสามชุดมีความสัมพันธ์ในการทำงานที่สอดคล้องกัน และมีบทบาททั้งเหมือนและต่างกัน   
 
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ: “ซุปเปอร์บอร์ดทหารและนายทุน"
 
ตามหน้าข่าว “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ” คือชื่อที่ได้ยินบ่อยที่สุดนั้น บางคนเรียกคณะกรรมการชุดนี้ว่า “ซุปเปอร์บอร์ด” เพราะ คณะกรรมการชุดนี้จะมีบทบาทสำคัญที่สุด ในการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะกำหนดทิศทางนโยบายของรัฐบาล หรือการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 
 
คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ เสนอความเห็นต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง และกำกับดูแลการปฏิรูปประเทศที่กำหนดไว้ในกฎหมายแผนและขั้นตอนการปฏิรูป ทั้งนี้ หากหน่วยงานรัฐใดไม่ปฏิบัติตามคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติสามารถแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
 
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ มีจำนวน 34 คน ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง 17 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 17 คน ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีรองประธานอีกจำนวน 3 คน คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และรองนายกรัฐมนตรี สำหรับกรรมการโดยตำแหน่งอีก 13 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายความมั่นคง เช่น ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และตัวแทนจากภาคเอกชน เช่น ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นต้น
 
จากสัดส่วนของกรรมการของโดยตำแหน่ง จะเห็นว่า มีกรรรมการจากฝ่ายความมั่นคง 7 คน และภาคเอกชนชั้นนำ 6 คน ขณะที่อีก 4 คนแม้จะเป็นตัวแทนจากฝ่ายการเมือง แต่ปัจจุบันฝ่ายการเมืองยังไม่มีก็จึงเป็นตัวแทนที่มาจาก คสช. อีกเช่นกัน ส่วนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 17 คน ก็จะมาจากการแต่งตั้งโดย ครม. ของ คสช. ซึ่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี มากกว่าหนึ่งเทอมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคือ 4 ปี
 
เปิดกรรมการโดยตำแหน่ง 17 คน สร้างงานสร้างอาชีพต่อเนื่อง
 
หากดูรายชื่อคณะกรรมการโดยตำแหน่งทั้งหมด 17 คน (ตามอินโฟกราฟฟิก) จะพบว่ามาจากสามฝ่ายเป็นหลัก คือ ฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการด้านความมั่นคง และฝ่ายภาคเอกชนชั้นนำ กรรมการโดยตำแหน่งทุกคนต่างมีภารกิจและหน้าที่ประจำที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ดังนั้นการเข้ามารับตำแหน่งกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ก็จะเป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อน ไม่ใช่การทำงานอย่างเต็มที่เต็มเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นข้าราชการทหารอยู่ด้วย
 
อย่างไรก็ตามวิษณุ เครืองาม ให้เห็นเหตุผลว่า เหตุที่ต้องมีคนจากกองทัพเข้ามาเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพราะว่าจะดูแลในเรื่องของความมั่นคง และแต่ละคนก็มีกำลังของตัวเอง ทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ มีนายทหารในระดับต่างๆ และเป็นนายทหารที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยามวลชน
 
นอกจากนี้ กรรมการโดยตำแหน่ง หลายคนยังดำรงตำแหน่งอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งจากกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมด 17 คน มีกรรมการถึง 11 คน เป็นสมาชิก สนช. ด้วย และคณะกรรมการหลายคนยังดำรงตำแหน่งทับซ้อนกันไปมา เช่น ดำรงตำแหน่งทั้งสมาชิก คสช. ครม. และสนช. พ่วงด้วย
 
ด้วยเหตุนี้ในการพิจาณาร่างยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการจะจัดทำขึ้น ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อาจมีแนวโน้มที่ไม่โปร่งใส่ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากกรรมการหลายคนสวมหมวกหลายใบ เป็นทั้งคนร่างเองและพิจารณาเอง เช่น
 
-  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ พอร่างเข้าสู่การพิจารณาของครม.พลเอกประยุทธ์ ก็เห็นชอบในฐานะหัวโต๊ะของ ครม. หรือ
 
-  พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ พอร่างเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ส่งต่อมาถึง สนช. พลเอกชัยชาญ ก็พิจารณาอีกครั้งในฐานะสนช.
 
จากปรากฏการณ์นี้ก็พอจะเห็นได้ว่า อำนาจในการเขียนแผน "ยุทธศาสตร์ชาติ" ที่ใฝ่ฝันกันนี้ จะอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว คือ คสช. หรือ คนที่มาจากระบบของ คสช. และการตรวจสอบถ่วงดุลในขั้นตอนต่างๆ แทบจะเรียกได้ว่า ไม่มี เพราะขั้นตอนต่างๆ คสช. เป็นคนกำหนดขึ้นและส่งคนของตัวเองเข้าไปประจำอยู่แล้ว
 
 
คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ: มือหลักร่างยุทธศาสตร์ชาติ
 
ในร่างพ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดให้มีคณะกรรมการอีกคณะหนึ่ง คือ “คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ” ซึ่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติจะเป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมาคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อพิจารณาจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติในด้านต่างๆ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติกำหนด 
 
คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติแต่ละคณะมีจำนวนไม่เกิน 15 คน แม้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ จะตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อทำหน้าที่ร่างยุทธศาสตร์ชาติแล้ว แต่คณะกรรมการทั้งสองชุดก็ยังสามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมได้เพื่อช่วยในการทำงานได้อีกชั้นหนึ่ง
 
ทั้งนี้ เมื่อมีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติแล้ว คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละด้านจะต้องจัดทำแผนแม่บทเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ และต้องเสนอให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ พิจารณาก่อนส่งให้ ครม. เห็นชอบ ซึ่งแผนแม่บทนี้จะต้องสอดคล้องกันกับกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ  
 
กรรมการปฏิรูปประเทศ: เขียนแผนภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอีกที
 
“คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ” เป็นคณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามร่างพ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฎิรูปประเทศ หรือ ร่างพ.ร.บ.ปฎิรูปฯ ซึ่ง ครม. จะแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ อย่างน้อย 10 ด้าน โดยแต่ละคณะให้ประกอบด้วย กรรมการไม่เกิน 14 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี เพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศในแต่ละด้าน และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมอบหมาย
 
การปฏิรูปด้านต่างๆ ที่กำหนดในมาตรา 8
ของร่างพ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฎิรูปประเทศ
1. ด้านการเมือง
2. ด้านบริหารราชแผ่นดิน
3. ด้านกฎหมาย
4. ด้านกระบวนการยุติธรรม
5. ด้านการศึกษา
6. ด้านเศรษฐกิจ
7. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
8. ด้านสาธารณสุข
9. ด้านสือสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ
10. ด้านสังคม
11. ด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
 
หลังจาก ครม. แต่งตั้งแล้ว คณะกรรมการปฎิรูปประเทศในแต่ละด้านก็จะจัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศ โดยที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศจะต้องมาประชุมเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ 
 
เมื่อจัดทำร่างแผนการปฎิรูปประเทศเสร็จให้ที่ประชุมร่วมกันของประธานคณะกรรมการปฏิรูปทุกคณะ พิจารณาแผนการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านให้เกิดการบูรณาการและสอดคล้องกับแผนแม่บท ให้กรรมการยุทธศาสตร์ชาติซึ่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมอบหมายเป็นประธานของที่ประชุม และเมื่อที่ประชุมเห็นชอบให้ส่งร่างให้คณะกรรมยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาต่อ
 
ความแตกต่างของ “คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ” และ “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ”
 
จากที่กล่าวถึงโครงสร้างของคณะกรรมการทั้งสามชุด จะเห็นว่า "คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ" คือ คณะกรรมการชุดที่มีอำนาจเหนือกว่าคณะกรรมการอีกสองชุด กล่าวคือมีอำนาจแต่งตั้งและควบคุมการทำงานของ "คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ" ในการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ขณะที่เดียวกันก็มีอำนาจควบคุมการทำงานของ "คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ" ในการร่างแผนการปฏิรูปประเทศ เช่นกัน ดังนั้นผลงานของคณะกรรมการทั้งสองชุดดังกล่าวจึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
 
นอกจากชื่อและที่มาของ  "คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ" และ  "คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ" ที่แตกต่างกันแล้ว เรายังไม่เห็นว่าอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการทั้งสองชุดจะมีความแตกต่างกันอย่างไร แน่นอนว่าคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ มีหน้าที่ในการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละด้านเพื่อเป็นแม่แบบให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จัดทำร่างแผนการปฎิรูประเทศให้สอดคล้องกับร่างยุทธศาสตร์ชาติ ขณะเดียวกันเมื่อคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติทำการร่างยุทธศาสตร์ชาติเสร็จ จะต้องจัดทำแผนแม่บทให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้วย
 
ทั้ง "แผนการปฏิรูปประเทศ" และ "แผนแม่บท" ของคณะกรรมการทั้งสองชุด ต่างทำหน้าที่คล้ายกันคือเป็นแผนเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเห็นชอบ และให้หน่วยงานรัฐทุกหน่วยปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดในยุทธศาสตร์ชาติ   
 
นอกจากนี้ ความเหมือนกันอีกประการหนึ่งคือ ทั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ สามารถตั้งคณะกรรมการกี่คณะก็ได้ ซึ่งถ้านำการปฏิรูปประเทศ 10 ด้าน มาตั้งเป็นคณะกรรมการ ก็จะมีคณะกรรมการอย่างน้อย 20 คณะ แบ่งเป็นคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 10 คณะชุดละ 15 คน และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 10 คณะ ชุดละ 14 คน รวมแล้วมีคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งต่างๆ อย่างน้อย 290 คน สอดรับจังหวะที่กับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะสิ้นสุดการทำหน้าที่ลง และจะมีนักปฏิรูป "อาชีพ" กว่า 250 คน ที่กำลังจะว่างงาน   
 

เมื่อ "2ตู่"โยน กันไป กันมา...

เมื่อ "2ตู่"โยน กันไป กันมา...
ติง"ติดนิสัย" อะไรๆก็โทษรัฐบาล ชี้คนไทยทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากปรองดองไม่สำเร็จ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวความคืบหน้าการสร้างความปรองดอง ภายหลังนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาระบุหากปรองดองไม่สำเร็จ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ว่า การปรองดองจะปรองดองด้วยใคร ผมไปบังคับได้หรือ
ที่ผ่านมาเราก็อำนวยความสะดวกในเรื่องปรองดอง ซึ่งการปรองดองก็คือการร่วมมือกันของทุกฝ่าย ทุกขั้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใดๆ ก็แล้วแต่
ซึ่งผมก็เห็น ทุกคนก็มีความร่วมมือกันดี ซึ่งก็ต้องไปดูว่า 10 ประเด็นเหล่านี้จะทำให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร จะต้องทำอะไรบ้าง ประเด็นสำคัญคือการประท้วง การชุมนุมอะไรต่างๆ ที่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
“ก็ต้องดูด้วยว่าสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมายด้วย รับกันได้หรือไม่ ไม่ละเมิดกฎหมายพ.ร.บ.ชุมนุม ไม่ละเมิดทำให้กฎหมายอื่นเสียหาย เดือดร้อนการจราจร แบบนี้รับกันได้ไหม
หรือรัฐธรรมนูญบอกว่าทุกคนสามารถประท้วงได้ก็ประท้วงกันจนเละไปหมด ใช้อาวุธก็ได้หรืออย่างไร
ก็ใช่ที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก แต่ก็กฎหมายลูกเยอะแยะไปหมด ตรงนี้เป็นสิ่งที่จะต้องชัดเจนในการลงนาม ถ้ามันอยู่ในระบบกติกาเหมือนในประเทศที่เจริญแล้วเขาทำ มันไม่มีหรอก เขาก็ขออนุญาตชุมนุม ได้เวลาเขาก็มา ถึงเวลาเขาก็กลับ ไม่ใช่ชุมนุมกันจนตายกันไปข้างหนึ่ง อย่างนี้คงไม่ใช่ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องรับเรื่องไปพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดการประท้วงต่อไป
"ดังนั้นคนที่รับผิดชอบ หากปรองดองไม่สำเร็จ ก็คือคนไทยทั้งประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เนี่ยติดนิสัย อะไรๆ ก็รัฐบาล และตัวเอง ไม่คิดจะทำอะไรกันเลยหรืออย่างไร สังคมก็ดูกัน ก็แล้วกัน ใครที่ออกมาพูดตอนนี้ แต่อย่างไรก็ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

"บิ๊กตู่"ชม "บิ๊กแป๊ะ" อดหลับอดนอน หลายวัน ปิดคดีฆ่ายกครัว กระบี่เร็ว

"บิ๊กตู่"ชม "บิ๊กแป๊ะ" อดหลับอดนอน หลายวัน ปิดคดีฆ่ายกครัว กระบี่เร็ว ย้อนถามทำไม ไม่มีใครขอโทษทหาร ที่บอก แก๊งค์ลายพราง เปรย ผมก็นั่งนึกอยู่ว่าใครที่แต่งชุดทหารแล้วไปฆ่าคน ผมว่าไอ้นี่มันโง่นะ มันสมควรแล้ว ด่าคนเชื่อพวกแอบอ้างเป็นทหารไม่ขอดูบัตร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวว่า ขอชื่นชมตำรวจและทุกหน่วยงานทุกคนที่สามารถจับกุมคนร้ายคดีฆ่ายกครัวจ.กระบี่ได้ ทั้งรายเล็กรายใหญ่เพราะถือเป็นหน้าที่ของตำรวจ
ทั้งต้นทาง กระบวนการยุติธรรม เราต้องจับให้ได้ถึงแม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเราก็ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการทำงาน เพราะบางคดีก็ง่ายบางคดีก็ยากซึ่งเราต้องให้ความสำคัญกับทุกคดี

ทั้งนี้คดีดังกล่าวมีผลกระทบต่อสังคมสูงเพราะมีคนบาดเจ็บและสูญเสียจำนวนมาก ซึ่งไม่มีใครรับได้ แต่ในเมื่อดำเนินการมาแล้วจึงขอชื่นชมทุกคน จะเห็นว่านี่คือสิ่งดีๆที่ตำรวจทำมาก็กรุณานำไปชั่งน้ำหนักดูกับสิ่งที่ไม่ดีว่ามากน้อยแค่ไหน เรื่องดี ๆ ก็ไม่พูดถึง ไม่ชมเชยเขาแล้วก็ไปตีจุดบอด เราต้องแก้ไขก็จะสามารถทำให้สังคมอยู่ร่วมกันและนำไปสู่การปฏิรูปได้ ไม่ใช่จับผิดกันทุกเรื่องและบอกว่ามีแต่สิ่งเลวร้าย แต่สิ่งดี ๆ ไม่พูด และให้ผมเป็นคนชมคนเดียว สังคมก็ต้องช่วยกันชื่นชนตำรวจจะได้มีกำลังใจ คนดีจะได้ทำงาน

นายกฯกล่าวว่า ตนและรองนายกฯได้กำชับไปว่าขอให้ ผบ.ตร.และตำรวจระดับสูงลงไปในพื้นที่เพื่อไปกำกับดูแลเอง
" ซึ่งผบ.ตร.ก็ไปอดหลับอดนอน หลายวันก็ทำได้ภายใน 5-6 วัน นี่คือการทำงานแบบมืออาชีพ คดีใหญ่ ๆ ที่มีผลกระทบสูง ผู้บังคับบัญชาก็ต้องลงไปขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
ก็ได้เห็นว่ามีความสามารถ จากนั้นเมื่อมีการแต่งตั้งก็มาดูว่าควรเป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่เพียงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของทีมงานจะเห็นว่ามีตำรวจระดับสูงลงไปมากมาย รวมถึงทีมงานสืบสวนสอบสวนเมื่อทำงานร่วมกันได้ออกมา
“อย่าไปพูดแต่แรก เห็นไหม. แล้วยังไงมีใครจะขอโทษผมไหม จะขอโทษทหารเขาไหม สีเขียวน่าจะเป็นข้าราชการ มีไหมใครจะมาขอโทษบ้าง สื่อมวลชนไม่เห็นจะมีเลย แล้วตอนแรกบอกว่าเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ คนมีสี แล้วมีสักสีไหม ผมถึงบอกว่าต้องเช็กก่อน ไม่ใช่เขาใส่เสื้อมา ผมก็นั่งนึกอยู่ว่าใครที่แต่งชุดทหารแล้วไปฆ่าคน ผมว่าไอ้นี่มันโง่นะ มันสมควรแล้ว
อันนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่ง จะใช่ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่กล่าวอ้างว่าทหารมีแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ที่ไปอ้างกันอยู่ข้างล่างว่าทหารทำแบบโน้นแบบนี้ มันแค่เรียกผู้หมวดผู้กองแค่นี้หรือ มันใช่หรือ ก็ดูบัตรประชาชนมันหรือเปล่าล่ะ ถ้ามันอ้างแบบนั้นข้างล่างงไหนขอดูบัตรประชาชนสิ ก็จะโง่ให้เขาหลอกอยู่ทำไม ถ้าใช่ตัวจริงผมก็จะลงโทษไม่เอาไว้หรอก แต่ถ้ามาพูดแบบนี้ก็จะเสียหายกันทั้งระบบ ต่างประเทศเขาก็ดูทหารตำรวจก็เละไปหมด การเมืองก็เละ ตำรวจทหารก็เละ และไทยจะอยู่ตรงไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน และผมจะทำไหวไหมเนี่ย การเมืองก็วุ่นวายไปหมด”

"พรรคประชาธิปัตย์" พร้อมให้ความร่วมมือไม่ค้านสัญญาประชาคม แต่ต้องปฏิบัติได้จริง

"อภิสิทธิ์" ชี้ "พรรคประชาธิปัตย์" พร้อมให้ความร่วมมือไม่ค้านสัญญาประชาคม แต่ต้องปฏิบัติได้จริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร่างสัญญาประชาคมว่า เบื้องต้นนายธนา ชีรวินิจ อดีตส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้าร่วมเวทีสาธารณะ ได้นำรายละเอียดกลับมาหารือกับตนเองแล้ว โดยทางพรรคไม่คัดค้านและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับหลักการเหล่านี้อยู่แล้ว ปัญหาต่อไปคือจะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จริง ซึ่งต้องไปช่วยกันคิดในรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ส่วนตัวยังไม่ได้เห็นข้อเสนอเพิ่มเติมอีก 15 ข้อ ของนายกรัฐมนตรีเพราะยังไม่ได้รับร่างสัญญาประชาคม จึงยังไม่รู้ว่ามีข้อเสนออะไรบ้าง 

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ให้ทบทวนการแก้ไขเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ..... เนื่องจากเห็นว่าขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนว่าการที่พรรคเพื่อไทยมีความเห็นแตกต่างจากตนถือเป็นเรื่องปกติ แต่ยืนยันว่าไม่เห็นอะไรที่ขัดกับหลักยุติธรรม จากการศึกษากฎหมายในลักษณะนี้จะถือหลักการพิจารณาคดีจำเลยจะต้องรับทราบ ไม่ใช่พิจารณาโดยที่จำเลยไม่รู้หรือแม้แต่กรณีที่จำเลยหลบหนีอยู่ก็สามารถตั้งทนายมาต่อสู้ได้และหากจำเลยเปลี่ยนใจกลับมาต่อสู้คดีก็มีสิทธิ์กลับมาต่อสู้คดีใหม่ได้ซึ่งในส่วนนี้ตนมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่ช่วยให้จำเลยได้รับความเป็นธรรมและในหลายประเทศในสหภาพยุโรปก็ใช้เงื่อนไขนี้ จึงอยากให้มองในด้านนี้ด้วย 

“ผู้ที่เขียนกฎหมายก็พยายามให้สิทธิจำเลยในการตั้งทนายและรื้อฟื้นคดี รวมถึงยื่นอุทธรณ์แสดงให้เห็นว่าผู้ร่างกฎหมายไม่ได้ละเลยสิทธิในการต่อสู้คดี แต่กรณีจงใจหนีคดีไม่มาต่อสู้คดีก็อาจจะไม่เป็นธรรมต่อสังคม ในฐานะผู้เสียหายจากการทุจริตคอร์รัปชั่น” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

“บิ๊กตู่” ตัดพ้อ มุ่งแก้ปัญหามาตลอด 3 ปี กลับถูกกล่าวหาว่าเศรษฐกิจตกต่ำ(คลิป)

“บิ๊กตู่” ตัดพ้อ มุ่งแก้ปัญหามาตลอด 3 ปี กลับถูกกล่าวหาว่าเศรษฐกิจตกต่ำ(คลิป)


“นายกฯ” ขอทุกฝ่ายร่วมมือกันทำสิ่งดีๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ตัดพ้อแก้ปัญหามา 3 ปี แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเศรษฐกิจตกต่ำ-เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มต่างๆ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยระหว่างเดินไปยังตึกบัญชาการ 1 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายกฯถึงวาระการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยจะเข้าที่ประชุม ครม.วันนี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวเพียงว่า “ไม่รู้”
จากนั้น พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำคณะเข้าพบนายกฯ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ในการเก็บรวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชน ซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวทาง “ประชารัฐร่วมใจแยกทิ้งขยะอันตราย” โดยนายกฯได้กล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ ซึ่งถ้าทุกคนร่วมมือกันประเทศชาติก็จะแข็งแรง
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้กล่าวหยอกล้อกับนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ด้วยว่า ทำตู้แยกขยะอันตราย ต้องทำช่องเปิดให้กว้างกว่านี้ เพื่อที่จะทิ้งขยะคนได้ ส่วนตู้โมเดลที่ให้มาต้องนำไปทิ้งขยะใจ ขณะเดียวกัน นายกฯยังตัดพ้อว่าแก้ปัญหาต่างๆ มาตลอด 3 ปี แต่กลับต้องมาเจอการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเก่าๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าเศรษฐกิจตกต่ำ และเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มต่างๆ ซึ่งมองว่าเป็นการพูดแบบเดิมๆ ดังนั้น การแก้ปัญหาต่างๆ ต้องทำทั้งรายใหญ่และรายย่อย เพื่อที่จะเจริญเติบโตไปด้วยกัน
จากนั้น นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะเทศบาลพระงาม ต.เขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการเข้าร่วมประชุมและการเข้ารับรางวัล UNPSA ประจำปี 2017 สาขานวัตกรรมและความเป็นเลิศในการให้บริการด้านสุขภาพของภูมิภาคเอเชียและเอเชียแปซิฟิก

'บิ๊กตู่' ยันไม่คิดปรับ ครม. ซัดเพ้อเจ้อ คิดไปกันใหญ่

'บิ๊กตู่' ยันไม่คิดปรับ ครม. ซัดเพ้อเจ้อ คิดไปกันใหญ่


นายกฯ ซัดเพ้อเจ้อข่าวปรับ ครม.ยันยังไม่เคยคิดปรับ บอกไปกันใหญ่ปล่อยข่าว "บิ๊กป้อม" นั่ง มท.คุมเลือกตั้ง เอา "บิ๊กแป๊ะ" ขึ้นหิ้งนั่ง รมต.ถามกลับคิดได้อย่างไร

เมื่อวันที่ 18 ก.ค.60 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า "ผมยังไม่ได้คิดอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเป็นข่าวใหญ่โตออกมาได้อย่างไร ไปกันใหญ่ โดยเฉพาะที่มีการพูดกันไปว่าจะเอาใครไปดูแลการเลือกตั้ง ทำไมจะต้องเอาใครไปดูการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งมีขั้นตอน มีหน่วยงานที่รับผิดชอบมีกฎหมายอยู่แล้ว ใครจะรักษาการในระหว่างนั้นกฎหมายก็มีบัญญัติไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว กระทรวงมหาดไทยเองก็มีหน้าที่เพียงสนับสนุนการเลือกตั้ง สนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ใช่จะไปคุมการเลือกตั้งเป็นคนละเรื่องกัน ส่วนหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีหน้าที่ไปดูแลเรื่องความปลอดภัยทั้งในและนอกคูหา ที่เหลือก็ไปดูในเรื่องของการทำผิด การทุจริต ความโปร่งใสในการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายมีหน้าที่ร่วมมือกันภายใต้การทำงานของ กกต. เพราะมีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แล้วทำไมถึงไปเขียนกันว่าจะย้ายคนนี้ไปดูตรงนั้นเอา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ไปนั่งกระทรวงมหาดไทยดูการเลือกตั้ง เอา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ไปนั่งเป็นรัฐมนตรี เพ้อเจ้อคิดกันไปได้อย่างไร คนคิดเข้ามาอยู่ในหัว ในสมองผมหรืออย่างไร ยืนยันว่าผมยังไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย"

ส่อเค้าตามไฟต์บังคับ

ส่อเค้าตามไฟต์บังคับ

กระแสเร้า เกมเร็ว ตามกันแทบไม่ทันเลย

โดยสถานการณ์แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือน บัญชีปรับย้ายกองทัพ ยังค้างเติ่ง

ล่าสุดกระแสข่าวปรับ ครม.โชยออกมาทดสอบ “ต่อมฉุน” ของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.อีกคำรบ

เพียงแต่รอบนี้แนวโน้มมีน้ำหนักมากกว่ารอบที่ผ่านมา

นั่นก็เพราะจับทาง “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่บอกปัดกระแสข่าวการโยกไปนั่งเป็น รมว.มหาดไทย เพื่อกำกับดูแลการเลือกตั้ง

ยืนยันว่า นายกฯไม่ได้บอกอะไร

แต่ก็แบไต๋ ใจจริงอยากอยู่ที่กระทรวงกลาโหมมากกว่า เพราะทำงานร่วมกับ รมว.กลาโหมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศมาตลอดจนสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

ว่ากันตามอารมณ์นี้ มันก็ใช่จะไม่มีเค้าเอาซะเลย

เรื่องของเรื่องว่ากันตามเหตุและผล มันก็ตรงกับเงื่อนไขสถานการณ์พอดี

กับการให้ “พี่ใหญ่” ไปนั่งกระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลเลือกตั้ง โดยเฉพาะตามโจทย์ที่ต้องปูทางรองรับยุทธศาสตร์การกลับมาของทีมงาน “นายกฯลุงตู่”

“ผู้มีบารมี” ในแวดวงการเมืองยามนี้ คงไม่มีใครเหมาะกว่า “บิ๊กป้อม”

และอีกมุมหนึ่งก็เป็นการสลับฉาก คัตเอาต์กระแส ในจังหวะที่เก้าอี้ รมว.กลาโหม “บิ๊กป้อม” ต้องเผชิญกับมรสุมที่ถาโถมเข้าใส่มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ตำรวจ ที่มีปัญหาการแอบอ้างชื่อของ “พี่ใหญ่” ในการวิ่งเต้นแย่งตำแหน่ง

แรงเสียดทานพุ่งเข้าปะทะไม่ได้หยุดหย่อน

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่สวนทางกับสุขภาพของ “บิ๊กป้อม” ที่เพิ่งผ่าตัดใหญ่ น่าจะต้องผ่อนภาระ “ตัวชน” แทน “พี่ใหญ่” กันบ้าง

ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยของ “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่กบดานนิ่งอยู่ในถ้ำคลองหลอด

แต่นั่นก็หนีไม่พ้นโดนล็อกเป้า “แกะรอย” เสือซุ่ม สิงห์เงียบ

ข่าวลือวงนอกวงในว่าด้วยเรื่อง “หัวคิว” ในมหาดไทย ที่ไม่แพ้ยุครัฐบาลเลือกตั้ง

อีกจุดที่กลายเป็นตำบลกระสุนตก โดนถล่มโงหัวไม่ขึ้น

กับสภาพของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเพื่อนรัก “บิ๊กตู่” ที่โดนโคตรเซียนการเมืองยี่ห้อประชาธิปัตย์ “ล็อกเป้า”

ทั้งคิวของนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.นัดรวมพลแกนนำเกษตรกรสวนยาง ไล่ให้ไขก๊อกจากตำแหน่ง เพราะแก้ไขปัญหาพืชผลเกษตรราคาตกต่ำไม่ได้

ต่อเนื่องกับคิวล่าสุดที่จอมแฉอย่างนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ลุยเปิดข้อมูลร้อน กรณีการอ้างชื่อ พล.อ.ฉัตรชัย โยงถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เกี่ยวกับปมประมูลข้าวเสื่อมสภาพที่อาจส่อการทุจริต

ตามท้องเรื่อง มาถึงจุดที่สถานการณ์ลามเข้าเนื้อ “บิ๊กตู่”

แน่นอน โดยยุทธศาสตร์การเมือง เหลี่ยมสถานการณ์แบบนี้ต้อง “คัตเอาต์” ก่อนที่จะลามฉุดกระแสรัฐบาลในห้วงท้ายเทอม ยิ่งเป็นอะไรที่โฟกัสจุดสำคัญ ทั้งพี่ใหญ่ พี่รอง เพื่อนรัก ล้วนแต่กระแทกถึง “กล่องดวงใจ” ของ “นายกฯลุงตู่”

ปล่อยไปอันตรายต่อสุขภาพรัฐบาลแน่

แต่ก็อีกนั่นแหละ โดยฟอร์มของรัฐบาลทหาร ผู้นำยึดหลักไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พี่ เพื่อน น้อง ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ต้องกระเตงกันไป

ตามรูปการณ์หากหนีไม่ออก ต้องปรับ ครม.ตามไฟต์บังคับ

มันก็คงทำกันได้แค่การสลับสับเปลี่ยนกระทรวงกันดูแล

แบบที่ว่า พล.อ.ประวิตร ไปนั่งคุมมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ สลับไปนั่งที่กลาโหม ส่วน พล.อ.ฉัตรชัย ก็โยกออกจาก รมว.เกษตรและสหกรณ์ไปนั่งกระทรวงเกรดเดียวกัน

คั่นฉากสถานการณ์ ก่อนถึงเวลาปล่อยเลือกตั้ง.

ทีมข่าวการเมือง

พี่ใหญ่-พี่รอง นั่งที่เดิม

พี่ใหญ่-พี่รอง นั่งที่เดิม
บิ๊กป๊อก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยัน ไม่มี การปรับครม. ที่จะย้าย ตนเอง ไปเป็น รมว.กลาโหม แล้ว ให้ บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร มาเป็น มท.1 แทน. ยัน ไม่มีหรอก

นายกฯจะให้ ทำช่อง ทิ้ง"ขยะคน" ในตู้ขยะอันตราย !!

นายกฯจะให้ ทำช่อง ทิ้ง"ขยะคน" ในตู้ขยะอันตราย !!
อารมณ์ขัน แนวดุ ของ"นายกฯบิ๊กตู่"แนะให้ ทำช่องใหญ่ๆ สำหรับ ทิ้ง"ขยะคน" ในตู้รับทิ้งขยะ อันตราย เช่น ถ่านไฟฉาย แบตเตอร์รี่ โทรศัพท์ หลอดไฟ และกระป๋องสเปรย์ ของกรมควบคุมมลพิษ ที่จะนำไปวาง ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ประชาชน แยกขยะอันตราย เหล่านี้ มาทิ้ง แยกต่างหาก จากขยะทั่วไป และหวังสร้างจิตสำนึกแยกขยะ อันตราย.....นายกฯบิ๊กตู่ ดูแล้ว เปรยว่า เอาไว้ ทิ้ง"ชยะใจ"....ก่อนตบมุข "ทิ้งขยะคน" แนะ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ทำช่องใหญ่ๆ ไว้ใส่ ขยะคน....พร้อมทำท่า ดัน อธิบดีฯ เข้าตู้ ด้วย...5555 ไม่รู้ เพราะเห็นชื่อบัตรที่หน้าอก ท่านอธิบดี รึเปล่า!!!
แหม่ะ!!! ...ท่านนายกฯ นี่ "ท่านจุ๋ม จตุพร บุรุษพัฒน์"....ไม่ใช่..."จตุพร" ไหนนะ ...ที่จะ ทำเป็นขยะคน ใส่ตู้ น่ะ 55555

ไม่ปรับครม.ไม่ย้าย สลับ กระทรวง

ไม่ปรับครม.ไม่ย้าย สลับ กระทรวง
‪"บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร ยัน ไม่มีปรับ ครม. เจอนายกฯแล้ว ไม่ได้คุยอะไรเรื่องนี้ เจอ "บิ๊กป๊อก" ก็ไม่มีคุยเรื่องนี้ มีแต่ข่าวที่ออกมาจากสื่อ นั่นแหล่ะ.....น้อยใจ สื่อถาม ยังทำหน้าที่ รมว.กลาโหม ต่อไหวมั้ย เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง...บอก "ถ้าคุณจะให้ผมไป ผมก็ไป"‬
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าว อย่างอารมณ์ดีหลังพบนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้มีการพูดคุยถึงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ว่า คุยแต่เพียงว่า เป็นโผที่ผู้สื่อข่าวตั้งขึ้นมา ไม่มีการปรับครม. เป็นเพียงการมโน
เมื่อถามว่า คาดเดาได้หรือไม่ว่าจะมีการปรับกี่กระทรวง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ นายกฯไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่มี
เมื่อสื่อถาม ยังพรีอมทำหน้าที่ รมว.กลาโหม ต่อไหวมั้ย เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง...พลเอกประวิตร กล่าวว่า "ถ้าคุณจะให้ผมไป ผมก็ไป"‬