PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

"นายกฯ" ชี้ แจ้งเตือนเหตุไม่สงบ 4 จ.ท่องเที่ยวใต้ เป็นเรื่องภายใน ยันไม่ใช่เรื่องที่ปิดบัง

"นายกฯ" ชี้ แจ้งเตือนเหตุไม่สงบ 4 จ.ท่องเที่ยวใต้ เป็นเรื่องภายใน ยันไม่ใช่เรื่องที่ปิดบัง. แต่ขออย่าตระหนก หวั่นกระทบเศรษฐกิจ เผยห่วง โลกไร้พรหมแดน ชี้ก่อการร้าย-อาชญากรรมข้ามชาติ เป็นวาระแห่งชาติ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวถึงกรณีมีข่าวแจ้งเตือนการก่อความไม่สงบที่ภูเก็ต พังงา กระบี่ และ นราธิวาส ที่มีการร้องเรียนให้ปิดด่านผ่านไทย-มาเลเซียเพื่อป้องกันการก่อการร้าย ว่า อย่าไปแจ้งเตือนกันมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องการแจ้งเตือนภายใน และเป็นเรื่องของความมั่นคง ให้ระมัดระวังตรงนี้
เพราะปรากฏว่า มีข่าวออกมาข้างนอกก็ทำให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร
"ฝ่ายความมั่นคงเขาก็เตือนกัน แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ปิดบัง ฉะนั้นรัฐบาลต้องหาวิธีการ และไปบอกหน่วยงานในพื้นที่ให้ระมัดระวัง ซึ่งประชาชนก็ต้องมีส่วนร่วม
แต่เราไปแจ้งเตือน ภาคธุรกิจก็วุ่นกันไปหมด"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การปิดช่องทางผ่านแดนจะทำให้เกิดปัญหา ถ้าจะแก้เรื่องความมั่นคงอย่างเดียว แล้วเรื่องเศรษฐกิจ การค้าขาย ก็ต้องไปตรวจมาตรการเข้มคัดกรองให้ดี ช่องทางธรรมชาติก็เยอะ
"ทหารไม่สามารถ อยู่ได้ทุกตารางเมตร ก็ต้องให้ทหารลาดตระเวน เป็นจุดตรวจ จุดเฝ้าตรวจ เขาก็ลำบากพออยู่แล้ว
ซึ่งผมได้สั่งการว่าให้มีมาตรการลาดตระเวนร่วม เพิ่มมาตรการการใช้เทคโนโลยี อย่างกล้องซีซีทีวี ที่มีการเสื่อมสภาพ ตรงไหนเสียก็ไปซ่อมแซมใช้งบประมาณเท่าไหร่ ซึ่งรัฐบาลกำลังทำอยู่
ทั้งนี้งบประมาณต้องใช้ในหลาย ๆ อย่าง เช่นการจัดหายุทโธปกรณ์ที่มีปัญหามาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมีปัญหา อยากจะซื้อมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ซื้อจะมาซื้อวันนี้ก็เพื่อไม่เสียเงินมากในอีก 20 ปีข้างหน้าทุกอย่างต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปิดช่องทางผ่านแดนไทย-มาเลเซีย โดยอ้างการเข้ามาของกลุ่มไอเอส. จะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติอยู่แล้ว และเป็นวาระของคนทั้งโลก
วันนี้ทุกประเทศที่มาพบ ก็ห่วงใยในเรื่องนี้ มีการประสานหารือในความร่วมมือ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวันนี้โลกไร้พรหมแดน ถึงจะมีเขตแดนก็ไร้พรหมแดนทางเทคโนโลยี ทางโซเชียลมีเดีย ท่านต้องมาช่วยผมคิดว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
การบิดเบือนและสร้างแนวคิดที่ไม่ดีอยู่ที่การระดมความคิดของคน อย่าไปร่วมในการทำสิ่งที่ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อการร้าย
ส่วนเรื่องอาชญากรข้ามชาติ ได้มีการจับกุมและดำเนินคดี ทั้งการทำทัวร์ผิดกฎหมาย การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล สิทธิมนุษยชน วันนี้ตนเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนไปใส่ในการทำธุรกิจด้วย เพราะการทำธุรกิจต้องคำนึงสิทธิมนุษยชน การดูแล การเยียวยา การเคารพกันในเรื่องสิทธิมนุษยชน หลายเรื่องเป็นปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมืองแร่
วันนี้ให้ไปทบทวนทั้งหมด หากเราไม่แก้อะไรเลย หยุดทุกอย่าง ประชาชนมีความสุขแล้วจะกินอะไรกัน ต้องหาวิธีที่เป็นประโยชน์

"บิ๊กตู่" นิยาม "คนดี"

"บิ๊กตู่" นิยาม "คนดี"
คนดี เป็นไง?
สั่ง สร้างคนดี และคนเก่ง ในสังคม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ให้โอวาทตอนหนึ่ง กับเยาวชนไทยที่เดินทางกลับจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ปี 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล
"วันนี้ผมได้มอบนโยบายไปแล้วต้องเร่งสร้างทั้งคนดี และคนเก่ง หลายคนยังไม่ทราบว่าคนดีคืออะไร
"คนดีคือ คนที่มีคุณธรรม มีการเผื่อแผ่แบ่งปัน มีจิตสาธารณะ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ซึ่งจะเป็นกุศลให้กับตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้อะไรมาก แต่ก็เป็นความสบายใจ
เหมือนที่ผมทำในวันนี้ ผมทำงานไม่ได้อะไรขึ้นมากับส่วนตัว แต่ภูมิใจว่าอย่างน้อยเราได้มาดูแลประเทศ เพื่อให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากที่คนจะเข้าใจตรงนี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ข่าวสถานการณ์10/8/60

เคลื่อนไหวนายกฯ
@นายกฯเตรียมต้อนรับ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย
นายกฯเตรียมต้อนรับ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย ในโอกาสเยือนไทยเป็นทางการ ขณะพล.อ.ประวิตร ประชุมติดตามแก้ปัญหาการค้ามนุษย์

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ (10 ส.ค.2560) เวลา 09.30 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนำคณะผู้แทนประเทศไทยที่เดินทางกลับจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2560 เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อรับโอวาท ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี หลังจากนั้นเวลา 11.00 น. นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ (H.E. Mr. Sergey Lavrov) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย จะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ขณะที่ในช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีไม่มีวาระงานหรือการประชุมใดเป็นพิเศษคาดว่าจะใช้เวลาบันทึกเทปรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเตรียมออกอากาศในช่วงค่ำของวันที่ 11 ส.ค.นี้

ส่วนความเคลื่อนไหวการปฏิบัติภารกิจของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่น่าสนใจภายในทำเนียบรัฐบาลวันนี้นั้น เวลา 10.00 น. พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จัเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 3/2560 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน)  ขณะที่ในเวลาเดียวกัน นายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฏหมาย  จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 และในช่วงบ่ายเวลา 14.30 น. นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  จะเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคสมทบกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ณ ศูนย์รับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
@นายกฯน่าจะเดินทางเยือนสหรัฐเร็วสุด ต.ค.นี้
รองโฆษกฯยืนยัน นายกฯน่าจะเดินทางเยือนสหรัฐเร็วสุด ต.ค.นี้ จับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองใกล้ชิด ป้องกันความวุ่นวาย หวังให้เกิดความเรียบร้อยที่สุด
 พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับสำนักข่าว INN ถึงภาระกิจของนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ ว่าจะมีการหารือกับ นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของไทย ในโอกาสครอบรอบความสัมพันธ์ 2ประเทศ 120 ปี โดยคาดว่าจะมีการหารือในทุกมิติ ทั้ง
ความมั่นคงในภูมิภาค ประเด็นเกาหลีเหนือ เหมือนกับ ที่สหรัฐคุยไปแล้ว รวมถึงเรื่องความร่วมมือด้านอื่นๆ ที่มีการลงนามร่วมกันไปแล้วถึง 15 ฉบับ ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ที่มุ่งหวังให้เพิ่มการค้าการลงทุนเป็น 5 เท่าภายใน 5 ปีนี้ รวมถึงเรื่องการลงุทนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศด้วย

พร้อมกันนี้ พล.ท.วีรชน ยังยืนยันว่า นายกรัฐมนตรี น่าจะเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา ได้เร็วที่สุดในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ส่วนเรื่องของความมั่นคงทั่วไปในประเทศ ยืนยัน รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุด ได้มีการติดตามอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการตัดสินคดีสำคัญ วันที่ 25 ส.ค.นี้  เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยที่สุด ไม่เป็นอุปสรรค ต่อการ
เดินหน้าประเทศ ที่กำลังขับเคลื่อนไปตามโรดแม็ปของรัฐบาล
@ปิดพีซทีวี เป็นไปตามระเบียบ
พล.อ.ประวิตร ยัน ปิดพีซทีวี เป็นไปตามระเบียบ ชี้อาจเข้าข่ายยุยงปลุกปั่น ยังไม่ได้รับรายงาน สตง.เตือนตรวจสอบอปท.ขนคนเชียร์"ยิ่งลักษณ์"

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโหม กล่าวถึงกรณีที่มีการปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีซทีวี เป็นเวลา 30 วัน ยืนยันว่า เหตุผลที่ปิดเป็นไปตามกฎระเบียบที่ประเมินจากการนำเสนอข่าวโจมตีรัฐบาลและอาจเข้าข่ายการยุยงปลุกปั่น
ส่วนกรณีที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รายงานกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทยให้ตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขนมวลชนมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีในวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษาในคดีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ได้รับทราบรายงาน ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ขณะนี้ ยังไม่พบว่าจะมีการขนชนเข้ามาในวันดังกล่าว แต่ทางเจ้าหน้าที่ ก็จะมีการตรวจสอบต่อไป  จึงขออย่ากังวล เพราะฝ่ายความมั่นคงมีมาตราการดูแลอยู่แล้ว ส่วนบริเวณพื้นที่ศาลนั้น ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัย

@ประวิตร บอกไม่รู้ นักข่าว ถูกจับข้อหาบุกรุกที่น้องชาย
พล.อ.ประวิตร บอกไม่รู้ นักข่าว ถูกจับข้อหาบุกรุกที่น้องชาย อย่ากังวลเรื่องแต่งตั้งโยกย้าย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโหม ปฏิเสธตอบสื่อมวลชน โดยระบไม่รู้รายละเอียด กรณี ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา ลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจหอพักของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นน้องชาย และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ควบคุมตัวเพื่อสอบถามข้อมูลและบันทึกประวัติในข้อหาบุกรุกพื้นที่

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้ระบุถึง การนัดประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ว่า จะดำเนินการในเรื่องนี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง
@นายกฯไม่เคยห้ามม็อบเชียร์"ยิ่งลักษณ์"
นายกฯย้ำไม่เคยห้ามม็อบเชียร์"ยิ่งลักษณ์" ขออย่างเดียวอย่าทำผิดกฏหมาย ส่วนเรื่องคดีปล่อยศาลเป็นผู้ตัดสิน  อย่าละเมิดศาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีการประเมินสถานการณ์ในช่วงใกล้วันตัดสินคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ว่า จะมีการเคลื่อนไหวอะไรก็เคลื่อนไหวไป ส่วนตัวไม่ได้ห้ามใคร แต่ขออย่าทำผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่อ้างแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิมนุษยชน มีสิทธิชุมนุมทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังมีกฎหมายลูกอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้

ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ในช่วงนี้ มองว่าเป็นสิทธิส่วนตัว เพราะเป็นคนไทย ส่วนตัวไม่ได้ไปห้าม แต่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคน ว่าเป็นการปลุกระดมหรือไม่ หากมีสิทธิไปที่ไหนได้ก็ไป ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว ส่วนเรื่องคดีความทุกคนก็ต้องเข้าใจและเคารพกฎหมายก็เพียงเท่านั้น ขออย่าไปจุดประเด็นอะไรขึ้นมา ปล่อยให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งส่วนตัวได้พูดหลายครั้งแล้วว่า อย่าทำผิดกฎหมาย อย่าไปละเมิดศาลและอย่าทำให้เกิดความวุ่นวายไปละเมิดสิทธิประชาชนคนอื่น และขออย่าให้มีการจ้างวาน โดยจะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงถามว่า เดินทางมาอย่างไร รวมตัวกันหรือไม่
@นายกฯแจงปิดพีซทีวี ไม่เกี่ยวสกัดม็อบเชียร์"ยิ่งลักษณ์"
นายกฯแจงปิดพีซทีวี ไม่เกี่ยวสกัดม็อบเชียร์"ยิ่งลักษณ์" ชี้ทำผิดข้อบังคับ ขออย่าโยงการเมืองทุเรื่อง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีการตั้งข้อสังเกตว่าการสั่งงดออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวี (PEACE TV) เป็นระยะเวลา 30 วัน เป็นการสกัดกั้นการปลุกระดมคนมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 25 ส.ค.นี้หรือไม่ ว่า กรณีนี้เป็นการทำผิดข้อบังคับของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวันที่ 25 ส.ค. ถ้าเกี่ยวข้องกับวันที่ 25 ส.ค.ก็คงต้องสั่งปิดทั้งหมด นักข่าวตกงานกันหมดไม่ต้องมาถามตนเอง แต่ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะมีกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่แล้ว จึงขออย่านำมาเชื่อมโยงกับการเมืองทุกเรื่อง ยืนยันว่าให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและยึดกฎหมาย หากไม่ทำก็ถือเป็นการละเว้น
@นายกฯชื่นชมนักเรียน-ผู้ฝึกสอน สร้างชื่อเสียงให้ประเทศแข่งขันคณิตศาสตร์
นายกฯชื่นชมนักเรียน-ผู้ฝึกสอน สร้างชื่อเสียงให้ประเทศแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิก ยกเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต

นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนำคณะผู้แทนประเทศไทยที่เดินทางกลับจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2560 จำนวน 21 คน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  โดยโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีชื่นชมในความสามารถทั้งคณะนักเรียนและผู้ฝึกสอน ที่นำ 7เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน และ 8 เหรียญทองแดง มาสู่ประเทศไทย  ซึ่งทุกคนมีส่วนสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ  และ ยังเป็นกำลัง
สำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมสั่งการให้ กระทรวงศึกษาธิการ และ สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท.  รวบรวมเยาวชนและผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการแข่งขันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 600 คน ทั่วประเทศ  รวมตัวกันเป็นจิตอาสา หรือ ดรีมทีม เพื่อนำหน้าที่ต่อยอดพัฒนาคนเก่งและคนดีอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อสร้างอนาคต ให้ประเทศเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และ ยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาที่ต้องทำทันที โดยส่วนตัวมองการศึกษาของไทยไม่ได้ล้มเหลว แม้จะมีคนวิจารณ์มาก แต่การพัฒนาก็ต้องเดินหน้าต่อ ย้ำประเทศต้องสร้างทั้งคนเก่งและคนดี รวมทั้งต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาที่มากับสื่อสังคมออนไลน์  

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเข้ามากำกับดูแลศูนย์รวมงานด้านน้ำว่า เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ รวมถึง การกำกับดูแลงานด้านวิจัย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปและปฏิบัติได้จริง และเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป รวมทั้งยังขอให้ทุกคนสร้างหลักคิดพื้นฐานที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องของการเมืองและประชาธิปไตย อย่ามองแต่เรื่องสิทธิมนุษยชน หรือ รัฐธรรมนูญแต่เพียงอย่างเดียว  ต้องมองข้อกำหนดตามกฎหมายอื่นประกอบด้วย
ทุกคนมีหน้าที่ แต่การทำหน้าที่จะต้องไม่กระทบกับสิทธิของคนอื่น พร้อมขอให้ทุกคนเชื่อในสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูด มากกว่าบางคนที่พูดมาก แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะไม่อยากให้เครดิต
@ย้ำยังไม่ปลดล็อคพรรคการเมือง
นายกฯย้ำยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมือง ขอทุกคนเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความรักและสามัคคี ไม่สร้างความขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองแล้ว รัฐบาลจะผ่อนผันการทำกิจกรรมของพรรคการเมืองหรือไม่ ว่า ยังไม่พิจารณา ซึ่งส่วนตัวจะฟังข้อเสนอจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีการสรุปด้านการข่าวทุกสัปดาห์และได้ประเมินสถานกาณ์ไปแล้ว ว่าสถานการณ์ยังเป็นแบบเดิม คนไม่ดีก็ยังไม่ดีอยู่ ซึ่งส่วนตัวไม่ให้เครดิตอยู่แล้วแต่จะสร้างความวุ่นวายไม่ได้ ขณะเดียวกันย้ำว่าอะไรก็ตามขอให้ผ่านพ้นพระราชพิธีอันเป็นมงคลไปก่อน



ส่วนการตั้ง 4 คำถามถึงประชาชนทั่วประเทศและมีการส่งคำตอบมาแล้วนั้น จะมีการตั้งคำถามเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ถามแล้ว แต่ทุกคนต้องเรียนรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างไรด้วยความรักและสามัคคี อันเป็นบ่อเกิดความสงบของประเทศชาติ ต้องไม่ขัดแย้งและไม่ถูกคนมาใช้ประโยชน์จากการเป็นคนไทย ใครให้อะไรก็สำนึกในบุญคุณไม่ว่าจะมากหรือน้อย โดยเฉพาะคนระดับรากแก้วที่ต้องเห็นใจคนเหล่านี้ให้มากๆ อย่าไปเอาประโยชน์จากคนเหล่านี้
@มท.1จี้ผู้ว่าฯตรวจสอบ อปท.ใช้งบฯขนคนเชียร์"ยิ่งลักษณ์"แล้ว
มท.1กำชับผู้ว่าฯตรวจสอบตาม สตง.แจ้ง อปท.ใช้งบฯขนคนเชียร์"ยิ่งลักษณ์"แล้ว รับยังไม่ถึงเวลาประเมิน เตือน ขรก.จะเดินทางต้องถูกต้องตามระเบียบ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง กรณี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้พิจารณาสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทราบและกำกับดูแลเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ ตามคำสั่ง คสช.อย่างเคร่งครัด เนื่องจาก สตง.ได้รับข้อมูลว่า อปท. จำนวนหนึ่งมีเจตนาแอบแฝงในการใช้งบประมาณเพื่อนำคนมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองในงบศึกษาดูงาน ว่า ทางกระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากข้าราชการจะเดินทางไปต่างจังหวัดผู้ว่าฯ และนายอำเภอจะต้องดูว่าตรงตามระเบียบหรือไม่ โดยหากมีประเด็นแอบแฝงผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ก็ต้องดำเนินการไปตามระเบียบ ส่วนเรื่องการเดินทางให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่หน้าศาลฎีกานั้น ศาลเป็นผู้ดูแลเรื่องความยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่มีใครไปให้กำลังใจแล้วเกิดผลอะไรที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงได้  แต่จะเป็นการสร้างภาระให้กับตัวเองมากกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลดีกว่า

ทั้งนี้ มองว่า ยังไม่ถึงเวลา ที่จะต้องมาประเมินถึงการขนมวลชนหรือการปลุกระดมมวลชน หากข้าราชการ จะมาราชการ ก็จะต้องดูให้ถูกต้องตามระเบียบ แต่ถ้าใครจะมาเองก็ต้องไม่ให้เป็นภาระแก่ตัวเอง
@สั่งปรับแผนแก้ปัญหาน้ำ
นายกฯสั่งปรับแผนแก้ปัญหาน้ำ ขอความร่วมมือประชาชนเสียสละ ยันมีการเยียวยาเหมาะสม ย้ำ ม.44 ปรับโครวร้างสอดรับกับกฏหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเมื่อวานนี้ว่า ได้เห็นชอบในหลักการหลายเรื่องเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและครบวงจร โดยสั่งให้มีการปรับแผนโดยดำเนินการทั้งการแก้ปัญหาและปัญเทาความเดือดร้อนทั้งการขุดลอกคูคลอง และการทำคลองผันน้ำ แต่ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนในการเสียสละพื้นที่บ้างโดยรัฐบาลก็จะหามาตรการในการดูแลเยียวยาให้เหมาะสม ส่วนการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำโดยให้กรมทรัพยากรน้ำมาสังกัดภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีนั้น เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ซึ่งไม่ได้นำทุกหน่วยงานมาอยู่กับรัฐบาล
 และไม่ใช่ว่าดำเนินงานไม่ได้ผล แต่การทำงานที่ผ่านมาไม่เชื่อมโยงกัน รวมถึงสั่งการวางกรอบนโยบายดูแลงบประมาณในการบูรณาการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า การใช้คำสั่งคสช.ตามมาตรา 44 นั้นเป็นการปรับโครงสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติที่ดำเนินการไปแล้ว ดังนั้นการออกมาตรา 44 มีทั้งระหว่างรอกฏหมายและเพื่อแก้ปัญหาแต่ทุกอย่างจะเป็นกฏหมายทั้งหมด ไม่ใช่อย่างทำอะไรก็ทำ แต่ทำแล้วต้องมีเหตุผลในการดำเนินการเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน วันพรุ่งนี้ (11 ส.ค.) ตนเองจะสรุปเพื่อเป็นตัวอย่างให้ดูว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง และในปี 2560-2561 ที่ต้องเร่งดำเนินการในส่วนที่ต้องทำให้เกิดความยั่งยืน ที่อย่างน้อยต้องแก้ปัญหาให้ได้ 30-50 % หากจะแก้ให้ได้ 100 % ต้องทำใหญ่มากและต้องใช้งบประมาณและระยะเวลา จึงต้องดำเนินการต่อไป
@นายกฯคุย กต.รัสเซีย ยืนยันความสัมพันธ์แนบแน่น
นายกฯคุย กต.รัสเซีย ยืนยันความสัมพันธ์แนบแน่น เร่งผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้น 5 เท่า ใน 3 ปี ชวนร่วมลงทุนอีอีซี
พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียในโอกาสการเดินทางเยือนไทย พร้อมทั้งยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน โดยในปีนี้เป็นปีครบรอบ 120 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซีย ซึ่งการเยือนไทยของนายเซอร์เกย์ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยในโอกาสนี้ประธานาธิบดีปูตินได้ส่งสารถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ด้วย

ทั้งนี้ ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้า ไทยและรัสเซียพร้อมผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้เพิ่มขึ้น 5 เท่าภายใน 3 ปี รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเพิ่มการลงทุนระหว่างกัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนรัสเซียเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve และในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงเชิญชวนให้รัสเซียจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีขอให้รัสเซียสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนไทยในรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกไกล ซึ่งนายเซอร์เกย์แจ้งว่ารัสเซียยินดีให้สิทธิประโยชน์แก่ภาคเอกชนไทยที่ไปลงทุน
และเห็นว่าไทยมีบทบาทสำคัญต่อภูมิภาคอาเซียน ซึ่งรัสเซียยินดีเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์กับไทยและอาเซียนในทุกด้าน เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะได้มีโอกาสพบปะหารือกับประธานาธิบดีปูติน ในช่วงการประชุม BRICS Summit ครั้งที่ 9 ณ เมืองเซียะเหมินสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเดือนกันยายนนี้ด้วย
@สุนทรตู่แต่งกลอน3กลอน

นายกฯแต่ง 3 บทกลอน ยืนยันเจตนารมย์ คสช.ทำเพื่อประชาชน เดินหน้าทำงานด้วยนโยบายประชารัฐ
เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล มีการเผยแพร่ผลงานการประพันธ์ บทกลอนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคระรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ประกอบไปด้วย 1.คสช.เพื่อประชาชน 2.ร่วมใจประชารัฐ และ 3.น้ำเพื่อชีวิต ซึ่งแต่ละบทกลอนมีเนื้องหาดังนี้

บทที่ 1 "คสช.เพื่อประชาชน"
 ไม่เคยรู้                   ไม่เคยคิด                 ก็ต้องคิด
อะไรผิด                   อะไรถูก                   ต้องค้นหา
ทำเพื่อชาติ               แผ่นดิน                   ถิ่นเนาว์มา
เพื่อวันหน้า               ยั่งยืน                      อย่างมั่นคง
มาวันนี้                    ทำได้                      ไปส่วนหนึ่ง
ต้องหวังพึ่ง               คนไทย                    อย่าใหลหลง
ใจทะนง                   องอาจ                     ชาติดำรง
แม้ปลิดปลง              ไว้ลาย                     ว่าชายชาญ
ไม่อยากให้               สิ่งผิดผิด                  กลับย้อนใหม่
ไม่ว่าใคร                  ผิดกฎหมาย              อย่าได้หาญ
รวมไทยสู้                 ยืนหยัด                   ด้วยหลักการ
พ้นภัยพาล               ถ้วนทั่ว                    ทุกตัวคน

 บทที่ 2"ร่วมใจประชารัฐ"
อุทกภัย                   ภัยแล้ง                   คนไทยทุกข์
เป็นทุกยุค                ทุกสมัย                   ให้ยากเข็ญ
เพียงประทัง              เดือดร้อน                 ผ่อนลำเค็ญ
ต้องมุ่งเน้น                แก้ไข                      ให้ประชา
รัฐบาล                     คสช.                       ขอทำใหม่
ไทยช่วยไทย            ประชารัฐ                 ขจัดปัญหา
ปรับระบบ                เปลี่ยนวิธี                 ร่วมนำพา
แก้ปัญหา                 ยั่งยืน                      ฟื้นจิตใจ
หากแก้ไข                 เล็กน้อย                   ทีละนิด
เหมือนสะกิด             แผลสะเก็ด               ให้เลือดไหล
ต้องร่วมแผน             รวมพลัง                  ผลักดันไป
เลือดหยุดไหล            ผลสำเร็จ                 เสร็จยั่งยืน

บทที่ 3 "น้ำเพื่อชีวิต"
 หากให้รัฐ                 ทำฝ่ายเดียว              ไม่ถึงไหน
คนส่วนใหญ่              รับประโยชน์             มีได้เสีย
เสียส่วนน้อย              เพื่อส่วนใหญ่             ไม่อ่อนเพลีย
ละห้อยเหี่ย               คอยหาย                  ไม่ทันการณ์
ระบบกัก                  เก็บส่งน้ำ                 ระบายน้ำ
ล้วนกลืนกล้ำ             เสียหาย                   ไม่ทั่วถึง
มาวันนี้                    ทุกพื้นที่                   ควรคำนึง
ไปให้ถึง                   ทุกเส้นทาง               อย่างร่วมมือ
อย่าขัดแย้ง               ขัดขวาง                   สร้างปัญหา
ใช้ปัญญา                 แก้ไข                      ไม่เสียหาย
ไทยพ้นทุกข์              เหนื่อยยาก               ลำบากกาย
ก่อนจะสาย              ประชารัฐ                 ร่วมแบ่งปัน
@สนช. เห็นชอบ 7 รายชื่อบุคคลนั่ง คตง.
สนช. เห็นชอบ 7 รายชื่อบุคคลนั่ง คตง. หลังตำแหน่งว่างกว่า 7 ปี - พร้อมเห็นชอบให้ "เข็มชัย" นั่ง อสส. แทน" ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์" ที่เกษียณอายุราชการ

ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. มีมติให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง. จำนวน 7 คน หลังคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. พิจารณาตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเสร็จสิ้น ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
 ฉบับที่ 23 / 2560 และฉบับที่ 25 / 2560 ได้แก่

1.นางยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน
2.นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านกฎหมาย
3.นางอรพิน ผลสุวรรณ์ สบายรูป หัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านกฎหมาย
4.นางสาวจินดา มหัทธนวัฒน์ ที่ปรึกษากรรมการ ป.ป.ช. ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านบัญชี
5.พลเอกชนะทัพ อินทามระ ข้าราชการบำนาญ ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านการตรวจสอบภายใน
6.นายวีระยุทธ ปั้นน่วม รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านการเงินการคลัง
7.นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง คตง. ด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดิน

ทั้งนี้ ในการลงมติแบบลับของ สนช. นั้น บุคคลที่ สนช. มีมติเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่ง สตง. มากที่สุด คือ นายพิมล ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ 206 เสียง และน้อยที่สุด คือนายสรรเสริญ ที่ สนช. ให้ความเห็นชอบเพียง 166 เสียง โดยขั้นตอนหลังจากนี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. จะนำรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อ ที่สนช. ให้ความเห็นชอบ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป

นอกจากนั้น ที่ประชุม สนช. ยังมีมติเอกฉันท์ 198 เสียง เห็นชอบ ให้นายเข็มชัย ชุติวงศ์ รองอัยการสูงสุด ดำรงตำแหน่ง อัยการสูงสุด แทน ร้อยตำรวจตรีพงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ด้วย

@ยัน ปิดพีซทีวี เป็นไปตามระเบียบ
พล.อ.ประวิตร ยัน ปิดพีซทีวี เป็นไปตามระเบียบ ชี้อาจเข้าข่ายยุยงปลุกปั่น ยังไม่ได้รับรายงาน สตง.เตือนตรวจสอบอปท.ขนคนเชียร์"ยิ่งลักษณ์"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโหม กล่าวถึงกรณีที่มีการปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีซทีวี เป็นเวลา 30 วัน ยืนยันว่า เหตุผลที่ปิดเป็นไปตามกฎระเบียบที่ประเมินจากการนำเสนอข่าวโจมตีรัฐบาลและอาจเข้าข่ายการยุยงปลุกปั่น
ส่วนกรณีที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รายงานกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทยให้ตรวจสอบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขนมวลชนมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีในวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษาในคดีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ได้รับทราบรายงาน ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ขณะนี้ ยังไม่พบว่าจะมีการขนชนเข้ามาในวันดังกล่าว
แต่ทางเจ้าหน้าที่ ก็จะมีการตรวจสอบต่อไป  จึงขออย่ากังวล เพราะฝ่ายความมั่นคงมีมาตราการดูแลอยู่แล้ว ส่วนบริเวณพื้นที่ศาลนั้น ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัย
@"สมชัย" ตั้งข้อสังเกตุ 5 ประเด็นเห็นต่าง กรธ.
"สมชัย" ตั้งข้อสังเกตุ 5 ประเด็นเห็นต่าง กรธ.ที่เสนอให้มีการเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.ชี้มีแต่ข้อเสีย

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "Srisutthiyakorn Somchai" เกี่ยวกับ ประเด็นเห็นต่างจาก กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ในการเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้ง ส.ส. ใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย  1. การใช้หมายเลขผู้สมัครพรรคแตก ต่างกันไปในแต่ละเขต นั้น ประชาชนสับสน พรรคการเมืองหาเสียงลำบาก กกต.มีความยุ่งยากในการจับสลากรายเขต,การจัดพิมพ์บัตรรายเขต และ การรวมคะแนนและรายงานผล และไม่สามารถแก้ปัญหาการซื้อเสียงได้ 2. การเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนจาก 800 คน เป็น 1,000 คน ต่อหน่วยเลือกตั้ง เนื่องจาก จำนวนหน่วยจะลดลง ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก ต้องเดินทางไปยังหน่วยใหม่ที่ไกลจากบ้านมากขึ้น จำนวนคนที่ใช้สิทธิมากอาจทำให้เกิดการแออัดในการใช้สิทธิ 3. การกำหนดว่า ไม่ควรใช้เขตหมู่บ้านเป็นข้อจำกัดต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากอาจจะมีการแบ่งครึ่งหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบของผู้สมัคร และ ยิ่งสร้างความสับสนแก่ประชาชนในหมู่บ้านว่า ตนอยู่ในเขตเลือกตั้งใด

4. การเปิดโอกาสให้มีการใช้เครื่องลงคะแนนอีเล็คทรอนิกส์ได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ค่าใช้จ่ายจะต้องถูกกว่าการเลือกตั้งแบบเดิม เนื่องจาก เป็นไปไม่ได้ที่การใช้เครื่องจะถูกกว่าการใช้บัตรในการเลือกตั้งคราวเดียว จะต้องพิจารณาถึงการเปรียบในระยะยาว และ พิจารณาถึงประโยชน์ในเรื่องอื่น เช่น ความรวดเร็ว ความถูกต้อง จำนวนบัตรเสียเป็นศูนย์ มิใช่มองในเรื่องต้นทุนอย่างเดียว และ 5. การปิดประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าหน่วย โดยไม่ให้ใส่หมายเลข
ประจำตัว 13 หลักเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจาก เป็นการเปิดช่องทางให้ทุจริตการเลือกตั้ง  ดังนั้น จึงควรมีการใส่หมายเลขประจำตัวแต่อาจปิดบางหลัก โดยใช้สัญญลักษณ์ xxxx เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ แต่ สามารถตรวจสอบในภายหลังได้
@เด็กเพื่อไทย แนะ"มีชัย"ฟังเสียงทักท้วงบ้างอย่ากลัวเสียฟอร์ม
เด็กเพื่อไทย แนะ"มีชัย"ฟังเสียงทักท้วงบ้างอย่ากลัวเสียฟอร์ม เพราะทุกพรรคทักท้วงเหมือนกันทั้งหมด ชี้เรื่องเบอร์แก้ซื้อเสียงไม่ได้
นายจิรายุ  ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีที่นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยืนยันว่าไม่ยอมให้ใช้เบอร์เดียวกัน โดยอ้างว่าจะป้องกันการซื้อเสียง ว่า อยากให้ นายมีชัย รับฟังเสียงทักท้วงบ้าง โดยไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม เพราะจะเห็นว่าทุกพรรค ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ซึ่งสะท้อนว่าแนวคิดของ กรธ.น่าจะมีปัญหา เพราะทั้งนักวิชาการ หรือทฤษฎีทางการเมืองของโลก ก็ยังไม่เห็นว่า จะไปเกี่ยวกับการป้องกันการซื้อเสียงอย่างไร แถมจะเป็นการเพิ่มความยุ่งยากของประชาชนโดยใช่เหตุ
    
ทั้งนี้  นายจิรายุ ยังตั้งข้อสังเกตุว่า นายมีชัย เคยอ่านงานวิจัยทางวิชาการของนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์  หรือไม่ ที่เคยศึกษาว่าการใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้งไม่ได้ผล ไม่ว่าจะภาคไหน ดังนั้น ไม่อยากให้ไปดูถูกประชาชน  ดังนั้นแนวคิดการไม่ใช้เบอร์เดียวกันทั่วประเทศ เป็นแนวคิดที่ไม่มีน้ำหนักและจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์เรื่องป้องกันการซื้อเสียง เว้นแต่จะมีวัตถุประสงค์อื่น

///

ปฏิรูปตำรวจ 'คิดอยู่ในฐานไหน'?

ผมชักไม่แน่ใจ..........
ว่าโจทย์ "ปฏิรูปตำรวจ" ตามแนวทางที่คณะทำงานกำลังทำ กับโจทย์ตามแนวทางที่ "ประชาชนต้องการ"
มันไปทางเดียวกัน
หรือไปคนละคุ้ง-คนละแควกันแน่?
เพราะดูแต่ละเค้าโครงที่อนุกรรมการแต่ละด้านออกแบบแล้ว มันเป็นการปฏิรูป เน้นเพื่อการได้มา-คงอยู่ ของ "ยศ-ตำแหน่ง-อำนาจ"
ที่เรียกว่า "ผลประโยชน์ตำรวจ"...........
มากกว่า "ผลประโยชน์ประชาชน" ที่ได้จากการปฏิรูปตำรวจ!?
คือตั้งแต่เริ่มมา
ยังไม่เห็นว่า "กรอบใหญ่" อันเป็นจุดมุ่งหมายเพื่อตอบโจทย์ของคำว่า "ปฏิรูปตำรวจ" เพื่อให้สอดคล้องสังคมประเทศที่กำลังลอกคราบ มันอยู่ตรงไหน?
เห็นแต่ละ "คณะอนุกรรมการ" แต่ละด้าน ต่างคน-ต่างออกแบบอยู่ในกะละมังครอบ
เท่าที่ฟัง "คุณสมคิด เลิศไพฑูรย์" โฆษกคณะกรรมการปฏิรูปแถลงผลประชุมเมื่อวาน (๙ ส.ค.๖๐)
ที่อนุกรรมการโครงสร้างอำนาจและอนุกรรมการบริหารงานบุคคลดีไซน์รูปแบบ
ไม่เห็นมีอะไรเข้าข่ายคำว่า "ปฏิรูป-ปฏิวัติ" เลย .............
ภาพใหญ่-ภาพรวม "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ก็คือเครื่องมืออำนาจรวมศูนย์ที่นายกฯ เหมือนเดิม!
"ขวัญชัย ไพรพนา" เคยแต่งตั้ง-โยกย้ายตำรวจได้แบบไหน ปฏิรูปแล้ว ตามเค้าโครงใหม่นี้
ขวัญชัยก็ยังแต่งตั้ง-โยกย้ายได้เหมือนเดิม ตั้งแต่ผู้กำกับ ยันผู้บัญชาการภาค เหมือนยุคแดงเผาเมือง
ว่ากันตรงๆ ตอนนี้ ชาวบ้านยังหลับตานึกไม่ออกเลยว่า ท้องที่คณะปฏิรูปกำลังทำคลอด
จะออกมาเป็นหญิง-เป็นชาย มีอาการครบ ๓๒ หรือไม่ กระทั้งว่าจะรอด-ไม่รอด?
แต่คณะทำงานเพ้อกันไปไกลถึงขั้น จะให้เข้ามหาวิทยาลัยไหน เรียนคณะอะไร แต่งงานกับใคร ทำงานที่ไหน ไปกันโน่นแล้ว!
หรือคณะปฏิรูป "ตีกรอบ" ให้แต่ละกรรมการย่อย อย่างที่เขากำลังเดินไปตามกรอบ ตามที่ปรากฏอยู่ตอนนี้?
ก็ไม่น่าใช่.........?
เพราะคุณสมคิดบอก อนุฯ ฝ่ายรับฟังความคิดเห็นประชาชน จะเริ่มเป็นทางการ ใต้-เหนือ-อีสาน วันที่ ๒๕ สิงหา-๒๐ กันยาที่จะถึงนี่เอง
ในเมื่อยังไม่ได้ฟังว่า....ประชาชนต้องการแบบไหน แล้วที่คณะปฏิรูปออกแบบนั่น-นี่ออกมาตอนนี้
จะให้ชาวบ้านเข้าใจว่าไง?
ผมว่า ก่อนลงไปถึงขั้นตอนแบ่งเค้ก แบ่งตำแหน่ง-แบ่งอำนาจ ซึ่งเป็นกระพี้-เป็นแขนง นั้น
พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ในฐานะประธานปฏิรูป ควรออกมาบอกให้ชัดๆ ถึงหน่อ-ถึงลำต้น คือ "โครงสร้างหลัก" ก่อนดีกว่า
มิติคิด สู่กรอบปฏิรูปของคณะกรรมการ คืออะไร?
"ปฏิรูป" ในความหมาย "กระจุก"
หรือในความหมาย "กระจาย"?
ผมว่า ควรโละรูปแบบและความคิดในโครงสร้างเดิมไปให้หมดก่อนดีกว่า
แล้วเอาโครงสร้างสังคมอนาคต ด้วยประชาชน ๖๐-๘๐ ล้าน ที่กำลังเคลื่อนขยายเป็นตัวตั้งในการออกแบบปฏิรูปดีกว่า
อย่ามองแคบแค่ "ตำรวจได้-ตำรวจเสีย" เป็นโจทย์ในการออกแบบเลย ต้องเข้าใจให้ชัดว่า การปฏิรูปครั้งนี้ เหมือนการสร้างบ้านยุคไอที
"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่" ฉันใด
การปฏิรูปตำรวจก็ต้อง "ตามเจตนาประชาชน" ฉันนั้น!
รูปแบบเมือง รูปแบบสังคมปัจจุบันของไทย วันนี้ กับเมื่อ ๕๐-๖๐ ปีที่แล้ว ต่างกันมาก
ไม่ต้องดูไกล..........
นับจากวันนี้ไปอีก ๒๐ ปี ประเทศไทย ใครมาเป็นรัฐบาล จะลากไป-ลากมา ตามใจชอบเหมือนก่อนๆ ไม่ได้แล้ว
เพราะมี "ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี" เป็นทิศทาง-ลายแทง ให้ต้องเดินไปตามนั้น
ประกาศใช้เป็นทางการไปเมื่อ ๓๑ ก.ค.๖๐ จำไม่ได้หรือ?
สะท้อนให้เห็นว่า จะทำอะไรตอนนี้ อย่ามองแค่หัวแม่ตีน ต้องเงยหน้ามองให้ไกลจากหัวแม่ตีนขึ้นไปในอากาศและอวกาศ
วานซืน เราพูดกันว่า "กรุงเทพฯ คือประเทศไทย"!
แต่วันนี้ และพรุ่งนี้ จะไม่มีใครพูดว่า "กรุงเทพฯ คือประเทศไทย" เท่าไหร่แล้ว
ทำไมน่ะหรือ?
เพราะสังคมประเทศปัจจุบันกำลังลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ในมิติ โครงสร้าง "อำนาจ-บริหาร-เศรษฐกิจ" ทุกอย่างเปลี่ยนหมด
เมื่อ ๕๐ ปีที่ผ่านมา ใครก็ว่า "อีสานแล้ง"
เมื่อ ๕๐ ปี ใครก็ว่า ท้ายขบวนรถไฟคือ "อีสาน"
แต่วันนี้ เห็นแล้วใช่มั้ย.....?
หัวรถจักรไปตั้งต้นที่อีสาน "ขอนแก่น-อุบลฯ-อุดรฯ" ส่วนท้ายขบวนอยู่ภาคกลาง-กรุงเทพฯ
กรุงเทพฯ ก็กำลังสู่สภาพ "เมืองหลวงเก่า"
เรากำลังมีเมืองใหม่-หัวเมืองใหม่ เป็นจุดหมายปลายทางให้สังคมโลกได้เลือกนอกเหนือกรุงเทพฯ อีกหลายแห่ง
มีรถไฟทั้งใต้ดิน-บนดิน เร็วสูง-เร็วช้าเชื่อม เป็นเมืองดิจิทัล เมืองทางเศรษฐกิจอีอีซี และเขตเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างประเทศทุกภาค
นี่คือคำตอบว่า อนาคตสังคมประเทศ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม
กรุงเทพฯ จะไม่ใช่ประเทศไทย...........
เชียงใหม่...เชียงราย...ขอนแก่น...อุบลฯ....สุราษฎร์ฯ...หาดใหญ่...๓ จังหวัดใต้
ล้วนเป็น "กรุงเทพฯ-เป็นประเทศไทย" ได้ทั้งนั้น!
นั่นคือ สิ่งที่ "คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ" ต้องมองให้ถึง วาดภาพประเทศไทยมิติใหม่ให้แตก
เมื่อถึงและแตกแล้ว ..........
จึงจะทะลุถึงสังคมที่คำว่า "ตำรวจกับกฎหมาย" ควรต้องรองรับอยู่ในรูปแบบใด?
นั่นแหละ แนวทางที่คณะกรรมการปฏิรูปจะคิดเป็นทิศทาง เพื่อออกแบบโครงการตำรวจไปรองรับ
ต้องมองยาว-มองไกล ขนานไปกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และในการมอง-การออกแบบ จะมุ่งแต่คน แต่อำนาจ แต่ยศ-แต่ตำแหน่งไม่ได้
"ทุกขั้นตอนคิด" ในการปฏิรูป ที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด คือคิดบนฐาน "ต้องมี-ต้องใช้"
............ไอที!
เท่าที่ดูแนวคิดคร่าวๆ ของคณะปฏิรูป ยังคิดระบบตำรวจอยู่ในกรอบ "ตะเกียงและโทรศัพท์พื้นฐาน"
เมื่อโจทย์ผิด ผลที่ออกมา จะใช้ตอบโจทย์ชาวบ้าน-โจทย์สังคมที่กำลังเดินไปสู่ได้อย่างไร?
ดูง่ายๆ ทุกวันนี้ ตำรวจตายน้ำตื้นทุกวัน จากอะไร?
คำตอบคือ............
จากกล้องหน้ารถ จากสมาร์ตโฟน จากโซเชียลมีเดีย ตำรวจจราจร เคยหาค่ากับข้าวตอนเย็น หาค่ากาแฟตอนเช้าได้สบายๆ
เดี๋ยวนี้เป็นไง สำลักกาแฟตายไปกี่รายแล้วล่ะ ไม่เพราะระบบไอทีดอกหรือ?
เหนือกว่าตำรวจวันนี้ ต่อให้ ผบ.ตร.ด้วย ยังต้องหดหัวให้กับไอที กระทั่งจับโจรผู้ร้าย ที่จับได้ ไม่ใช่ตำรวจเก่ง
เครื่องมือสื่อสารไอทีมันเก่งตะหาก!
ฉะนั้น แนวคิดปฏิรูปตำรวจ ต้องเอาไอทีคิดควบ-คิดคู่ไปด้วย
ทุกวันนี้ ตำรวจมี สอง-สามแสนคน............
ถามว่า "เจริญทันของใช้" คือเจริญทันระบบไอที ซักสองหมื่นคนถึงมั้ย?
ถ้าเข้าใจและมองถึงสังคมอนาคตภายใน ๒๐ ปีเป็นอย่างน้อย ดังนี้
การวางโครงสร้างปฏิรูปตำรวจ
จึงจะก้าวหน้า "ทันโจร" และตอบสนองระบบประเทศ สมกับผู้เป็น "ต้นน้ำ" แห่งอำนาจและกฎหมายที่ "ถึงตัว" ประชาชนก่อนเพื่อน
การปฏิรูป อย่าตั้งต้นด้วยตำแหน่ง-อำนาจ-ยศ-เงิน
ต้องตั้งต้นด้วย..........
ทั้ง "นายสิบ-นายร้อย" นอกจากคุณสมบัติพื้นฐานแล้ว
๑.ต้องมีความรู้ขั้นใช้ได้อย่างน้อย ๒ ภาษา
๒.ต้องมีความรู้ด้านเครื่องมือเทคโนโลยีพื้นฐาน และ
๓.ต้องมีความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย
เนี่ย...คุณสมบัติพิเศษ ต้องมี ๓ ข้อนี่ก่อน เมื่อมีแล้ว เรื่องเงินเดือนน่ะ เรื่องจ้อย
ระดับนายสิบตำรวจ สตาร์ตเดือนละ ๒ หมื่น ยังถือว่าจิ๊บจ๊อย!
ระดับนายพลน่ะ เลิกไปเถอะ.........
มีแค่ไม่เกิน ๒-๓ คนก็เหลือเฟือ มีมากประจานความล้มเหลว-เลอะเทอะเปล่าๆ
ไปเน้นคุณภาพตำรวจระดับปฏิบัติการดีกว่า อนาคตเครื่องมือและการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ สำคัญกว่าคนยศใหญ่-ตำแหน่งใหญ่
เอาเงินเดือนพวกนั้นมาวางระบบเน้น "พลตำรวจ-นายสิบ" ฝ่ายปฏิบัติการพื้นที่ให้มาก ให้เงินเดือน-สวัสดิการเขามากๆ ได้ประโยชน์กว่า
สรุป ในความเห็นผม คือ...........
จะปฏิรูปตำรวจ ต้องยึดยุทธศาสตร์ชาติด้วย สังคมประเทศกำลังเปลี่ยนโครงสร้าง ดังนั้น มิติคิด ต้องมองใหม่-คิดใหม่ ในการออกแบบ
ที่สำคัญ ภาษาที่สอง เทคโนโลยี ระบบสื่อสารไอที กำลังเป็นตัวควบคุมสังคม และเป็น ผบ.ตร.ที่เหนือ ผบ.ตร.
ฉะนั้น "กฎหมาย-อำนาจ" ที่ไม่ไปพร้อมไอที จะไร้ประสิทธิภาพ
และนายพล-นายหมื่น มีมากก็เปลืองเปล่า-ไร้ประโยชน์
เน้นสร้างคุณภาพบุคลากรตำรวจระดับปฏิบัติการให้มาก รายได้ให้ถึง แล้วกระจายออกไปแทนกระจุกอำนาจ
นี่แหละ "ตำรวจ" ที่ "ปฏิรูป" ทันโจร!

ถอยหลังคืนสู่ยุคเลือกคน

ถอยหลังคืนสู่ยุคเลือกคน

ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องออกมาปกป้องการเลือกตั้ง ส.ส.แบบ “พรรคเดียวกันแต่คนละเบอร์” ด้วยตนเอง หลังจากถูกนักการเมืองถล่มหนัก ประธาน กรธ. กล่าวว่า ต้องการให้การเลือกตั้ง ส.ส.เขตต้องดูคน เพื่อป้องกันการซื้อเสียงและไม่ให้เกิดคำพูดว่าเอาเสาโทรเลข หรือเอาคนรถมาลงก็ได้อีกต่อไป และ ส.ส. ต้องไม่ใช่บริวารพรรค

ยอมรับว่าการเลือกตั้งแบบใหม่ มุ่งให้ประชาชน “เลือกคน” และหันหลังให้กับหลักการ “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” ที่มีการรณรงค์มาหลายทศวรรษเพื่อแก้ปัญหารัฐบาลไร้เสถียรภาพ ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากพอจัดตั้งรัฐบาล จึงต้องตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรค กลายเป็นรัฐบาลร้อยพ่อพันแม่ที่อ่อนแอที่เกิดขึ้นในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16

สาเหตุสำคัญเพราะคนไทยเมื่อหลายทศวรรษก่อน ส่วนใหญ่เลือก ส.ส.ในแบบ “เลือกคน” ที่หยิบยกผลประโยชน์และมาจากพรรคเล็กพรรคน้อย บางคนไม่สังกัดพรรค จึงได้มาซึ่งรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ จึงแก้ไขด้วยการสร้างระบบพรรคที่เข้มแข็ง รัฐธรรมนูญ 2521 ถึงกับให้เลือกตั้ง ส.ส.รวมเขตทั้งจังหวัด และให้เลือกทั้งพวง แต่ระบบนี้ยังไม่ได้บังคับใช้

การปกครองประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มีรัฐบาลที่มั่นคง สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีระบบพรรคที่เข้มแข็ง จัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว หรือรัฐบาลผสมน้อยพรรค ประเทศไทยเริ่มจะประสบความสำเร็จ หลังใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นระบบ “เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ” บังคับให้ “เลือกพรรค” กับคน และใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ

การเลือกตั้งที่มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรค และใช้หมายเลขเดียวทั่วประเทศ ทำให้การเมืองไทยค่อยๆก้าวสู่ระบบสองพรรคใหญ่ แม้จะมีพรรคกลางและพรรคเล็กอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเกินไป แต่ขณะนี้ กรธ. กำลังจะนำการเมืองไทยกลับสู่ยุคที่เน้นการ “เลือกคน” รัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ที่ขาดความเป็นเอกภาพ ขาดความมั่นคง จนบริหารประเทศไม่ได้

ซํ้าเติมด้วยการเลือกตั้ง “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม” ที่นักวิชาการเชื่อว่าจะทำให้ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก จึงน่าสงสัยว่าเราต้องการรัฐบาลที่อ่อนแอใช่หรือไม่? ไม่ต้องการให้พรรคเข้มแข็ง เพราะกลัวว่าจะซํ้ารอยปัญหาในอดีต อันที่จริงเรามีกลไกป้องกันและปราบปรามพร้อมสรรพ ทั้งศาลและองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ

ขอแต่เพียงต้องให้เป็นอิสระจริง ไม่ให้การเมืองไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ เข้าแทรกแซงหรือครอบงำ มีความซื่อสัตย์และความกล้าหาญที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่ว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองจะใหญ่แค่ไหน รับรองว่าต้องจบอย่างไม่สวยแน่ ถ้ายังยืนยันที่จะใช้อำนาจฉ้อฉล ขณะนี้ศาลก็กำลังทำหน้าที่อยู่.

โอกาสกำลังเอื้อให้

โอกาสกำลังเอื้อให้

ว่ากันตามอาการ “กระหยิ่ม” อมยิ้มในใจ

เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ประกาศเอง มีโปรแกรมไปเยือนทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ ตามคำเชิญของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำเบอร์หนึ่งของโลก

หักมุมกับที่เจ้าตัวเพิ่งปูดข้อมูลลึกเองว่า โดน “แบล็กลิสต์” จากหลายประเทศ ไม่เชิญไปเยือน เพราะมีสถานะผู้นำรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ

ตามจังหวะเล่นกระแสของ “บิ๊กตู่” จึงเหมือนประกาศให้โลกรู้ดังๆ

ใครจะแบนก็แบนไป แต่ข้าพเจ้ากำลังบินไปเยือนสหรัฐอเมริกา ดินแดนต้นแบบประชาธิปไตยด้วยสถานะแขกของผู้นำเบอร์หนึ่งของโลก

นั่นหมายถึงสถานะผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.ไม่ได้เป็นเงื่อนไขอีกต่อไป

เรื่องของเรื่อง โอกาสดีๆของผู้นำทหารไทยมันมาแบบมีดวงนิดๆ ตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่เห็นๆกัน ผู้นำมือใหม่หัดขับอย่าง “ทรัมป์” ไม่มีประวัติศาสตร์ทางการเมือง ไม่เน้นเรื่องประชาธิปไตย

ตามสไตล์นักธุรกิจที่ประกาศ “American First” ในการหาเสียงเลือกตั้งผู้นำ สหรัฐฯ ดังนั้นจึงต้องยึดผลประโยชน์ของอเมริกันต้องมาก่อนเหตุผลอื่นใด

การจะต่อสายคุยกับใคร ยึดอยู่บนพื้นฐานสหรัฐฯ จะได้อะไรตอบแทน

ตามแผน อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้ทีมงานรัฐบาลรวบรวมข้อมูลโครงการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง

และก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นหน่วยแรกๆที่ส่งข้อมูลความร่วมมือทางทหาร โครงการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ส่งให้ทีมนายกฯ

ขณะที่ “มือดีล” สำคัญคือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ทำการบ้านหนักในเรื่องของโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะการเดินหน้าเคลียร์ปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การเอาจริงเอาจังกับสถานการณ์การค้ามนุษย์แบบที่มีการยกเครื่องแรงงานต่างด้าว รวมถึงการตัดสินคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา

เหล่านี้ล้วนแต่เข้าเงื่อนไข ตามโจทย์ซื้อใจฝ่ายสหรัฐฯ

เหนืออื่นใด โดยสถานการณ์ที่ยังเข้าทางผู้นำประเทศไทย กับจังหวะที่เกาหลีเหนือ เล่นบทเฮี้ยวต่อเนื่อง เป็นตัวป่วนในภูมิภาคเอเชีย ขู่ยิงขีปนาวุธถล่มกันแบบรายวัน

นั่นก็ทำให้ประเทศไทยยังกุมไพ่ใบสำคัญที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ต้องคุยด้วยในฐานะมิตรประเทศที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ต้องประคองดุลอำนาจการเมืองโลก

ตามสถานการณ์แบบที่ล่าสุด นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งเดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทย พร้อมหารือถึงท่าทีต่อสถานการณ์ในเกาหลีเหนือในการตัดท่อน้ำเลี้ยงตามมติ
สหประชาชาติ โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ย้ำว่า ประเทศไทยต้องทำตามมติยูเอ็น

เป็นอันว่า “นายกฯลุงตู่” ชิงเล่นแต้มต่อได้ ตามจังหวะแรงเสียดทานภายนอกประเทศเบาบางลงตามเงื่อนไขสถานการณ์โลก ที่กำลังป่วนจากภาวะสงครามเย็นยุคใหม่

และนี่ก็น่าจะเป็นโอกาสให้รัฐบาลได้เดินหน้าเสริมสร้างความแข็งแกร่งสถานการณ์ภายในประเทศในห้วงระยะเปลี่ยนผ่าน

โดยเฉพาะล่าสุด ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เปิดเผยถึงสิ่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 10 พระราชทาน 9 แนวทางปฏิบัติ และรัฐบาลพร้อมสนองพระราโชบาย

ประกอบด้วย การให้นำแนวทางพระราชดำริของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ไปเป็นแนวทางขับเคลื่อน

การดูแลให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม การดูแลช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างรวดเร็วทั่วถึง การจัดระเบียบ สร้างวินัย สร้างอุดมการณ์ ทำให้ ประเทศชาติและประชาชนมีความสุข การช่วยรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม

การเตรียมมาตรการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างเป็นสากล การดูแลระบบการศึกษา การส่งเสริมงานจิตอาสา การให้ข้าราชการประพฤติตนเป็นแบบอย่างให้ประชาชนศรัทธา

แน่นอน ทั้ง 9 ข้อล้วนเป็นแก่นปัญหาสำคัญของประเทศ ณ ห้วงปัจจุบัน

และทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

ทีมข่าวการเมือง

"บิ๊กจอม"เอาจริง!! ..รับมือ Drone บินเข้าเขตทหาร-สนามบิน ติดระบบJammerตัดสัญญาณ

"บิ๊กจอม"เอาจริง!! ..รับมือ Drone บินเข้าเขตทหาร-สนามบิน ติดระบบJammerตัดสัญญาณ หวั่นเกิดอันตรายต่อเครื่องบิน-กระทบมั่นคง เขตความลับทางราชการ ถูกจับ-ปรับ-คุก/ ชี้ ในเขต 9กม.และสูง 300ฟุต จากสถานที่ราชการ-สนามบิน เป็น No flying zone ยันต้องจดทะเบียน
พลอากาศตรี พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย โฆษก ทอ. กล่าวว่า พลอากาศเอกจอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. ให้ความสำคัญกับปัญหาการบินDroneอย่างมาก หลังพบ การแอบบินเข้ามาถ่ายคลิป ในเขต ทอ.ดอนเมือง ที่ ทอ.เราได้แจ้งดำเนินคดี กับคนที่นำคลิปมาโพสต์เผยแพร่ ในเฟสบุ้ค แล้ว
อีกกรณีคือการนำDrone มาบินในระดับสูง ในเขตทำการบิน ขึ้น-ลง ของเครื่องบิน ในเขตสนามบินดอนเมือง ซึ่งถือว่า มีความผิด และอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิด อุบัติเหตุ และความสูญเสียเกิดขึ้น
โฆษก ทอ. กล่าวว่า ผบ.ทอ.ได้สั่งการให้ ทุกกองบิน แจ้งเตือนให้ประชาชน ใกล้ที่ตั้งหน่วย กองบิน และสนามบิน รับทราบว่า การนำDrone ขึ้นบิน จะต้องทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด และจะต้องผ่านการลงทะเบียน
ทั้งนี้ระเบียบบังคับ และกฏหมายมีหลายฉบับ โดยเฉพาะในพื้นที่ ราชการ และสนามบิน ที่ตัองยึดระเบียบ การรปภ.สถานที่ และการรักษาความลับทางราชการ
โดย ทอ. ได้ติดตั้ง อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ เช่น Jammer ไว้ เพื้อป้องกัน เขตห้ามบิน หากพบ Drone บินเข้ามา เราก็จะทำการรบกวนสัญญาณ ไม่ให้Drone ทำการบินได้ และถือเป็นอำนาจตามกม. ที่ ทอ.เราจะนำ Drone นั้นลงได้
การใช้ Drone จะต้องลงทะเบียน ทั้งกรณี Drone ติดกล้อง และDrone ที่มีน้ำหนักมากกว่า 2 กก.ขึ้นไป
ที่สำคัญ การใช้Drone จะต้องยึดหลักให้"เห็นDrone อยู่ในสายตา ในการบินในระดับความสูง ไม่เกินกำหนด
ดังนั้น หากพบการทำผิดกม. เจ้าหน้าที่จะ้ข้าดำเนินการ ในการขอตรวจสอบภาพที่บันทึกไว้ และถ้าพบว่า ละเมิดความลับทางราชการ ก็ต้องมีความผิดทางกม. ที่มีโทษ จำคุก 1 ปี และมีโทษปรับ ด้วย
เพราะ การใช้Drone ต้องไม่ละเมิด พรบ คุ้มครองความลับทางราชการ พศ. 2483
พรบ.การ เดินอากาศ. และประกาศต่างๆของกระทรวงคมนาคม
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความลับทางราชการพ.ศ. 2544
ประกาศกฏกระทรวงคมนาคมเรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตและเงื่อนไขในการใช้อากาศยานไร้คนขับที่ควบคุมจากภายนอกพ.ศ. 2558
"ทอ.เราเป็นห่วง ว่า จะเกิดอุบัติเหตุ ขึ้น และเกิดความสูญเสียขึ้นได จึงขอให้ประชาชน ที่ใช้Drone ได้รับทราบ และทำตามระเบียบ เคร่งครัด หรือหาก พบ การ ใช้Drone ในพื้นที่ ราชการหรือ ใกล้สนามบิน ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ ให้เข้าตรวจสอบได้" โฆษก ทอ. กล่าว