PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สถานการณ์ข่าว16ธ.ค.57

Jab15Dec14

สปช.

ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ วันที่ 2 เตรียมพิจารณาข้อเสนอกรรมาธิการต่ออีก 6 คณะ ก่อนส่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามและให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องสรุปความเห็นหรือข้อ

เสนอแนะในการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำสภา 18 คณะ ซึ่งภาพรวมการประชุมวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปรายเต็มที่

โดยการรายงานข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญทั้ง 8 คณะนั้น นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ถือเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ แต่ข้อเสนอที่มี

จำนวนมาก คงไม่สามารถนำไปเขียนเป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ทั้งนี้ จะเขียนรัฐธรรมนูญให้สั้น และได้ใจความที่สมบูรณ์ จากนั้นเวลา 21.05 น. น.ส.ทัศนา บุญทอง ประธานการประชุม กล่าวปิดการประชุมและนัดประชุมต่อในวันนี้ โดยรวมเวลาพิจารณาทั้งสิ้น

11 ชั่วโมง 30 นาที
------------
"คำนูณ" มองความเห็น 8 กมธ. วานนี้ เนื้อตรง กมธ.ยกร่าง แต่ยังขาดกลไก กระบวนการปฏิบัติ เตรียมแยกความเห็นส่วนใดบัญญัติใน รธน. ส่วนใดนำไปปฏิรูป

นายคำนูณ สิทธิสมาน คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานโฆษกคณะกรรมาธิการ เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN  ว่า จากการรับฟังข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นของ กมธ.ปฏิรูป ไปแล้ว 8 คณะ เมื่อ

วานนี้ ในช่วงเช้าก่อนเข้าประชุมเพื่อรับฟังความเห็นเพิ่มเติมนั้น กมธ. ยกร่าง รธน. จะมีการประชุมเพื่อสรุปประเด็น แยกแยะว่าส่วนใดจะนำไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมถึงจะถูกนำไปใช้ในการ

ปฏิรูปประเทศ ตามขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ต่อไป ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ ก็มีความสอดคล้องกับของ กมธ.ยกร่าง รธน. แต่ยังขาดถึงกลไกและกระบวนการปฏิบัติ ซึ่งในการรับฟังความเห็น ใน

อีก 2 วันที่เหลือจึงอยากเห็นการเสนอแนวทางในการนำไปปฏิรูป รวมถึงองค์กร ที่จะมาสานต่อแนวคิดด้วย

และเมื่อฟังความเห็น กมธ.ปฏิรูปทั้ง 18 ด้านครบแล้ว ก็จะไปรับฟังความเห็นของอนุกรรมาธิการที่ดูแลในส่วนของการปฏิรูป ที่มี นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ เป็นประธานเพื่อสรุปแนวทางต่อไป

ทั้งนี้ นายคำนูณชื่นชมความเห็นของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร ฯ ที่มี นายเกริกไกร จีระแพทย์ ที่การเสนอข้อคิดเห็นได้ครอบคุลุม ชัดเจนและมีประเด็นที่น่าสนใจ โดยการเสนอให้ประเทศ

ไทยเป็นสังคม 2 ภาษาเป็นครั้งแรกด้วย ส่วนการประชุมในวันนี้ ก็คาดหวังว่าจะราบรื่น และพิจารณาความเห็นได้ในปริมาณใกล้เคียงกับวันแรก เพื่อให้เวลาอย่างเต็มที่กับการเสนอความ
เห็นด้านการเมืองในวันสุดท้าย
-------------
.กมธ.ศก.จ่อชงข้อเสนอสปช.เช้านี้

 การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ วันที่ 2 เตรียมพิจารณารายงานข้อเสนอแนะการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญต่ออีก 6 คณะ โดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เตรียมเสนอประเด็นที่

ต้องการให้บัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อที่ประชุมเช้านี้

 การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามและให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องสรุปความเห็นหรือข้อเสนอแนะ

ในการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำสภา 18 คณะ โดยวันนี้ จะพิจารณารายงานข้อเสนอของกรรมาธิการต่ออีก 6คณะ อาทิ คณะกรรมาธิการปฏิรูปค่านิยม ศิลปะ วัฒนธรรม

จริยธรรมและการศาสนา คณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง คณะกรรมาธิการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการปฏิรูประบบสาธารณะสุข คณะ

กรรมาธิการปฏิรูปแรงงาน และคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เตรียมเสนอประเด็นสำคัญที่จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาทิ หมวด2 ส่วนที่2 เรื่องสทธิ เสรีภาพของพลเมือง เสนอให้บุคคล

แสดงสถานะรายได้ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้มีรายได้ไม่เพียงพอไดรับความช่วยเหลือจากรัฐ และให้ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องเสียภาษี โดยผู้เสียภาษีได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ส่วนที่3

เรื่องหน้าที่พลเมือง เสนอให้บุคคลมีหย้าที่เสียภาษีตามหลักความสามารถ เป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ด้านหมวด2แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เสนอให้รัฐ

ต้องจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติโดยมีเป้าหมายให้เป้าหมายประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างยั่งยืน
-----------------
ประชุม สปช. เสนอความเห็น ยกร่าง รธน. วันที่ 2 เริ่มแล้ว จับตาข้อคิดเห็นปฏิรูปเศรษฐกิจ-พลังงาน

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) วันที่ 2 ล่าสุด เริ่มเปิดการประชุมแล้ว โดยมี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อพิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของ

คณะกรรมาธิการวิสามัญ 18 คณะ ก่อนส่งรายงานไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้จะพิจารณารายงานข้อเสนอของกรรมาธิการต่ออีก 7 คณะ คือ คณะกรรมาธิการปฏิรูป
ค่านิยม ศิลปะ วัฒนธรรม จริยธรรมและการศาสนา คณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง คณะกรรมาธิการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการปฏิรูประบบ

สาธารณสุข คณะกรรมาธิการปฏิรูปแรงงาน คณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน คณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

ทั้งนี้ มีรายชื่อสมาชิก สปช. ที่แสดงความจำนงขออภิปรายในแต่ละคณะแล้ว อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน คณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านพลังงาน นางตรึงใจ บูรณะสมภพ คณะกรรมาธิการปฏิรูปค่านิยม

ศิลปะ วัฒนธรรม จริยธรรมและการศาสนา
-------------------
ประธาน กม.เศรษฐกิจ เสนอจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายให้เป็นประเทศที่พัฒนาอย่างยั่งยืน ปชช. อุทธรณ์เสียภาษีได้

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในการพิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญปฏิรูป ที่รัฐสภา ล่าสุด นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูป

เศรษฐกิจการเงินและการคลัง ชี้แจงข้อเสนอแนะในการปฏิรูปว่า เพื่อให้ผู้มีรายได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยเสียภาษีไม่เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดอย่างไม่เป็นธรรม จึงเสนอให้สามารถ
อุทธรณ์คัดค้านการเสียภาษีได้ นอกจากนี้รัฐต้องจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงเสนอให้มีกฎหมายการเงินการคลังแห่งชาติ

เพื่อควบคุมวินัยการคลังและงบประมาณของประเทศทั้งรายรับรายจ่ายให้เป็นระบบมากขึ้น นอกจากนี้ เสนอให้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเพื่อใช้ป้องกันการใช้นโยบายประชานิยม
มากกว่าการบริหารแผ่นดินที่ทุ่มเงินเพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง

ขณะที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังการรับฟังความเห็นของคณะกรรมาธิการปฏิรูปค่านิยม ศิลปะ วัฒนธรรม จริยธรรม และการศาสนา บางเรื่องอาจนำเข้าบรรจุรัฐ

ธรรมนูญในหมวดสิทธิเสรีภาพ หน้าที่พลเมือง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะต้องพิจารณาในรายละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
-------------
"รสนา" เสนอความเห็นปัญหาที่ผ่านมาเกิดการมีผลประโยชน์ทับซ้อน แนะทำให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงกลุ่มทุนได้

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญปฏิรูป ที่รัฐสภา ล่าสุด โดย นางรสนา โตสิตระกูล กมธ.ปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการ

คลัง อภิปรายข้อเสนอแนะว่า มีปัญหาที่เกิดการมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงเสนอให้หาวิธีแก้โดยให้บุคคลที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงกลุ่มทุนได้

ขณะที่ นายปรีชา วัชราภัย ตัวแทนคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังการรับฟังข้อเสนอแนะว่า สิ่งที่ กมธ. เสนอมานั้นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และคณะกรรมาธิการยกร่าง ฯ ส่วนใน

กรณีข้อคิดเห็นที่ไม่ได้เป็นหลักการที่จะบรรจุในรัฐธรรมนูญนั้นคิดว่าสามารถดำเนินการให้สำเร็จได้
-----------------
กมธ.ปฏิรูปแรงงาน เสนอ 7 ประเด็น ให้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ เน้นคุ้มครองแรงงาน พร้อมพัฒนาศักยภาพ

พล.ท.เดชา ปุญญบาล ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปแรงงาน เสนอประเด็นที่ควรบรรจุในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวม 7 ประเด็น อาทิ สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้ทำงาน หรือต้องทำงานโดยไม่มีทาง

เลือก แรงงานมีสิทธิ์เข้าถึงงานที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าภายใต้กระบวนการพัฒนาทักษะฝีมือในทุกสาขาอาชีพ และการเข้าถึงข้อมูลตลาดแรงงาน การคุ้มครองสภาพการจ้างงาน รวมถึงความ

ปลอดภัยในการทำงานและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน และให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองแรงงานสตรี แรงงานควรได้รับการพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เพื่อ
เสริมรายได้ ส่งเสริมอาชีพอิสระ อาชีพเกษตรกร คุ้มครองอาชีพที่ควรสงวนให้กับคนท้องถิ่นและการจัดตั้งธนาคารแรงงาน นอกจากนี้ ต้องกำหนดนโยบายหรือมาตรการด้านแรงงาน รัฐต้องคำนึง

ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
--------------------------------
กมธ.ปฏิรูปพลังงาน เสนอ สปช. 6 ประเด็น ชงกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เน้นประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายพลังงาน

นายทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน กล่าวเสนอรายงานต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยเห็นควรให้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น อาทิ รัฐต้องสร้างความมั่น

คงด้านพลังงาน โดยจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ ทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ ความทั่วถึงและเท่าเทียมในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม ส่วนด้านกิจการพลังงานที่เป็นสาธารณูปโภค

พื้นฐาน ซึ่งรัฐต้องกำกับดูแลให้มีการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรมและคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ประชาชนมีสิทธิและมีส่วน

ร่วมในการกำหนดนโยบายพลังงาน รวมทั้งติดตาม ตรวจสอบการดำเนินนโยนายของภาครัฐ นอกจากนี้ ปิโตรเลียมและเชื้อเพลิงธรรมชาติอื่น ๆ เป็นทรัพยากรของชาติ มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ

การสำรวจ การผลิต และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรนั้น ต้องคำนึงประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
------------------------
น.พ.เจตน์ เผย มีกฎหมายผ่านสภาแล้ว 71 ฉบับ ยืนยัน 18 ธ.ค. จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก

น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) ระบุถึงผลการประชุมวิป สนช. วันนี้ ว่า ขณะนี้มีร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาในสภาทั้งหมด 71

ฉบับ โดยยืนยันว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 18 ธ.ค.นี้ จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายภาษีการรับมรดก ซึ่งจะมีการพิจารณาอย่างรอบครอบ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะผู้

ที่มีมรดกเกิน 50 ล้าน และอาจมีการตั้งคณะกรรมาธิการชุดใหญ่ในการพิจารณา

ทั้งนี้ จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.หอพัก ที่คณะรัฐมนตรีเสนอ รวมถึงพิจารณาเพื่อรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ที่จะเพิ่มอัตราเงินเดือนตุลาการศาลทหาร และอัยการศาลทหาร ให้เทียบ

เท่าตุลาการศาลยุติธรรม ขณะที่การพิจารณารับหลักการร่างกฎหมายเหรียญพิทักษ์เสรีชน ได้ชะลอออกไปก่อน เนื่องจากยังติดปัญหาเรื่องความเหมาะสม นอกจากนี้ จะมีการพิจารณากฎหมายใน

วาระ 2 และ 3 เช่น ร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ ร่าง พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ และร่าง พ.ร.บ.กำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร
------------
"ทองฉัตร" กมธ.ปฏิรูปพลังงาน ชี้ รัฐต้องสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ภาคประชาชนต้องมีสิทธิ์มีส่วนร่วมกับการกำหนดนโยบาย

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญปฏิรูป ที่รัฐสภา นายทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน ชี้

แจงข้อเสนอแนะต่อที่ประชุม ว่า รัฐต้องสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการทั้งในด้านปริมาณคุณภาพ
และมีราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม

นอกจากนี้ รัฐต้องกำกับดูแลกิจการพลังงานซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ชุมชนและสิ่งแวดล้อม และภาคประชาชนต้องมีสิทธิ์มีส่วนร่วมกับการ

กำหนดนโยบาย ติดตามและตรวจสอบการดำเนินนโยบาย สนับสนุนให้มีการผลิตและการใช้งานหมุนเวียน ขณะเดียวกัน ปิโตรเลียมและเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะในการผลิต

สำรวจ ใช้ทรัพยากรควรคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นลำดับแรก
//////////////
นายกฯครม.คสช.

นายกฯ เข้าทำเนียบ เตรียมนำประชุมร่วม ครม.-คสช. ขณะการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลล่าสุดในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว เพื่อเตรียมเป็น

ประธานการประชุมร่วมระหว่าง คสช. และคณะรัฐมนตรีที่ตึกสันติไมตรีในช่วงเช้าวันนี้

ขณะเดียวกัน บรรดาคณะรัฐมนตรีรวมถึงสมาชิก คสช. ได้ทยอยเดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อเข้าร่วมการประชุมในวันนี้อย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยจากเจ้า

หน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวดรอบพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ก่อนการประชุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นำคณะเจ้าหน้าที่ เข้าพบนายกรัฐมนตรีและคณะ เพื่อประชาสัมพันธ์เหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้า

อยู่หัว ที่ระลึก 100 ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ณ บริเวณทางเชื่อมระหว่างตึกไทยคู่ฟ้าและตึกสันติไมตรีด้วย
----------------------
การประชุมร่วม ครม.-คสช. เริ่มแล้ว วาระสำคัญหารือร่วมกันเพื่อติดตามผลการดำเนินงานแต่ละฝ่าย ก่อนประชุม ครม. ตามปกติ

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลล่าสุด ในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่าง คสช.

และคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ทั้งนี้ สำหรับวาระการประชุมคาดว่าจะเป็นการหารือร่วมกันเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในฝ่ายต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุมร่วมกันระหว่ง ครม. และ คสช. เสร็จสิ้น จะมีการประชุม ครม. ต่อ โดยมีวาระการประชุมที่น่าสนใจ อาทิ กระทรวงการคลัง เสนอวาระการขยายเวลามาตรการ

สำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเสนอขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือค่าอุปกรณ์การเรียนของนักเรียนสายอาชีวศึกษา นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการ

นโยบายประมงแห่งชาติ
-----------------
"วินธัย" เผย นายกฯ กำชับเร่งเดินหน้าปฏิรูป ทำความเข้าใจคนเห็นต่าง จัดการผู้กระทำผิด ยึดกระบวนการกฎหมาย ทุกโครงการต้องไม่มีทุจริต

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรี และ คสช. ในวันนี้ โดยระบุว่า หัวหน้า คสช. ได้กำชับแนวทางในการทำงานของทุกส่วนใน

หลายเรื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินการต่อผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ทั้งผู้ที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ ให้ส่วนที่เกี่ยวข้องใช้ช่องทางที่เหมาะสมใน

การแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบว่ากำลังทำผิดกฎหมายในเรื่องใด พร้อมเปิดช่องทางให้กลับมาเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม

ขณะเดียวกัน ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเดินหน้าสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจและมีข้อมูลไม่ครบถ้วน ในเรื่องการแก้ไขปัญหาและการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะนักศึกษา โดยให้

พิจารณาวิธีการที่เหมาะสมและไม่ทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงลบต่อกัน

สำหรับโครงการจัดซื้อจัดจ้างและโครงการก่อสร้างของภาครัฐที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งในส่วนของภาคเอกชนและเจ้า

หน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ให้กำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจในการดำเนินงานของรัฐบาล
-----------------------
นายกฯ กำชับจัดการผู้กระทำผิด ม.112 เด็ดขาด ยึดตามกฎหมาย ประสานต่างประเทศแล้ว ขออย่าขยายข่าวลือ เรื่องหุ้นตก ย้ำเร่งแก้ปัญหาเต็มที่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า ในเรื่องของผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 นั้น ต้องดูว่ากระทำความผิดจริงหรือไม่ โดย

ยึดตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา เคยส่งคนไปพบเพื่อตักเตือนกลุ่มบุคคลเหล่านี้ โดยเฉพาะการส่งข้อความกันในโลกโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลได้มีการติดตามผู้กระทำ

ความผิดในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากเป็นภัยร้ายแรงเพราะสร้างความแตกแยกในสังคม ขณะเดียวกัน ได้มีการสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศว่า บุคคลเหล่านั้นกระทำผิดกระบวนการกฎหมายของ
ไทย

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวานที่ผ่านมาตลาดหุ้นตกลงมาก ว่า ขออย่าตื่นตระหนก หรือ ขยายข่าวลือต่างๆ ซึ่งเรื่องหุ้นนั้น ยังคงเป็นไปตามปกติ นอกจากนี้ ยังย้ำว่า ขอเวลาให้

รัฐบาลทำงานเพื่อคนไทยทุกคน เพราะเรื่องบางอย่างต้องใช้เวลา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาราคายางพารา ข้าว หรือ แก๊ส นั้น ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังรักตนเองอยู่

เนื่องจากเห็นการทำงาน
----------------------------
"สรรเสริญ" เผย ผลการประชุม ครม. สร้างการรับรู้แก้ปัญหาประชาชน-ประกวดภาพถ่ายด้านการท่องเที่ยว

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงของขวัญปีใหม่ ที่รัฐบาลจะมอบให้กับ

ประชาชนว่า ไม่อยากให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง กังวลกับของขวัญที่จะมอบให้ประชาชนมากนัก แต่ให้ดำเนินการในส่วนที่ทำได้ เพราะงานที่ผ่านมา ที่แต่ละกระทรวงทำเพื่อประชาชน ถือเป็น
ของขวัญที่มอบให้กับประชาชนได้ และขอให้ร่วมกับสร้างการรับรู้แก้ประชาชนว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศในระยะกลาง และระยะยาว ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดทำแผนการประกวดการภาพถ่ายด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้ประชาชนมีส่วน

ร่วมในการกระตุ้นการท่องเที่ยว และเพื่อสร้างการรับรู้ให้ต่างชาติ ทราบถึงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมถึงเชื่อมโยงการท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งกับเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดการ
ต่อยอดการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการตลาดชุมชน ว่า อยากให้สินค้าต่าง ๆ ที่ขายในตลาดชุมชน มีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการของคนในพื้นที่ ซึ่งต้องสร้างการเรียนรู้

วิถีชีวิตชุมชนควบคู่ไปด้วย พร้อมกันนี้ กล่าวถึงการจัดระเบียบคลองถม ว่า อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางการจัดการ โดยอาจศึกษาการจัดการของต่างประเทศ เช่น การกำหนดเวลาขาย และ
การจัดโซนสินค้าให้เป็นระเบียบ แต่หากจำเป็นต้องย้ายสถานที่ ก็ควรจัดหาสถานที่ที่เหมาะสม
----------------------------------
พล.อ.ประยุทธ์ ให้ กต.-ยธ. ดำเนินการบุคคลที่ทำความผิด-ประสานต่างชาติ เข้าใจ

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายแพ่งและอาญา

และการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย ได้มอบหมายให้ทางกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรม ไปหาวิธีดำเนินการกับบุคคลที่กระทำความผิดกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
และต้องสร้างการรับรู้ให้ต่างชาติเข้าใจ เพื่อให้การประสานส่งตัวผู้กระทำความผิดง่ายขึ้น ส่วนผู้เห็นต่างจากรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องไม่ให้ร้ายฝั่งตรงข้าม และไม่ทำให้

เสียบรรยากาศการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะนักวิชาการและนักศึกษา

สำหรับการพูดคุยสันติสุขชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือเป็นปัญหาสะสมนาน ขณะนี้ ฝั่งรัฐบาลมีความพร้อมในการพูดคุยแล้ว แต่ต้องรอให้ฝ่ายเห็นต่างไปรวมกลุ่มพูดคุยกันก่อน จึงจะสามารถเข้าหารือ

ร่วมกันได้ ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ภาคใต้ควรมีความเข้าใจเรื่องยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาด้วยเพื่อให้การสื่อสารตรงตามวัตถุประสงค์

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้ให้กำลังใจ ครม. ว่า ขอให้ตั้งใจทำงานต่อไป อย่ากลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าทุจริต เพราะถือเป็นเรื่องท้าทายความสามารถ
---------------------
โฆษกสำนักนายก แถลง ก.พาณิชย์จัดงานลดราคาสินค้า 24-30 ธันวาคม เป็นของขวัญปีใหม่ใประชาชน

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงรายละเอียดการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบการจัดทำของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน

ของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์จะจัดงานลดราคาสินค้า ในวันที่ 24-30 ธันวาคม 2557 อีกทั้งจะมีงานแสดงสินค้าต่าง ๆ และสินค้าโอท็อปให้เกิดการซื้อขายสภาพคล่อง โดยเริ่มวันที่ 1

มกราคม 2558

ส่วนกระทรวงคมนาคม นอกจากการประกาศงดเก็บค่าทางด่วนก่อนหน้านี้ ยังมีการเปิดจองทะเบียนรถออนไลน์จากกรมการขนส่งทางบก และโครงการมอบจักรยานสาธารณะ พร้อมจัดทำช่องทาง

เดินรถจักรยานให้มีความปลอดภัยขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ มีโครงการครูพระราชทาน และมาตรการฝึกอาชีพจากโครงการอาชีวะ โดยใช้ชื่อว่า สร้างคน สร้างงาน สร้างชาติ
------------------------
ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ. แบ่งส่วนราชการและกฎกระทรวง-ขยายเวลาเขตเศรษฐกิจ 3 จังหวัดชายแดนใต้

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมที่มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา
ในการแบ่งส่วนราชการและกฎกระทรวง ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. เป็นผู้เสนอ เพื่อขยายอำนาจของกองบัญชา
การตำรวจสันติบาลในการสืบสวนสอบสวนพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญาของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความสะดวกในการพิจารณาคดีต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลา เขตการค้าเศรษฐกิจ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ออกไปเป็นเวลา 3 ปี
ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เพื่อส่งเสริมการลงทุนกระตุ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจของผู้ประกอบธุรกิจภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่
โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วน โดยการลดภาษีรายได้นิติบุคลให้เหลือร้อยละ 3 และภาษีรายได้บุคคลธรรมดา รวมถึงภาษีการ
ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และภาษีค่าธรรมเนียมในการโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือเพียงร้อยละ 0.1
------------------
รองนายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลตั้งคณะทำงานตรวจสอบติดตามการทุจริต เพื่อติดตามเร่งรัดการทุจริต และไม่ให้เกิดช่องว่าง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวถึงการตั้งคณะทำงานตรวจสอบติดตามการทุจริต ว่า รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ จึงได้จัดตั้งขึ้นโดย

ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพื่อติดตามเร่งรัดการทุจริต และไม่ให้เกิดช่องว่างพร้อมเดินหน้าการทำงานอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผ่านการตรวจสอบมาแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งคณะกรรม
การชุดนี้จะเริ่มทำงานทันที ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อไปที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ พล.อ.อักษรา เกิดผล รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นตัวแทนเข้า

ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในวาระที่ไม่เป็นความลับ เพื่อรับทราบรายละเอียดของความเป็นไปในมติที่ประชุม โดยจะสามารถนำไปถ่ายทอดให้กับ คสช. เพื่อขับเคลื่อนได้ทันที

นอกจากนี้ นายวิษณุ ยังกล่าวถึงการทำงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ว่า ภายหลังการเสนอแนวทางการปฏิรูปต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะมีกำหนดการสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้

จะมีความชัดเจนมากขึ้น
--------------------
ครม. อนุมัติเปลี่ยนชื่อกระทรวง ICT เป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเห็นชอบ
ปรับโครงสร้างภาษีน้ำมัน

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการกำหนดการเปลี่ยนชื่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT เป็น
กระทรวงดิจิตอล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการเพิ่มสำนักงานดิจิตอล และคณะกรรมการดิจิตอล และเศรษฐกิจ
เพื่อสังคมแห่งชาติเพื่อให้มีการบูรณาการในการทำงานมากขึ้น หลังจากนายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจแบบดิจิตอล พร้อมกันนี้ ยังมีมติเห็นชอบการปรับสัดส่วนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ในส่วนที่เคย
มีการนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นในส่วนการนำส่งภาษีแทน เพื่อให้มีความเหมาะสมตามราคาที่ปรับลดลง
ตามมติของทางคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. เสนอมาก่อนหน้านี้

///////////////////
หุ้นไทย

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ (16 ธ.ค. ) เปิดทำการเมื่อเวลา 10.00 น. ดัชนีปรับตัว ลดลง 40.53 จุด
แตะที่ระดับ 1437.96 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2642.82 ล้านบาท

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารกสิกรไทย ล่าสุด เมื่อเวลา 08.10 น. มีดังนี้
ดอลลาร์สหรัฐ รับซื้อที่ 31.74 บาท ขายออก 33.18 บาท
--------------------
การประชุม ครม. วันนี้ จับตาปรับโครงสร้างบัญชีเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ 37 แห่ง พร้อมกันนี้อาจเสนอแก้ร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต

การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ มีวาระที่ต้องติดตามในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เตรียมเสนอที่ประชุมเรื่องปรับโครงสร้างเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ 37 แห่ง ที่ต้อง

อาศัยอำนาจ ครม. กำหนดโครงสร้างเงินเดือนให้ ซึ่งเป็นการปรับให้สอดคล้องอัตราค่าครองชีพ

นอกจากนี้ ทางกระทรวงการคลังอาจเสนอให้ปรับแก้ร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศอยู่บนฐาน

ราคาเดียวกัน รวมทั้งการหารือเตรียมวางมาตรการกำชับการดูแลรักษาความสงบในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
--------------------
บล.ทิสโก้ คาดภาวะตลาดหุ้นไทยยังผันผวนสูง-อิงขาลง เหตุราคาน้ำมันทรุด พร้อมให้แนวรับที่ 1,445-1,450 จุด

นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช้านี้ว่า ยังมีโอกาสที่ดัชนีฯ จะเคลื่อนไหวผันผวนสูง และมีทิศทางที่จะปรับตัวลงได้ต่อเนื่องจากราคาน้ำมันยังปรับตัวลงต่ำสุดใน

รอบ 5 ปี แต่ยังทำจุดต่ำสุดเป็นรายวันด้วย

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะปรับตัวลง ซึ่งปัจจัยหลักยังเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง แต่ตลาดก็ยังรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพรุ่งนี้ ว่าจะมีการ

ส่งสัญญาณเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ รวมทั้งการประชุม กนง. ที่มีการคาดการณ์กันว่าอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ พร้อมให้แนวรับที่ 1,445-1,450 จุด และ 1,425 จุด
ส่วนแนวต้านที่ 1,495 จุด
----------------------
"อิสระ" เผยน้ำมันลงปี 58 ประหยัดนำเข้า 3 แสนล. กระตุ้น GDP 0.7-1% โตได้ 3-4% ส่งออก 4-5%

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย ร้อยละ 40 หรือ อยู่ที่ประมาณ 60

ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นั้น หากยังทรงตัวอยู่ในระดับดังกล่าวในปี 2558 จะทำให้ประเทศไทยประหยัดรายจ่าจากการนำเข้าน้ำมันได้ 3 แสนล้านบาท ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้

ปรับตัวลดลงด้วย เฉลี่ยน้ำมันเบนซินลดลง 10 บาท ต่อลิตร และน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1.4 แสนล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ย 1.2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน

กระตุ้น GDP ของประเทศได้ ร้อยละ 0.7-1

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงเป็นการสะท้อนความต้องการใช้ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลต่อภาพเกษตรของไทยทำให้ราคาสินค้าเกษตรยังทรงตัวอยู่ใน

ระดับต่ำ ทั้งราคายางพาราและราคาข้าว โดยทางหอการค้าไทยคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศในปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ ร้อยละ 3-4 และการส่งออกขยายตัวอยู่ที่ ร้อยละ 4-5
----------------------
สำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ปิดตลาดดัชนีปรับตัวลดลง 29.64 จุด
มาปิดที่ 1448.85 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38,062.28 ล้านบาท

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารกสิกรไทย ล่าสุด เมื่อเวลา 10.28 น. มีดังนี้
ดอลลาร์สหรัฐ รับซื้อที่ 31.80 บาท ขายออก 33.24 บาท
------------
ประธานหอการค้าไทย แจ้งเตือนสมาชิก ประเมินผลกระทบราคาน้ำมันและตลาดหุ้นที่ผันผวน

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงในขณะนี้ว่า
ทำให้มูลค่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลดลง ร้อยละ 25 โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเนื่องจากมีความผันผวนของราคา
น้ำมันในตลาดโลก โดยได้มีการแจ้งเตือนไปยังสมาชิกให้ประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันและตลาดหุ้นที่ผันผวนที่เกิดขึ้นว่าได้
รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด โดยบางธุรกิจอาจจะได้รับผลดีจากต้นทุนขนส่งลดลงเหมาะที่จะเร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับ
ธุรกิจ แต่ในทางกลับกันบางธุรกิจก็จะกระทบต่อการส่งออกไปยังประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มีรายได้ลดลงอาจมีความต้องการ
สินค้าลดลงด้วย
------------------
"พรศิลป์" ชี้ราคาน้ำมันลง ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตขนส่ง เชื่อสินค้าที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้า รัฐมีแนวทางปรับลดลง

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ประธานคณะกรรมการธุรกิจเกษตรและอาหาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมัน
ที่ปรับลดลงในขณะนี้ส่งผลให้ระดับเงินเฟ้อต่ำลง และส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตและภาคขนส่งที่ลดลง รวมถึงทำให้ราคาสินค้า
ลดลงทำให้เกิดการอุปโภคบริโภคของประชาชนมากขึ้น ขณะที่การส่งออกยังไม่ส่งผลที่ชัดเจน สำหรับราคาของน้ำมันดีเซลที่
ปรับลดลงใกล้เคียงกับราคาน้ำมันจากพลังงานทดแทนนั้น มองว่า รัฐบาลควรกำหนดแผนยุทธศาตร์ในการอุดหนุนสินค้าเกษตร
โดยอาจกำหนดพื้นที่โซนนิ่ง ทั้งพื้นที่และปริมาณการผลิต สำหรับสินค้าเกษตรเพื่ออาหาร และสินค้าเกษตรเพื่อพลังงานทดแทน
เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าบางตัวที่ปรับเพิ่มขึ้นไปก่อนหน้านี้ เชื่อว่า รัฐบาลจะมีแผน
ในการแก้ไข พูดคุยกับผู้ประกอบการให้มีการปรับราคาลดลงตามราคาน้ำมันที่ถูกลง ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในปี 2558
มองว่า จะปรับลดลงต่อเนื่องอีกในระยะยาว เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเตรียมที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน
(Shell Oil)
-----------------
เปิดตลาดภาคบ่าย

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยภาคบ่าย วันนี้ (16 ธ.ค. 57) เปิดตลาดเมื่อเวลา 14.29 น. ดัชนีปรับตัวลดลง 30.71 จุด
แตะที่ระดับ 1,447.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 38,540.47 ล้านบาท

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารกสิกรไทย ล่าสุด เมื่อเวลา 13.13 น. มีดังนี้
ดอลลาร์สหรัฐฯ รับซื้อที่ 31.73 บาท ขายออก 33.17 บาท
--------------------
อธิบดีกรมเจ้าท่า เผย พรุ่งนี้ เรือคลองแสนแสบ ลดค่าโดยสาร 1 บาท หลังราคาน้ำมันดีเซล ต่ำกว่า 29 บาทต่อลิตร

นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (17 ธ.ค.) เป็นต้นไป เรือโดยสารในคลองแสนแสบ
จะลดราคาลง 1 บาท ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้ตกลงไว้กับกรมเจ้าท่า กรณีหากราคาดีเซลต่ำกว่า 29 บาทต่อลิตร
จะลดราคาโดยสาร 1 บาท และถ้าราคาดีเซลเกิน 33 บาทต่อลิตร จะให้ขึ้น 1 บาท ส่วนเรือด่วนเจ้าพระยา จะมีการหารือ
ร่วมกันในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมีบริการ 2 ประเภท คือ เรือด่วนเจ้าพระยา และเรือข้ามฟาก

สำหรับค่าโดยสารเรือด่วนคลองแสนแสบ ปรับลงอีกระยะละ 1 บาท (ท่าผ่านฟ้าลีลาศ-ท่าวัดศรีบุญเรือง) จาก 10-20 บาท
เป็น 9-19 บาท
----------------
นายกสมาคมขนส่งสินค้าฯ ระบุ หากดีเซลปรับลดเหลือ 25 บาท/ลิตร ก็ยินดีหั่นค่าขนส่งลง 20%

นายวรวิทย์ เจริญวัฒนพันธ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า แม้ขณะนี้ราคา
น้ำมันดีเซลจะปรับลดลงอยู่ที่ลิตรละ 26.89 บาท แต่ทางสมาคมขนส่งฯ ยังไม่สามารถปรับลดค่าขนส่งลงได้ เนื่องจากภาวะ
เศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้ปริมาณการขนส่งสินค้ามีน้อย ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การขนส่งลดราคาลงได้ยาก แต่หากราคาน้ำมัน
ดีเซลปรับลดลงเหลือลิตรละ 25 บาท ทางสมาคมฯ ก็พร้อมที่จะปรับลดค่าขนส่งลง 20%
--------------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ มีกลุ่มบุคคลปั่นหุ้น รอจังหวะช้อนซื้อ สั่ง ก.ล.ต. ดำเนินการ พร้อมจับตาใกล้ชิด

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยที่กรณีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่าเกือบ 140 จุดที่ผ่านมา
ว่าเป็นเหตุมาจากปัจจัยในส่วนของภายนอกประเทศ หรือเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป ที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้
สถานการณ์ที่บริษัทน้ำมันในตลาดหุ้น ยังปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่มีปัจจัยกดดันจากภายใน
ประเทศอย่างแน่นอน ที่เป็นแรงกดดันให้ตลาดปรับตัวลดลง แต่ทั้งนี้ยอมรับว่ามีกลุ่มบุคคลที่พยายามปั่นตลาดหุ้นอยู่ และ
รอจังหวะในการช้อนซื้อหุ้น ซึ่งได้มอบหมายให้ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เป็น
ผู้ดำเนินการและจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
------------
สำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ปิดตลาดดัชนี ปรับตัวลดลง 16.75 จุด มาปิดที่ 1,461.74 จุด
ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 75,869.17 ล้านบาท

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารกสิกรไทย ล่าสุดเมื่อเวลา 16.24 น. มีดังนี้
ดอลลาร์สหรัฐ รับซื้อที่ 31.78 บาท ขายออก 33.22 บาท
-------------------
ผู้บริหาร ปตท. ยืนยัน ใช้ราคาแอลพีจี สูงกว่าทุกกลุ่ม หวังรัฐปรับสูตรคำนวณราคาให้สะท้อนต้นทุน

นายชวลิต ทิพพาวนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดใหญ่ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
หลังการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ถือเป็นสัญญาณที่ดี ล่าสุด
ราคาขายปลีกแอลพีจี 3 กลุ่ม คือ ครัวเรือน ขนส่ง และอุตสาหกรรม มีราคาเท่ากันอยู่ที่ 24.16 บาทต่อ กก. ส่วนราคา
แอลพีจีภาคปิโตรเคมียืนยันว่า ปัจจุบัน ปตท. จ่ายสูงกว่าทุกภาคอยู่แล้ว หากคิดเฉพาะเนื้อก๊าซฯ เนื่องจากต้องในใช้
ภาคอุตสาหกรรมของประเทศ อาทิ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ อยากให้ภาครัฐพิจารณาปรับสูตรการคำนวณราคา
แอลพีจีหน้าโรงแยกและโรงกลั่น โดยนำราคาตลาดโลกมาคำนวณ เพราะจะช่วยทำให้โรงกลั่นเกิดแรงจูงใจในการผลิต
แอลพีจีออกมาจำหน่ายในประเทศมากขึ้นแทนการส่งออก ซึ่งปัจจุบันราคานำเข้าอยู่ที่ คือ 558 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดย
ไม่รวมค่าขนส่งอีกประมาณ 80 เหรียญสหรัฐต่อตัน หากสามารถปรับราคาได้จริง จะทำให้แอลพีจีในประเทศผลิตเพิ่ม
ขึ้นอีก 6-7 หมื่นตันต่อปี จากปัจจุบันแอลพีจีหน้าโรงกลั่น ผลิตได้ประมาณ 2 ล้านตัน สามารถลดการนำเข้าแอลพีจี ที่
เติบโตอย่างน่าตกใจในภาคขนส่ง โดยปัจจุบันราคาแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซอยู่ที่ 333 เหรียญสหรัฐต่อตัน อยากให้
ปรับเป็นราคาต้นทุนการผลิตจริง คือ ประมาณ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน  เพื่อลดภาวะขาดทุนในปัจจุบันของ ปตท.
--------------

///////////////////
ปปช.อสส.

ป.ป.ช. นัดหารืออัยการสูงสุด วางแนวทางการทำงานในอนาคต คาดอาจมีประเด็นคดีอาญา "ยิ่งลักษณ์" ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วันนี้มีกำหนดการประชุมระดับผู้บริหารของ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุง (อสส.) โดยการประชุมดังกล่าวเป็นการหารือ

ประจำปีเพื่อพูดคุยเรื่องการทำงานในภาพรวมของทั้ง 2 หน่วยงานที่ผ่านมา รวมถึงวางแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต

โดยก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า อาจมีการเสนอให้ที่ประชุมหารือถึงกรณีการทำงานของคณะทำงานร่วมระหว่างฝ่าย ป.ป.ช. และอสส. เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีอาญาของ น.ส.ยิ่ง

ลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกำหนดวันประชุมของทำงานร่วมฯครั้งต่อไปด้วย

อย่างไรก็ดี สำหรับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ป.ป.ช. จะเป็นผู้ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเองหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของคณะทำงานร่วมฯ ว่าจะหารือกันอย่าง

ไร
-----------------
การประชุมระดับผู้บริหารของ ป.ป.ช. และผู้บริหารอัยการสูงสุด (อสส.) วางแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต งดสื่อ

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ในระหว่างการประชุมระดับผู้บริหารของ ป.ป.ช. และผู้บริหารอัยการสูงสุง (อสส.) โดย นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ

ประธาน ป.ป.ช. และ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เป็นประธานการประชุมร่วมกันเพื่อหารือถึงภาพรวมการทำงานที่ผ่านมา รวมถึงวางแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต ซึ่งเริ่มต้นการ

ประชุมตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าติดตามรับฟังแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม จะมีการแถลงข่าวร่วมกันในเวลาประมาณ 13.30 น.
---------------------
เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงผลหารือ อสส. ไม่มีการพูดคุยเรื่องคดียิ่งลักษณ์ - พร้อมเปิดคดีต่อ สนช. ในวันที่ 9 ม.ค. นี้

นายสรรเสิรญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการประชุมระดับผู้บริหารระหว่าง ป.ป.ช. และอัยการสูงสุดว่า การประชุมในวันนี้ไม่ได้

มีการพูดคุยเรื่องคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีโครงการรับจำนำข้าว เพียงมีการพูดถึงกรณีที่ทางอัยการออกระบุถึงประเด็นที่ต้องการให้มีการไต่สวนเพิ่ม อาทิ การ

ระบายข้าวจีทูจี นั้น ยังไม่ปรากฏในคณะทำงานร่วม ดังนั้น จึงเห็นว่าจะมีการพูดคุยกันในการประชุมครั้งต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถนัดประชุมได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ ไม่สามารถระบุได้ว่า

จะมีข้อสรุปในเรื่องส่งฟ้องได้หรือไม่ แต่น่าจะมีแนวทางที่ชัดเจน

พร้อมกันนี้ นายสรรเสริญ ยืนยันว่า คณะตัวแทนของ ป.ป.ช. ซึ่งประกอบด้วย ตน นายวิชา มหาคุณ และ นายธรรมนูญ เรืองดิษฐ์ พร้อมที่จะเข้าร่วมแถลงเปิดคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อ สนช. ในวันที่

9 มกราคมนี้
--------------------
ประชุม ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด ให้เข้าร่วมทำสำนวน - เร่งแก้ต่างคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วม

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงผลการประชุมระดับผู้บริหารระหว่าง ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด ว่า เนื่องจาก ป.ป.ช. และ

อัยการต้องทำงานร่วมกัน ในวันนี้ จึงหารือใน 3 ประเด็น คือ 1.แนวทางการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยเสนอให้ตัวแทนอัยการเข้าร่วมในการจัดทำสำนวนคดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อลดปัญหาข้อไม่สมบูรณ์

ของสำนวนคดี 2.ขอให้อัยการช่วยแก้ต่างให้กับผู้ร้องทุกข์ ผู้กล่าวโทษ และเจ้าหหน้าที่ของรัฐ ผู้มีส่วนร่วม ที่ ป.ป.ช. กันไว้เป็นพยาน ซึ่งมักจะถูกฟ้องคำเนินคดีด้วย 3.การรวบรวมพยานหลักฐาน

การไต่สวนข้อเท็จจริงโดยขอให้ทางอัยการตั้งข้อไม่สมบูรณ์ของสำนวนคดีเฉพาะส่วนที่สำคัญ เนื่องจาก อัยการมักจะตั้งข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม นายสรรเสริญ ระบุว่า บรรยากาศในการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่างฝ่ายต่างมีข้อเสนอของตัวเอง แต่มีรายละเอียดที่ต้องมาสัมมนาร่วมกัน ทาง ป.ป.ช. ขอให้อัยการเข้ามาให้

ความรู้เรื่องการดำเนินและการส่งฟ้องคดีต่อ ป.ป.ช. ซึ่งทางอัยการก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ
//////////////
ปากีสถาน

กลุ่มตอลีบานโจมตีโรงเรียนในปากีสถาน นร.ดับกว่า 84 ราย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วันนี้ (16 ธ.ค. 57) กลุ่มตอลีบานบุกเข้าโจมตีโรงเรียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่กองทัพดูแลอยู่ ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเป็นอย่าง

น้อย 104 คนแล้ว โดย 84 คนในนี้เป็นนักเรียน ส่วนที่เหลือมีครูและกองกำลังกึ่งพลเรือนรวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มติดอาวุธ 5–6 คน แกล้งสวมชุดเครื่องแบบกองกำลังความมั่นคงแล้วบุกเข้าไปในโรงเรียน โดยพวกเขาได้เลือกเวลาก่อเหตุ คือ ช่วงเช้า และลงมือยิงนักเรียนแบบสุ่มยิง
ด้าน นายมัมนูน ฮุสเซน ประธานาธิบดีปากีสถาน ได้ประณามการโจมตีในครั้งนี้ และแสดงความอาลัยต่อผู้บริสุทธิ์ทุกคนที่ต้องสูญเสียชีวิต พร้อมย้ำว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการ

ยุติธรรมให้ได้
ขณะที่ กลุ่ม เทห์รีก อี ตอลีบาน ปากีสถาน อ้างว่า ตนเองเป็นผู้ก่อเหตุ โดยระบุว่า กลุ่มที่ก่อเหตุได้รับคำสั่งให้ยิงเฉพาะนักเรียนที่โตแล้ว ไม่ใช่นักเรียนที่ยังเป็นเด็กเล็ก และที่ทำไปก็เพื่อล้างแค้นที่

กองทัพปากีสถานเข้าไปกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธ จนทำให้มีนักรบตอลีบานเสียชีวิตไปหลายร้อยคน
อย่างไรก็ตาม กองทัพปากีสถาน ได้ตรงเข้าปิดล้อมพื้นที่เกิดเหตุไว้แล้ว และยังมีการยิงปะทะกับกลุ่มมือปืน ส่วนกลุ่มนักเรียนประมาณ 500 คน ได้รับการอพยพออกจากจุดเกิดเหตุ แต่ยังไม่ชัดเจน

ว่า มีนักเรียนอีกกี่คนติดอยู่ข้างใน แต่เว็บไซต์ของบลูมเบิร์ก รายงานว่า กลุ่มติดอาวุธได้จับตัวประกันในโรงเรียนมากถึง 1,500 คน
------------------
กลุ่มตาลีบันก่อเหตุโจมตีโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเปชาวาร์ของปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 80 คน

เจ้าหน้าที่ของทางการปากีสถานระบุว่า สมาชิกกลุ่มตาลีบันห้าถึงหกคนที่สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้บุกเข้าไปในโรงเรียนในอุปถัมภ์ของกองทัพปากีสถาน จากนั้นได้เกิด

เสียงระเบิดและเสียงปืนดังสนั่น

พนักงานและนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นว่า กลุ่มตาลีบันบุกเข้ามาในห้องประชุมของโรงเรียน ขณะที่ทหารกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกสอนนักเรียนเรื่องการปฐม

พยาบาล

กองกำลังรักษาความปลอดภัยของปากีสถานได้เข้าปิดล้อมบริเวณดังกล่าวแล้ว และเคลื่อนย้ายนักเรียนส่วนใหญ่จากจำนวนทั้งหมด 500 คนออกมาได้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีคนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน

กี่คน

โฆษกของกลุ่มตาลีบันแถลงว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการตอบโต้ปฏิบัติการทางทหารที่โจมตีทางตอนเหนือของแคว้นวาซีริสถาน ใกล้กับช่องเขาไคเบอร์ ซึ่งคาดว่าทำให้มีนักรบตาลีบันเสียชีวิตไป

หลายร้อยคน

โหรทำนายไว้ จะวุ่นวายไทยแลนด์

"โหรโสรัจจะ"ชี้ปี 58 ไทยวุ่นหนัก ส่อปฏิวัติซ้ำ
.
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. นายโสรัจจะ นวลอยู่ โหรชื่อดัง เจ้าของฉายา "นอสตราดามุสเมืองไทย" เปิดเผยกับ "เดลินิวส์ออนไลน์" ถึงดวงเมืองปี 2558 ว่า
ตามตำราระบุว่า ดาวเสาร์ยังสถิตในดวงเมือง ตกภพมรณะ ทำให้สถานการณ์การเมืองวุ่นวายตลอดปี 58-59 ผนวกกับดาวอังคารสีเลือดย้ายจากราศีมิถุน เข้าสู่ราศีกรกฏ ทำมุมตั้งฉากกับลักคณาเมืองในราศีเมษ ช่วงวันที่ 30 ก.ค.58 ดาวพระราหู สถิตในราศีกันย์ต่อเนื่องไปอีกทั้งปี ถ้าอย่างนี้ถึงคราวชะตาลักคณาเมืองถูกบาปเคราะห์จตุโกณกากบาท ทุกจุดจึงทำให้ชาติบ้านเมืองเข้าสู่การณ์คับขันตลอดเวลา เช่น เกิดสงครามกลางเมือง ปฏิวัติยึดอำนาจอีกครั้ง ประกาศกฎอัยการศึก เพราะดาวอังคารย้ายมา บ่งถึงผู้มีอำนาจในมือที่ไม่อยู่ในศีลธรรมจะต้องเข้ามามีบทบาทแทรกเป็นยาดำในคณะรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โหรชื่อดัง ยังทำนายอีกว่า ดาวมฤตยูกับพระราหูเล็งกันอยู่เหนือขอบฟ้า ตั้งแต่ปี 57 ไปจนถึงวันที่ 11 ก.ค.58 ดาวคู่นี้หมายถึงที่เล็งกัน คือการถูกปล่อยเกาะอย่างโดดเดียว การถูกลอยแพ บ่งถึงว่าเมืองไทยจะตกอยู่ในภาวะขับคันรอบด้าน โดยประเทศที่ล้อมรอบอยู่ บ้านเมืองลุกเป็นไฟและตกอยู่ในภาวะตึงเครียด และอยู่อย่างโดดเดียว ในวันที่ 12 ก.ค.58 ดาวมฤตยูย้ายเข้าทับลักคณาดวงเมืองในราศีเมษ ทำให้เกิดเป็นปีอภิมหาวิปโยค ที่จะเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ประเทศไทยโดยสิ้นเชิงทุกด้าน
"หมายถึงการบริหารของรัฐบาล การบริหารแผ่นดิน คนเป็นผู้นำหากใจร้อน จะทำให้ปัญหาเป็นไฟลามทุ่ง จุดที่ต้องระวังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจากกลุ่มคนภาคอีสานและภาคใต้ เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว แต่เกิดความเข้าใจผิดกัน จนนำไปสู่การต่อสู้ขัดแย้งทางความคิดที่รุนแรงทุกภาคของประเทศ เกิดสงครามกลางเมืองอีกรอบ ที่สำคัญสูญเสียชีวิตมากมายกว่าทุกครั้งในอดีตและไม่น่าเกิดขึ้นได้ คือความแตกแยกทางการเมือง จากนักการเมือง ผู้ใหญ่ของประเทศ และคนทั่วไปยาวนานไปปี 59"นายโสรัจจะ กล่าว
โหรชื่อดังรายนี้ ยังทำนายอีกว่า ความยากจนเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาอีกมากในปีหน้า คนรวยกลายเป็นคนจน ฆ่าตัวตายจนเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งเป็นชะตากรรมของประเทศที่คนไทยร่วมทำกันมา ส่งผลให้ดวงดาวมาบอกเหตุว่า "ปีหน้าเกิดอาเพศ" ผู้คนผิดเพี้ยนไปหมด หวังแต่กอบโกยผลประโยนช์ ไม่คิดถึงศีลธรรม จะเป็นปีที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งอาจจะมาจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทั้งในประเทศและทั่วโลก ทำให้การฟื้นฟูประเทศทำไม่ได้ จะยิ่งซบเซา ไม่อาจจะฟื้นมาได้ เกิดโรคติดต่อและผู้คนเสียชีวิตจากภัยแล้งมากที่สุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางพื้นที่ไม่มีน้ำกิน เกิดทะเลาะกันถึงขั้นแย่งชิงน้ำและความร้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้คนเสียชีวิตเจ็บป่วยจากความร้อนในช่วงต้นปี ส่วนปลายปีน้ำท่วมหนัก กรุงเทพฯพายเรือได้อีกเหมือนปี 54 และช่วงนั้นระวังแผ่นดินไหวในภาคกลางสร้างความสูญเสียมากกว่าเกิดสึนามิ ปี 47
นายโสรัจจะ กล่าวอีกว่า ด้านวิกฤติเศรษฐกิจ จะหนักกว่าปี 40 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ตลาดหุ้นตกแบบท้องร่วง เกิดจากต่างประเทศทั่วโลกตกต่ำในรอบหลายสิบปี เป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งสามในอีกหลายปีต่อมา โดยปี 59 เริ่มมีการใช้อาวุธหนัก ๆ ประเทศมหาอำนาจ ขัดแย้งเป็นชนวนกลายเป็นสงครามใหญ่ของโลก
โหรชื่อดังรายนี้ ได้แนะนำว่า ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองต้องทำบุญประเทศครั้งใหญ่ อาจทำให้ช่วยด้านจิตใจของประชาชน เพราะไม่มีอะไรมาแก้ดวงดาวได้ เพราะดวงดาวกำหนดมาแล้ว เป็นชะตากรรมของบ้านเมือง แต่หลังจากทุกอย่างระเบิดแล้ว ในอนาคตประเทศจะยิ่งใหญ่ได้ ใช้เวลา 5-6 ปี ภายใน 10 ปีจะกลายเป็นมหาอำนาจได้ ซึ่งจะขุดเจอทรัพยากรใต้ดิน เช่นน้ำมัน ทองคำขาว มีมูลค่ามหาศาล. //

จิ๋ว ร่ายกลอนถึง ประยุทธ

บ่างจิ๋ว ขงเจ๊ง เพ้อ ...
'บิ๊กจิ๋ว' แต่งกลอน ฝากถึง นายกฯตู่ เตือน มีอำนาจก็หมดอำนาจได้
16 ธ.ค. 2557 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งบทกลอนสะท้อนการเมือง ที่แต่งขึ้นเอง ชื่อว่า "อภัย" โดยฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมือง หลังจากที่เคยออกมาเตือนจะเกิดการปฏิวัติซ้อนในปีหน้า ซึ่งบทกลอนดังกล่าวมีใจความว่า ...
จำใจรับไว้ กติกา
จำจดจำติดตาแอบอ้าง
จำเจ็บปวดทุกคราที่ถูกกระทำ
จำละทิฐิล้างย่อมได้อภัยสนอง
ในน้ำนั้นมีปลา
ในนานั้นมีข้าว
แต่ในอกนั้นปวดร้าว
ทุกย่างก้าวระทมทุกข์
แปดสิบกว่าเดินทางมาแสนยาวไกล
อีกเมื่อไหร่ประชาไทยจะได้สุข
เห็นเพื่อนบ้านเดินหน้าแล้วตาลุก
ไทยต้องปลุกรู้รักสามัคคี
คืออำนาจ
คืออำนาจที่ฟาดฟัน
อำนาจนั้นทำให้ไทยเป็นหลายสี
มีอำนาจ
หมดอำนาจประหลาดดี
เป็นต้องตีกันให้ตายวายไปข้าง
จงตื่นเถิด
ตื่นเถิดประชาไทย
คิดอภัยคิดเมตตา หากินบ้าง
เพื่อลูกหลาน เหลนโหลนที่ปลายทาง
จบทุกอย่างทิฐิละ ให้อภัย.
--------
วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557
http://www.naewna.com/politic/135617
----------------


5บุคคลที่หนีคดี

1. ทักษิณ ชิณวัตร

ทักษิณ ชินวัตร
1.คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก มีจำเลยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 100 โดยออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ และได้ให้ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน
2.คดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาท มีจำเลยคือ คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ คนละ 3 ปี ส่วนนางกาญจนาภา จำคุก 2 ปี แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ได้กลับคำตัดสินของศาลอาญา สั่งยกฟ้อง คุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่อัยการสูงสุดจะตัดสินใจ “ไม่ฎีกา”
3.คดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มีจำเลยคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับพวก รวม 44 คน ต่อมาศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 44 คน เนื่องจากพบว่าไม่ได้กระทำความผิด
4.คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้ายพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน คตส.ยื่นฟ้อง ครม.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งคณะ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันเป็นจำเลย ซึ่งศาลฎีกาตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง 2 ปี นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และประธานคณะบอร์ดกองสลาก 2 ปี นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก 2 ปี แต่เนื่องจากจำเลยทั้ง 3 ไม่เคยทำผิดมาก่อน ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษา จึงมีการออกหมายจับ
5.คดีร่ำรวยผิดปกติ ให้ทรัพย์สิน 76,621 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และเงินปันผล จำนวน 46,373 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
นอกจากนี้ยังมีคดีที่คั่งค้างอยู่ระหว่างการพิจรณาในชั้นศาลอีกจำนวนหนึ่ง

2. เจ้าพ่อปากน้ำ วัฒนา อัศวเหม

วัฒนา อัศวเหม
18 สิงหาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะ 9 คน ในคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน
สืบเนื่องจากนายวัฒนาใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย
ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า จำเลยได้บังคับจูงใจให้เจ้าพนักงานปกครองและเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ออกโฉนดที่ดิน จำนวน 4 แปลง ทับที่ทิ้งขยะ ถนน และคลองสาธารณะ บริเวณตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมิชอบ
โทษอาญาของ วัฒนา คือ พิพากษาลงโทษจำคุก จำเลย 10 ปี และให้ริบพระผงสุพรรณเหลี่ยมทองของกลาง พร้อมกับออกหมายจับเพื่อติดตามตัวจำเลย มารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป

3. กำนันเป๊าะ สมชาย คุณปลื้ม

สมชาย คุณปลื้ม
5 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก “กำนันเป๊าะ” 3 ปี 4 เดือน
ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะเมืองพัทยา
กำนันเป๊าะ ไม่ได้หนีเฉพาะคดี ทุจริตจัดซื้อที่ดิน โทษ 10 ปี
แต่ยังหนีคดี จ้างวานฆ่า กำนันยูรอีกคดี รวมเป็น 2 คดี
เจ้าพ่อภาคตะวันออก อาจต้อง หนีอาญาแผ่นดิน เป็นเวาลา 20 ปี
ล่าสุดมีข่าวการจับกุมตัวกำนันเป๊าะได้ที่บ้านพักในชลบุรี แต่ก็ถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา ด้วยข้ออ้างเกี่ยวกับสุขภาพ

4. ประชา มาลีนนท์

ประชา มาลีนนท์
ถูกศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 12 ปีคดีทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง 6.6 พันล้าน
ศาลออกหมายเรียกตัวนายประชามาฟังคำพิพากษานัดแรก ในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 แต่นายประชาไม่ได้มาตามที่ศาลนัด ศาลจึงเลื่อนฟังคำพิพากษามาเป็นวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2556 ซึ่งนายประชาก็ไม่ได้มาตามที่ศาลนัดอีกเช่นเคย และหลายคนก็เชื่อว่านายประชาได้เตรียมการหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ดังนั้นศาลจึงตัดสินพิพากษาให้นายประชาต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และ 13 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด ส่งผลให้ในปัจจุบันนายประชาเป็นนักโทษที่หนีคดีที่ถูกจับตามองอยู่

5. เสี่ยโจ้” หรือ “นายสหชัย เจียรเสริมสิน

download
ว่ากันว่าเขาเป็นนักธุรกิจทางพื้นที่ภาคใต้ที่ฝ่ายความมั่นคงรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันเถื่อน และหวยใต้ดิน รวมถึงมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายในทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นกระทั่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
“เสี่ยโจ้” หลบหนีคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 9 เดือน โดยไม่รอลงอาญาของศาลจังหวัดปัตตานี ฐานปลอมแปลงเอกสารตราประทับ ก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา
ก่อนที่จะถูกศาลพิพากษาให้จำคุก มีรายงานว่าเขาได้ต่อสายตรงถึงบุรุษสีกากีที่เคยเป็นใหญ่อยู่ในพื้นที่ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเรื่องคดี รวมถึงทางหนีทีไล่ไว้รองรับแล้วด้วย

เปิดเส้นทางหนี เจ้าพ่อ – นักการเมืองไทย เพราะคุกมีไว้ขังหมากับคนจน

ปกติสถิติการหนีออกนอกประเทศ มักจะเป็นเรื่องของผู้ที่ต้องการหนีหนี้ หนีความผิดในคดีความต่างๆ แต่ยุคนี้นักการเมืองทั้งหลายก็อยู่ในข่ายต้องเตรียมตัวเรื่อง “ลี้ภัย” ให้ดี เพราะอิทธิฤทธิ์ของศาลฎีกา แผนกคดีอาญานักการเมืองซึ่งพิจารณาคดีแบบ “เคาะโป้งเดียวจอด” ไม่มีก๊อกสอง ก๊อกสาม ให้รอลุ้น
“ผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้มีนักการเมืองไทยหลายคนที่เตรียมแผนการหนีเอาไว้ไม่น้อย เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองมีศาลเดียว อย่างเวลาขึ้นศาลทั่วไปก็มีศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ใครโดนก็กล้าไปฟัง แต่นี่มีศาลเดียว ใครจะกล้าไป ฟังแล้วมันหนาวไหม
มันก็เลยทำให้คนต้องเตรียมตัว หลายคนที่ไปตระเวนดูบ้านพักในต่างประเทศแล้ว อย่างในฝรั่งเศส อังกฤษ หรือจะเป็น บอสตันก็มี” คือคำอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวโดยเจ้าพ่อจอมแฉ อย่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์”
เพียงเปิดคำถามแรกว่าเขาหนีกันอย่างไร เสี่ยชูวิทย์ตอบได้ทันควันว่าเรื่องจะหนีออกนอกประเทศนั้นง่ายกว่าที่คิดเยอะ
“เส้นทางหนีออกจากประเทศแบบไม่ให้มีคนรู้มีเยอะมาก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรด้วย แต่ปัญหาที่จะต้องตอบให้ได้ก่อนจะออกเดินทางคือ ออกไปแล้วจะไปไหนต่อ จะไปอยู่ที่ไหน”

ประสบการณ์หนี “ตัวจริง”

แม้จะไม่มีประสบการณ์ “หนีออกนอกประเทศ” แต่ตรงข้ามกันตรงที่เขาได้เคยผ่านประสบการณ์ “แอบเข้าประเทศ” โดยทางการไม่รู้ต่างหาก
“ตอนนั้น ผมไปออสเตรเลีย ก็มีเพื่อนพ้องโทรมาส่งข่าวว่าผมโดนหมายจับ ตอนนั้นอยู่ที่สิงคโปร์แล้ว ก็ต้องตั้งหลักที่นั่นก่อน หาทางหนีทีไล่ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจนั่งเครื่องมาลงภูเก็ต ก่อนจะใช้เส้นสายที่มีกลับเข้ามาในประเทศแบบไม่ต้องผ่าน ตม.” ชูวิทย์เล่า
แม้ว่าหลังจากกลับเข้าเมืองไทยได้แล้ว ชูวิทย์ก็ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจอยู่ดี แต่ที่ใช้วิธีหลบเข้ามาก็เพื่อเตรียมตัว เตรียมการให้พร้อมก่อนจะเข้ามอบตัวเท่านั้น
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ชูวิทย์ เล่าได้เป็นฉากๆ ถึงเส้นทางหนีของเหล่าเจ้าพ่อ และนักการเมือง

หนีทางไหน ปลอดภัยตำรวจ

ถ้าแค่คิดจะ “หนี” โดยยังไม่ต้องพูดถึงจุดหมายปลายทางนั้น ชูวิทย์ บอกว่าเหนือจรดใต้ก็ไปได้ทั้งนั้น สุดแต่ความสะดวกของแต่ละคน
ถ้าสะดวกจะเร้นกายออกนอกประเทศผ่านตะเข็บชายแดนแถบภาคเหนือก็ไปได้ทางรอยต่อแถวเชียงราย แม่ฮ่องสอน ซึ่งเดินทางต่อไปจนถึงคุนหมิงเลยก็ยังได้
แต่คุนหมิงในความเห็นของชูวิทย์นั้น มีปัญหาอยู่บ้าง คือ “ไปได้แต่อยู่ไม่สบาย” ปราศจากความทันสมัย สะดวกสบาย แบบที่คุ้นชินในประเทศไทย
ส่วนใครที่คิดอยากไปทางภาคอีสานผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมือง หนองคาย-ลาว ก็ง่ายแสนง่าย ไม่ต่างอะไรกับ เซเว่นอีเลฟเว่น เพราะถ้ารู้จักคนก็สามารถเข้าออกได้ 24 ชั่วโมง แบบไม่ต้องผ่าน ตม. ซึ่งจากเมืองปากเซก็สามารถทะลุไปถึงเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม
“ถ้าจะอยู่เวียดนาม พูดถึงอาหารการกินก็โอเค ไม่แย่นัก แต่ถ้าอยากได้ความสะดวกสบายแบบที่เคยได้รับในเมืองไทย ก็ต้องทำใจหน่อย” ชูวิทย์กล่าว
สำหรับภาคใต้ ชายหาดโดยทั่วไป ภูเก็ต กระบี่ ระนอง ว่าเรือจากตรงไหนก็ได้ แถมไม่จำเป็นต้องถึงขนาดออกนอกประเทศก็ได้ เพราะมีเกาะแก่งมากมายให้หลบซ่อนตัวแบบไม่ต้องลำบากลำบน
แต่จุดที่ชูวิทย์แนะนำให้เป็นเส้นทางที่ง่ายสะดวกสบายที่สุด หากจะใช้เป็นเส้นทางหนีออกไปกบดาน คือ จ.ชลบุรี ทั้งสาเหตุที่ใกล้จาก กทม.แค่ 2 ชั่วโมงถึง แถมฝั่งทะเลตะวันออกก็สามารถนั่งเรือเข้าออกได้สะดวก… โดยบอกว่าถ้ามีเหตุให้ต้องหนี ตัวเขาจะเลือกเริ่มต้นที่ชลบุรี

จุดหมายปลายทาง “หนี”

“อย่างที่บอก ว่าแค่จะออกนอกประเทศนั้นง่ายแสนง่าย แต่ปัญหาที่ต้องคิดก่อนไปก็คือ จะไปไหนต่อต่างหาก ที่ต้องคิดและเตรียมพร้อมให้ดี”
ว่าแล้วชูวิทย์ก็เริ่มแจกแจงเส้นทางที่คนนิยมซึ่งมีมากมายหลายแบบให้จิ้มเลือกได้ตามงบประมาณตลอดจนไลฟ์สไตล์ของผู้หนี
หากถนัดในการเสี่ยงโชคอยู่แล้ว แน่นอนว่า “บ่อน” คือ ทางเลือกที่ง่ายที่สุด เพราะจำนวนบ่อนบริเวณชายแดนนั้นไม่ใช่น้อยๆ ขอแค่เป็นนักเล่นตัวจริง เงินถึงจริง เจ้าของบ่อนแทบจะส่งราชรถมารับตั้งแต่จากกรุงเทพฯ กันเลยทีเดียว
“หนีไปอยู่ที่กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรับประกันได้ว่าไม่มีใครจับ เพราะอิทธิพลบ่อนมันครอบคลุมอยู่แล้ว ยิ่งเป็นลูกค้ามือหนัก บ่อนยิ่งชอบ ให้ไปรับถึงที่เลยยังได้ นั่งอยู่บนรถเฉยๆ พอถึงด่านก็ไม่ต้องลงรถ ไม่ต้องตรวจบัตร ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตก็เข้าออกได้” ชูวิทย์เล่า
ถ้าไม่ถนัดเสี่ยงโชค โดยเป็นคนรักสงบ ชอบดื่มด่ำธรรมชาติ คำแนะนำคือให้ไปอยู่ “เกาะ” เหมาะสมที่สุด ไม่ต้องบากบั่นไปไกลถึงต่างประเทศ แค่หนีไปอยู่เกาะก็ได้ผลแล้ว จะเป็นเกาะส่วนตัวของพวกพ้องก็มีแต่คนกันเองที่ไว้ใจได้ ขอแค่มีคนเป็นหูเป็นตาให้ ก็อยู่ได้อย่างวางใจ นัยว่าพักร้อนไปด้วยในตัว
แต่เกิดสมมติว่าเป็นคนกลัวน้ำ ไม่อยากลงเรือ ก็สามารถหลบอยู่ตามป่าเขา อุทยานต่างๆ ก็ได้ประสิทธิผลและอารมณ์ไม่ต่างกัน
“ผมบอกได้เลยว่าบางคนที่บอกว่าหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น จริงๆ น่าจะยังอยู่ในไทย เพียงแค่ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเท่านั้น แล้วก็ปล่อยข่าวหลอก ว่าออกนอกประเทศแล้ว เพื่อลดแรงเสียดทานของตำรวจว่าต้องค้นหาตัวให้เจอ”
ข้อควรจำ หากใครสมัครใจอยากจะไปติดเกาะ ชูวิทย์ เตือนว่าส่วนมากตามเกาะแก่งหรือป่าเขา มักจะขาดแคลนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้นโทรศัพท์ดาวเทียม คือ สิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมหาซื้อไปไว้ใช้ติดต่อกับโลกภายนอกโดยตรวจจับไม่ได้ด้วยว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งหาซื้อง่ายมากควักกระเป๋าจ่ายเพียง 5 หมื่นบาทก็มีไว้ในครอบครองได้แล้ว
แต่สำหรับตัวชูวิทย์เองนั้น หากต้อง “หนี” เขาก็ขอหนีด้วยวิธีที่สะดวกสบาย โดย “เรือสำราญ” คือทางเลือกของผู้ชายที่ชื่อ ชูวิทย์
“ใครมีเงินหน่อย ผมแนะนำให้ไปล่องเรือสำราญ เพราะมันเป็นวิธีหนีที่สนุกสนานมาก ได้เที่ยวรอบโลก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถกบดานอยู่บนเรือเป็นเดือนๆ รับรองไม่มีทางโดนจับ เพราะคนไทยไม่ชอบไปเที่ยวแบบนี้ จึงยากที่จะโดนคนพบเห็น”
สนนราคาของการหนีไปกับเรือสำราญนี้ชูวิทย์บอกว่ามีเงิน 3 แสนก็ไปได้ แต่หากจะขออยู่แบบหรูสบายสุดๆ ก็พกไปสัก 5 แสนกำลังดี เผื่อชอปปิงเลือกซื้อของฝากกลับบ้าน พร้อมกับบอกอีกว่า จุดขึ้นเรือที่สิงคโปร์ น่าจะสะดวกที่สุด

หนีไว้ก่อน ดีกว่าต้องนอนในคุก

ทั้งสามวิธีที่ชูวิทย์แนะนำมานั้น เป็นการเร้นตัวออกจากปัญหาเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่สามารถพูดคุยกันได้ เจรจากันได้ แต่การที่จะสามารถมีอำนาจในการเจรจาได้ แน่นอนว่า “คุณต้องอยู่นอกคุก”
“หลักการคือ หนีไว้ก่อน ไม่ว่าจะหนีอะไร ให้หนีไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุย มาตกลงกัน” เพราะถ้าเกิดยอมติดคุกไปเสียแล้ว ก็หาหนทางที่จะไปเจรจาต่อได้ยาก
.. หากว่าหนีเจ้าหนี้ ก็ต้องหนี เพื่อประวิงเวลา เพิ่มอำนาจในการต่อรอง ลดจำนวนเงินที่ต้องชดใช้
.. หากว่าหนีคดี ไปเหยียบเท้าใครเข้า ก็ต้องประคองสถานการณ์ สบช่องก็ดอดเข้าเจรจากับเจ้าทุกข์นอกรอบ ผ่อนหนักเป็นเบา
.. หากว่าหนีคำตัดสินโทษ กรณีนี้อาจต้องไปนานหน่อย เพราะคงไม่ใช่ว่าเจรจากันได้ง่ายๆ
แต่สำหรับใครก็ตามที่ต้องหนีนาน อาจจะถึงขั้นจำต้องอยู่นอกประเทศตลอดชีวิตเลยนั้น “ยุโรปตะวันออก” คือจุดหมายที่ชูวิทย์แนะนำ
อาทิ ประเทศโปแลนด์ รวมถึงบริเวณที่เคยเป็นเยอรมันตะวันออก เชโกสโลวะเกีย โดยเฉพาะประเทศฮังการี กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หนีคดีทั้งหลาย ด้วยว่าค่าครองชีพยังไม่สูงมาก แถมเรื่องความโปร่งใสก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หากว่ามีคอนเนคชั่นดีๆ เงินถึง ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายลดหลั่นกันไปตามแต่กำลังทรัพย์
สำหรับราคาค่าหนีแบบ “วันเวย์ ทิคเก็ต” ตีตั๋วเที่ยวเดียวชนิดไปไม่กลับนั้น ชูวิทย์ เคาะเครื่องคิดเลขออกมาได้ที่ประมาณ 2 ล้านเหรียญยูเอส หรือราวๆ 70 ล้านบาท แต่หากใครหอบลูกจูงหลาน หนีกันไปแบบยกครัว คร่าวๆ ที่ต้องเตรียมไว้ให้อุ่นใจคือเป็นร้อยล้านบาท เพราะต้องมองไปถึงอนาคตการศึกษาของลูกหลานด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้มีแผนที่จะหนี นอกจากจะต้องเตรียมตัววางแผน เตรียมเงินให้พร้อมแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้อง “เตรียมใจ” ให้พร้อมที่จะต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งประเด็นนี้เสี่ยชูวิทย์ เตือนด้วยน้ำเสียงไม่ล้อเล่นเลยว่า “ระวังเหงา”
“คนไทยที่ไปส่วนมากเป็นคนติดสังคม ก็เตือนไว้ก่อนเลยว่าระวังจะเหงา ผมเคยเห็นคนที่เป็นพ่อค้าที่หนีหนี้ไปอยู่ต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ สื่อสารกับใครไม่รู้เรื่อง วันทั้งวันก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่รู้จักใคร พูดกับใครไม่ได้ มันทรมานนะ” ชูวิทย์เตือนทิ้งท้ายด้วยความหวังดี

หน่วยข่าวทหารชี้ “เขมร-ลาว” ยอดฮิต

แหล่งข่าวนายทหารที่เคยปฏิบัติงานในศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) เผยว่า เส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศที่นิยมกันมากจะออกทางกัมพูชาและลาวเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกัมพูชาจะมีด่านเถื่อนหลายด่าน และมีหลายช่องทางที่สามารถเดินทางออกไปได้ ทั้งทางบกและทางน้ำ เช่น จ.จันทบุรี ตราด สระแก้ว ในภาคตะวันออก และจังหวัดในเขตอีสานใต้อีกหลายจังหวัด
“วิธีการผ่านด่านพวกนี้ ขอให้มีคนของประเทศนั้นๆ มารับก็ใช้ได้แล้ว อาจจะต้องจ่ายเจ้าหน้าที่ประจำด่านเสียหน่อย ทั้งลาวทั้งเขมรเป็นแบบนี้” แหล่งข่าว ระบุ
อดีตนายทหารฝ่ายข่าว ยังระบุว่า นอกจากจะหนีออกทางด่านเถื่อนแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่นิยมกันมาก คือออกไปกับรถตู้ของบ่อนการพนันตามแนวชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งเขมร เช่น ปอยเปต ที่ติดกับตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว ถ้าเป็นผู้ต้องหาคดีไม่สำคัญ ก็สามารถติดไปกับรถของบ่อนการพนันได้เลย โดยทำทีไปเล่นพนัน เมื่อผ่านเข้าไปได้แล้วก็หาทางหนีต่อไป
ส่วนกลุ่มผู้ต้องหาสำคัญหรือนักการเมืองนั้น แหล่งข่าวทางทหาร บอกว่า การหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคนเหล่านี้มีเส้นสายมากมาย เพียงแต่จะไม่ผ่านด่านศุลกากร หรือด่านชายแดนถาวรให้มีหลักฐาน แต่จะผ่านทางด่านเถื่อน หรือมีเรือมารอรับ ซึ่งขบวนการที่มารับก็เป็นคนไทยทั้งนั้น รับไปแล้วก็พาไปส่งตามโรงแรมหรูในเครือข่าย
“พอข้ามไปได้แล้วก็อยู่สบาย อย่าไปก่อคดีขึ้นอีกก็แล้วกัน ทางประเทศเหล่านั้นก็มักไม่ทำอะไร แม้จะรู้ว่าอยู่ในประเทศของเขาก็ตาม”

เครือข่าย “ทักษิณ” ใช้เกาะช้างเป็นฐาน

แหล่งข่าวผู้นี้ ยังให้ข้อมูลอีกว่า ถ้าจะจำกัดวงเฉพาะนักการเมืองสาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากจะหนีเข้ากัมพูชาก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ข้ามไปที่เกาะช้าง จากนั้นก็จะมีคนมารับ นั่งเรือสปีดโบตไปไม่นานก็เข้าเขตกัมพูชาแล้ว ที่สำคัญรีสอร์ทใหญ่ๆ บนเกาะช้างล้วนเป็นอาณาจักรของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะซื้อในชื่อคนอื่นเอาไว้หลายแห่ง
ส่วนเส้นทางการหลบหนีไปทางพม่ากับมาเลเซีย แหล่งข่าว กล่าวว่า ทางพม่าไม่เป็นที่นิยม เพราะชายแดนด้านที่ติดกับไทยเป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ทั้งว้า และกะเหรี่ยง เฉพาะกะเหรี่ยงก็มีถึง 3 กลุ่มแล้ว ฉะนั้นโอกาสที่จะประสานงานติดต่อจะยากกว่า และโอกาสพลาดมีสูง อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็สูง เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่รัฐบาลทหารพม่าควบคุมได้ทั้งหมด ขณะที่มาเลเซีย การจะข้ามไปได้ต้องพูดภาษามลายูคล่อง ซึ่งก็ยากสำหรับคนไทย
“เท่าที่เคยมีข้อมูลด้านการข่าว ส่วนใหญ่บุคคลสำคัญบ้านเราก็จะหนีเข้าทางเขมร ด้วยเหตุผลอย่างที่บอกคือมีช่องทางหลายช่อง ทั้งทางบกและทางทะเล ซ้ำยังมีบ่อนกาสิโนมากมายที่สามารถแฝงตัวไปกับนักเล่นพนันได้เลย หน้าตาคนไทยกับคนเขมรก็คล้ายๆ กัน ทำให้ยากแก่การตรวจจับ ที่ผ่านมาหลังการปฏิวัติเมื่อปี 2534 นักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งก็หนีออกนอกประเทศทางฝั่งเขมร แล้วต่อเรือไปสิงคโปร์ ก่อนจะขึ้นเครื่องบินไปยุโรป หรือลูกชายของนักการเมืองชื่อดังที่โดนคดีอาญาก็หนีไปทางเขมรเช่นกัน” แหล่งข่าวระบุ

“นกรู้” หนีออกนอกก่อนมีหมายจับ

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวที่เคยทำงานใน ศรภ. บอกว่า ถึงที่สุดแล้วหากมีเส้นสายทางการเมือง ก็สามารถหนีออกนอกประเทศผ่านทางช่องทางปกติได้ โดยหนีไปก่อนที่จะถูกออกหมายจับ เพราะถ้ายังไม่มีหมายจับ จะผ่านด่านไหนก็ย่อมได้ รู้ว่าตำรวจจะออกหมายจับพรุ่งนี้ ก็หนีเสียตั้งแต่วันนี้ หลายกรณีก็เป็นเช่นนั้น